แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
Topics - raponsan
|
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 558
|
82
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คณะสงฆ์กทม.ติวเข้มทักษะไอทีพระภิกษุสามเณร เผยแผ่พุทธศาสนาออนไลน์
|
เมื่อ: เมษายน 23, 2024, 05:19:41 am
|
. คณะสงฆ์กทม.ติวเข้มทักษะไอทีพระภิกษุสามเณร เผยแผ่พุทธศาสนาออนไลน์ คณะสงฆ์กรุงเทพฯ จัดโครงการอบรมพัฒนาบุคลากร เพิ่มพูนทักษะทางไอที หนึ่งวัดหนึ่งเว็บไซต์ รุ่นที่ 2
พระธรรมวชิรมุนี วิ. กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร กล่าวในการเป็นประธานเปิดโครงการอบรมพัฒนาบุคลากรเพิ่มพูนทักษะทางไอที หนึ่งวัดหนึ่งเว็บไซต์ ของคณะสงฆ์กรุงเทพมหานคร (รุ่นที่ 2) เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567 ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า โครงการดังกล่าว เพื่อยกระดับความรู้ความเข้าใจด้านไอทีที่จำเป็นให้กับพระภิกษุสามเณรของวัดในเขตกรุงเทพฯ ต่อจากรุ่นแรกที่ได้ดำเนินการไปเมื่อปี 2566 ทั้งยังเป็นโครงการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567
“มีผู้กล่าวไว้ว่า เทคโนโลยีก้าวไกล พระสงฆ์ไทยควรก้าวให้ทัน ใจความสำคัญคือ พระภิกษุสามเณร จะดึงศักยภาพด้านเทคโนโลยีมาใช้ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เกิดประโยชน์อย่างไร เป็นเรื่องที่ควรพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะว่าเทคโนโลยีนี้เป็นของใหม่ และทันสมัย อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีก็ยังเป็นอุปกรณ์ในการประชาสัมพันธ์ผลงาน ศาสนกิจ ของแต่ละวัดได้ และช่วยให้ผู้สนใจ พุทธศาสนิกชน ได้เข้าถึงข้อมูลที่สำคัญของวัดได้ตลอดเวลา ด้วยแต่ละวัดมีงานต้องดำเนินการตามนโยบายคณะสงฆ์ การอบรมครั้งนี้ เพื่อให้เป็นต้นแบบของการพัฒนาศักยภาพของพระภิกษุสามเณร อีกทางหนึ่ง ซึ่งละเลยไม่ได้ เพราะการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางเว็บไซต์ เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถทำให้คนทั่วโลกเข้าถึงได้” เจ้าคณะกรุงเทพฯ กล่าวด้านพระครูภาวนาวิธาน วิ. หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานเจ้าคณะกรุงเทพฯ ประธานโครงการฯ กล่าวว่า เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อการประกอบธุรกรรมทางสังคม และการดำเนินชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีแนวโน้มว่าจะก้าวหน้า รวดเร็ว และก้าวไกลมากยิ่งขึ้น องค์กรที่พึ่งพาเทคโนโลยี จำเป็นต้องทำการพัฒนาบุคลากร ให้มีความรู้ความเข้าใจ ใช้ประโยชน์ให้ตรงกับภาระงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนเจ้าคณะกรุงเทพฯ และคณะสงฆ์กรุงเทพฯ จึงเห็นควรให้มีการอบรมดังกล่าวขึ้น ระหว่างวันที่ 20-24 เม.ย. ที่ตึกมหาธาตุวิทยาลัย ชั้น 1 วัดมหาธาตุฯ
โดยกำหนดขอบเขตเนื้อหาในการอบรมเกี่ยวเนื่องกับการเผยแพร่ศาสนาผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ด้วยการจัดทำเว็บไซต์ประจำวัดในเขตปกครอง เพิ่มความรู้เบื้องต้นงานสิ่งพิมพ์ การประชาสัมพันธ์กิจกรรมวัด การถ่ายภาพเพื่อการทำรายงานศาสนกิจ รวมทั้งเพื่อขับเคลื่อนกิจการและการเผยแพร่พระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์กรุงเทพฯ ให้ก้าวหน้า รวดเร็วและทันสมัย อีกทั้งเป็นการพัฒนาบุคลากรด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นขอบคุณ : https://www.dailynews.co.th/news/3364547/22 เมษายน 2567 ,13:03 น. ,การศึกษา-ศาสนา
|
|
|
83
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดอภัยทายาราม อนุสรณ์ 200 ปี สมานฉันท์ จักรี-ธนบุรี
|
เมื่อ: เมษายน 22, 2024, 06:14:56 am
|
. พระอุโบสถวัดอภัยทายาราม ที่บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่บนฐานเดิม เมื่อปี พ.ศ. 2489 ภาพนี้ถ่ายจากอาคารพัชรกิติยาภา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม, เมษายน 2549)วัดอภัยทายาราม อนุสรณ์ 200 ปี สมานฉันท์ จักรี-ธนบุรี“วัดอภัยทายาราม” หรือที่ชาวบ้านยังเรียกกันในปัจจุบันว่า “วัดมะกอก” ตั้งอยู่ติดกับเขตโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หันหน้าเข้าสู่คลองสามเสน ใน พ.ศ. 2549 เป็นวาระที่วัดอภัยทายารามมีอายุครบ 200 ปี ซึ่งวัดแห่งนี้มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ตอนหนึ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์
สาเหตุอย่างหนึ่งอาจมาจากประวัติวัด “อย่างเป็นทางการ” ของกรมการศาสนาซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือ ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม 2 ก็ใช้อ้างอิงไม่ได้ โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างวัดแห่งนี้ผิดพลาดคลาดเคลื่อนอยู่หลายข้อ รวมไปถึงการระบุเจ้านายผู้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นใหม่ผิดองค์
ประวัติการปฏิสังขรณ์วัด “ตัวจริง” ได้ถูกจารึกเป็นเพลงยาวไว้บนแผ่นไม้สักลงรัก เขียนทอง เก็บรักษาไว้ที่วัดมาตลอดโดยมิได้เคลื่อนย้ายไปไหน แต่ก็มิได้มีการอนุรักษ์ ซ่อมแซม จนปัจจุบันเพลงยาวที่จารึกไว้ได้ลบเลือนจนยากที่จะอ่านได้ความ
อย่างไรก็ดีคุณบุญเตือน ศรีวรพจน์ แห่งสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ได้พบเพลงยาวฉบับตัวเขียนในสมุดไทย เก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ ซึ่งเนื้อหาตรงกันกับเพลงยาวที่จารึกไว้บนแผ่นไม้ของวัด และได้เขียนแนะนำไว้พอสังเขปแล้วในหนังสือศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนเมษายน 2548 ทำให้เราได้ “ความสมบูรณ์” ในการปฏิสังขรณ์วัดอภัยทายารามเมื่อปลายสมัยรัชกาลที่ 1 นอกจากนี้ ทัศน์ ทองทราย ก็ได้บันทึกประวัติวัด “จากคำบอกเล่า” ของเจ้าอาวาสวัดองค์ปัจจุบัน ไว้ในหนังสือศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดียวกัน
แต่ในวาระที่วัดอภัยทายารามมีอายุครบ 200 ปี ในปี 2549 นอกจากประวัติการปฏิสังขรณ์วัดจากเพลงยาวและประวัติวัดจากคำบอกเล่าแล้ว ยังควรพิจารณาแง่มุมอื่นๆ ที่ยังไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อน โดยเฉพาะในประเด็นของ “ชื่อวัด” และวัตถุประสงค์ในการปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ แผ่นไม้สักขนาดใหญ่ลงรักเขียนทอง จารึกประวัติการสร้างและฉลองวัดอภัยทายาราม อายุกว่า 200 ปี https://www.nlt.go.thปฏิสังขรณ์วัดบ้านนอก เสมอด้วยวัดหลวง
วัดอภัยทายาราม เดิมเป็นวัดที่ทรุดโทรม ซึ่งน่าจะสร้างมาก่อนแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมา “เจ้าฟ้าเหม็น” พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และยังเป็นพระเจ้าหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ คงเสด็จมาพบเข้า เห็นวัดนั้นเสื่อมโทรมไม่สมกับเป็นที่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ ดังที่เพลงยาวได้กล่าวไว้ดังนี้
ในอารามที่ปลายซองคลองสามเสน เหนบริเวณเปนแขมคาป่ารองหนอง ไม่รุ่งเรืองงามอรามด้วยแก้วทอง ไร้วิหารท้องน้อยหนึ่งมุงคา ไม่ควรสถิศพระพิชิตมาเรศ น่าสังเวทเหมือนเสดจ์อยู่ป่าหญ่า ทั้งฝืดเคืองเบื้องกิจสมณา พระศรัดทาหวังประเทืองในเรืองธรรม
เมื่อเสด็จมาพบเข้าดังนี้ ก็มีพระประสงค์จะทำการกุศล จึงทรงสั่งการให้เกณฑ์ไพร่มาเตรียมการปฏิสังขรณ์ใหญ่ ณ วัดแห่งนี้ ตั้งแต่ปีจุลศักราช 1159 (พ.ศ. 2340)
ครั้นถึงปีจุลศักราช 1160 (พ.ศ. 2341) เจ้าฟ้าเหม็นจึงเสด็จถวายพระกฐินและวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ เป็นการเริ่มต้นการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ คือ สร้างใหม่ทั้งวัด อย่างไรก็ดีวันเดือนปีที่ปรากฏในเพลงยาวนั้นยังคลาดเคลื่อนกับปฏิทินอยู่บ้างเล็กน้อย คือ กำหนดพระฤกษ์วันเสด็จในการถวายพระกฐินและวางศิลาฤกษ์เพลงยาวได้ระบุว่าเป็น “สุริยวารอาสุชมาล กาลปักทวาทัสมี ปีมเมียสำฤทศกปรมาร” ถอดคำแปลออกมาเป็น วันอาทิตย์ เดือน 11 แรม 12 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1160 ซึ่งตามปฏิทินนั้นเดือนแรม ดังกล่าวจะตรงกับวันจันทร์ ไม่ใช่วันอาทิตย์
นอกจากนี้ในบทอื่นๆ ที่กล่าวถึงวันเดือนปีก็จะคลาดเคลื่อนทุกครั้ง จึงเป็นการยากที่จะถอดวันเดือนปีในเพลงยาว ให้เป็นวันเดือนปีในปฏิทินสุริยคติที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
วัดอภัยทายาราม เมื่อแรกปฏิสังขรณ์นั้นยิ่งใหญ่ และงดงามอย่างยิ่ง เสนาสนะทุกสิ่งอันล้วนวิจิตรบรรจงและอลังการ เทียบเคียงได้กับวัดสำคัญๆ ในสมัยนั้น และสิ่งที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าวัดนี้เป็น “วัดสำคัญ” นอกกำแพงพระนครคือ “พระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์” เสด็จพระราชดำเนินมาในการพระราชกุศลด้วยพระองค์เอง คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ และ “วังหน้า” กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความขัดแย้งและหวาดระแวง
ที่ตั้งของวัดจะอยู่ค่อนข้างไกลจากศูนย์กลางของเมืองในขณะนั้น สามารถจัดได้ว่าเป็น “วัดบ้านนอก” ดังนั้นการเสด็จทั้ง 2 พระองค์ในครั้งนี้ย่อมมีนัยยะอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งต้อง “สืบสวน” กันอย่างละเอียดเพื่อหาเหตุผลของการเสด็จพระราชดำเนินมายัง “วัดบ้านนอก” ในครั้งนั้น ภาพถ่ายทางอากาศ บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2489 ที่ลูกศรชี้คือพระอุโบสถวัดอภัยทายารามหลังเก่าที่ “เจ้าฟ้าเหม็น” ทรงสร้าง (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม, เมษายน 2549) ขณะที่ “พระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์” เสด็จพระราชดำเนินนั้น วัดยังอยู่ระหว่างก่อสร้างคือเมื่อ เดือนยี่ ปีจุลศักราช 1163 (พ.ศ. 2344) จึงไม่ได้เสด็จมาเพื่อเฉลิมฉลองหากแต่มาทรงผูกพัทธสีมา “จผูกพัดเสมาประชุมสงฆ” แต่ถึงกระนั้นก็เสด็จมาทางชลมารคด้วยกระบวนเรือ “มหึมา”
สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวทั้งสององค์ ผู้ทรงธรรม์อันสถิศมหาสถาร ก็เสดจ์ด้วยราชบริพาน กระบวนธารชลมาศมหึมา ถึงประทับพลับพลาอาวาสวัด ดำรัดการที่สืบพระสาสนา สท้านเสียงดุริยสัทโกลา หลดนตรีก้องประโคมประโคมไชย เสจพระราชานุกิจพิทธีกุศล เปนวันมนทณจันทรไม่แจ่มไส ประทีปรัตนรายเรืองแสงโคมไฟ เสดจ์คันไลเลิกกลับแสนยากร
การปฏิสังขรณ์ใหญ่วัดอภัยทายารามใช้เวลาทั้งสิ้น 8 ปี จึงแล้วเสร็จในเดือน 3 ปีจุลศักราช 1168 (พ.ศ. 2349) ผ่านมาครบ 200 ปีในปีนี้พอดี เมื่อการปฏิสังขรณ์สำเร็จบริบูรณ์จึงมีการเฉลิมฉลองขึ้น เป็นงานใหญ่ 7 วัน 7 คืน มีมหรสพ ละคร การละเล่นอย่างยิ่งใหญ่ และเทียบเท่ากับงานเฉลิมฉลองระดับ “งานหลวง” ทั้งสิ้น องค์ประธานองค์ประธานผู้ทรงปฏิสังขรณ์ วัดเสด็จร่วมงานฉลองครบทุกวันจนจบพิธี แล้วขนานนามวัดว่า “อไภยทาราม”
ส้างวัดสิ้นเงินห้าสิบเก้าชั่ง พระไทยหวังจไห้เป็นแก่นสานต์ ตั้งทำอยู่แปดปีจึ่งเสจการ ขนานชื่อวัดอไภยทาราม
สิ่งที่น่าสนใจและเป็นปริศนาชวนให้ค้นหาคำตอบของ วัดอภัยทายาราม ทั้งที่ปรากฏอยู่ในเพลงยาว และอื่นๆ ไม่ใช่การปฏิสังขรณ์อย่างยิ่งใหญ่ ไม่ใช่การสร้างเสนาสนะอย่างวิจิตรบรรจง หรือแม้แต่งานฉลอง 7 วัน 7 คืน ด้วยการละเล่นดุจเดียวกับงานหลวง สิ่งเหล่านี้มีฐานะเป็นแต่เพียง “พยาน” สำคัญ ที่จะนำไปสู่การไขคำตอบสำคัญ ซึ่งก็คือเหตุอันเป็นที่มาของชื่อวัด “อไภยทาราม” นั่นเอง
@@@@@@@
วัดอไภยทาราม ไม่ได้ตั้งตามพระนามเจ้าฟ้าเหม็น
นามวัด “อภัยทายาราม” เป็นนามที่ตั้งขึ้นใหม่ในชั้นหลัง เดิมนามวัดตามที่ปรากฏในเพลงยาวขนานนามว่า “อไภยทาราม” ซึ่งก็น่าจะเป็นนามพระราชทาน ชื่อ “อไภยทาราม” นี้อาจจะดูเหมือนว่าเป็นการตั้งตามพระนามของเจ้าฟ้าเหม็น ผู้ทรงปฏิสังขรณ์วัด ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับพระราชทานพระนามจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ แต่พระนาม “เจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์” ของเจ้าฟ้าเหม็นนั้น มิได้ใช้โดยตลอด เนื่องด้วยมีพระราชดำริเห็นว่าเป็นนามอัปมงคล!
ที่มาที่ไปของพระนามอัปมงคล เริ่มต้นและเกี่ยวพันกับพระชาติกำเนิดของเจ้าฟ้าเหม็น ในฐานะผู้ที่ทรงอยู่กึ่งกลางระหว่างความขัดแย้งของพระมหากษัตริย์ 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระราชบิดา และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ คือพระอัยกา หรือ “คุณตา” ซึ่งได้สำเร็จโทษพระราชบิดาเจ้าฟ้าเหม็นเมื่อคราวเปลี่ยนแผ่นดิน
เจ้าฟ้าเหม็นเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและเจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ พระสนมเอก ท่านผู้นี้เป็นธิดาของเจ้าพระยาจักรี หรือต่อมาเสด็จขึ้นปกครองแผ่นดินเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ รัชกาลที่ 1 ในพระราชวงศ์จักรี
เจ้าฟ้าเหม็นประสูติในแผ่นดินกรุงธนบุรีในปีพุทธศักราช 2322 ต่อมาอีกเพียง 3 ปี “คุณตา” เจ้าพระยาจักรี ก็ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าอยู่หัว สถาปนาพระราชวงศ์ใหม่ โดยได้สำเร็จโทษ “เจ้าตาก” พระราชบิดาของเจ้าฟ้าเหม็น พร้อมกับพระญาติบางส่วนในเหตุการณ์ครั้งนั้น ถือเป็นอันสิ้นแผ่นดินกรุงธนบุรี
หลังจากเหตุการณ์ล้างครัว “เจ้าตาก” จบลงยังเหลือพระราชวงศ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกบางส่วนที่ได้รับการยกเว้น รวมทั้งเจ้าฟ้าเหม็นด้วย เนื่องจาก “คุณตา” ทรงอาลัยหลานรักพระองค์นี้ยิ่งนัก ดังนั้นตลอดรัชกาลที่ 1 แม้เจ้าฟ้าเหม็นจะทรงถูก “ตัด” ออกจากราชการบ้านเมืองทั้งสิ้น แต่ก็ยังทรงเป็น “พระเจ้าหลานเธอ” พระองค์โปรดของพระเจ้าแผ่นดินอยู่ตลอดรัชกาล
พระนามพระราชทานแรกของเจ้าฟ้าเหม็น ที่เป็นนาม “พ่อตั้ง” คือ เจ้าฟ้าสุพันธุวงศ์ พระนามนี้ใช้ในแผ่นดินกรุงธนบุรี ครั้นต่อมาเมื่อเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ก็มีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนพระนามเจ้าฟ้าสุพันธุวงศ์ในแผ่นดินก่อน ด้วยไม่สมควรที่จะใช้เรียกขานในแผ่นดินใหม่นี้
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริห์ว่าเจ้าตากขนานพระนามพระราชนัดดาให้เรียก เจ้าฟ้าสุพันธวงษ์ ไว้แต่เดิมนั้น จะใช้คงอยู่ดูไม่สมควรแก่แผ่นดินประจุบันนี้ จึ่งพระราชทานพระนามใหม่ว่า สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าอภัยธิเบศ นเรศรสมมติวงษ พงษอิศวรราชกุมาร”
อย่างไรก็ดีพระนามเจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์ ที่คาดว่าเป็นพระนามที่นำไปขนานนาม “วัดอไภยทาราม” นั้น ตามความเป็นจริงพระนามนี้ใช้อยู่เพียงระยะสั้น ก็มีพระราชดำริให้เลิกเสียและเปลี่ยนพระนามใหม่อีกครั้ง
“ภายหลังข้าราชการกราบบังคมทูลหาสิ้นพระนามไม่ กราบทูลแต่ว่า เจ้าฟ้าอภัย จึ่งทรงเฉลียวพระไทย แล้วมีพระราชดำรัสว่า ชื่อนี้พ้องต้องนามกับเจ้าฟ้าอภัยทัต เจ้าฟ้าปรเมศ เจ้าฟ้าอภัย ครั้งแผ่นดินกรุงเก่า ไม่เพราะหูเลย จึ่งพระราชทานโปรดเปลี่ยนพระนามใหม่ว่า เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ์ร นเรศว์รสมมติวงษพงษอิศวรราชกุมารแต่นั้นมาฯ” (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ฉบับตัวเขียน), อมรินทร์, 2539, น. 43)
เหตุการณ์นี้บันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ฉบับตัวเขียน) ในช่วงปีจุลศักราช 1145 (พ.ศ. 2326) เป็นปีที่ 2 ในรัชกาลที่ 1 จึงเท่ากับว่าพระนามเจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์ ใช้อยู่ไม่เกิน 2 ปี จึงยกเลิกเสีย ด้วยว่าเป็นพระนามอัปมงคลแก่ผู้เป็นเจ้าของ กล่าวคือพระนาม “เจ้าฟ้าอภัย” ที่ใช้ในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยานั้น เจ้าของพระนามล้วนแต่ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ทุกพระองค์
นอกจากนี้หลักฐานการเปลี่ยนพระนามยังสอดคล้องกับการอ้างถึงพระนามที่เปลี่ยนใหม่ เมื่อทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกให้ “ทรงกรม” ในปีพุทธศักราช 2350 หลังจากที่ทรงปฏิสังขรณ์วัดอไภยทาราม 1 ปี ขณะนั้นทรงใช้พระนามเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์อยู่แล้ว
“โปรดตั้งพระราชนัดดา เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ เป็นกรมขุนกษัตรานุชิต 1 สมเด็จพระเจ้าหลานพระองค์นี้ ครั้งกรุงธนบุรีมีพระนามว่า เจ้าฟ้าสุพันธวงศ์ ครั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระราชทานพระนามใหม่ว่า เจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์ ข้าราชการขานพระนามโดยย่อว่า เจ้าฟ้าอภัย ได้ทรงสดับรับสั่งว่า พ้องกับพระนามเจ้าฟ้าอภัยทัต ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ และเจ้าฟ้าอภัย ครั้งแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ซึ่งไม่เป็นสวัสดิมงคลแก่ผู้มีพระนามนั้น จึงโปรดให้เปลี่ยนพระนามใหม่ว่า เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์” (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์, กรมศิลปากร, 2531, น. 102)
ดังนั้นหากกำหนดระยะเวลาโดยสังเขปเกี่ยวกับ พระนามเจ้าฟ้าเหม็น ควรจะได้ดังนี้ เจ้าฟ้าเหม็น เป็นพระนามลำลอง คงใช้ตลอดพระชนมายุ เจ้าฟ้าสุพันธุวงศ์ ใช้แต่แรกเกิดในสมัยกรุงธนบุรีถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2322-5) เจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์ ใช้เมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์เป็นเวลา 2 ปี (พ.ศ. 2325-6) เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ใช้เรื่อยมาจนกระทั่งทรงกรม (พ.ศ. 2326-50) และกรมขุนกษัตรานุชิต ใช้เป็นพระนามสุดท้าย (พ.ศ. 2350-2)
ระยะเวลาของการใช้พระนามแต่ละพระนามนั้นชี้ให้เห็นว่า พระนามเจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์นั้นถูกยกเลิกโดยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2326 หรือเป็นปีที่ 2 ในรัชกาลที่ 1 ก่อนที่จะทรงปฏิสังขรณ์วัดอไภยทารามในปีพุทธศักราช 2349 เป็นเวลานานถึง 23 ปี นอกจากนี้พระนามอภัยธิเบศร์ ยังได้รับพระราชวิจารณ์ว่า “ไม่เป็นสวัสดิมงคลแก่ผู้มีพระนามนั้น” จึงไม่มีเหตุผลสมควรที่จะนำพระนามที่เลิกใช้ไปนานแล้วและเป็นอัปมงคลกลับมาใช้ใหม่ โดยนำไปตั้งเป็นชื่อวัด อันควรแก่นามสิริมงคลเท่านั้น
ดังนั้นหากชื่อวัดอไภยทารามไม่ได้ตั้งตามพระนามเจ้าฟ้าเหม็นแล้ว ชื่อวัดแห่งนี้ย่อมจะมีนัยยะอย่างใดอย่างหนึ่งแอบแฝงไว้หรือไม่?
@@@@@@@
แผนการ “ตา” ปกป้องหลาน
เมื่อเริ่มมีการลงมือปฏิสังขรณ์วัดนั้นตกอยู่ในปีพุทธศักราช 2341 ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ มีพระชนมพรรษามากแล้วถึง 62 พรรษา แม้จะไม่ถึงเกณฑ์ชรามากนัก แต่ก็ไม่สามารถประมาทได้ ด้วยเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่าง “วังหน้า” และ “วังหลวง” ยังคงมีแฝงอยู่ตลอดรัชกาล
ซึ่งต่อมาอีกเพียง 10 ปีหลังจากการปฏิสังขรณ์วัด ก็สิ้นรัชกาลที่ 1 ด้วยพระชนมพรรษา 72 พรรษา จึงเป็นไปได้ว่าการที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงเห็นชอบให้ปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้อย่างยิ่งใหญ่ เพราะมีพระราชประสงค์มากไปกว่าการสร้างวัดเพื่อการกุศลเท่านั้น
ย้อนกลับไปเมื่อปีมะโรง พุทธศักราช 2334 เกิดเหตุใหญ่ขึ้นที่เรียกว่า “วิกฤตวังหน้า” ถึงขั้นที่กรมพระราชวังบวรฯ ไม่เสด็จลงเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 เหมือนอย่างเคย เหตุจากความหวาดระแวงที่สะสมกันเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อมีพิธีตรุษ วังหลวงได้ลากปืนใหญ่ขึ้นป้อมเล็งตรงมายังวังหน้า กรมพระราชวังบวรฯ เห็นว่าวังหลวงอาจจะมีประสงค์ร้าย ก็มีรับสั่งให้คนไปสืบความ ครั้นได้ความว่า ปืนนั้นเพื่อการพิธีตรุษ ก็ทรงคลายพระพิโรธลง เหตุการณ์ครั้งนี้หมิ่นเหม่ถึงขั้นที่จะเกิดศึกกลางเมือง ตามที่ปรากฏอยู่ในนิพานวังน่า ดังนี้
เพราะพระปิ่นดำรงบวรสถาน กระหึ่มหาญทุนเหี้ยมกระหยับย่ำ เหมือนจะวางกลางเมืองเมื่อเคืองคำ พิโรธร่ำดั่งจะรุดเข้าโรมรัน ครั้นทรงทราบว่าพระจอมบิตุลา ให้พลกัมพูชาลากปืนขัน ประจุป้อมล้อมราชวังจันทร์ จึงมีบันฑูรสั่งให้สืบความ
ตรัสให้มาตุรงค์ตรงรับสั่ง มิไปฟังราชกิจก็คิดขาม มาสืบเรื่องพระไม่ปลงจะสงคราม ก็ประณามทูลบาทไม่พาดพิง ว่าคำขอมน้อมพจมานสาร ไม่หาญเสน่หาพระนุชยิ่ง แต่พิธีตรุศยืนลากปืนจริง ยังนึกกิ่งกริ้วนั้นพอบันเทา
ยังมีเหตุการณ์ใหญ่อีกครั้งหนึ่งอันเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพี่น้องสองวัง คือในปีพุทธศักราช 2338 หลังการถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิ สมเด็จพระชนกนาถ เมื่อวังหน้า “ลักไก่” ซ่อนฝีพายฝีมือจัดไว้ในงานแข่งขันเรือพาย ฝ่ายข้าราชการวังหลวงทราบเข้าก็ถวายรายงานให้พระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ จึงมีพระราชดำรัสว่า เล่นดังนี้จะเล่นด้วยที่ไหนได้ และทรงให้เลิกการแข่งเรือระหว่างสองวังตั้งแต่นั้นมา เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้กรมพระราชวังบวรฯ ไม่เสด็จลงเฝ้าอีกเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ข้อบาดหมางหวาดระแวงยังเกิดขึ้นอีกหลายเรื่อง รวมไปถึงการที่กรมพระราชวังบวรฯ ทรงกราบทูลขอพระราชทานเบี้ยหวัดเพิ่ม สำหรับแจกจ่ายข้าราชการ แต่ก็ทรงถูกปฏิเสธ
แม้ว่าการกระทบกระทั่งกันอยู่เนืองๆ เช่นนี้ ที่ไม่ถึงขั้นตัดรอนขาดจากกัน ก็เพราะมีสมเด็จพระพี่นางทั้ง 2 พระองค์ทรงเป็น “กาวใจ” ประสานความแตกร้าวนี้อยู่เสมอ
อย่างไรก็ดีเหตุการณ์สุดท้ายที่เป็นหลักฐานว่า พี่น้องสองวังนี้ยังคง “คาใจ” กันอยู่จนวาระสุดท้าย เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เสด็จมาทรงเยี่ยมพระอาการประชวรของกรมพระราชวังบวรฯ ก็ยังมีเหตุการณ์กระทบกระทั่งของทหารรักษาพระองค์ทั้ง 2 วัง จนกระทั่งกรมพระราชวังบวรฯ ได้ทรงแสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อมีพระราชปรารภในช่วงปลายพระชนมายุ ที่ทรงห่วงวังหน้าและลูกหลานวังหน้า เกรงว่าจะถูกเบียดเบียนจากวังหลวง
“ของใหญ่ของโตดีดีของกูสร้าง ใครไม่ได้ช่วยเข้าทุนอุดหนุนให้แรง กูสร้างขึ้นด้วยกำลังข้าเจ้าบ่าวนายของกูเอง นานไปใครมิใช่ลูกกู ถ้ามาเป็นเจ้าของเข้าครอบครอง ขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข” (ประชุมพงศาวดารภาคที่ 13, คุรุสภา, 2507, น. 47)
แน่นอนว่าไม่ใช่แต่เพียงวังหน้าเคืองวังหลวงเท่านั้น เหตุการณ์ “กบฏวังหน้า” ก็ทำให้วังหลวงเคืองวังหน้าด้วยเช่นกัน ถึงขั้นตัดรอนไม่เผาผีกัน
“รักลูกยิ่งกว่าแผ่นดิน ให้สติปัญญาให้ลูกกำเริบจนคิดประทุษร้ายต่อแผ่นดิน เพราะผู้ใหญ่ไม่ดีจะไม่เผาผีแล้ว” (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์, กรมศิลปากร, 2531, น. 95)
เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างวังหลวงกับวังหน้านี้ ย่อมส่งผลทางตรงต่อสวัสดิภาพของเจ้าฟ้าเหม็นโดยตรง หากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เสด็จสวรรคตเสียก่อนกรมพระราชวังบวรฯ เนื่องจากกรมพระราชวังบวรฯ ทรงเป็นผู้ถวายคำแนะนำให้ “กำจัด” เจ้าฟ้าเหม็นเมื่อคราวปราบดาภิเษก ทรงเป็นเจ้าของวรรคทองที่ว่า “ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก” นั่นเอง
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังฯ เสด็จลงมาเฝ้า กราบทูลว่าบรรดาบุตรชายน้อยๆ ของเจ้าตากสินจะรับพระราชทานเอาไปใส่เรือล่มน้ำเสียให้สิ้น คำบุราณกล่าวไว้ ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่ จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า” (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา, คลังวิทยา, 2516, น. 460)
แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วถึง 19 ปี แต่ต้องยอมรับว่าไม่มีใครลืมความเป็น “ลูกเจ้าตาก” ของเจ้าฟ้าเหม็นได้ ซึ่งต้องทรงแบก “แอก” นี้ ไว้จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต
ย้อนหลังไป 2 ปี ก่อนที่พระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงผูกพัทธสีมาที่วัดอไภยทาราม สมเด็จพระพี่นางทั้ง 2 พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ลงในปีเดียวกัน โดยเฉพาะกรมสมเด็จ พระเทพสุดาวดี พระพี่นางพระองค์ใหญ่ ที่ทรงชุบเลี้ยงเจ้าฟ้าเหม็นแทนพระมารดามาแต่ประสูติ เท่ากับร่มโพธิ์ร่มไทรหรือเกราะป้องกันภัยของเจ้าฟ้าเหม็นได้สิ้นลงไปด้วย เหลือแต่เพียง “คุณตา” พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ อีกเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
การที่ “พระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์” จะเสด็จพระราชดำเนินพร้อมกันได้นั้น ตามที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารมักจะเป็น “งานยักษ์” เช่น ในงานพระศพสมเด็จพระพี่นาง (พ.ศ. 2342) หรือในงานฉลองวัดพระเชตุพนฯ ปีเดียวกับที่เสด็จวัดอไภยทาราม ดังนั้นการที่พระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาบำเพ็ญพระกุศลพร้อมกันที่ “วัดบ้านนอก” ของ “ลูกเจ้าตาก” จึงไม่ใช่เรื่องปรกติในเวลานั้น
@@@@@@@
วัดอไภย คือวัดไม่มีภัย
คำว่า อไภย พจนานุกรมฉบับหมอบรัดเลย์เริ่มทำขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แปลไว้ว่า ไม่มีไภย, เช่นคนอยู่ปราศจากไภย มีราชไภย เปนต้นนั้น. พจนานุกรมฉบับหมอคาสเวลในสมัยรัชกาลที่ 3 แปลว่า อะไภย นั้นคือขอโทษ เหมือนคำพูดว่าข้าขออไภยโทษเถิด ส่วนพจนานุกรมสมัยใหม่ฉบับมติชนแปลว่า ยกโทษให้ไม่เอาผิด และพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า ยกโทษให้, ความไม่มีภัย
จากความหมายของชื่อวัดดังกล่าวนี้ กับการที่กรมพระราชวังบวรฯ ผู้ที่ทรงเคยสังฆ่าเจ้าฟ้าเหม็น โดยเสด็จฯ มายังวัดแห่งนี้พร้อมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ มายัง “วัดอไภย” ซึ่งไม่ใช่ตั้งตามพระนามของเจ้าฟ้าเหม็นนี้ ย่อมมีนัยยะแห่งการ “สมานฉันท์” ระหว่างกรมพระราชวังบวรฯ กับเจ้าฟ้าเหม็น ประการหนึ่ง และอาจหมายรวมถึงการ “ยกโทษ” หรือ “ขอโทษ” แก่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไปด้วยในเวลาเดียวกัน
จะเห็นได้ว่าวัดอไภยทาราม เมื่อแรกปฏิสังขรณ์ นั้นไม่ใช่แค่การ “สร้างวัดให้หลานเล่น” แน่ แต่เป็นการสร้างขึ้นอย่างจริงจัง มีเสนาสนะครบบริบูรณ์อย่างวัดหลวง มีพระอุโบสถ เจดีย์ใหญ่ ลวดลายจิตรกรรมวิจิตรบรรเจิด มีการเกณฑ์ไพร่มาทำงานนับพันคน นิมนต์พระสงฆ์เกือบ 2,000 รูป มีงานฉลอง การละเล่น ละคร ของหลวง 7 วัน 7 คืน สิ่งเหล่านี้คงไม่ได้สะท้อนเพียงเพราะองค์ผู้ปฏิสังขรณ์เป็น “เจ้าฟ้า” หรือ “หลานรัก” เท่านั้น แต่สิ่งอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ล้วนแต่เหมาะสม กับการยกโทษหรือขอโทษ สำหรับราชภัยในอดีต
อย่างไรก็ดีเมื่อวัดนี้สร้างเสร็จจนมีงานฉลองในปีพุทธศักราช 2349 นั้น กรมพระราชวังบวรฯ ก็ทิวงคตไปก่อนหน้าแล้วในปีพุทธศักราช 2346 แผนการสมานฉันท์จึงไม่จำเป็นอีกต่อไป และวัดอไภยทารามก็ไม่สามารถคุ้มครองเจ้าฟ้าเหม็นได้ตามพระราชประสงค์ความพยายามที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ในการปกป้องหลานรักจบลงเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต
เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน เจ้าฟ้าเหม็นก็ถูกสำเร็จโทษสิ้นพระชนม์ในต้นรัชกาลที่ 2 แห่งพระราชวงศ์จักรี
อ่านเพิ่มเติม :-
• 13 กันยายน 2352 วันสิ้นพระชนม์ “เจ้าฟ้าเหม็น” โอรสพระเจ้าตาก • เจ้านายผู้เป็น “ลูกกษัตริย์-หลานกษัตริย์” กลับมีพระนามอัปมงคลขอขอบคุณ :- ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2549 ผู้เขียน : ปรามินทร์ เครือทอง เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 16 กันยายน 2565 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_93185
|
|
|
84
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เศรษฐกิจสายมู ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ส่งออก ‘พระเครื่อง’ ไกลถึง ‘จีน’
|
เมื่อ: เมษายน 22, 2024, 05:42:51 am
|
. เศรษฐกิจสายมู ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ส่งออก ‘พระเครื่อง’ ไกลถึง ‘จีน’“พระเครื่อง” และจักรวาลแห่งความเชื่อในวงการพุธศาสนาไทยกำลังแสดงมนต์ขลังด้วยการเป็น “ซอฟต์พาวเวอร์ไทย” เพราะดารานักแสดงทั่วโลกให้ความสนใจ แบบที่ไม่ต้องโปรโมท และกำลังกลายเป็นเศรษฐกิจสายมูที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
หรือ "ซอฟต์พาวเวอร์ไทย" จะมาในรูปแบบ "พระเครื่อง" เพราะกำลังดังไกลถึงจีน ถึงขั้นที่ดารานักแสดงชื่อดังในจีนให้ความสนใจแบบไม่ต้องโปรโมท จนพลังศรัทธาใน “พุทธคุณ” และ "ความเชื่อเรื่องมูเตลู" ทำให้เกิดการเช่าบูชาพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง จนกลายเป็น "เศรษฐกิจสายมู" ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในแง่มุมของการท่องเที่ยวและพุธพาณิชย์ที่มีมูลค่านับหมื่นล้านบาท
@@@@@@@
• “พระเครื่อง” สินค้าส่งออกที่ไม่ธรรมดา
“พระเครื่อง” ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุมงคลที่ผู้คนเคารพสักการะ แต่ในปัจจุบันนี้ปฎิเสธไม่ได้ว่ากลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง ตลาดพระเครื่องในประเทศไทยมีมูลค่าการเช่าพระ (ซื้อขาย) หมุนเวียนปีละหลายหมื่นล้านบาท และกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยว “ชาวจีน” ที่มีที่มีความเลื่อมใสในพุทธคุณและนิยมสะสมพระเครื่อง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินไว้ในปี 2562 คาดว่าตลาดพระเครื่องในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 1.7-2.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดจากการจำหน่ายให้กับเฉพาะคนไทยที่ยังไม่นับรวมที่จำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือการส่งออกไปต่างประเทศ
@@@@@@@
• จากความเชื่อและศรัทธา ต่อมากลายเป็นธุรกิจ
โทมัส แพตตัน นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยซิตี้ เผยว่าเริ่มเห็นร้านค้าเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังในฮ่องกงครั้งแรกในปี 2551 และ 2552 ซึ่งชาวฮ่องกงที่หลงใหลในโลกแห่งเครื่องรางมากที่สุด และเวทมนตร์ของไทยเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ คือชนชั้นแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกในปี 2551
ขณะเดียวกัน “เปรมวดี อมราภรณ์พิสุทธิ์” หรือ “บีบี” แม่ค้าคนไทยไลฟ์สดขายสินค้าไทยไปประเทศจีนใน ผ่าน Tiktok จีน หรือ โต่วอิน เผยว่าแต่เดิมทีชาวจีน ไม่ว่าจีนแผ่นดินใหญ่หรือจีนไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า รวมทั้ง มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ล้วนมีความเชื่อและความศรัทธา ที่ต้องการบูชาพระพุทธคุณในเรื่องโชคลาภเป็นทุนเดิม แต่พระเครื่องกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นเมื่อดาราจีนและฮ่องกงออกงานพร้อมกับสวมใส่ “พระเครื่อง” แทนเครื่องประดับ
เริ่มต้นจากดาราฮ่องกงอย่าง “เฉิน หลง” ใส่พระเครื่องในการแสดงหนัง รวมทั้งฉากบู้อยู่หลายครั้ง จนเกิดอุบัติเหตุระหว่างการถ่ายทำแต่ไม่มีการบาดเจ็บทำให้คนทั้งกองถ่ายแปลกใจจนให้ความสนใจกับพระเครื่องที่อยู่บนคอของเฉิน หลง คือ หลวงพ่อแพร วัดพิกุลทอง “ หรือ"จาง ป๋อ จือ" นักแสดงหญิงชาวจีน เดินทางมาเมืองไทยและตัดสินใจเช่าพระเครื่ององค์หนึ่งด้วยเงิน 150,000 ดอลลาร์ฮ่องกงฯ รวมทั้งเลี้ยง “กุมารทอง”เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ฉินเฟิน” ไอดอลหนุ่มชาวจีน ร่วมเดินพรมแดงในเทศกาลหนังเมืองคานส์ใส่เลสหลวงพ่อรวยกับสูทสีดำ
โดย“หลวงพ่อรวย” เป็นพระเครื่องได้รับความนิยมจากชาวจีนมากเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งมีพุทธคุณช่วยเสริมความมั่งคั่ง ร่ำรวย เห็นผลกลับมามีชื่อเสียงโด่งดังอีกครั้ง ทำให้ชาวจีนหลั่งไหลกันมาที่วัดตะโก วัดชื่อดังแห่งอำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อกราบไหว้ หลวงพ่อรวยพระเกจิอาจารย์แห่งกรุงเก่าที่เด่นดังด้านมหาลาภ เมตตามหานิยม และแคล้วคลาดปลอดภัย
“คนจีน” มีความสนใจพระเครื่องที่มีพุธทคุณ “เรียกทรัพย์ ร่ำรวย ค้าขาย การพนัน” นิยมเล่น พระปิดตาเงินล้าน หลวงปู่โต๊ะ เซียนแปะ พระกริ่ง หลวงพ่อรวย วานรสี่หูห้าตา ยี่กอฮง และหลวงปู่ทิม
“ยีนส์ เมืองนนท์” เซียนพระในห้างสรรพสินค้าในนนทบุรี เปิดเผยกับทางกรุงเทพธุรกิจว่า ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาสอบถามพระเครื่องรวมทั้งเครื่องรางของขลังของคนไทยเป็นจำนวนมากทั้งหน้าร้านและช่องทางออนไลน์ ซึ่งมีสัดส่วนเทียบเท่ากับลูกค้าชาวไทย แม้ว่าจะไม่มีความชำนาญด้านการส่องพระแท้ หรือปลอม แต่มีความเชื่อใจผู้ประกอบการชาวไทยเพราะการมีใบรับรองพระแท้
หลายครั้งลูกค้าชาวจีนเปิดเผยโดยตรงว่าเป็นการนำพระเครื่องจากประเทศไทยไปปล่อยเช่าต่อในประเทศจีน พร้อมทั้งเผยว่าชาวจีนมีความนิยมและมีความต้องการพระเครื่องไทยอย่างมาก แต่ถือว่ายังน้อยหากเทียบกับสัดส่วนประชากรในประเทศที่มีมากถึงพันกว่าล้านคน
@@@@@@@
• จักรวาลความเชื่อ=ซอฟต์พาวเวอร์ไทย
สิ่งทีี่น่าสนใจ ถ้าหากชาวจีนกำลังจะกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ของตลาดพระเครื่องไทย 3 สิ่งสำคัญที่สะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจน คือ
1. การขยายตลาดพระเครื่องไทยให้ใหญ่ขึ้น เพราะในปัจจุบันตลาดพระเครื่องไทยใหญ่ที่สุดในเอเชีย
2. จีนมีกำลังซื้อ สู้ราคาและต้องการจำนวน ทำให้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเพียงแค่พระเก่าแก่อายุหลายร้อยปีเท่านั้น
3. พระไทย ต้องมาซื้อที่ไทยซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการท่องเที่ยวและเม็ดเงินที่หมุนเวียนในเศรษฐกิจมูเตลู
ไม่เพียงพระเครื่องเท่านั้นที่กำลังกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ไทย แต่จักรวาลความเชื่อที่เกิดขึ้นในวงการพุทธศาสนากำลังแสดงมนต์ขลังแบบที่ไม่ต้องโปรโมท เช่น ดารานักแสดงระดับโลกอย่าง "แองเจลินา โจลี" และ "แบรด พิตต์" รวมถึง “ฟาบิโอ คันนาวาโร” อดีตกองหลังทีมชาติอิตาลี ต่างหลงใหลการ“สักยันต์”ของอาจารย์หนู กันภัย หรือ “เอ็ด ชีแรน” นักร้องดังชาวอังกฤษ ได้สักยันต์กับอาจารย์เหน่งระหว่างมาทัวร์คอนเสิร์ตที่ไทยขอขอบคุณ :- อ้างอิง : scmp อายุน้อยร้อยล้าน URL : https://www.bangkokbiznews.com/world/112307621 เม.ย. 2024 ,เวลา 11:37 น.
|
|
|
86
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 วิธีสร้างรายได้บนโลกออนไลน์ด้วย AI ในปี 2024
|
เมื่อ: เมษายน 21, 2024, 05:51:01 am
|
. 5 วิธีสร้างรายได้บนโลกออนไลน์ด้วย AI ในปี 2024เผยแนวทางการสร้างรายได้ และอาชีพบนโลกออนไลน์ด้วย Generative AI ของคนรุ่นใหม่ในปี 2024 นี้
AI ปัญญาประดิษฐ์ หนึ่งในเทคโนโลยีที่เข้ามาปรับพฤติกรรมของมนุษย์ และพลิกโฉมการใช้ชีวิต และการทำงานของเราในเกือบทุกด้าน ตั้งแต่การสื่อสารทางการทำงาน และธุรกิจที่เป็นลายลักษณ์อักษร การดำเนินการทางการตลาด การบริการลูกค้า การเป็นเจ้าภาพการประชุม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการดำเนินการวิจัยตลาด AI ที่ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามามีอิทธิพลอย่างแท้จริง
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับ Generative AI คือ มีการนำ AI มาใช้กันอย่างรวดเร็ว แถมยังมากไปด้วยศักยภาพ แม้ว่าจะมีความรู้ทางเทคโนโลยีที่จำกัดก็ตาม แต่ก็สามารถนำอาชีพมาประยุกต์ใช้กับ AI ได้อย่างลงตัว จนมีการพัฒนา และเพิ่มรายได้อย่างมีนัยสำคัญ
Generative AI มีความสามารถที่เกือบจะเหมือนมนุษย์ ที่ทำให้สามารถทำงานต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาอันสั้นกว่าปกติ และ ลดระยะเวลาแถมยังประหยัดเงินได้ในขณะเดียวกันปัจจุบันมี Generative AI ที่มีความสามารถที่หลากหลาย และเฉพาะตัว ทำให้เกิดการนำไปสร้างรายได้ เริ่มสิ่งใหม่ๆ เช่น การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ทั้งหมดนั้นไม่เพียงเป็นไปได้เท่านั้น แต่ยังง่ายกว่าเดิมมากขึ้นอีกด้วยในโลกออนไลน์
AI ช่วยให้คุณสร้างรายได้ออนไลน์ได้ ที่ผู้คนนิยมใช้กันเลย คือ การใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ เพื่อรับรายได้ทางที่สอง เช่น หากคุณเป็นบล็อกเกอร์อยู่แล้ว ก็จะสามารถใช้เครื่องมือ AI เพื่อช่วยในสร้างไอเดียเนื้อหาใหม่ๆ และแนะนำวิธีการใหม่ๆ ในการขยายการเข้าถึงไปยังผู้ชมในวงกว้างขึ้น ปรับปรุง SEO และการจัดอันดับบน Google หรือ สามารถนำ AI ไปสร้างแหล่งรายได้ใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการหาไอเดียแนวคิดการเริ่มต้นธุรกิจ และแผนธุรกิจที่ครบครัน
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงแค่ประโยชน์เล็กๆ ของ Generative AI เท่านั้นซึ่งสามารถใช้นำมาต่อยอดเพื่อเป็นประโยชน์ในการสร้างรายได้ในอนาคตที่เพิ่มมากขึ้น ตามข้อดังกล่าวด้านล่างต่อไปนี้ • สร้าง AI Chatbot
หนึ่งในทักษะสำคัญสำหรับการสร้างรายได้บนโลกออนไลน์ หากมีทักษะการเขียนโปรแกรม และการเขียนโค้ดที่ดี ก็อาจสามารถสร้างรายได้ผ่านความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแชตบอตที่ออกแบบตามความต้องการสำหรับธุรกิจ เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการภายใน เช่น สำหรับการแบ่งปันความรู้สำหรับพนักงาน
นอกจากนี้สำหรับการขาย และการบริการลูกค้า ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ AI Chatbot นี้ก็สามารถเป็นตัวช่วยในการสรรหาคำต่างๆ เพื่อมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มยอดการขาย และกำไรได้
• ใช้ AI เพื่อสร้างหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ เป็นวิธีที่ดีในการสร้างรายได้เป็นงานเสริม แต่จะดียิ่งขึ้นไปอีกเมื่อใช้ AI เพื่อช่วยเร่งกระบวนการหลักสูตรได้เช่นกัน โดยอัลกอริทึมต่างๆ จาก AI จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ในกระบวนการที่ต้องใช้เวลานานอย่างเช่น ขั้นตอนการวิจัยตลาดในการพัฒนาเนื้อหาของหลักสูตร
นอกจากนี้เครื่องมือ AI เชิงสร้างสรรค์ บางอย่างยังสามารถช่วยวางแผนโครงร่าง และโครงสร้างทั้งหมดของเนื้อหา พร้อมด้วยคำถามและกิจกรรมการอภิปราย และยังสามารถใช้เครื่องมือ AI เพื่อสร้างการประเมินหลักสูตรได้ภายในไม่กี่นาที โดยที่ไม่ต้องสร้างแบบทดสอบ และแบบทดสอบด้วยตนเอง • ใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์
ปัจจุบันการใช้ AI เพื่อประเมิน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของตัวเองเป็นสิ่งที่นิยมทำกันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการสร้างรายได้โดยการนำ AI มาพัฒนา เพิ่มทางเลือก และแก้ไขสินค้า ให้ตรงความต้องการของตลาดเพื่อปิดการขาย นอกจากนี้ยังสามารถนำ AI ไปออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับกลุ่มลูกค้า ธีมของสินค้า เป็นต้น
• การให้คำปรึกษาด้าน AI
AI เป็นเทคโนโลยีนี้ค่อนข้างใหม่ จึงยังคงมีธุรกิจต่างๆ ที่กำลังต้องการการแนะนำ รู้ผู้ที่มีความรู้เพื่อนำมาบูรณาการ และนำปัญญาประดิษฐ์ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง หากตนเองมีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญในการใช้ AI มาบ้าง ก็จะสามารถนำไปต่อยอด ที่นอกจากการทำการตลาดด้วย AI ของตัวเองแล้ว ยังสามารถนำความรู้ที่มีไปเป็นอาวุธเสริมในฐานะที่ปรึกษา AI ที่เข้าไปช่วยปรับแต่งบริการ และเพิ่มทางเลือกในการบูรณาการ ปรับใช้ AI ให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของบริษัทนั้นๆ ได้ เพื่อเป็นหนึ่งในอาชีพเสริมที่ใข้ประสบการณ์ได้อีกทางหนึ่ง
• ใช้ AI บนงานกราฟิก
หนึ่งในสิ่งที่ AI สามารถช่วยออกแบบไอเดีย หรือแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องภาพ และกราฟิกในเวลาที่เร่งรีบ เพื่องานการตลาดดิจิทัล หรือโซเชียลมีเดีย AI นี้เองสามารถช่วยคุณออกแบบกราฟิกสำหรับโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ และโฆษณาได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้หากทำงานเกี่ยวกับศิลปะ ก็สามารถนำมายึดเป็นแนวทาง และแรงบันดาลใจได้ไวมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ AI ลดกระบวนการรวบรวมข้อมูล ซึ่งจะทำให้ระยะการทำงานนั้นสั้นลง และเกิดกระบวนการสร้างสรรค์ที่ง่ายมากขึ้น เพื่อที่จะนำชิ้นงานต่างๆ ไปต่อยอด เพื่อสร้างกำไรได้ในลำดับถัดไปThank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/277948419 เม.ย. 2567 18:22 น. | ไลฟ์สไตล์ > ไลฟ์ > ไทยรัฐออนไลน์ ข้อมูล : forbes | ภาพ : istock
|
|
|
87
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 เพชรคำสอน...2 มหาบุรุษ...1 ครูผู้ถ่อมตน.!
|
เมื่อ: เมษายน 21, 2024, 05:26:54 am
|
. 5 เพชรคำสอน...2 มหาบุรุษ...1 ครูผู้ถ่อมตน.!เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์ กับ 5 คำสอนดั่งเพชรในชีวิต จาก 2 มหาบุรุษ และ 1 ครูผู้ถ่อมตน
นับตั้งแต่การกำเนิดของมนุษย์ยุคใหม่โฮโมเซเปียนส์คนแรกๆ ตามทฤษฎีแม่อีฟ เมื่อประมาณสอง-สามแสนปีมาแล้วในแอฟริกา ถึงวันนี้ มนุษย์โฮโมเซเปียนส์กำเนิดขึ้นมาแล้วประมาณหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นเจ็ดพันล้านคน...
แต่มีมนุษย์เพียงไม่กี่คน ที่ได้รับการยกย่องเป็น “มหาบุรุษ” และก็มีมนุษย์อีกจำนวนหนึ่งมากกว่ามหาบุรุษ ที่ได้รับการยกย่องเป็น “ครู” แต่ก็ลดจำนวนลงไปอีก เมื่อจำเพาะลงไปที่ “ครูผู้ถ่อมตน”
“เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์” วันนี้ ขอนำท่านผู้อ่านไปสัมผัสกับ “5 เพชรคำสอน” ของ “มหาบุรุษ” และ “ครูผู้ถ่อมตน” เพียง 3 คน... 2 คนเป็นมหาบุรุษ คือ พระเยซูคริสต์ และ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีก 1 คนเป็นครู คือ ขงจื๊อ
เชื่อว่าหลายท่านที่เห็นชื่อ 2 มหาบุรุษ และ 1 ครูผู้ถ่อมตน ก็จะนึกถึงเรื่องของศาสนาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ไม่ผิด เพราะบุคคลทั้งสามที่ผู้เขียนยกมากล่าวถึง ทั้งพระเยซูคริสต์และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธ ส่วนขงจื๊อก็ได้รับการกล่าวถึงในฐานะเป็นศาสดาของศาสนาขงจื๊อ...
ผู้เขียนจึงขอรีบเรียนท่านผู้อ่านว่า เรื่องของเราวันนี้ มิใช่เรื่องการลงลึกถึงหลักศาสนาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เพราะผู้เขียนไม่มีความรู้มากพอที่จะให้กับท่านผู้อ่านได้...แต่ที่เป็นความตั้งใจของผู้เขียน คือ แบ่งปันสิ่งที่ผู้เขียนได้เก็บเกี่ยว และได้อาศัยเป็นเข็มทิศวิเศษนำทางชีวิตตลอดมา
@@@@@@@
2 เพชรคำสอนของพระเยซูคริสต์
ผู้เขียนมิใช่ชาวคริสต์โดยกำเนิดและการประกาศตน แต่ผู้เขียนโชคดีที่มีเพื่อนชาวคริสต์หลายคน ทั้งที่เป็นชาวคริสต์ตั้งแต่เกิด คนไทยที่หันมานับถือศาสนาคริสต์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาประมาณเจ็ดปีครึ่ง (ระหว่างปี ค.ศ. 1962-1970) ที่มหาวิทยาลัยโมนาช กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย และประมาณสี่เดือนเศษ (ระหว่างเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1973-มกราคม ค.ศ. 1974) ที่มหาวิทยาลัยอุปซาลา (Uppsala University) เมืองอุปซาลา ประเทศสวีเดน ซึ่งทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาสทั้งเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดกับนักศึกษา, อาจารย์ และบาทหลวง ลงลึกในเรื่องของศาสนาคริสต์ (และเรื่องของศาสนาพุทธเปรียบเทียบกับศาสนาคริสต์และศาสนาอื่นๆ ของโลก)
คริสต์ศักราช หรือ ค.ศ. เริ่มต้นจากปีประสูติของพระเยซูคริสต์ ถึงปัจจุบันก็เป็น ค.ศ. 2024 แต่รากเหง้าของศาสนาคริสต์ย้อนหลังไปถึงศาสนายิวกับผู้นำคนสำคัญ ดังเช่น โมเสส ผู้ได้รับบัญญัติ 10 ประการ สลักบนแผ่นหินสองแผ่น จากพระเจ้าบนเขาซีนาย เมื่อประมาณ 1,440 ปีก่อน ค.ศ. เพื่อให้ “ลูกหลานอิสราเอล” ยึดปฏิบัติให้พ้นวิถีแห่งบาป
น่าสนใจว่า ในบัญญัติ 10 ประการนั้น มีบัญญัติ 6 ข้อที่ตรงกับ “ศีล 5” ของศาสนาพุทธ คือ :- *ห้ามฆ่าคน *ห้ามผิดประเวณี (แยกละเอียดเป็น 2 ใน 10 ข้อ) *ห้ามลักขโมย *ห้ามพูดเท็จใส่ร้ายผู้อื่น *ห้ามโลภในทรัพย์สินของผู้อื่น แต่ที่มีอยู่ในศีล 5 โดยไม่มีในบัญญัติ 10 ประการ คือ ศีลข้อ 5 : ห้ามดื่มสุรายาเมา
ศาสนาคริสต์ในปัจจุบัน เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก คือ ประมาณ 31% ตามด้วยอันดับสอง ศาสนาอิสลาม ประมาณ 25% กลุ่มผู้ไม่ประกาศตนว่านับถือศาสนาอะไร ประมาณ 16% ศาสนาฮินดู ประมาณ 15% และศาสนาพุทธเป็นอันดับห้า มีผู้นับถือทั่วโลกประมาณ 7%
ถึงแม้ศาสนาคริสต์ในปัจจุบัน จะแบ่งเป็นนิกายต่างๆ หลายนิกาย แต่หลักใหญ่ของศาสนาคริสต์ล้วนตรงกัน กล่าวคือ ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแห่งความรัก...
ความรักที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเฉพาะความรักระหว่างชายกับหญิง และเพชรเม็ดงามแห่งคำสอนของพระเยซูคริสต์ ที่ผู้เขียนตกผลึกจากการเรียนรู้กับเพื่อนๆช าวคริสต์ ก็เป็นคำสอนเกี่ยวกับความรักเพชรเม็ดที่หนึ่ง : พระเจ้าจะอยู่กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์
เพชรเม็ดแรกแห่งคำสอนของพระเยซูคริสต์นี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมผัสมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก (ที่โคราช เมืองย่าโม) เพราะชอบไปร่วมในกิจกรรมเผยแผ่ศาสนาคริสต์ที่โบสถ์ศาสนาคริสต์ ที่จัดบ่อยหรือแทบเป็นประจำในวันอาทิตย์ โดยมีเด็กๆ และผู้ปกครอง รวมทั้งคนวัยหนุ่มสาวไปร่วมจำนวนมาก
ที่ผู้เขียนชอบไป มิใช่เป็นเพราะสนใจอยากเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ แต่เป็นเพราะบรรยากาศที่สนุกสนาน มีสีสัน มีการร้องเพลง มีการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ โดยไม่มีการชักชวนให้นับถือศาสนาคริสต์อย่างตรงๆ
ผู้เขียนชอบฟังเรื่องราวที่เหมือนกับ “นิทาน” อยู่แล้ว และในงานก็มี “ของกินมากมาย” แล้วก็ที่สำคัญและที่ผู้เขียนชอบมากเป็นพิเศษก็คือ การ์ดเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ แบบเดียวกับการ์ดคริสต์มาส เป็นภาพเขียนสวยงาม
จากการไปร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก นอกเหนือไปจากเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกติดอยู่ในสมองตั้งแต่นั้นมาก็คือ คำสอน...แบบเป็นคำกล่าวเล่าเรื่อง...ว่า พระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าอยู่ทุกหนแห่ง และอยู่กับทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า
อย่างไรก็ตาม คำสอนนี้สำหรับผู้เขียนก็ไม่ “ติดใจ” อะไรมากมายนักในช่วงวัยเด็ก และเป็นวัยรุ่น เพราะคิดว่าก็เป็นเพียงวิธีการชักชวนให้คนนับถือพระเจ้าของศาสนาคริสต์
ต่อๆ มา เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสศึกษาศาสนาคริสต์อย่างจริงจังมากขึ้น จนกระทั่งถึงวันนี้ ผู้เขียนจึงคิดว่าพอจะเข้าใจและนำมาแบ่งปันกับท่านผู้อ่านในวันนี้
ที่มาจริงๆ ของคำสอนนี้ เป็นหลักสำคัญของศาสนาคริสต์ ซึ่งกล่าวถึงความหมายและความสำคัญของ “พระเจ้า” ในฐานะเป็นพระเจ้าองค์เดียว จากพระเจ้า (พระบิดา), พระบุตร (พระเยซู) และพระจิต ตามหลักตรีเอกานุภาพ หรือ Trinity ของศาสนาคริสต์ (แตกต่างจากเทพเจ้าสามพระองค์ หรือ Trinity ของศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาฮินดู) ซึ่งรวมเป็น “พระเจ้าองค์เดียว” ของศาสนาคริสต์ และเป็น “พระเจ้าองค์เดียว” ที่รัก “ทุกคน” และจะอยู่กับ “ทุกคน” ที่เชื่อและรักพระองค์
ความวิเศษของคำสอนนี้สำหรับผู้เขียน คือ หลักคิดที่ “ทรงพลัง” อย่างที่สุดของมนุษย์ทุกคน ที่จะช่วยให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี และเผชิญกับปัญหาความทุกข์ยากทุกอย่างได้อย่างไม่ต้องโดดเดี่ยว เพียงขอให้ยึดมั่นหลักการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ถูกทาง ไม่ทุจริต ไม่คิดร้ายใคร เพราะพระเจ้าจะ “ทราบ” และจะช่วยให้ผ่านความทุกข์ยากทุกอย่างได้อย่างมีศักดิ์ศรี ในขณะเดียวกัน คนที่คิดร้าย คิดในทางทุจริต พระเจ้าก็จะทราบและจะถูกลงโทษเสมอ
อย่างเป็นรูปธรรม ตามความคิดของผู้เขียน คำสอนนี้บอกว่า “ความลับไม่มีในโลก ทุกคนรู้ตัวดีเสมอว่ากำลังคิด และทำอะไรอยู่ ยกเว้นคนเสียสติ หรือคนบ้า”เพชรเม็ดที่สอง : ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มอีกข้างให้เขาด้วย
เพชรเม็ดที่สองที่เป็นคำสอนของมหาบุรุษคือ พระเยซูคริสต์ มีที่มาชัดเจน เป็นพระวรสารบันทึกโดยมัทธิว (ข้อที่ 39 บทที่ 5 คือ มัทธิว 5:39) หนึ่งใน 12 สาวกผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งในสี่ของผู้ที่พระเยซูคริสต์ทรงเลือกให้เป็นผู้บันทึกคำสอนของพระองค์
มัทธิวเป็นชาวยิว ทำงานเป็นผู้เก็บภาษีชาวยิว ส่งให้จักรวรรดิโรมันมาก่อน ทำให้เขาเป็นที่เกลียดชังของชนชาวยิว วันหนึ่ง พระเยซูคริสต์ทรงเดินผ่านมา และก็ทรงเรียกมัทธิวให้ตามพระองค์ไป มัทธิวก็ลุกขึ้นออกจากโต๊ะที่กำลังทำงานเก็บภาษีอยู่ แล้วก็ตามพระเยซูคริสต์ไป ทำให้ชาวยิวไม่พอใจพระเยซูคริสต์ด้วย
คำสอนของพระเยซูคริสต์ข้อนี้ ผู้เขียนก็ได้ยินมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก จากการเข้าร่วมกิจกรรมวันอาทิตย์ที่โบสถ์คริสต์ แต่ก็ไม่ “ลึกซึ้ง” อะไรเลย จริงๆ แล้ว กลับรู้สึกหัวเราะ หึหึ ในใจ...
จนกระทั่งเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ใช้ชีวิตและทำงานอย่างเต็มตัว ได้พบผู้คนหลากหลายอุปนิสัยและพฤติกรรม ความเป็นเพชรของคำสอนที่สองนี้จึงเด่นชัดขึ้น...
และมาตกผลึกเป็นหนึ่งใน “12 ข้อคิดเพื่อร่างกายกับจิตใจ” เป็นบทสรุปสุดท้าย ข้อที่ 8 (เมตตาให้คนคิดร้าย) ในหนังสือ “ผ่ามิติจินตนาการ” ของผู้เขียน (ผ่ามิติจินตนาการ, ชัยวัฒน์ คุประตกุล, พาบุญมา, 2553 : รางวัลหนังสือดีเด่นประเภทสารคดีประจำปี พ.ศ. 2554 จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่รู้จักเรียกกันเป็น รางวัลหนังสืองานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ)
คำสอนของพระเยซูคริสต์ เพชรเม็ดที่สองนี้ สะท้อนความเป็น “ศาสนาแห่งความรัก” ของศาสนาคริสต์อย่างลึกซึ้ง และเพราะ “เมื่อเราถูกยั่วยุให้โกรธ ถ้าเราตอบโต้อย่าง...ตาต่อตา...ฟันต่อฟัน...ความเป็นสันติแห่งชีวิตก็จะหายไป แต่ถ้าเราตอบโต้ด้วย...ความรัก...ความมีเมตตา...การให้อภัย สมองและชีวิตของเราก็จะปลอดโปร่ง สามารถมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างแท้จริงได้"
@@@@@@@
2 เพชรคำสอนของพระพุทธเจ้า
ผู้เขียนก็เช่นเดียวกับชาวพุทธทุกคน ที่เห็นเพชรมากมายในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สำหรับการค้นหาเพชรคำสอนของพระพุทธเจ้าเพียงสองคำสอน ผู้เขียนยอมรับว่า ก็เป็นความมหัศจรรย์ที่เกิดกับผู้เขียนเอง ที่มองเห็นเพชรงามที่สุดสองเม็ดในสายตาของผู้เขียนอย่างไม่ยากเย็นเลย
ทำไม.? เพชรคำสอนสองเม็ดขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ผู้เขียนได้พบ คืออะไร.?เพชรเม็ดที่สาม : ตน...เป็นที่พึ่งแห่งตน
ผู้เขียนพบเพชรเม็ดที่สามเร็วพอๆ กับที่ได้ยินได้ฟังเรื่องของเพชรเม็ดที่หนึ่งและที่สอง แต่ไม่ต้องรอนาน จึงเห็นคุณค่าของเพชรเม็ดที่สาม
จริงๆ แล้ว ที่มาของการพบเพชรเม็ดที่สาม คือ การที่ผู้เขียนไม่สามารถจะหาซื้อหนังสือได้ตามใจชอบในช่วงสมัยเป็นเด็ก (ดู “ตามล่า...หาขุมทรัพย์ทางปัญญา”, เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์, ไทยรัฐออนไลน์, วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2566) ผู้เขียนจึง “อ่านแหลก” หนังสือในห้องสมุดและที่อื่นๆ รวมทั้งร้านกาแฟ และ “จดแหลก” ข้อมูลความรู้และความคิดดีๆ ของปราชญ์ และนักคิดชั้นยอดของโลก
เพชรเม็ดที่สามเป็นเพชรที่ชาวพุทธทุกคนรู้จักกันดี เพราะเป็นพุทธวจน “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ” แปลว่า “ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน” ที่คุ้นเคยกันดี แต่สำหรับผู้เขียน จำได้ว่า ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ได้ “พบ” และ “จด” พุทธวจนนี้ ก็รู้สึกว่าเป็นคำสอนที่ยิ่งใหญ่ ที่มีคุณค่า และผู้เขียนก็ได้พยายาม “ยึด” ตามพุทธวจนนี้...
และยิ่งเวลาผ่านไป ก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็น “เข็มทิศวิเศษ” นำทางชีวิต ให้สามารถมีชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและภาคภูมิใจได้จริง
อย่างแน่นอน การดำเนินชีวิตของมนุษย์แต่ละคน ล้วนต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่น การยึดมั่นในพุทธวจน อัตตา หิ อัตตโน นาโถ มิได้หมายความว่า มนุษย์ทุกคนจะสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่นเลย เพราะอย่างน้อย ทุกคนก็ต้องพึ่งพาคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่เกิด จนกระทั่งถึงวันเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ต้อง “รับผิดชอบตนเอง” เต็มที่...
แต่หมายความว่า ต้องมุ่งดำเนินชีวิตโดย “พึ่งตนเอง” เป็นหลัก ไม่แสวงหาผลประโยชน์ ความก้าวหน้าของหน้าที่การงาน โดยหวังพึ่งคนอื่นเพชรเม็ดที่สี่ : การเป็นหนี้ เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เพชรเม็ดที่สี่ที่ผู้เขียนนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านวันนี้ ก็คล้ายกับเพชรเม็ดที่สาม คือ เป็นพุทธวจน “อิณา ทานัง ทุกขัง โลเก” แปลตรงๆ คือ “การเป็นหนี้ เป็นทุกข์ในโลก” ที่ผู้เขียน “จด” จนขึ้นใจเป็น “การเป็นหนี้ เป็นทุกข์อย่างยิ่ง”
ที่มาของการค้นพบเพชรเม็ดนี้ สำหรับผู้เขียน ก็คล้ายกับกรณีของเพชรเม็ดที่สาม คือ พบตั้งแต่วัยเด็กที่ “อ่านแหลก” และ “จดแหลก” แล้วก็สะดุด (ชอบ) เมื่อพบพุทธวจนนี้
แต่ที่แตกต่างไปจากเพชรเม็ดที่สาม คือ ในขณะที่ความตระหนักในความเป็นเพชรของเม็ดที่สามค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ความเป็นเพชรของเม็ดที่สี่ “สว่างวาบ” ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และก็ไม่เคยลดความสว่างเลยถึงทุกวันนี้
อย่างตรงๆ เพชรเม็ดที่สี่ เป็นคำสอนที่ผู้เขียนยึดอย่างจริงจัง ตั้งแต่เด็ก...จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ อย่างไร.? เช่น :- *ไม่มี (เงิน) ก็ไม่ซื้อ (ทุกอย่าง) *ไม่มี (เงิน) ก็ไม่กิน (แล้วอยู่ได้หรือ? ผู้เขียนตอบได้เลยว่า อยู่ได้!) *ไม่อยากได้ อยากมี สิ่งที่ไม่ควรได้ ไม่ควรมี *ไม่รับของขวัญจากชาวกรีก (ดู “ระวัง...ของขวัญจากชาวกรีก!”, เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์, ไทยรัฐออนไลน์, วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2566)
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยอมรับว่า คำสอนอันเป็นเพชรเม็ดที่สี่นี้ ก็มีขีดจำกัดสำหรับการใช้ประโยชน์อย่างน้อยหนึ่งกรณี คือ นักธุรกิจ รวมทั้งนักลงทุน เพราะตามหลักธุรกิจและการลงทุน ย่อมจำเป็นจะต้องมีการระดมทุนหรือหาเงินทุน ซึ่งโดยปกติก็จำเป็นจะต้อง “กู้” (เป็นหนี้) ธนาคาร...
แต่สำหรับหลายอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการ ที่ทุ่มเทให้กับงานราชการอย่างสุจริต ถึงแม้จะไม่ร่ำรวยเป็นระดับเศรษฐีร้อยล้าน...พันล้าน...ได้ แต่ถ้าใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม ดังเช่นการยึดมั่นในคำสอนที่เป็นเพชรเม็ดที่สี่นี้ ผู้เขียนก็บอกอย่างมั่นใจได้ว่า...“จะไม่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็จะไม่จน!”เพชรเม็ดที่ห้า : ปัญญาเหมือนน้ำของขงจื๊อ
ขงจื๊อ เป็นหนึ่งในสองของ “ครู” หรือ “ปราชญ์” คนสำคัญของจีน คู่กับเหลาจื๊อ เป็น “เจ้า” ลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋าตามลำดับ
ขงจื๊อ มีประวัติชีวิตและคำสอนบันทึกชัดเจน ลัทธิหรือศาสนาขงจื๊อ เน้นความสัมพันธ์อันดีงามของทุกภาคส่วนของสังคม (ชนชั้นผู้ปกครอง, ประชาชน, ...) ที่จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม จารีตประเพณีอันดีงาม และการเคารพนับถือบรรพบุรุษ...
ส่วนเหลาจื๊อ มีประวัติที่บันทึกไว้จริงๆ น้อย แต่ชัดเจนในหลักของลัทธิหรือศาสนาเต๋า เน้นความสำคัญของการดำรงชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ ตาม “วิถีแห่งธรรมชาติ” (เต๋า หรือ Tao เป็นภาษาจีน แปลว่า วิถี หรือ way)
ขงจื๊อกับเหลาจื๊อ มีชีวิตร่วมสมัยกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยขงจื๊อเกิด 8 ปีก่อนการเสด็จสู่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ส่วนเหลาจื๊อมีอายุมากกว่าขงจื้อประมาณ 50 ปี
ขงจื๊อและเหลาจื๊อพบกันหนึ่งครั้ง โดยขงจื๊อเป็นฝ่ายเดินทางไปหาเหลาจื๊อ ขณะที่ขงจื๊อมีอายุประมาณ 35 ปี และเป็นอาจารย์ที่เริ่มมีชื่อเสียง มีสำนัก มีลูกศิษย์มากมาย
เพชรเม็ดที่ห้าที่ผู้เขียนคัดมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านเป็นคำตอบของขงจื๊อที่ตอบลูกศิษย์คนหนึ่ง ที่ถามว่า “อาจารย์เป็นครูมีชื่อเสียง มีความรู้ที่คนทั่วแผ่นดินยกย่อง แล้วทำไมอาจารย์จึงต้องเดินทางไกลไปหาเหลาจื๊ออีก?”
คำตอบของขงจื๊อคือ “สายน้ำที่ใสสะอาดก็เพราะน้ำไม่เคยหยุดไหล ถ้าน้ำหยุดนิ่ง น้ำใสก็จะกลายเป็นน้ำขุ่น นานๆ เข้าก็จะเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว”
เป็นคำตอบที่แสดงอย่างชัดเจนของคนมีความรู้ระดับคนเป็นครู เป็นปราชญ์ มีลูกศิษย์มากมาย แต่ก็ยัง “ถ่อมตน” ในความรู้ที่ตนมี และยังต้องแสวงหาความรู้ใหม่อยู่เสมอ
สำหรับผู้เขียน คำตอบของขงจื๊อต่อลูกศิษย์เป็นคำตอบที่ “เตือนสติ” ของผู้ใฝ่รู้ว่า ความรู้ไม่มีหยุดนิ่ง ถ้าไม่มุ่งหาความรู้ใหม่เสมอ ความรู้ที่มีอยู่ก็จะไร้ประโยชน์ เหมือนน้ำนิ่งที่กลายเป็นน้ำเสีย!
@@@@@@@
5 เพชรคำสอนของมหาบุรุษและครูผู้ถ่อมตนที่ผู้เขียนนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านวันนี้ มีเพชรเม็ดใดตรงกับของท่านผู้อ่านบ้างครับ...และตัวท่านผู้อ่านเอง มีเพชรคำสอนของ “ใคร” “อย่างไร” บ้างครับ?ขอขอบคุณ :- บทความโดย : ชัยวัฒน์ คุประตกุล นักสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ , เชื่อ คิดและทำ อย่างวิทยาศาสตร์ URL : https://www.thairath.co.th/scoop/world/277913920 เม.ย. 2567 09:03 น. | สกู๊ปไทยรัฐ > WORLD > ไทยรัฐออนไลน์
|
|
|
88
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สาธยายธรรม กับ สวดมนต์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร.?
|
เมื่อ: เมษายน 20, 2024, 07:51:53 am
|
. ขอบคุณภาพจาก : https://www.pinterest.ca/สาธยายธรรม กับ สวดมนต์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร.?สาธยายธรรมกับสวดมนต์ โดยทั่วไปสำหรับชาวพุทธ มีความหมายไม่ต่างกัน แต่ในรายละเอียด(โดยเฉพาะบาลี)มีความหมายต่างกัน ดังนี้ บาลีวันละคำ : สาธยายสาธยาย อ่านว่า สา-ทะ-ยาย และ สาด-ทะ-ยาย
บาลีเป็น “สชฺฌาย” อ่านว่า สัด-ชา-ยะ “สชฺฌาย” รากศัพท์มาจาก ส (มี, พร้อม, ของตน) + อธิ (ยิ่ง, ใหญ่, ทับ) อิ (ธาตุ = สวด, ศึกษา) + อ ปัจจัย, แปลง อธิ เป็น อชฺฌ, แปลง อิ เป็น ย, ทีฆะ (ยืดเสียง) อ (อะ) ที่ –ฌ เป็น อา : ส + อธิ > อชฺฌ = สชฺฌ + อิ > ย = สชฺฌย > สชฺฌาย แปลตามศัพท์ว่า “การสวดพร้อมหมดอย่างยิ่ง” “การศึกษาอย่างยิ่ง (ซึ่งมนตร์) ของตน”
“สชฺฌาย” หมายถึง การสาธยาย, การสวด, การท่อง (repetition, rehearsal study) “สชฺฌาย” สันสกฤตเป็น “สฺวาธฺยาย”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า (สะกดตามต้นฉบับ) “สฺวาธฺยาย : (คำนาม) การอัธยายมนตร์เงียบๆ หรือสังวัธยายมนตร์ในใจ ; เวทหรือพระเวท ; การอัธยายหรือศึกษาพระเวท ; inaudible reading or muttering of prayers ; the Vedas or scripture ; perusal or study of the Vedas.”
@@@@@@@
“สชฺฌาย” ในภาษาไทยใช้อิงรูปสันสกฤตเป็น “สาธยาย”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า “สาธยาย : (คำนาม) การท่อง, การสวด, การทบทวน, เช่น สาธยายมนต์, (ภาษาปาก) การชี้แจงแสดงเรื่อง เช่น สาธยายอยู่นั่นแหละ ไม่รู้จักจบเสียที. (ส. สฺวาธฺยาย; ป. สชฺฌาย).”
สชฺฌาย > สฺวาธฺยาย > สาธยาย หรือการท่องจำเป็นขั้นตอนแรกๆ ในกระบวนการศึกษาตามวัฒนธรรมของชาวชมพูทวีป คือขั้นการรับรู้และซึมซับข้อมูล ต่อจากนั้นไปจึงเป็นการวิเคราะห์ แยกแยะข้อมูล สังเคราะห์ ประมวลข้อมูล แล้วสรุปผลลงเป็นหลักวิชาแล้วนำไปใช้ตามประสงค์
และสุดท้ายก็วนกลับไปที่ “สาธยาย” อีก คือการทบทวนเพื่อมิให้ลืมเลือนกฎหรือสูตรของวิทยาการนั้นๆ รวมทั้งเป็นการสรุปความก้าวหน้าหรือข้อบกพร่องไปด้วยในตัว
@@@@@@@
ควรเข้าใจให้ตรงกัน
๑. นักคิดบางสำนักในบ้านเราโจมตีวิธีท่องจำว่าเป็นการสอนคนให้เป็นนกแก้วนกขุนทอง คิดอะไรไม่เป็น จึงสอนนักเรียนโดยไม่ให้มีการท่องจำ
๒. ตามธรรมชาติ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตประเภท “ปัญจโวการภพ” (ปัน-จะ-โว-กา-ระ-พบ) คือ มีองค์ประกอบ 5 ส่วน ได้แก่ (1) ร่างกาย (corporeality) (2) ความรู้สึก (feeling; sensation) (3) ความจำ (perception) (4) ความคิด (mental formations; volitional activities) (5) ความรู้เข้าใจ (consciousness)
๓. วิธีสาธยายหรือท่องจำเป็นการใช้งานตามธรรมชาติของชีวิต และเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งเท่านั้นของกระบวนการศึกษา ไม่ใช่ทั้งหมดของการศึกษา และไม่ใช่จบลงเพียงแค่ท่องจำ แต่ยังจะต้องส่งต่อไปยังความคิด ความรู้เข้าใจต่อไปอีก
๔. การจะให้เกิดผลคือจำข้อมูลได้ การ “สาธยาย-ท่องจำ” นับว่าเป็นวิธีตามธรรมชาติของมนุษย์สากล สำหรับมนุษย์ที่รังเกียจวิธีนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะคิดค้นวิธีอื่นได้อีก แต่จะไม่ให้มนุษย์ต้องจำอะไรเลยนั้นคือผิดธรรมชาติ
อุปมาอุปไมย
"การสาธยายเป็นกระบวนการเก็บข้อมูลความรู้ไว้ในสมอง เมื่อถึงเวลาต้องการ ก็เปิดออกมาใช้ได้ทันที ฉันใด การทำบุญก็เป็นกระบวนการเก็บเสบียงไว้ในใจ เมื่อถึงเวลาต้องจากไป ก็พร้อมเดินทางได้ทันที ฉันนั้น"ขอบคุณ : https://dhamtara.com/?p=3311tppattaya2343@gmail.com | 15 พฤษภาคม 2015 บาลีวันละคำ : สวดมนต์สวดมนต์ ภาษาบาลีว่าอย่างไร
(๑) “สวด” เป็นคำไทย ตรงกับบาลีว่า “สชฺฌาย” “สชฺฌาย” อ่านว่า สัด-ชา-ยะ รากศัพท์มาจาก ส (มี, พร้อม, ของตน) + อธิ (ยิ่ง, ใหญ่, ทับ) อิ (ธาตุ = สวด, ศึกษา) + อ ปัจจัย, แปลง อธิ เป็น อชฺฌ, แปลง อิ เป็น ย, ทีฆะ (ยืดเสียง) อะ ที่ –ฌ เป็น อา (สชฺฌ > สชฺฌา) : ส + อธิ > อชฺฌ = สชฺฌ + อิ > ย = สชฺฌย > สชฺฌาย แปลตามศัพท์ว่า “การสวดพร้อมหมดอย่างยิ่ง” “การศึกษาอย่างยิ่ง (ซึ่งมนตร์) ของตน”
“สชฺฌาย” หมายถึง การสาธยาย, การสวด, การท่อง (repetition, rehearsal study)
(๒) “มนต์” บาลีเป็น “มนฺต” อ่านว่า มัน-ตะ รากศัพท์มาจาก (1) มนฺ (ธาตุ = รู้) + ต ปัจจัย : มนฺ + ต = มนฺต แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่เป็นเหตุให้รู้” (2) มนฺต (ธาตุ = ปรึกษา) + อ ปัจจัย : มนฺต + อ = มนฺต แปลตามศัพท์ว่า “การปรึกษา”
@@@@@@@
“มนฺต” ในภาษาบาลีมีความหมาย ดังต่อไปนี้
1. ความหมายเดิม คือ คำพูดหรือคำตัดสินของเทพเจ้าบนสวรรค์ แล้วกลายมาเป็นประมวลคำสอนที่เร้นลับของศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้แก่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพราหมณ์ หรือคัมภีร์พระเวท (a divine saying or decision, hence a secret plan) 2. คัมภีร์ศาสนา, บทร้องสวด, การร่ายมนตร์ (holy scriptures in general, sacred text, secret doctrine) 3. ศาสตร์ลี้ลับ, วิทยาคม, เสน่ห์, คาถา (divine utterance, a word with supernatural power, a charm, spell, magic art, witchcraft) 4. คำแนะนำ, คำปรึกษา, แผนการ, แบบแผน (advice, counsel, plan, design) 5. เล่ห์เหลี่ยม, ชั้นเชิง (a charm, an effective charm, trick) 6. สูตรวิชาในศาสตร์สาขาต่างๆ (เช่น H2O = น้ำ หรือแม้แต่สูตรคูณ ก็อยู่ในความหมายนี้) (law) 7. ปัญญา, ความรู้ (wisdom, knowledge, insight, discernment)
@@@@@@@
“มนฺต” ใช้ในภาษาไทยว่า มนต์, มนตร์ (มน) และเข้าใจกันแต่เพียงว่าหมายถึง “คำเสกเป่าที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์”
“สวดมนต์” ตรงกับคำบาลีว่า “มนฺตสชฺฌาย” (มัน-ตะ-สัด-ชา-ยะ)
มนฺต + สชฺฌาย = มนฺตสชฺฌาย แปลตามศัพท์ว่า “การสาธยายมนต์” หรือแปลตรงตัวว่า “สวดมนต์” นั่นเอง
การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนามีมูลเหตุมาจากการสาธยายพระสูตรหรือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อมิให้ลืมเลือนอย่างหนึ่ง และเพื่อตรวจสอบข้อความให้ถูกต้องตรงกันอีกอย่างหนึ่ง
สวดมนต์เพื่อทบทวนความรู้ จะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ สวดมนต์เพื่อเจริญสมาธิสติ ธรรมะก็ผลิเบ่งบาน สวดมนต์เพื่อขลัง ยังต้องนุงนังไปอีกนาน
(อธิบายเร่งด่วนตามประสงค์ของพระคุณท่าน So Phom)ขอบคุณ : https://dhamtara.com/?p=3796tppattaya2343@gmail.com | 29 ตุลาคม 2015
|
|
|
89
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ข้องใจวัดพระธาตุดอยคำ เชียงใหม่ เก่าแก่กว่า 1,300 ปี เผยเพิ่งขอเป็นวัดได้สำเร็จ
|
เมื่อ: เมษายน 20, 2024, 05:30:29 am
|
. ณพลเดช ข้องใจวัดพระธาตุดอยคำ จ.เชียงใหม่ เก่าแก่กว่า 1,300 ปี เผยเพิ่งขอเป็นวัดได้สำเร็จณพลเดช ข้องใจวัดพระธาตุดอยคำ จ.เชียงใหม่ เก่าแก่กว่า 1,300 ปี เผยเพิ่งขอเป็นวัดได้สำเร็จ ยกเครดิตให้ กมธ.ศาสนาฯ
เมื่อวันที่ 15 เมษายน ที่วัดพระธาตุดอยคำ ต.แม่เหียะ อำเภอเมือง จ.เชียงใหม่ นายณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาประจำกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร และที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าสักการะ พระครูสุนทรเจติยารักษ์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยคำ โดยพระครูสุนทรเจติยารักษ์ ได้อนุโมทนาหลังจากที่กรมอุทยานอนุมัติให้ใช้พื้นที่ป่าสร้างวัดได้
ขณะนี่้ได้ยื่นขอวิสุงคามสีมาแล้ว ตนได้โทรศัพท์ถึงอธิบดีกรมอุทยาน และได้ขอบคุณที่ได้ดำเนินตามกระบวนกฎหมาย ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่ประสบความสำเร็จ ที่ได้วัดในพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องเพิ่มมาอีกวีดหนึ่งนายณพลเดช กล่าวต่อไปว่า วัดพระธาตุดอยคำ เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์เป็นวัดสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่ มีคนนำดอกมะลิไปไหว้เป็นจำนวนมาก อายุเก่าแก่กว่า 1,300 ปี น่าจะออกโฉนดที่ดินและขอวิสุงคามสีมา ได้มานานแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นวัดที่ไม่มีวิสุงคามสีมา ภายหลังผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 จ.เชียงใหม่ ก็ได้ให้ความสะดวกและดำเนินการตามกรอบกฎหมาย
ทั้งนี่ได้ที่ดินวัดที่เป็นโฉนดราว 7 ไร่ กำลังอยู่ในขั้นตอนขอวิสุงคามสีมา ซึ่งจะทำให้สามารถ บวชพระ และประกอบศาสนกิจของสงฆ์ได้ตามพุทธวินัยได้ต่อไป อีกทั้งจะสามารถดำเนินกิจกรรมทางประเพณีวัฒนธรรม ที่ได้สืบต่อกันมา
อย่างไรก็ดี ต้องขอให้เครดิตกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎรในชุดก่อน และชุดปัจจุบันที่ทำงานงานอย่างหนัก โดยเฉพาะ ดร.เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล ที่ทุ่มเทงานอย่างมากขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/region/news_4528031วันที่ 15 เมษายน 2567 - 23:24 น.
|
|
|
90
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไฟเขียว.! โครงการ 'ยกวัดราษฎร์เป็นพระอารามหลวง' เฉลิมพระเกียรติ “ในหลวง”
|
เมื่อ: เมษายน 20, 2024, 05:20:55 am
|
. ไฟเขียว.! โครงการ 'ยกวัดราษฎร์เป็นพระอารามหลวง' เฉลิมพระเกียรติ “ในหลวง”รัฐบาล เห็นชอบ 6 โครงการของสำนักพุทธฯ ร่วมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567
นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้เห็นชอบโครงการในการร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567 โดยมีโครงการที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาล เป็นโครงการและกิจกรรมร่วมเฉลิมพระเกียรติฯ ทั้งหมดจาก 23 หน่วยงาน จำนวน 76 โครงการนั้น
@@@@@@@
นายอินทพร กล่าวต่อไปว่า ในส่วน พศ.มีโครงการที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาล ประกอบด้วย
- โครงการยกวัดราษฎร์ขึ้นเป็นพระอารามหลวงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567 - โครงการจัดพิมพ์พระไตรปิฎก เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567 - โครงการเจริญพระพุทธมนต์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธี มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567 - โครงการปฏิบัติธรรมเจริญจิตภาวนา เจริญปัญญา เจริญสุข เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567 - โครงการพิธีสาธยายพระไตรปิฎก เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567 และ - โครงการสามเณรทรงพระปาติโมกข์ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567 ขอบคุณ : https://www.dailynews.co.th/news/3357982/19 เมษายน 2567 | 16:10 น. | การศึกษา-ศาสนา
|
|
|
91
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา.! สัปเหร่อสาวไต้หวัน บินลัดฟ้ามาแต่งหน้าศพ-สอนฟรี
|
เมื่อ: เมษายน 20, 2024, 05:11:58 am
|
. ฮือฮา.! สัปเหร่อสาวไต้หวัน บินลัดฟ้ามาแต่งหน้าศพ-สอนฟรีชาวบ้านฮือฮา! “แอมม่า” สัปเหร่อสาวสวยชาวไต้หวัน บินลัดฟ้ามาแต่งหน้าศพ-สอนการแต่งศพให้ฟรี
ที่จังหวัดบุรีรัมย์ มีเหตุการณ์ที่ทำให้ชาวบ้านปลื้ม เมื่อสัปเหร่อสาวสวยชาวไต้หวัน เดินทางมาแต่งหน้าศพให้คนตายในพื้นที่ แถมสอนแต่งหน้าศพฟรีให้กับชาวบ้าน
โดย แอมม่า สาวชาวไต้หวัน อายุ 33 ปี เดินทางเข้ามาช่วย แต่งหน้าศพ ให้กับคนผูกคอเสียชีวิตที่บ้านตาโหงก หมู่ 8 ต.สนามชัย อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเสียชีวิตมาประมาณ 3 วัน สร้างความประหลาดใจให้กับชาวบ้านในพื้นที่ เพราะเป็นหญิงสาวหน้าตาดี ที่กล้าแต่งหน้าศพแอมม่า บอกว่า ตนเองมีอาชีพเป็นสัปเหร่ออยู่ที่ไต้หวัน มาแล้วกว่า 4 ปี ที่ผ่านมาพบข้อมูลว่า "คนไทยไม่ชอบแต่งหน้าศพ" จึงได้เรียนภาษาไทยเพื่อให้สื่อสารได้เข้าใจ จากนั้นเมื่อเห็นเพจ "บ้านหลังสุดท้ายได้ทุกคน" จึงทักไปว่าอยากจะไปช่วยแต่งหน้าศพและสอนการแต่งศพให้
ซึ่งครั้งนี้เดินทางมาไทยเป็นรอบที่ 2 แล้ว ที่ผ่านมาแต่งหน้าศพแล้วประมาณ 50 ศพ และยืนยันว่า จะมาช่วยแต่งหน้าศพที่เมืองไทยอีก
ด้าน นายยิ่งพันธ์ ว่องไว อายุ 48 ปี พ่อค้าโลงศพ บอกว่า เห็นหญิงสาวรายนี้ทักมาในเพจ ตอนแรกคิดว่าเป็น”มิจฉาชีพ”เพราะคนสวยขนาดนี้จะมาแต่งหน้าศพได้อย่างไร ส่วนหนึ่งก็อยากลองว่าจะมาจริงหรือไม่ จึงตอบรับไป จนกระทั่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แอมม่า ทักมาว่า”ถึงเมืองไทยแล้ว” จึงไปรับจากสนามบินสตึกหลังจากนั้นแอมม่า ได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านแล้วออกตระเวณแต่งหน้าศพแบบมืออาชีพ พออยู่ได้ประมาณ 10 วัน แอมม่าก็กลับไต้หวัน จนกลับมาอีกครั้ง โดยแอมม่า จะสอนการแต่งหน้าศพ ให้เหมือนคนนอนหลับมากที่สุด ที่ผ่านมาชาวบ้านและญาติผู้ตาย ต่างมีความปลื้มใจ เพราะไม่คิดว่าคนสวยอย่างแอมม่าจะกล้าแต่งหน้าศพThank to : https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/221957 โดย PPTV Online | เผยแพร่ 19 เม.ย. 2567 ,08:38น.
|
|
|
93
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดภาพ "พิธีบวงสรวงคันไถ" งานพระราชพิธีพืชมงคล จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ปี 2567
|
เมื่อ: เมษายน 19, 2024, 08:30:06 am
|
. เปิดภาพ "พิธีบวงสรวงคันไถ" งานพระราชพิธีพืชมงคล จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ปี 2567กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีบวงสรวงคันไถงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญปี 2567 เพื่อความเป็นสิริมงคลและสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงาน
วันที่ 18 เมษายน 2567 นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีบวงสรวงคันไถในงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2567 โดยมีผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เทพีคู่หาบทอง และเทพีคู่หาบเงิน เข้าร่วม ณ บริเวณปะรำพิธีอาคารจัดเก็บคันไถ กรมส่งเสริมการเกษตร
โดยพิธีบวงสรวงคันไถได้เริ่มขึ้นในเวลา 09.00 น. ประธานในพิธีจุดเทียนธูปบูชาเครื่องสังเวยบวงสรวงคันไถ พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ กล่าวนำคำอธิษฐานจิต จากนั้นประธานปักธูปบนเครื่องสังเวยบวงสรวงคันไถ นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร พร้อมด้วยเทพีคู่หาบทอง หาบเงิน ปักธูปบนเครื่องสังเวยบวงสรวงคันไถ พระมหาราชครูฯ อ่านโองการ ประพรมน้ำเทพมนตร์ และเจิมคันไถลำดับต่อมาประธานและอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นำพวงมาลัยคล้องคันไถตามลำดับ จากนั้นประธานโปรยข้าวตอกดอกไม้ บริเวณเครื่องสังเวยเพื่อความเป็นสิริมงคล ผู้บริหารที่ร่วมในพิธี เทพีคู่หาบทอง หาบเงิน ร่วมวางพวงมาลัยบนพานหน้าคันไถเพื่อสักการะ เป็นอันเสร็จพิธี
นายประยูรกล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร เป็นผู้จัดเก็บ ดูแล รักษา ซ่อมแซม ปรับปรุง และจัดเตรียมคันไถ สำหรับเข้าร่วมวันซ้อมย่อย วันซ้อมใหญ่ และวันงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญประจำปี 2567 ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรได้ปฏิบัติหน้าที่นี้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
โดยในช่วงเดือนเมษายน ก่อนพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญของทุกปี กรมส่งเสริมการเกษตรจะดำเนินการซ่อมแซม ปรับปรุงคันไถให้มีสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน และปี 2567 นี้ ได้กำหนดจัดพิธีบวงสรวงคันไถ เพื่อความเป็นสิริมงคลและสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงานทั้งนี้ ในอดีต คันไถเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเตรียมดินก่อนปลูกข้าว ใช้แรงงานสัตว์ เช่น โค กระบือ ในการขับเคลื่อน ซึ่งถูกนำมาใช้ประกอบพิธีไถหว่านในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญทุกปี โดยพระราชพิธีฯ มีมาแต่โบราณตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีจนกระทั่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีพิธีสงฆ์ เรียกว่า “พระราชพิธีพืชมงคล” ร่วมด้วย จึงทำให้พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีพระราชพิธีพืชมงคลรวมกับพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพิธีพราหมณ์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ซึ่งพระราชพิธีนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ราษฎรในการทำนา เป็นสิริมงคลและบำรุงขวัญแก่เกษตรกร กำหนดจัดขึ้นในเดือนหก ทางจันทรคติ หรือเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นระยะเวลาเหมาะสมในการเริ่มต้นการทำนาของทุกปี โดยในปี 2567 สำนักพระราชวังกำหนดให้มีพระราชพิธีพืชมงคล ในวันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม 2567 ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2567 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงสำหรับคันไถ ที่ใช้ประกอบพระราชพิธีฯในปัจจุบัน ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2539 โดยเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมหนองโพ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมสร้างถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งมีชุดองค์ประกอบ ดังนี้
1) คันไถ ขนาดความสูงวัดจากพื้นถึงเศียรนาค 2.26 เมตร และยาวจากเศียรนาคถึงปลายไถ 6.59 เมตร ทาสีแดงชาดตลอดคันไถ หัวคันไถทำเป็นเศียรพญานาคลงรักปิดทอง ลวดลายประดับคันไถเป็นลายกระจังตาอ้อยลงรักปิดทองตลอดคัน ปลายไถหุ้มผ้าขาวขลิบทองสำหรับมือจับ
2) แอกเทียมพระโค ยาว 1.55 เมตร ตรงกลางแอกประดับด้วยรูปครุฑยุดนาคหล่อด้วยทองเหลืองลงรักปิดทองอยู่บนฐานบัว ปลายแอกทั้งสองด้านแกะสลักเป็นรูปเศียรพญานาคลงรักปิดทอง ลวดลายประดับเป็นลาย กระจังตาอ้อยลงรักปิดทองตลอดคัน ปลายแอกแต่ละด้านมีลูกแอกทั้งสองด้านสำหรับเทียมพระโคพร้อมเชือกกระทาม
3) ฐานรอง เป็นที่สำหรับรองรับคันไถพร้อมแอก ทำด้วยไม้เนื้อแข็งทาด้วยสีแดงชาด มีลวดลายประดับเป็นลายกระจังตาอ้อยลงรักปิดทองทั้งด้านหัวไถและปลายไถ
4) ธงสามชาย เป็นธงประดับคันไถติดตั้งอยู่บนเศียรนาคทำด้วยกระดาษและผ้าสักหลาด เขียนลวดลายลงรักปิดทองประดับด้วยกระจกแวว มีพู่สีขาวประดับเป็นเครื่องสูงชนิดหนึ่ง เพื่อประดับพระเกียรติ ธงสามชายมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ฐานยาว 41 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร และเสาธงยาว 72 เซนติเมตรขอบคุณที่มา : https://www.prachachat.net/economy/news-1545410วันที่ 18 เมษายน 2567 - 13:57 น.
|
|
|
95
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “ปากช่อง” จังหวัดนครราชสีมา ชื่อนี้มาจากไหน.?
|
เมื่อ: เมษายน 18, 2024, 06:52:11 am
|
สถานีรถไฟนครราชสีมา“ปากช่อง” จังหวัดนครราชสีมา ชื่อนี้มาจากไหน.?“ปากช่อง” คืออำเภอหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา ถือเป็น “ด่านแรก” หรือประตูที่เชื่อมการเดินทางจาก “ถนนมิตรภาพ” เข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อำเภอปากช่อง โดดเด่นเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ อย่าง อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่ยังครอบคลุมพื้นที่อีก 10 อำเภอ ทั้งในนครราชสีมา สระบุรี นครนายก และปราจีนบุรี ปากช่องจึงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติ สูดอากาศสดชื่น
เราได้ยินชื่ออำเภอปากช่องกันจนคุ้นหู แล้ว “ปากช่อง” ที่ว่านี้มาจากไหน.?
ในอดีต ปากช่องเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในตำบลขนงพระ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีการขยายโครงข่ายคมนาคม โดยเฉพาะ “รถไฟ” เพื่อความสะดวกในการปกครองและการเดินทาง ก็มีการสร้างทางรถไฟสายแรก คือ กรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา
ทางรถไฟสายนี้ มีการเปิดซองประมูลการก่อสร้างใน พ.ศ. 2434 นายยี. มูเร แกมป์เบลล์ (George Murray Campbell) ชาวอังกฤษจากสิงคโปร์ เป็นผู้ชนะการประมูลในราคา 9.95 ล้านบาท โดยมีห้างซาดินเมเทธชั่นแห่งอังกฤษ เป็นผู้ค้ำประกัน
หลังจากสร้างได้ไม่นาน บริษัทผู้รับสัมปทานไม่สามารถสร้างทางรถไฟได้เสร็จตามสัญญา กรมรถไฟหลวงจึงเลิกจ้าง และดำเนินการก่อสร้างเอง แต่การก่อสร้างก็มีอุปสรรค เพราะการสร้างทางรถไฟช่วงอยุธยาไปชุมทางบ้านภาชี สระบุรี เข้าสู่ดงพญาเย็น ปรากฏว่าคนงานและวิศวกรเสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากไข้ป่า
กว่าจะสร้างทางรถไฟ กรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา ระยะทางรวม 265 กิโลเมตร แล้วเสร็จ งบประมาณในการก่อสร้างก็บานปลายไปถึง 17.5 ล้านบาท ทั้งยังใช้เวลาก่อสร้างถึง 9 ปี มีพิธีเปิดสถานีรถไฟที่นครราชสีมา เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2443
ส่วนที่ว่าทำไมถึงได้ชื่อว่า “ปากช่อง” ก็เพราะว่าทางรถไฟสายดังกล่าวตัดผ่านกลางหมู่บ้าน ต้องระเบิดภูเขาเป็นช่อง จึงเรียกกันว่า “บ้านปากช่อง”
ต่อมาเมื่อมีการสร้างถนนมิตรภาพ การเดินทางสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทางการจึงยกฐานะของปากช่องขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ และขยับขึ้นเป็น อำเภอปากช่อง เช่นที่คุ้นกันในปัจจุบัน
อ่านเพิ่มเติม :-
• “รถไฟ (จะ) ไปโคราช” เส้นทางรถไฟสายแรกของไทย ที่ฝรั่งทิ้งงาน รัฐต้องรับต่อ 9 ปีถึงสร้างเสร็จ • ที่มา “นามสกุล” ชาว “โคราช” หลักฐานสำคัญบ่งชี้ภูมิประเทศถิ่นกำเนิด • “สุดบรรทัด-เจนจบทิศ” สู่ “ถนนมิตรภาพ” ช่วยย่นเวลาเดินทางกทม.-โคราชจาก 10 เหลือ 3 ชม.ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 11 เมษายน 2567 URL : https://www.silpa-mag.com/culture/article_130696อ้างอิง : เสมียนนารี. จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดที่มีอำเภอมากที่สุดในประเทศไทย.
|
|
|
96
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำไม รัชกาลที่ 1 ทรงศรัทธา “พระแก้วมรกต” ถึงขั้นโปรดอัญเชิญเป็น “ใจเมือง”
|
เมื่อ: เมษายน 18, 2024, 06:44:23 am
|
. “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เสด็จกลับจากราชการทัพที่เมืองเขมร” ภาพเขียนสีปูนเปียกบนเพดานโดมด้านทิศเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคมทำไม รัชกาลที่ 1 ทรงศรัทธา “พระแก้วมรกต” ถึงขั้นโปรดอัญเชิญเป็น “ใจเมือง” เมื่อสร้างกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ รัชกาลที่ 1 มีพระราชปณิธานที่จะสร้างให้เป็นกรุงศรีอยุธยาแห่งใหม่ โดยจำลองแบบอย่างหลายอย่างมาไว้ที่กรุงเทพฯ ขาดเพียงพระพุทธรูปที่เปรียบเสมือน “ใจเมือง” แม้โปรดให้อัญเชิญพระพุทธรูปลงมาไว้กรุงเทพฯ หลายองค์ แต่ก็ไม่มีองค์ใดเลย ที่จะมีพระราชศรัทธาในพุทธคุณเทียบเท่า “พระแก้วมรกต”
“พระแก้วมรกต” จึงประดิษฐานเป็นประธานอยู่ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางราชอาณาจักรสยาม และศูนย์กลางแห่งพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันกษัตริย์ ศาสนา และราษฎร
@@@@@@@
เหตุใดจึงโปรดพุทธคุณในพระแก้วมรกตยิ่งกว่าพระพุทธรูปอื่นๆ
ตำนานเกี่ยวกับพระแก้วมรกต ที่ว่าเป็นพระพุทธรูปที่เทวดาสร้าง มีการอัญเชิญไปยังดินแดนต่างๆ เช่น - ประดิษฐานอยู่เมืองลำปางนาน 32 ปี (พ.ศ. 1979-2011), - เชียงใหม่ 85 ปี (พ.ศ. 2011-2096), - หลวงพระบาง ไม่ถึงปี (พ.ศ. 2096), - เวียงจันทน์ 225 ปี (พ.ศ. 2096-2322) - กรุงธนบุรี 5 ปี (พ.ศ. 2322-2327) และ - สุดท้ายประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งแต่ พ.ศ. 2327
เมื่อเปลี่ยนแผ่นดินมาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ มีการก่อสร้างพระอารามขึ้นในพระราชวังหลวงตามอย่างกรุงศรีอยุธยา แล้วเสร็จในปี 2326
ปีถัดมารัชกาลที่ 1 โปรดให้อัญเชิญพระแก้วมรกต “ข้ามฟาก” มาจากกรุงธนบุรี ลงเรือพระที่นั่งกิ่ง มีเรือแห่เป็นขบวน ไปยังพระอุโบสถแห่งใหม่ ส่วน “พระบาง” พระราชทานคืนแก่กรุงเวียงจันทน์ไป
@@@@@@@
“พระราชพิธีสิบสองเดือน” พระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 5 ตอบคำถามเรื่อง รัชกาลที่ 1 ทรงเลื่อมใสในพุทธคุณของพระแก้วมรกต โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับการปราบยุคเข็ญและการปราบดาภิเษกของพระองค์ ว่า
“ทรงพระราชดำริเห็นว่าพระมหามณีรัตนปฏิมากรองค์นี้ เป็นสิริแก่พระองค์และพระนคร จึงได้ขนานนามกรุงใหม่ว่ากรุงรัตนโกสินทรมหินทราอยุธยา เพราะเป็นที่ประดิษฐานและเป็นที่เก็บพระมหามณีรัตนปฏิมากรพระองค์นี้ เพราะเหตุฉะนั้นการพระราชพิธีอันใดซึ่งเป็นการใหญ่ ก็ควรจะทำในสถานที่เฉพาะพระพักตร์พระมหามณีรัตนปฏิมากรนั้นประการหนึ่ง”
หลังจากอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพียง 2 เดือน ได้เกิดธรรมเนียมใหม่ขึ้น คือ พ.ศ. 2328 รัชกาลที่ 1 โปรดให้ตั้งพระราชกำหนดใหม่ให้ข้าราชการทั้งปวงต้องเข้าไปกราบนมัสการพระแก้วมรกตก่อน แล้วจึงเข้ารับพระราชทานน้ำพระพิพัฒน์สัจจาภายหลัง ผิดกับพระราชกำหนดเก่าที่ถือธรรมเนียมเข้าไปไหว้รูปพระเทพบิดรก่อน แล้วจึงกราบนมัสการพระรัตนตรัยภายหลัง
ไม่เพียงแต่รัชกาลที่ 1 จะทรงศรัทธาและถือว่าพระแก้วมรกตนั้น “เป็นสิริแก่พระองค์” ยังเป็นไปได้ว่าทรงเชื่อพุทธคุณในทางใดทางหนึ่งขององค์พระแก้วมรกตเป็นพิเศษ
@@@@@@@
ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งถึงความศรัทธาเลื่อมใสพระแก้วมรกตของรัชกาลที่ 1 ว่า
“ท่านเลื่อมใสในองค์พระมหามณีรัตนปฏิมากรพระองค์นี้มาก จึงยกไว้เปนหลักพระนคร พระราชทานนามพระนคร ก็ให้ต้องกับพระนามพระมหามณีรัตนปฏิมากรพระองค์นี้ด้วย”
พระแก้วมรกตยังมีความสำคัญถึงขนาดว่าเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่มี “ข้าพระ” ดังปรากฏในหมายรับสั่งและบัญชีโคมตรา ในพระราชพิธีวิสาขบูชา ในรัชกาลที่ 4 มีการกล่าวถึง “ข้าพระแก้วมรกต” ให้เบิกน้ำมันมะพร้าวต่อชาวพระคลังไปจุดโคมประทีปรอบระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ด้วยเหตุนี้ จึงมีการอัญเชิญ “พระแก้วมรกต” มาร่วมในพระราชพิธีสำคัญ ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งพิธีทางศาสนา พระราชพิธีเกี่ยวกับราชตระกูล และการปกครอง เช่น พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจา กรณีที่พระเจ้าอยู่หัวมิได้เสด็จออกวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ยังต้องเข้าไปถือน้ำสาบานหน้าพระแก้วมรกตเป็นปฐมก่อน แล้วจึงมาดื่มน้ำต่อหน้าพระพักตร์ในท้องพระโรงอีกครั้งหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าสาระสำคัญของการถือน้ำคือการสาบานต่อหน้าพระ
@@@@@@@
สมัยรัชกาลที่ 1 นั้น “พุทธคุณ” สำคัญพระแก้วมรกต ไม่น่าจะเป็นเรื่องอื่น นอกเหนือจากเรื่องพระเจ้าตากและกรุงธนบุรี ทำให้การจลาจลในแผ่นดินเก่าสงบลง เพราะการบูชาสมโภชพระแก้วมรกต และการสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามอย่างยิ่งใหญ่ ทรงกระทำพร้อมๆ กับการสร้างพระราชวัง อันเป็นช่วง 3 ปีแรกแห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
ส่วนพุทธคุณทางด้านกำราบราชศัตรู “เมืองใดไป่ต้านทานทน พ่ายแพ้เดชผจญ ประณตน้อมวันทา” เวลานั้นสงครามใหญ่ก็ยังไม่เกิด ศึกพม่าครั้งแรกในแผ่นดินใหม่นี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากอัญเชิญพระแก้วมรกตมายังพระอุโบสถแล้วเกือบปี
พระแก้วมรกตอาจมีฐานะต่างไปจากพระพุทธรูปองค์อื่น ตรงที่ได้การเคารพนบไหว้เป็น “ใจเมือง” และยิ่งเป็นพระพุทธรูปที่พระปฐมบรมกษัตริย์ให้ความเคารพศรัทธาเหนือสิ่งอื่นใด ภาระหน้าที่ของพระแก้วมรกตจึงมากมายเลยขอบเขตทางพระพุทธศาสนา ไปจนถึงการ “รักษา” เมืองด้วยในบางโอกาส
เช่น สมัยรัชกาลที่ 2 จึงมีการอัญเชิญพระแก้วมรกตออกจากพระอุโบสถไป “รักษา” เมือง ในพระราชพิธีอาพาธพินาศ เพื่อแห่ประพรมน้ำทั้งทางบกทางน้ำ เพียงไม่กี่วัน “ความไข้ก็ระงับเสื่อมลงโดยเร็ว” แต่การอัญเชิญพระแก้วมรกตออกจากพระอุโบสถ ยุติไปในสมัยรัชกาลที่ 4 ด้วยเกรงว่าจะได้รับความเสียหาย
คลิกอ่านเพิ่ม :-
• พระพุทธรูปฉลองพระองค์ ที่สร้างสมัย ร.3 ที่มา พระนาม ร.1 กับ ร.2 • พระพุทธสิหิงค์ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ทำไมถึงเป็นปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ?
หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเก็บความจาก ปรามินทร์ เครือทอง. “พุทธคุณพระแก้วมรกต” ใน, ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2551.ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : วิภา จิรภาไพศาล เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 11 เมษายน พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 11 เมษายน2564 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_130713
|
|
|
98
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มหากาพย์ ‘พระแก้วมรกต’
|
เมื่อ: เมษายน 15, 2024, 06:40:16 am
|
. มหากาพย์ ‘พระแก้วมรกต’ (1) จาก ‘รัตนพิมพวงศ์’ ถึง ‘พระบรมราชาธิบายของรัชกาลที่ 4’ กลางปี 2564 ช่วงที่สถานการณ์โควิดเข้าขั้นวิกฤต ดิฉันได้ชวนเพื่อนพ้องน้องพี่นักวิชาการหลากหลายสำนัก มาเปิดประเด็นถกวิพากษ์เรื่อง “พระแก้วมรกต” กันในคลับเฮาส์ เพราะเป็นหัวข้อที่ “พูดคุยกันกี่ครั้งก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ มีแต่จะเพิ่มมุมมองใหม่ๆ มาแลกเปลี่ยนกันได้เรื่อยๆ โดยที่ใครอยากพูดมิติไหนก็เชิญตามสะดวก ไม่มีใครถูกใครผิด”
นำมาซึ่งภาพโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ในแบนเนอร์ที่ท่านเห็น คือโปรแกรมเสวนาคลับเฮาส์ในค่ำคืนของวันที่ 29 สิงหาคม 2564 ซึ่งเราเสวนากันอย่างเลื่อนไหลมันส์ในอารมณ์ยิ่งนัก ตั้งแต่ 1 ทุ่มถึงเที่ยงคืนครึ่ง นานกว่า 5-6 ชั่วโมง โดยที่คนติดตามฟังสดก็ไม่มีใครยอมล่าถอย
เพื่อให้ความตั้งใจของวิทยากรที่เสียสละเวลาช่วยกันสืบค้นข้อมูลเชิงลึกเรื่องพระแก้วมรกตในมิติต่างๆ ในครั้งนั้นไม่สูญเปล่า ดิฉันในฐานะแม่งานหลัก จึงขอทำหน้าที่ถอดคลิปเสียง จับประเด็นสาระสำคัญมาขยายความต่อ
ตอนแรกนี้ เป็นการเปิดประเด็นของ รศ.ดร.รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง อาจารย์ผู้คร่ำหวอดเรื่อง “พุทธปฏิมาในสยาม อินเดีย และอุษาคเนย์” แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยากรท่านแรกนี้ได้รับโจทย์จากดิฉันให้อินโทรเรื่อง “เส้นทางของพระแก้วมรกตจากปาฏลีบุตรสู่สยาม” แบนเนอร์เก่าเมื่อปี 2564 รายการเสวนาคลับเฮาส์ ประเด็น พระแก้วมรกต รวบรวมวิทยากรคับคั่งตำนานฝ่ายล้านนา vs เอกสารฝ่ายรัตนโกสินทร์
ก่อนที่ รศ.ดร.รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง จักนำเข้าสู่เรื่องเส้นทางจากปาฏลีบุตร ท่านขอตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ “ข้อมูล” หรือ “องค์ความรู้” เกี่ยวกับพระแก้วมรกตที่คนไทยรับรู้ตราบจนทุกวันนี้กันนั้น ว่ามีที่มาจากเอกสารสามส่วนหลักๆ
ส่วนแรก คือตำนานฝ่ายล้านนา จำแนกได้เป็น 2 เล่ม คือ 1. รัตนพิมพวงศ์ 2. ชินกาลมาลีปกรณ์ ทั้งคู่แต่งเป็นภาษาบาลี
ว่าด้วย “รัตนพิมพวงศ์” รจนาโดย พระพรหมราชปัญญา ภิกษุชาวล้านนา น่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21-ต้น 22 ตำนานเล่มนี้มีความตั้งใจที่จะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพระแก้วมรกตโดยตรง ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยสองครั้ง ครั้งแรกสมัยรัชกาลที่ 1 โดยพระธรรมปรีชา (แก้ว) ครั้งที่สองสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์)
เวอร์ชั่นหลังนี้เอง กรมศิลปากรนำไปตีพิมพ์ซ้ำนับครั้งไม่ถ้วนภายใต้ชื่อที่เรียบเรียงใหม่ว่า “ตำนานพระแก้วมรกต” จนเป็นที่รู้จักของคนไทยในวงกว้าง
ในขณะที่ “ชินกาลมาลีปกรณ์” รจนาโดย พระรัตนปัญญาเถระ เมื่อปี 2060 (แต่งขึ้นก่อน รัตนพิมพวงศ์) เนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้ตั้งใจจะเน้นเรื่องประวัติพระพุทธศาสนา กับเหตุบ้านการเมืองในล้านนามากกว่า
ดังนั้น ประเด็นเกี่ยวกับพระแก้วมรกตจึงนำเสนอแบบค่อนข้างย่นย่อ กล่าวคือ มีเรื่อง “พระรัตนปฏิมา” แทรกอยู่เพียง 7 หน้าเท่านั้น
@@@@@@@
ส่วนที่สอง คือเอกสารฝ่ายล้านช้าง เรื่องราวของพระแก้วมรกตมาปรากฏอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 1 หลังจากทรงตีเวียงจันท์ได้ และนำพระแก้วมรกตมาถวายแด่พระเจ้ากรุงธนบุรี กระทั่งต่อมาย้ายราชธานีไปอยู่ฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งกรุงเทพฯ พระองค์ยกทัพไปตีล้านช้างอีกครั้งในปี 2331 ได้ตำนานเรื่องพระแก้วมรกตฉบับล้านช้างกลับมาสู่ราชสำนักสยาม ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้มีการแปลต้นฉบับจากภาษาลาวมาเป็นภาษาไทย
ส่วนนี้ถือเป็น “ภาคขยายความ” ต่อจากรัตนพิมพวงศ์และชินกาลมาลีปกรณ์ ที่เล่าเหตุการณ์เรื่องพระแก้วมรกตจบลงเพียงแค่ประทับอยู่ที่ลำปาง (เขลางค์) และพระเจ้าติโลกราชกำลังอัญเชิญมาสู่เชียงใหม่เท่านั้น
ถือว่า ตำนานพระแก้วมรกตฉบับล้านช้าง ช่วยมาเติมเต็มเหตุการณ์อีกช่วงที่ขาดหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของล้านนา นั่นคือ เหตุการณ์หลังจากที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากเชียงใหม่ไปไว้ที่หลวงพระบาง จนกระทั่งชาวลาวได้สร้างวัดพระแก้วถวายแด่พระแก้วมรกตที่เวียงจันท์ ตำนานพระแก้วมรกต หรือ “รัตนพิมพวงศ์” ของ “พระพรหมราชปัญญา” ฉบับปริวรรตสมัยรัชกาลที่ 5 โดย พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) เป็นเอกสารที่นำเสนอเรื่องพระแก้วมรกต เชิงอภินิหาร ตำนานกึ่งประวัติศสตร์ จนเป็นที่แพร่หลายในวงกว้างของสังคมไทยส่วนที่สาม คือพระบรมราชาธิบายของรัชกาลที่ 4 เป็นพระราชนิพนธ์ที่มีความน่าสนใจยิ่งสะท้อนถึง การปะทะสังสรรค์ต่อสู้กันทางความคิดระหว่าง “ความศรัทธาทางพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า” ของคนรุ่นก่อนแบบเน้นให้เชื่อโดยไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามใดๆ ปะทะกับ “องค์ความรู้ใหม่ของโลกสากล” ที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 ซึมซับมาจากชาวตะวันตก จึงพยายามจะให้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ต่อองค์พระแก้วมรกตอีกด้วย
อาจารย์รุ่งโรจน์วิเคราะห์ว่า จุดมุ่งหมายของการเขียนรัตนพิมพวงศ์ก็ดี ชินกาลมาลีปกรณ์ก็ดี ล้วนยกย่องเชิดชูว่าพระแก้วมรกตมีความสำคัญอย่างสูงสุด ประหนึ่งว่า “มาตรแม้นใครได้ไหว้พระแก้วมรกตแล้ว ก็เท่ากับได้ไหว้พระพุทธเจ้าองค์จริง”
โดยตำนานทั้งสองชิ้นนี้ระบุว่า มีการบรรจุ “พระบรมสารีริกธาตุ” ถึง 7 ชิ้น ภายในองค์พระปฏิมาแก้วมรกตด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อประกาศให้รู้ว่า หินเขียวแก้วมณีองค์นี้ หาใช่ประติมากรรมดาดๆ แบบพระอิฐพระปูนทั่วไปไม่
หากแต่ “มีชีวิตจริงขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่” เมื่อมนุษย์กราบไหว้แล้ว สามารถสัมผัสได้ว่า พระแก้วมรกตจักเป็นที่พึ่งของปวงสัตว์โลกได้อย่างแท้จริง
@@@@@@@
ในขณะที่มุมมองต่อพระแก้วมรกตของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 กลับเปลี่ยนแปรไป พระองค์ไม่ได้เน้นว่าพระแก้วมรกตจะต้องเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้าจริงแท้แค่ไหนหรือไม่ หากมองเห็นว่า คุณค่าของพระแก้วมรกตที่แท้จริงคือ เป็นเครื่องสะท้อนถึงบารมีของพระมหากษัตริย์ผู้ครอบครองมากกว่า ดังเช่นบางถ้อยบางประโยคที่พระราชนิพนธ์ไว้
“ด้วยอำนาจและพระบารมีของสมเด็จพระเจ้ามหากษัตริย์ศึก (หมายถึงรัชกาลที่ 1 แต่การที่รัชกาลที่ 4 เรียกด้วยตำแหน่งนี้ เนื่องจากตอนรัชกาลที่ 1 ได้พระแก้วมรกตมา ยังดำรงพระอิสสริยยศดังกล่าว) ซึ่งควรเป็นผู้ครอบครองปฏิบัติบูชาพระรัตนปฏิมาพระองค์นี้ เจ้าร่มขาวหลวงพระบางมาสวามิภักดิ์ ทั้งยังปราบเวียงจันท์ได้สำเร็จ สมเด็จพระเจ้ามหากษัตริย์ศึกได้เวียงจันท์ จึงได้อัญเชิญพระปฏิมาองค์นี้พรอ้มพระบางมาด้วย”
อาจารย์รุ่งโรจน์ชี้ให้เห็นว่า ตัวคัมภีร์ทางศาสนา กับเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระแก้วมรกต ผลิตขึ้นต่างสถานที่ ต่างช่วงเวลากัน ตำนานฝ่ายล้านนาเขียนขึ้นเพื่อเน้นว่า พระพุทธเจ้าคือพระแก้วมรกต พระแก้วมรกตคือพระพุทธเจ้า
ในขณะที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 มองว่า ความสำคัญของพระแก้วมรกตไม่ได้อยู่ที่จิตวิญญาณขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าต้องประทับอยู่ในองค์พระปฏิมาหรือไม่ ทว่า อยู่ที่ใครที่ได้ครอบครองพระแก้วมรกตคือผู้ที่มีบุญญาบารมีในการปกครองบ้านเมืองมากกว่า รองศาสตราจารย์ ดร.รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศิลป์อินเดีย ลังกา อุษาคเนย์ สยาม และล้านนาพระแก้วมรกตสร้างในล้านนา อ้างอิงความเก่าถึงอินเดีย
อาจารย์รุ่งโรจน์ขอให้ทุกท่านช่วยกันพิเคราะห์รูปลักษณ์ “พระแก้วมรกต” กันอย่างละเอียดลอออีกครั้ง เชื่อว่าคงไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่า พุทธศิลป์เช่นนี้จักไม่ใช่ “ศิลปะล้านนา” ซึ่งในอดีตเคยมีผู้ศึกษาวิเคราะห์กันไว้แล้วหลายท่าน อาทิ ท่านอาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ก็ดี ท่านศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ นักประวัติศาสตร์ศิลป์คนสำคัญแห่งคณะโบราณคดีก็ดี
ความเห็นเรื่องแหล่งผลิตพระแก้วมรกต ณ ปัจจุบันนี้แทบจะเป็นฉันทามติแล้วว่า หากไม่ทำขึ้นที่เชียงแสน เชียงราย ก็อาจทำขึ้นที่เมืองพาน พะเยา 3-4 แห่งที่ประติมากรมีความถนัดในการแกะสลักหินเท่านั้น
เมื่อเรายอมรับทฤษฎีนี้กันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว คำถามที่ตามมาก็คือ มีเหตุผลอันใดเล่า จึงได้เขียนตำนานให้ลากยาวไปไกลมากถึงอินเดีย ลังกา พุกาม เขมร ทั้งๆ ที่พระพุทธปฏิมาองค์นี้เป็นของอาณาจักรล้านนาแท้ๆ ดังนั้น เราควรหมายเหตุไว้ว่า น่าจะมีนัยยะหรือวาระซ่อนเร้นบางประการแอบแฝงอยู่
หันมาดูปฐมบทของการศึกษาพระแก้วมรกตในคัมภีร์ “รัตนพิมพวงศ์” มีการเอ่ยถึงนามของพระภิกษุที่มีชีวิตอยู่จริงในยุคหลังพุทธกาลลงมาประมาณ 5-600 ปี นาม “พระนาคเสน” สะท้อนให้เห็นว่า พระพรหมราชปัญญา ได้แรงบันดาลใจจากคัมภีร์ศาสนาเรื่อง “มิลินทปัญหา” (หรือที่เรารู้จักในนาม ตอบปัญหาพญามิลินทร์) แทรกปนอยู่ด้วย
@@@@@@@
เนื้อเรื่องตอนแรกๆ จึงมีบทบาทของ “พระนาคเสน” ปรากฏอยู่ด้วย โดยตำนานระบุว่า พระภิกษุชื่อนาคเสนชาวเมืองปาฏลีบุตร (เป็นการเขียนแบบสันสกฤต หากเขียน “ปาตลีปุต” เป็นแบบบาลี) ต้องการสร้างพระพุทธรูปขึ้น เพื่อเป็นเครื่องสืบอายุพระพุทธศาสนา และประสงค์จะสร้างด้วยวัสดุประเภท “แก้ว”
เมื่อพระอินทร์(ท้าวสักกเทวราช) และพระเวสสุกรรม(วิสสุกรรม) สดับดังนั้น จึงขันอาสาหาแก้วมณีจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกหนึ่งชื่อ “เขาวิบูล” มาให้ แก้วดวงนี้จึงมีชื่อเรียกว่า “อมรโกฏ” บ้างเขียนว่า “อมรกต” แปลว่าแก้วที่สร้างขึ้นด้วยเทวดา(อมร = พระอินทร์, เทวดา ส่วน โกฏ, กต = การสร้าง ผู้สร้าง การกระทำ)
ไปๆ มาๆ ตัว อ หายไป เหลือแค่ มรโกฏ กร่อนเป็น “มรกต” เท่านั้น ความหมายจึงไปพ้องกับอัญมณีประเภทหนึ่งที่เป็นหินเขียว กลายเป็น Emerald Buddha ซึ่งสอดคล้องกับสีของหินเขียวที่ใช้สร้างพระแก้วพอดี ในความเป็นจริงนั้น วัสดุที่ใช้สร้างพระแก้วมรกตเป็นหินในกลุ่มคล้ายหยก (Jade) มากกว่าที่จะเป็น “มรกต” ตามความหมายของ Emerald
ในขณะที่ท้าวสักกะและพระวิสสุกรรม แปลงกายมาเป็นช่างแกะสลักหินเขียวอยู่นั้น ตำนานระบุว่า พระนาคเสนได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจำนวน 7 องค์ ให้เข้ามาสถิตในองค์พระพุทธรูปด้วย โดยฝังกระจายไว้ 7 จุดดังนี้
1. พระเมาลี (มวยผม) 2. พระนลาฏ (หน้าผาก) 3. พระอุระ (ชินกาลระบุว่า อุระ แต่รัตนพิมพวงศ์ บอกว่า พระนาภี-สะดือ) 4-5. ข้อพระหัตถ์ 2 ข้าง และ 6-7. พระชานุ (เข่า) 2 ข้าง
เข้าใจว่าความเชื่อในเรื่องการฝังพระบรมสารีริกธาตุ 7 จุดตลอดองค์พระปฏิมาจากตำนานพระแก้วมรกตเรื่องนี้เอง ต่อมาได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของช่างล้านนากลุ่มหนึ่ง (อาจสังกัดป่าแดงหรือไม่?) ในการสร้างพระพุทธรูป ซึ่งยุคสมัยหนึ่งนิยมฝังหมุดหรือใส่ของมีค่า แล้วเอาสลัก (แส้/เดือย) เชื่อมชิ้นส่วนองค์พระปฏิมาที่หล่อแยก 7 ส่วนบ้าง 9 ส่วนบ้าง ให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว อันเป็นที่มาของ พระบัวเข็ม และพระแสนแส้ต่างๆ
ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 เคยพยายามตรวจสอบค้นหาความจริง พระองค์ท่านพระราชนิพนธ์ไว้ในพระบรมราชาธิบายว่า ไม่พบร่องรอยของการฝังพระบรมสารีริกธาตุ 7 จุดในองค์พระแก้วมรกต ตามที่ตำนานรัตนพิมพวงศ์และชินกาลมาลีปกรณ์ระบุไว้แต่อย่างใดเลย • ขอขอบคุณ :- ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15-21 มีนาคม 2567 คอลัมน์ : ปริศนาโบราณคดี ผู้เขียน : เพ็ญสุภา สุขคตะ เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2567 website : https://www.matichonweekly.com/column/article_753719
|
|
|
99
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สิบวันแอ่วหาคนเถ้า เก้าวันแอ่วหาคนแก่ เหลือนั้นค่อยแว่หาร้างหาสาว
|
เมื่อ: เมษายน 15, 2024, 06:22:17 am
|
. สิบวันแอ่วหาคนเถ้า เก้าวันแอ่วหาคนแก่ เหลือนั้นค่อยแว่หาร้างหาสาว สิบฯฯวันฯแอ่วฯหาฅ฿นฯเถั้า เกั้าวันฯแอ่วฯหาฅ฿นฯแก่ เหิลฯอฯอนั้นฯค่อฯยฯแว่หาร้างฯหาสาวฯ สิบวันแอ่วหาคนเถ้า เก้าวันแอ่วหาคนแก่ เหลือนั้นค่อยแว่หาร้างหาสาว อ่านเป็นภาษาล้านนาว่า “สิบวันแอ่วหาคนเถ้า เก้าวันแอ่วหาคนแก่ เหลือนั้นก้อยแว่หาฮ้างหาสาว”
คนเถ้า หมายถึง ผู้สูงวัยที่มีความรู้ หรือเป็นปราชญ์ชาวบ้าน คนแก่ หมายถึง ผู้ที่มีหน้าที่ในทางปกครอง เช่น แก่บ้าน คือ ผู้ใหญ่บ้าน แก่วัด คือ ผู้ที่มีหน้าที่จัดการงานต่างๆ ของวัด แก่เหมืองฝาย คือ ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเหมืองฝายต่างๆ ร้าง หมายถึง หญิงที่หย่ากับผัว
ชาวล้านนามีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ถ้าครอบครัวใดมีบุตรเป็นชาย เมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนจบชั้นประถมศึกษาภาคบังคับแล้ว หากไม่ได้ศึกษาต่อ หรือมีเวลาหลังการเก็บเกี่ยวแล้ว มักจะให้บุตรหลานบรรพชาเป็นสามเณร หากลาสิกขาออกมาเรียกว่า “น้อย” หากไม่ลาสิกขาออกมา เมื่อมีอายุครบก็จะให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
หากบวชไม่นานลาสิกขาออกมาเรียกว่า “หนาน”ระฯบาฯช์ญฯล้านฯนาฯ “ระฯพสิริมังคฯลาจาร์ยฯ” อ่านว่า ผาดล้านนา พะสิริมังก๊ะลาจ๋าน แปลว่า ปราชญ์ล้านนา พระสิริมังคลาจารย์
ล้านนาในอดีต พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ในสมัยพระเจ้าติโลกราช มีนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นจำนวนมาก คัมภีร์ต่างๆ ที่ปราชญ์ได้รจนาขึ้น เป็นต้นแบบของการศึกษาภาษาบาลีสืบมา เช่น คัมภีร์มังคลัตถทีปนี ที่แต่งโดย พระสิริมังคลาจารย์ เป็นวรรณคดีบาลีที่ได้รับการยกย่อง และเป็นคัมภีร์สำหรับศึกษาของพระภิกษุประโยค เปรียญธรรม 4-7 วัด จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ของพระภิกษุ สามเณร
โดยมีผู้สอนที่ได้รับการถ่ายทอดจากตำราโบราณ หรือพระภิกษุที่บวชมานาน ที่เรียกว่า “แก่พรรษา” เมื่อลาสิกขาออกมาแล้ว “น้อย” หรือ “หนาน” เหล่านั้น ก็มีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม ตามที่ได้รับการถ่ายทอด เพื่อนำมาประพฤติ ปฏิบัติ ในวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมและประเพณีของชาวล้านนา
@@@@@@@
อย่างไรก็ตาม ความรู้ที่ได้รับทางธรรมอาจจะไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตในสังคมของชาวโลก จึงมีคำสอนของพ่อแม่ที่สอนลูกหลานว่า “สิบวันแอ่วหาคนเถ้า เก้าวันแอ่วหาคนแก่ เหลือนั้นค่อยแว่หาร้างหาสาว” เมื่อ “หนาน” ได้ลาสิกขาจากพระมาแล้ว ในเวลา 1 เดือน ถ้านับตามจันทรคติ ใน 30 วัน ในข้างขึ้น หรือ 29 วันในข้างแรม หรือใน 30 วัน หรือ 31 วัน ในปฏิทินสากล
หากต้องการความรู้ด้านต่างๆ ให้ไปศึกษาจากผู้ที่มีอายุ เป็นปราชญ์ชาวบ้าน ประมาณ 10 วัน อีก 9 วัน ให้ไปหาความรู้ทางด้านการปกครอง จากผู้ที่มีตำแหน่งและได้รับการยอมรับ ให้เป็น “แก่”
ที่เหลือจากนั้นจึงค่อยไปมองหาคู่ครอง ซึ่งอาจจะเป็นสาว หรือแม่ม่ายหย่าผัว เพราะถ้าบวชนานๆ โดยไม่มีคู่หมายมาก่อน ผู้หญิงในหมู่บ้านส่วนใหญ่ก็คงจะแต่งงานไปก่อนแล้ว เหลือแต่ หญิงม่าย ดังคำเปรียบเปรยที่ว่า “ส้มกับแม่มาน หนานกับแม่ร้าง” หมายถึง ของเปรี้ยวคู่กับหญิงตั้งครรภ์ ส่วนหนานนั้นคู่กับแม่ม่าย เป็นต้น
แม้ว่าคำสอนของพ่อแม่ล้านนาจะมีมานานแล้วก็ตาม ถ้านำมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน ก็ยังคงใช้ได้ เพราะหากไม่มีความรู้ความสามารถ หรือไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนให้เชี่ยวชาญ การที่จะดำรงชีวิตให้มีความสุขสบายก่อนที่จะแต่งงานคงเป็นไปได้ยากในสังคมที่มีการแข่งขัน ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่สูงขึ้น ค่านิยมของผู้คนก็เปลี่ยนไปตามฐานะของแต่ละครอบครัว • ขอขอบคุณ :- ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 มีนาคม 2567 คอลัมน์ : ล้านนาคำเมือง เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2567 URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_754883
|
|
|
102
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไฟไหม้โบสถ์วัดพระธาตุบังพวน วัดคู่บ้านคู่เมืองหนองคายเสียหายทั้งหลัง!
|
เมื่อ: เมษายน 14, 2024, 05:41:30 am
|
. ไฟไหม้โบสถ์วัดพระธาตุบังพวน วัดคู่บ้านคู่เมืองหนองคายเสียหายทั้งหลัง.!เกิดเหตุเพลิงไหม้โบสถ์ วัดพระธาตุบังพวน วัดคู่บ้านคู่เมืองหนองคายเสียหายทั้งหลัง พบบุคคลต้องสงสัยเป็นคนวิกลจริต
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา ร.ต.ท.หญิง นาถอนงค์ โพธิสาร รอง สารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองหนองคาย รับแจ้งเหตุไฟไหม้โบสถ์ ภายในวัดพระธาตุบังพวน ต.พระธาตุบังพวน อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคาย หลังรับแจ้งจึงไปตรวจสอบ พร้อม พ.ต.อ.สกล สิทธิวิชัย รอง ผบก.ภ.จว.หนองคาย ,พ.ต.อ.ยุทธนา งามชัด ผกก.สภ.เมืองหนองคาย, นายอุรุยศ เอียสกุล นายกเทศมนตรีเมืองหนองคาย ปลัดอำเภอเมืองหนองคาย และประสานรถดับเพลิงหลายคัน และประสานหน่วยกู้ภัยในพื้นที่ ลงไปยังจุดเกิดเหตุ
เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบกลุ่มควันจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากโบสถ์ โดยเพลิงลุกไหม้หลังคา พระสงฆ์ชาวบ้านช่วยกันดับเพลิงอยู่ก่อนแล้ว เจ้าหน้าที่ได้เร่งระดมฉีดน้ำเข้าไปไปภายในโบสถ์ ฉีดน้ำที่บริเวณหลังคาเพื่อควบคุมเพลิง ใช้เวลานานกว่า 40 นาที สามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ทั้งนี้จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่าเพลิงไหม้โบสถ์ถูกความร้อนทำให้สีของโบสถ์ลอกออก ส่วนพระประธานและพระพุทธรูปที่อยู่ในโบสถ์ถูกความร้อนของเพลิงที่ไหม้ทำให้ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ ข้าวของภายในโบสถ์ถูกเพลิงไหม้เสียหายหมด
สอบถามพระลูกวัดพระธาตุบังพวน เล่าว่า ขณะเกิดเหตุไม่มีใครอยู่บริเวณโบสถ์ มีชาวบ้านได้มาตะโกนบอกไฟไหม้โบสถ์จึงรีบวิ่งมาดู พบกลุ่มควันจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากโบสถ์ พระสงฆ์ชาวบ้านช่วยกันเอาถังดับเพลิง มาช่วยกันพยายามดับไฟแต่ไม่สามารถดับไฟได้ ส่วนสาเหตุยังไม่ทราบ
ด้าน พ.ต.อ.ยุทธนา งามชัด ผกก.สภ.เมืองหนองคาย กล่าวว่า จากการตรวจที่เกิดเหตุพบว่าภายในโบสถ์ซึ่งเป็นไม้ ไฟไหม้เสียหายทั้งหมด ซึ่งต้องรอการสอบสวนหาสาเหตุที่ชัดเจนอีกครั้ง แต่ในเบื้องต้นมีพยานเห็นบุคคลวิกลจริตป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุซึ่งต้องรอรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสอบสวนต่อไป ซึ่งได้กั้นพื้นที่เกิดเหตุไว้เพื่อรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมาตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจน และดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไปThank to : https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/221543 โดย PPTV Online | เผยแพร่ 13 เม.ย. 2567 ,08:37น.
|
|
|
103
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ศรัทธาแน่นวัด หลวงพ่อสิงห์ สรีระสังขารเหนือกาลเวลา 15 ปี ไม่เน่า ไม่เปื่อย
|
เมื่อ: เมษายน 14, 2024, 05:35:41 am
|
. ศรัทธาแน่นวัด หลวงพ่อสิงห์ สรีระสังขารเหนือกาลเวลา 15 ปี ไม่เน่า ไม่เปื่อยศรัทธาแน่นวัด ปิดทอง เปลี่ยนผ้าครอง หลวงพ่อสิงห์ 1 ปี มีครั้งเดียว สรีระสังขารเหนือกาลเวลา 15 ปี ไม่เน่า ไม่เปื่อย
วันที่ 13 เม.ย.67 ที่วัดไผ่เหลือง ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ผู้สื่อข่าวรายงาน ลูกศิษย์แน่นวัด แห่ร่วมสักการะกราบไหว้ครู อาจารย์ ในเทศกาลปีใหม่ไทยหรือ วันสงกรานต์ 2567 เปิดโลงแก้วสรีระสังขาร หลวงพ่อสิงห์ อดีตเจ้าคณะตำบลบางม่วง และอดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่เหลือง ปิดทอง เปลี่ยนผ้าครอง พระครูสมุห์สิทธิโชค อภินนฺโท เจ้าอาวาสวัดไผ่เหลือง กล่าวว่า ได้จัดให้มีการปิดทอง เปลี่ยนผ้าครอง หลวงพ่อสิงห์ เป็นประจำทุกปี ในช่วงเทศกาลปีใหม่ไทย เพื่อเป็นการระลึกนึกถึงครูอาจารย์ ผู้ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชา และเป็นผู้ที่ทำให้วัดมีความเจริญในทุกวันนี้ ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฎิบัติชอบ เป็นพระนักพัฒนา ที่มีลูกศิษย์มากมาย จากหลากหลายอาชีพ ลูกศิษย์ที่นำธรรมะของหลวงพ่อไปปฏิบัติ แล้วได้ดี ประสบความสำเร็จ ก็กลับมาพัฒนาวัด กลับมาดูแลพุทธศาสนา แม้ว่าท่านจะละสังขารไปนานแล้ว แต่ลูกศิษย์ลูกหาก็ยังมากราบไหว้ ขอพรกันไม่ขาด ลูกศิษย์บางคนกลับไปมีโชคมีลาภ จึงทำให้มีการพูดถึงกันไปปากต่อปากอย่างกว้างขวาง
พระครูสมุห์สิทธิโชค อภินนฺโท กล่าวต่อว่า ในเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 นี้ ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เชิญชวนประชาชน เข้าวัดทำบุญกราบขอพร 117 เกจิอาจารย์ สังขารเหนือกาลเวลา (ภาคกลาง) หลวงพ่อสิงห์ วัดไผ่เหลือง ท่านก็มีรายชื่อพระเกจิอาจารย์ สังขารเหนือกาลเวลาอยู่ด้วย หลวงพ่อสิงห์ เกิดในสกุล วิระยะวงศ์ เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2493 หมู่บ้านอองชุนนิ ประเทศเกาหลี บิดาชื่อ นายอนันต์ วิระยะวงศ์ เป็นอดีตทหารไทยที่ถูกส่งไปร่วมรบในสงครามเกาหลี มารดาเป็นชาวเกาหลี และเกิดที่ประเทศเกาหลี ท่านจึงเป็นลูกครึ่งไทย-เกาหลี
หลังบิดาเดินทางกลับประเทศไทย และอาศัยอยู่กับย่าที่ชุมชนหลังวัดบวรนิเวศวิหาร จนอายุได้ 15 ปี จึงย้ายภูมิลำเนาไปอยู่กับครอบครัวแม่บุญธรรมใน อ.บางเลน จ.นครปฐม และได้มีโอกาสเข้าไปรับใช้พระราชธรรมาภรณ์ หรือหลวงพ่อเงิน อดีตพระเกจิอาจารย์ วัดดอนยายหอม ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ได้ถ่ายทอดวิชาวิปัสสนากรรมฐาน การเจริญภาวนาสมาธิ Thank to : https://www.amarintv.com/news/detail/21402313 เม.ย. 67
|
|
|
105
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ๑๐ อันดับของสังฆทานที่ทำแล้ว พระสงฆ์ได้ประโยชน์มากที่สุด
|
เมื่อ: เมษายน 12, 2024, 07:48:17 am
|
. ๑๐ อันดับของสังฆทานที่ทำแล้ว พระสงฆ์ได้ประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากในปัจจุบันนี้สิ่งของที่อยู่ในถังสังฆทานสำเร็จรูปที่วางขายกันอยู่ทั่วไป พบว่ามากกว่าร้อยละ ๕๐ เป็นของที่ไม่มี คุณภาพไม่สามารถใช้งานได้จริง เช่น
- ผ้าจีวรที่สั้นและบางมาก - ใบชาที่มีกลิ่นเหม็น(บางครั้งใบชาถูกจัดวางไว้ติดกับผงซักฟอก จึงอาจมีกลิ่นของผงซักฟอกผสมอยู่ด้วย) - กระดาษชำระที่ไม่มีคุณภาพ เนื้อหยาบและมีกลิ่นเหม็น - แปรงสีฟันที่มีขนแปรงที่แข็งมาก จนอาจจะทำให้ผู้ใช้เป็นโรคเหงือกอักเสบได้ - สบู่หรือแชมพูที่มีกลิ่นหอมแรงและผสมมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ซึ่งอาจจะทำให้พระสงฆ์ผิดศีลต้องปลงอาบัติ (มีศีลข้อห้ามการประทินผิวและใช้เครื่องหอม) - เครื่องชงดื่มที่มักจะหมดอายุ - ถ่านไฟฉายหมดอายุแบตเตอรี่เสื่อม ฯลฯ - หรือแม้แต่ตัวภาชนะที่ใส่ก็ยังทำจากพลาสติกคุณภาพต่ำ ใส่อะไรได้ไม่นาน ก็ฉีก แตก พัง เป็นต้น จึงได้มีการจัดอันดับสิ่งของสังฆทานตามความจำเป็นในการใช้งาน จำนวน ๑๐ อันดับ เรียงจากจำเป็นมากสุดไปน้อยที่สุดได้ ดังนี้
๑. เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ เนื่องจากพระต้องเรียนพระปริยัติธรรมและจดกำหนดนัดหมายต่าง ๆ ๒. ใบมีดโกน เนื่องจากพระต้องโกนผมทุกวันโกน ๓. ผ้าไตรจีวร ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับสมณะสงฆ์ ๔. หนังสือธรรมะ สารคดี นิตยสารหรือที่ให้ความรู้ด้านอื่นๆ เนื่องจากพระสงฆ์มีหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงต้องมีความรู้ที่แตกฉานและรู้ ทันข่าวสารบ้านเมือง ๕. รองเท้า พระต้องเดินทางไปกิจนิมนต์ตามที่ต่าง ๆ บางรูปต้องทำงานที่ใช้แรงงานในวัด เช่น ก่อสร้าง ทำสวนทำให้รองเท้ามักจะขาด และเสียหายอยู่บ่อย ๆ ๖. ยาสามัญประจำบ้าน ที่จำเป็น เช่น ยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาแก้ไอ แก้ไข้ ลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาใส่แผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลพุพองเป็นหนอง ผิวหนังอักเสบเป็นหนอง ๗. ผ้าขนหนู ไม่ต้องสีเหลืองก็ได้เพื่อไว้สำหรับเช็ดทำความสะอาดร่างกาย ๘. คอมพิวเตอร์ เพื่ อสืบค้นและจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ๙. อุปกรณ์ทำความสะอาด เพื่อนำไปทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค บริเวณกุฏิ ศาลา อุโบสถ ๑๐. แชมพู เพราะพระสงฆ์ไม่มีผมปกคลุม ทำให้หนังศีรษะของพระมักจะแห้ง และเกิดโรคผิวหนังอยู่เสมอ สิ่งที่จะช่วยบรรเทาได้ ก็คือ แชมพู ยาที่มีสูตรส่วนผสมดูแลปกป้องหนังศีรษะ
ขอขอบคุณ :- บทความจาก : จุลสารหนังสือ อาหารสุขภาพพระสงฆ์ "บุญแห่งทาน อาหารแห่งศรัทธา" หน้า 15-16 URL : https://e-book.dra.go.th/ebook/2566/health-food-for-monks/mobile/index.html
|
|
|
106
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 40 ท่วงท่าลีลาสตรีเกี้ยวบุรุษ เมื่อหญิงแพศยาเย้ายวนพระสงฆ์สมัยพุทธกาล
|
เมื่อ: เมษายน 12, 2024, 06:35:44 am
|
. (ภาพประกอบเนื้อหา) จิตรกรรมภาพพระภิกษุ วัดบวรนิเวศวิหาร40 ท่วงท่าลีลาสตรีเกี้ยวบุรุษ เมื่อหญิงแพศยาเย้ายวนพระสงฆ์สมัยพุทธกาลท่วงท่าลีลาสตรีเกี้ยวบุรุษ 40 ท่า มีที่มาจากคัมภีร์อรรถกถาชาดก เรื่องพระสุนทรสมุทรเถระ ซึ่งมารดาของพระสงฆ์รูปดังกล่าวต้องการให้สึกจากพระพุทธศาสนา จึงคิดว่าจ้างหญิงแพศยาให้ไปเกี้ยวพระสุนทรสมุทรเถระ
พระสุนทรสมุทรเถระ หรือสุนทรสมุทรกุมาร เดิมเป็นบุตรชายเกิดในตระกูลใหญ่อันมีสมบัติมหาศาล อาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี วันหนึ่งได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า บังเกิดความอุตสาหะจึงบรรพชาเป็นพระสงฆ์ แม้นบิดามารดาจะเห็นชอบให้บรรพชา แต่ก็สร้างความระทมให้ผู้เป็นมารดามาก
วันหนึ่ง หญิงแพศยาคนหนึ่งเห็นมารดาของพระสุนทรสมุทรเถระกำลังนั่งร้องไห้ สืบสาวราวเรื่องจึงทราบเหตุ จนปรึกษาหารือตกลงว่าจ้างหญิงแพศยานั้นไปออกอุบายล่อลวงให้พระสุนทรสมุทรเถระสึกเสีย หญิงแพศยาก็ออกอุบายเกลี้ยกล่อมต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะการแสดงกิริยา 40 ท่า เกี้ยวพระสุนทรสมุทรเถระ อันเป็นการเย้ายวนหวังให้เกิดกำหนัด รู้สึกปรารถนาในกามคุณ
ธาร ธรรมโฆษณ์ ประพันธ์กวีเกี่ยวกับกิริยาทั้ง 40 ท่า ไว้ดังนี้
@@@@@@@
เรื่องราวมีมาในชาดก ขอหยิบยกมาเล่ากันเล่นเล่น ลีลาหญิงเกี้ยวชายหลายประเด็น ชี้ชัดชัดให้เห็นเป็นท่าไป ท่าที่หนึ่ง ทำท่าสะบัดสะบิ้ง เหมือนไม้หลักปักตลิ่งส่ายไหวไหว ท่าที่สอง ก้มลงทำไฉไล โก้งโค้งอยู่ใกล้ใกล้หมายให้ชม
ท่าที่สาม กรีดกรายเหมือนนักฟ้อน นวยนาดอ่อนมือไม้ไม่อยู่สม ท่าที่สี่ ชมดชม้อยตาปรือกลม เหมือนลิงลมเอียงอายยั่วสายตา ท่าที่ห้า เอาเล็บกรีดเล็บถู นั่งแคะอยู่อย่างนั้นนานนักหนา ท่าที่หก เหยียบเท้าทับไปมา ให้ผู้ชายเห็นว่าตนเท้างาม
ท่าที่เจ็ด เอาไม้มาเขี่ยดิน เหมือนวาดศิลป์ภาพสวยให้วาบหวาม ท่าที่แปด อุ้มเด็กชูขึ้นตาม แกว่งส่ายข้ามไปมา อวดทรวดทรง ท่าที่เก้า อุ้มเด็กลดลงต่ำ เม้มปากทำเป็นง้อล่อประสงค์ ท่าที่สิบ แกล้งเล่นหมายจำนง ชี้ตนบ่งเป็นเด็กสาวเบิกบาน
ท่าสิบเอ็ด แกล้งยุให้เด็กเล่น ทำเป็นวางกะเกณฑ์เน้นเสียงหวาน ท่าสิบสอง จูบเด็กยิ้มสำราญ เอาจมูกป้ายผ่านแก้มไปมา ท่าสิบสาม ยื่นแก้มให้เด็กจูบ เอาหน้าลูบแก้มเด็กหัวเราะร่า ท่าสิบสี่ กินของเคี้ยวโอชา ทำจุ๊บจั๊บปากกว่าจะได้กลืน
ท่าสิบห้า ยื่นของให้เด็กกิน ป้อนค่อยค่อยยั่วลิ้นแกล้งขัดขืน ท่าสิบหก ยื่นของให้เด็กยืน ผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนยื่นให้ไป ท่าสิบเจ็ด เอาของจากเด็กคืน ผ้าเช็ดหน้าที่ยื่นดึงกลับใหม่ ท่าสิบแปด ล้อเลียนเด็กแกว่งไกว ทำมือไหวไปมาเหมือนล้อเลียน
ท่าสิบเก้า แกล้งพูดเสียงดังดัง ไม่ยับยั้งดังข่มอารมณ์เปลี่ยน ท่ายี่สิบ พูดเบาเสียงแผ่วเนียน กำซาบถ้อยพจน์เลี่ยนเหมือนโอดคราง ท่ายี่สิบเอ็ด พูดจาคำเปิดเผย ห้าวห้าวเย้ยเปรยคำทำโผงผาง ท่ายี่สิบสอง พูดล่อเป็นรางราง กล่าวนัยอย่างสองแง่ ให้คิดเอา
ท่ายี่สิบสาม ทำท่าร่ายร้องรำ นัยน์ตาฉ่ำทำส่ายกายกระเส่า ท่ายี่สิบสี่ ร้องเพลงครวญเบาเบา บ้างร้อนแรงเริงเร่าเร้าทำนอง ท่ายี่สิบห้า ทำท่ากระซิกกระซี้ เหมือนกระดี่ได้น้ำกระโดดหนอง ท่ายี่สิบหก จ้องตาทำเมียงมอง เล่นตาจ้องจดจ่อล่อเชิงชาย
ท่ายี่สิบเจ็ด ส่ายสะเอวเป็นจังหวะ ยั่วราคะชายชมสุขสมหมาย ท่ายี่สิบแปด ไหวของลับประจำกาย แลบล่อย้ายทรวงทรงนงเนื้อนวล ท่ายี่สิบเก้า ถ่างขาอ้ากางออก ให้ระลอกลมล่องของสงวน ท่าสามสิบ หุบขาเหมือนเย้ายวน ถ่างหุบให้ปั่นป่วนรัญจวนจินต์
ท่าสามสิบเอ็ด เปิดเสื้อให้เห็นนม แบะเบิกบ่มบวบบุ๋มบีบถวิล ท่าสามสิบสอง โชว์รักแร้ยอดโศภิน ชูแขนเผยจนสิ้นไม่ปิดบัง ท่าสามสิบสาม เปิดสะดือให้เห็นหลุม โชว์เนื้อลุ่มกลางกายคล้ายบ่อขลัง ท่าสามสิบสี่ ขยิบตาเคลิ้มภวังค์ เหมือนจะสั่งวาจาด้วยตาวาว
ท่าสามสิบห้า ยักคิ้วทำหลิ่วเหล่ เหมือนนักเลงเกเรยิ้มเหล่สาว ท่าสามสิบหก เม้มปากเป็นเส้นยาว เหมือนไม่อยากกินข้าว เจ้าลีลา ท่าสามสิบเจ็ด แลบลิ้นออกมาเลีย น้ำลายเยิ้มไหลเรี่ยริมโอษฐา ท่าสามสิบแปด ทำทีเป็นเปลื้องผ้า ให้วับวับวืดพาจะหลุดมือ
ท่าสามสิบเก้า เปลื้องผ้าทำนุ่งใหม่ ตบแต่งให้เข้าทรงเสียดื้อดื้อ ท่าสี่สิบ สยายผมลมกระพือ ทั้งหมดคือ ท่าหญิงใช้เกี้ยวชาย เรื่องราวมีมาในชาดก สาธกยกมาเขียนขยาย อ่านเล่นเล่นหน้าร้อนนอนผ่อนคลาย สาธยายนานแล้ว ขอจบเอย [1]
พระพุทธเจ้าทรงรับรู้เหตุการณ์ขณะที่หญิงแพศยากำลังเกี้ยวพระสุนทรสมุทรเถระ ก็ทรงเห็นกระจ่างชัดว่า “ความชนะจักมีแก่สุนทรสมุทร, ความปราชัยจักมีแก่หญิงแพศยา” [2]
อ่านเพิ่มเติม :-
• สมัยพุทธกาล ภิกษุณี 2 รูป ถูกชายชั่วชวน “สังวาส” • สาวสมัยพุทธกาลเข้าใจผิด คิดว่าช่วยคลายกำหนัดให้พระแล้วจะได้บุญ • วัฒนธรรมโสเภณี แก้เหงาไม่เฉามือ..จากสมัยพุทธกาลถึงรัตนโกสินทร์
ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : เสมียนอารีย์ เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 11 เมษายน พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 31 มกราคม 2565 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_82345อ้างอิง :- [1] ธาร ธรรมโฆษณ์. (กุมภาพันธ์, 2547). ลีลาหญิงเกี้ยวชาย 40 ท่า. ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 25 : ฉบับที่ 6. [2] “เรื่องพระสุนทรสมุทรเถระ”. (2548). เข้าถึงเมื่อ 31 มกราคม 2565, จาก https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=36&p=32
|
|
|
107
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สิ้นแล้ว “สมณะโพธิรักษ์” เจ้าสำนักสันติอโศก ผู้นำกองทัพธรรม
|
เมื่อ: เมษายน 12, 2024, 06:23:44 am
|
. สิ้นแล้ว “สมณะโพธิรักษ์” เจ้าสำนักสันติอโศก ผู้นำกองทัพธรรมMGR Online - สิ้นแล้ว “สมณะโพธิรักษ์” ผู้นำจิตวิญญาณสำนักสันติอโศก มรณภาพแล้ว ลูกศิษย์เศร้าโพสต์อาลัย
เมื่อวันที่ 11 เม.ย. รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเวลา 06.40 น. พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ (ชื่อเดิม มงคล รักพงษ์) เจ้าสำนักสันติอโศก ได้มรณภาพ ด้วยโรคชรา ในวัย 90 ปี
ทั้งนี้ มีรายงานว่า สมณะโพธิรักษ์เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลวารินชำราบ ด้วยอาการปอดอักเสบ และออกจาก รพ. กลับราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ก่อนจะมรณภาพ
@@@@@@@
กำหนดการพิธีเคลื่อนสรีรสังขาร "พ่อครูสมณะโพธิรักษ์"
พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ละสังขาร ด้วยโรคชรา เวลา ๐๖.๔๐.๑๐ น. ชาตะ : วันอังคาร ที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๗๗ มรณภาพ : วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๗ สิริอายุ : อายุ ๘๙ ปี ๑๐ เดือน ๖ วัน อุปสมบท : วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ , ๕๓ พรรษา ๕ เดือน ๔ วัน
๑๐.๐๐ น. นายแพทย์มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ และนายแพทย์พงษ์พัฒน์ พิมพ์สะ แพทย์เจ้าของไข้ มากราบขอขมา ๑๐.๓๐ น. เคลื่อนสรีรสังขาร จาก โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ไปยังบวรราชธานีอโศก ๑๑.๐๐ น. ถึงราชธานีอโศก ***ตั้งขบวนรับจากสะพานโค้งรุ้ง ๑๑.๓๐ น.พิธีบรรจุสรีรสังขารพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ลงหีบ โดยท่านสมณะ ณ ใต้เฮือนศูนย์สูญประวัติโดยสังเขป
สมณะโพธิรักษ์ เดิมชื่อ มงคล รักพงษ์ ชื่อเล่นว่า แป๊ก เกิดที่จังหวัดศรีสะเกษ วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2477 บิดา คือ นายทองสุข แซ่โง้ว ถึงแก่กรรมเมื่อ ด.ช.มงคล อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ ส่วนมารดาชื่อนางบุญโฮม รักพงษ์ ซึ่งได้แต่งงานใหม่กับ สิบโท บุญเฉย รักพงษ์ ด.ช.มงคลเป็นลูกคนเดียวของนายทองสุข ส่วนมารดามีลูกกับบิดาเลี้ยง 10 คน ลุงซึ่งเป็นนายแพทย์ประจําจังหวัดศรีสะเกษ ชื่อ นายแพทย์สุรินทร์ พรหมพิทักษ์ ขอไปเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก และต้องย้ายที่อยู่ต่อมา ขณะที่เด็กชายมงคลเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 2 ได้เกิดสงครามอินโดจีน ลุงจึงนํามาส่งคืนมารดาซึ่งทํางานอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี
ด.ช.มงคล มีความขยันหมั่นเพียรและมีความรับผิดชอบตั้งแต่ยังเด็ก เดิมฐานะทาง บ้านดี เพราะมารดาค้าขายเก่ง แต่ต่อมามารดาถูกโกงและป่วยเป็นวัณโรค ทําให้ประสบปัญหาทางการเงิน ด.ช.มงคลจึงช่วยมารดาค้าขายเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว นอกจากนั้น ยังชอบขาย ของและหารายได้เอง และเมื่อเดินทางมาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ก็ทํางานเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์
เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 7 (มัธยมศึกษาปีที่ 5 ในปัจจุบัน) จากโรงเรียนสีตบุตรบํารุง กรุงเทพฯ นายมงคลได้ไปสมัครเรียนที่วิทยาลัยเพาะช่างในแผนกที่ตั้งใหม่คือแผนกวิจิตรศิลป์ โดยไม่ต้องสอบเข้า ระหว่าง พ.ศ. 2495-2500 จนจบการศึกษา และในขณะที่กําลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเพาะช่างปี 5 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น รัก รักพงษ์
@@@@@@@
เมื่อมารดาถึงแก่กรรม เป็นช่วงเวลาที่นายรัก รักพงษ์ จบการศึกษาเพาะช่างและได้เข้าทํางานที่บริษัทไทยโทรทัศน์จํากัด นายรัก รักพงษ์ได้รับภาระเลี้ยงดูและส่งเสียน้องทุกคนเรียนหนังสือ
นายรัก รักพงษ์ เริ่มทํางานที่บริษัทไทยโทรทัศน์ จํากัด เมื่อ พ.ศ. 2501 โดยเป็นนักจัดรายการ ซึ่งได้แก่รายการเด็ก รายการการศึกษา และรายการทางวิชาการต่างๆ นอกจากนี้ ยังเป็นครูพิเศษสอนศิลปะตามโรงเรียนต่างๆ และมีงานประพันธ์ ทั้งสารคดี เรื่องสั้น บทกวี และบทเพลง ใช้นามปากกาแตกต่างกัน เช่น มงคล พงษ์มงคล, เกื้อ ปรียา และโบราณ สนิมรัก งานประพันธ์ที่ ทําให้มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ บทเพลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลง “ผู้แพ้” ซึ่งประพันธ์ขึ้นสมัยที่เป็นนักเรียนอยู่ที่โรงเรียนเพาะช่างระหว่าง พ.ศ.2497-2498 เป็นผู้ประพันธ์ทั้งคําร้องและทํานอง มีเนื้อ หาสาระแฝงคติธรรมในการต่อสู้ชีวิต และใช้นามผู้ประพันธ์ว่า รัก พงษ์มงคล
หลังจากนั้น รัก รักพงษ์ได้สนใจศึกษาเรื่องจิตทําให้หมกมุ่นอยู่กับไสยศาสตร์ไประยะหนึ่ง จนกระทั่งได้มีโอกาสศึกษาพุทธธรรมจนเกิดความซาบซึ้งและเห็นคุณค่าของพุทธศาสนาต่อการดํารงชีวิต ความสนใจในทางศาสนาทำให้นายรัก รักพงษ์ เขียนหนังสือเกี่ยวกับธรรมะหลายเล่ม โดยใช้นามปากกาว่า โพธิรักษ์ เช่น ชีวิตนี้มีปัญหา เป็นงานเขียนที่รวบรวมจากบทความต่างๆ ที่เขียนประจําในนิตยสาร “ดาราภาพ" กลางทะเลชีวิต เป็นหนังสือ รวมบทความจากที่เคยเขียนไว้ในนิตยสาร “สตรีสาร” และลําธารชีวิตเป็นหนังสือรวมบทความ จากที่เคยเขียนไว้ในนิตยสาร “ไทยโทรทัศน์”ต่อมา นายรัก รักพงษ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุตที่วัดอโศการาม จังหวัด สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2513 โดยมีอุปัชฌาย์ คือ พระราชวรคุณ และได้รับ ฉายาจากการอุปสมบทว่า “พระโพธิรักษ์” ซึ่งหมายถึง “ผู้รักษาความตรัสรู้” เป็นฉายาจากนามปากกาขณะที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับธรรมะเมื่อยังเป็นฆราวาส และได้ขออุปัชฌาย์ใช้นามนี้เป็นฉายา
หลังจากที่มีบุคคลเลื่อมใสศรัทธามาบวชและปฏิบัติธรรมกันมากขึ้น วัดอโศการามจนกลายเป็นกลุ่มชนใช้นามว่า “ชาวอโศก” พระโพธิรักษ์จึงขอสร้างสถานที่เฉพาะกลุ่มเพื่อปฏิบัติธรรมตามแนวคําสอนของตน แต่พระอุปัชฌาย์ไม่อนุญาตให้อยู่ปนกันทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุต เนื่องจากพระโพธิรักษ์เป็นพระฝ่ายธรรมยุต พระโพธิรักษ์จึงไปอุปสมบทใหม่ที่วัดหนองกระทุ่ม จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2516 เป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย มีอุปัชฌาย์ คือ พระครูสถิตวุฒิคุณ ขณะนั้นมีใบสุทธิ 2 ใบ และได้นําใบสุทธิของฝ่ายธรรมยุตมาคืนที่วัดอโศการาม เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2516
การทํางานเผยแพร่ธรรมของพระโพธิรักษ์มีอุปสรรคและมีปัญหามากจากความขัดแย้งกับคณะสงฆ์และชาวพุทธฝ่ายจารีตนิยม เนื่องจากถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “นอกรีต” จากการปฏิบัติที่เคร่งครัดของพระโพธิรักษ์และคณะ ได้แก่ ฉันอาหารมังสวิรัติ, ฉันอาหารวันละ 1 มื้อ, ไม่ใช้เงินทอง, นุ่งห่มผ้าย้อมสีกรัก, ไม่มีการเรี่ยไร, ไม่รดน้ำมนต์-พรมน้ำมนต์, ไม่ใช้การบูชา ด้วยธูปเทียน, ไม่มีไสยศาสตร์ พระโพธิรักษ์จึงประกาศตัวลาออกจากมหาเถรสมาคม หรือที่เรียกว่า นานาสังวาส เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2518 แต่ยังได้รับความคุ้มครอง ตามมาตรา 15 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย
@@@@@@@
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งได้รุนแรงมากขึ้นจนนําไปสู่กรณีสันติอโศก โดยมหาเถระสมาคม ได้เห็นชอบให้มีการประกาศนียกรรม ให้พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชน มิให้คบหาสมาคมหรือให้ความร่วมมือใด ๆ แก่พระโพธิรักษ์ และคณะที่พระโพธิรักษ์บวชให้ ซึ่งประกาศนียกรรมมีค่าเท่ากับ "บัพพาชนียกรรม" เมื่อครั้งพุทธกาลนั่นเอง อันเป็นผลให้พระโพธิรักษ์ต้องสึกจากพระภิกษุและใช้นามว่าสมณะโพธิรักษ์แทน และยังคงปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเหมือนเดิม นุ่งห่มแตกต่างจากพระสงฆ์ไทยทั่วไป ตั้งแต่ พ.ศ.2532 เป็นต้นมา
ในปี 2533 อัยการได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพระโพธิรักษ์และพระชาวอโศก ข้อหากระทำผิด พ.ร.บ.คณะสงฆ์ กรณีการแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่ากระทำผิดจริง เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2538 และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2540
“สมณะโพธิรักษ์” ได้ร่วมก่อตั้งพรรคพลังธรรม โดยมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นหัวหน้าพรรค ทั้งยังได้มีบทบาททางการเมือง โดยนำพาผู้ปฏิบัติธรรมสันติอโศกเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 รวมถึงการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐบาลทั้งในปี พ.ศ.2549 และ พ.ศ.2551 รวมถึงการชุมนุมของกปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ในปี พ.ศ. 2556 และพ.ศ. 2557 ด้วย โดยเฉพาะการชุมนุมของ กปปส.นั้นสมณะโพธิรักษ์และผู้ปฏิบัติธรรมสันติอโศก ได้ปักหลักชุมนุมที่สวนลุมพินีตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ร่วมกับกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) โดยก่อนหน้านั้น ในปี พ.ศ. 2555 ก็ได้เคยเข้าร่วมการชุมนุมกับองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) มาแล้ว
ทั้งนี้ “สมณะโพธิรักษ์” ได้นำพากลุ่มชาวอโศกสร้าง “ชุมชนบุญนิยม” ตามปรัชญา แห่งศาสนาพุทธ ที่เชื่อมั่นว่า สัมมาทิฏฐิ เป็นแกนสำคัญ ของมนุษย์ และสังคมโดย มีความ เป็นอยู่ อย่างเรียบง่าย, พึ่งตนเองได้, สร้างสรร, ขยัน-อดทน, ไม่เอาเปรียบใคร, ตั้งใจเสียสละ จนได้รับ การขนานนามว่า “ชุมชนคนพอเพียง”Thank to : https://mgronline.com/qol/detail/9670000031661เผยแพร่ : 11 เม.ย. 2567 08:59 , ปรับปรุง : 11 เม.ย. 2567 17:23 , โดย : ผู้จัดการออนไลน์
|
|
|
110
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / “ท่านสารีบุตร ก็นิพพานนี้ไม่มีเวทนา จะเป็นสุขได้อย่างไร.?”
|
เมื่อ: เมษายน 09, 2024, 09:29:51 am
|
. ๓. นิพพานสุขสูตร ว่าด้วยนิพพานเป็นสุข(๑-)[๓๔] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน(๒-) เขตกรุงราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล
ท่านพระสารีบุตรกล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า “ผู้มีอายุทั้งหลาย นิพพานนี้เป็นสุข นิพพานนี้เป็นสุข” เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกับท่านพระสารีบุตรดังนี้ว่า “ท่านสารีบุตร ก็นิพพานนี้ไม่มีเวทนา จะเป็นสุขได้อย่างไร” ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ผู้มีอายุ นิพพานที่ไม่มีเวทนานั่นแลเป็นสุข
กามคุณ ๕ ประการนี้ กามคุณ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. รูปที่พึงรู้แจ้งทางตา อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด ๒. เสียงที่พึงรู้แจ้งทางหู ฯลฯ ๓. กลิ่นที่พึงรู้แจ้งทางจมูก ฯลฯ ๔. รสที่พึงรู้แจ้งทางลิ้น ฯลฯ ๕. โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งทางกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด ผู้มีอายุ กามคุณ ๕ ประการนี้แล ผู้มีอายุ สุขโสมนัสที่อาศัยกามคุณ ๕ ประการเกิดขึ้น เรียกว่า กามสุข
@@@@@@@
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยกามยังฟุ้งขึ้น ข้อนั้นเป็นความกดดัน(๓-) แก่ภิกษุนั้น ทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่คนผู้มีสุขเพียงเพื่อความกดดัน แม้ฉันใด สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยกามเหล่านั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมฟุ้งขึ้นแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ความกดดัน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่าทุกข์ โดยปริยายนี้แล พึงทราบว่า นิพพานเป็นสุขได้อย่างไร
ภิกษุบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยวิตกยังฟุ้งขึ้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่คนผู้มีสุขเพียงเพื่อความกดดัน แม้ฉันใด สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยวิตกเหล่านั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมฟุ้งขึ้นแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ความกดดัน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่าทุกข์ โดยปริยายนี้แล พึงทราบว่า นิพพานเป็นสุขได้อย่างไร
ภิกษุบรรลุตติยฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญา-มนสิการที่ประกอบด้วยปีติยังฟุ้งขึ้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่คนผู้มีสุข เพียงเพื่อความกดดัน แม้ฉันใด สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยปีติเหล่านั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมฟุ้งขึ้นแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ความกดดัน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่าทุกข์ โดยปริยายนี้แล พึงทราบว่า นิพพานเป็นสุขได้อย่างไร
ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยอุเบกขายังฟุ้งขึ้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่คนผู้มีสุขเพียงเพื่อความกดดัน แม้ฉันใด สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยอุเบกขาเหล่านั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมฟุ้งขึ้นแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ความกดดัน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่าทุกข์ โดยปริยายนี้แล พึงทราบว่า นิพพานเป็นสุขได้อย่างไรภิกษุบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน โดยกำหนดว่า ‘อากาสหาที่สุดมิได้’ อยู่เพราะล่วงรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่กำหนดนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยรูปยังฟุ้งขึ้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่คนผู้มีสุขเพียงเพื่อความกดดันแม้ฉันใด สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยรูปเหล่านั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมฟุ้งขึ้นแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ความกดดัน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่าทุกข์ โดยปริยายนี้แล พึงทราบว่า นิพพานเป็นสุขได้อย่างไร
ภิกษุล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน โดยกำหนดว่า ‘วิญญาณหาที่สุดมิได้’ อยู่ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌานเหล่านั้นยังฟุ้งขึ้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่คนผู้มีสุขเพียงเพื่อความกดดัน แม้ฉันใด สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌานเหล่านั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกันย่อมฟุ้งขึ้นแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ความกดดัน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่าทุกข์ โดยปริยายนี้แล พึงทราบว่า นิพพานเป็นสุขได้อย่างไร
ภิกษุล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน โดยกำหนดว่า ‘ไม่มีอะไร’ อยู่ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌานยังฟุ้งขึ้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้นทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่คนผู้มีสุขเพียงเพื่อความกดดัน แม้ฉันใด สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌานเหล่านั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมฟุ้งขึ้นแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ความกดดัน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่าทุกข์ โดยปริยายนี้แล พึงทราบว่า นิพพานเป็นสุขได้อย่างไร
ภิกษุล่วงอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยอากิญจัญญายตนฌานยังฟุ้งขึ้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่คนผู้มีสุขเพียงเพื่อความกดดัน แม้ฉันใด สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยอากิญจัญญายตนฌานเหล่านั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมฟุ้งขึ้นแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นความกดดันแก่ภิกษุนั้น ความกดดันพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่าทุกข์ โดยปริยายนี้แล พึงทราบว่า นิพพานเป็นสุขได้อย่างไร
@@@@@@@
ภิกษุล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ และอาสวะทั้งหลายของเธอหมดสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาโดยปริยายนี้แล พึงทราบว่า นิพพานเป็นสุขได้อย่างไร”
นิพพานสุขสูตรที่ ๓ จบ
เชิงอรรถ (๑-) ดูข้อ ๔๒ ( สัมพาธสูตร) หน้า ๕๓๓ ในเล่มนี้ (๒-) ดูเชิงอรรถที่ ๑ ข้อ ๒๖ ( สิลายูปสูตร) หน้า ๔๘๔ ในเล่มนี้ (๓-) ความกดดัน (อาพาธ) หมายถึง ความบีบคั้น (ปีฬนะ) (องฺ.นวก.อ. ๓/๓๔/๓๐๘) ขอขอบคุณ :- ภาพ : https://www.pinterest.ca/ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๓ หน้า : ๕๐๐-๕๐๒ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต [๑. ปฐมปัณณาสก์] , ๔. มหาวรรค , ๓. นิพพานสุขสูตร URL : https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=23&siri=197
|
|
|
111
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ต้องเป็น ปชต.ทางความเชื่อ อยากเข้าใจไทยต้องเก็ตศาสนา อ่าน ‘ลอกคราบพุทธแท้’
|
เมื่อ: เมษายน 08, 2024, 08:33:06 am
|
. อาจารย์ ม.ดังอิตาลี ลั่นต้องเป็น ปชต.ทางความเชื่อ อยากเข้าใจไทยต้องเก็ตศาสนา คว้า ‘ลอกคราบพุทธแท้’‘อาจารย์ ม.ดังอิตาลี’ ลั่นอยากเข้าใจเมืองไทย ต้องเก็ตศาสนาก่อน พุ่งคว้า ‘ลอกคราบพุทธแท้’ ยันต้องเป็น ปชต.ทางศาสนา ไม่เชื่อห้ามดูถูก เผยเจ้าของบ้านเช่าเป็น ‘ร่างทรง’
เมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น LG ฮอลล์ 5-7 สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยรัฐ (PUBAT) พร้อมด้วยพันธมิตรสำนักพิมพ์ ร่วมจัดงาน ‘สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22’ ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม-8 เมษายนนี้
บรรยากาศเวลา 12.50 น. ที่บูธ ‘สำนักพิมพ์มติชน J47’ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้เลือกซื้อหนังสือทยอยเข้ามาหยิบอ่านและเลือกซื้อ ทั้งหนังสือการเมือง ประวัติศาสตร์ จิตวิทยา หนังสือแปล และวรรณกรรม อีกทั้งยังมีผู้สนใจของแถมเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งกระเป๋าผ้า กระเป๋าถือขนาดใหญ่ สามารถแลกของขวัญได้เมื่อซื้อครบ 500 บาทขึ้นไป ทั้งนี้ สำพิมพ์มติชนจัดโปรโมชั่นลดราคาหนังสือ หนังสือออกใหม่ลด 15% หนังสือขายดีลด 20% หนังสือเพื่อนสำนักพิมพ์ลด 10-15% และหนังสือชุดลดพิเศษถึง 25-30%
บรรยากาศเวลา 13.00 น. ดร.อาสา คำภา เจ้าของผลงาน “ลอกคราบพุทธแท้ : ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาชนชั้นกลางไทยร่วมสมัย” เดินทางมาแจกลายเซ็น ท่ามกลางแฟนนักอ่านมาร่วมต่อคิวเป็นจำนวนมาก
โดยหนึ่งในนั้นคือ เอโดอาร์โด้ ซีอานี่ (Edoardo Siani) อาจารย์มหาวิทยาลัย Ca’ Foscari University of Venice แห่งประเทศอิตาลีเอโดอาร์โด้ ซีอานี่ กล่าวว่า ตนเคยอาศัยอยู่ในประเทศไทยมากว่า 20 ปี แต่วันนี้กลับมาประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อศึกษาข้อมูลต่างๆ ในวันนี้ได้มาเลือกหนังสือ “ลอกคราบพุทธแท้” กลับไป เพราะคิดว่าศาสนาพุทธมีบทบาทต่อคนไทย และสังคมไทยอย่างมาก
“หากคุณต้องการเข้าใจสังคมไทย คุณต้องเข้าใจพระพุทธศาสนาก่อน”
เมื่อถามถึงสาเหตุที่มีความสนใจทางด้านพระพุทธศาสนาและการเมืองไทย?
เอโดอาร์โด้ ซีอานี่ เผยว่า ครั้งแรกที่ตนมาประเทศไทยก็เช่าห้องในบ้านที่เป็นร่างทรง
“เมื่อผมย้ายมาจากประเทศอิตาลี เมื่อเจอเจ้าของบ้านและได้รับรู้ว่าเขาเป็น ‘ร่างทรง’ ก็เลยเป็นที่มาของการรู้จักสังคมไทยควบคู่กับศาสนา ความเชื่อต่างๆ จึงเป็นการตั้งคำถามว่าทำไมคนไทยมีความเชื่อเช่นนี้
จนทำให้ผมนึกถึงตอนเป็นเด็กที่ประเทศอิตาลี ทุกศาสนามีความเชื่อ มีร่างทรง ผมคิดว่ามันเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจ”เอโดอาร์โด้ ซีอานี่ กล่าวเมื่อถามว่า ส่วนตัวเชื่อเรื่อง “ร่างทรง” หรือไม่?
เอโดอาร์โด้ ซีอานี่ กล่าวว่า ตนเป็นคนเชื่อทุกอย่างค่อนข้างยาก แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจว่าความเชื่อนั้นสำคัญต่อคนบางคน หรือคนบางกลุ่ม
“เมื่อตอนเด็กๆ แม่ผมก็เลยพาไปหาร่างทรง ‘คาทอลิก’ นิกายหนึ่งของคริสต์ เป็นผู้หญิงที่เหมือนกับว่า สมเด็จพระสันตะปาปาที่เสียชีวิตไปแล้วมาเข้าร่าง และก็จะมีการเขียนจดหมายส่งให้แม่ เพื่อให้เกิดความสบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร
ผมน่าจะเชื่อว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยคนหลายคนได้ ถึงแม่ว่าเราไม่เชื่อ แต่เราก็ไม่ควรจะห้าม หรือดูถูก ต้องเป็นประชาธิปไตยทางศาสนาและความเชื่อ” เอโดอาร์โด้ ซีอานี่ กล่าว
เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นคนต่างชาติ แต่เลือกที่จะหยิบหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในวันนี้เพราะว่าอะไร?
เอโดอาร์โด้ ซีอานี่ เผยว่า อยากเห็นมุมมองของนักวิชาการคนไทย ส่วนใหญ่ทฤษฎีมาจากโลกตะวันตก ก็เลยอยากรู้ว่าคนไทยมองเรื่องเกี่ยวกับศาสนาตนเองอย่างไรบ้างเมื่อถามว่า ปัจจัยใดที่ทำให้ชื่นชอบในการอ่านหนังสือ?
เอโดอาร์โด้ ซีอานี่ เผยว่า ตนเป็นคนขี้เกียจมาก่อน ไม่ใช่คนอ่านหนังสือง่าย แต่มีความเชื่อว่าหากเราอ่านหนังสือแล้วจะช่วยในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และได้แลกเปลี่ยนความรู้ในหลากหลายแง่มุมมากขึ้น
“ผมเป็นคนชอบดูภาพยนตร์ ฟังเพลงมากกว่า แต่การอ่านหนังสือก็บางเล่มก็สามารถเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนความคิดได้เหมือนกัน” เอโดอาร์โด้ ซีอานี่ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ สามารถเยี่ยมชมบูธสำนักพิมพ์มติชน (J47) ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม-8 เมษายน 2567 เวลา 10.00-21.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์ ชั้น LG ฮอลล์ 5-7 และ เลือกซื้อหนังสือออนไลน์ได้ที่ : www.matichonbook.com
Thank to : https://www.matichon.co.th/book/news_4514963วันที่ 7 เมษายน 2567 - 15:34 น.
|
|
|
113
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สงกรานต์ กับพระสุริยเทพที่ศรีเทพ
|
เมื่อ: เมษายน 07, 2024, 07:12:14 am
|
สงกรานต์ กับพระสุริยเทพที่ศรีเทพ“สงกรานต์” เป็นคำที่ไทยเราหยิบยืมมาจากภาษาสันสกฤตว่า “สงฺกฺรานติ” ที่แปลว่า คติหรือการจากไปของดวงอาทิตย์ หรือดาวพระเคราะห์ดวงอื่นจากราศีหนึ่ง ไปสู่อีกราศีหนึ่ง
หลายครั้งที่ในหนังสือเก่าแก่เล่มต่างๆ ของไทย จะพบคำว่า “ตรุษสงกรานต์” โดยคำว่า “ตรุษ” ก็มีรากมาจากภาษาสันสกฤตเช่นเดียวกัน คือหมายถึงการ “ตัด”
ดังนั้น คำว่า “ตรุษสงกรานต์” จึงหมายถึงการที่ดวงอาทิตย์โคจร (ตามวิธีคำนวนแบบโหราศาสตร์ เพราะที่จริงแล้วดวงอาทิตย์ไม่ได้โคจร แต่เป็นโลกมนุษย์ต่างหากที่กำลังโคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่ทุกขณะจิตต่างหาก) ผ่านจากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่ง แล้วตัดให้เป็นการครบรอบวงโคจรหนึ่งครั้ง คือหนึ่งปีนั่นเอง
นอกเหนือจากนี้ยังมีคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่อีกคำหนึ่ง คือคำว่า “ราศี” โดยหมายถึงการแบ่งขอบฟ้าออกเป็นช่องๆ 12 ช่องเท่าๆ กัน แต่ละช่องมีดาวจักรราศีครองอยู่ โดยพระอาทิตย์จะอยู่ช่องละ 30 วัน เคลื่อนย้ายไปทั้งปีครอบทั้ง 12 ช่องคือ ครบ 1 ปี
พระอาทิตย์ท่านจึงย้ายราศีเป็นประจำทุกเดือน โดยการย้ายแต่ละครั้งก็จะตกราวๆ วันที่ 14-15 ของแต่ละเดือน พระอาทิตย์เข้าไปอยู่ในราศีใด ก็จะเรียกว่าเป็นสงกรานต์ของราศีนั้น เช่น เมื่อพระอาทิตย์ย้ายเข้าราศีมังกร ก็เรียก “มกรสังกรานติ” (มกรสงกรานต์) เป็นต้น
@@@@@@@
ในไทย และวัฒนธรรมอื่นๆ ในอุษาคเนย์นั้น ให้ความสำคัญเฉพาะกับการที่พระอาทิตย์ย้ายเข้าราศีเมษ คือ “เมษสังกรานติ” (เมษสงกรานต์) เพราะถือเป็น วันขึ้นปีใหม่ อย่างที่รู้กันโดยทั่วไปนั่นแหละครับ โดยเรียกกันว่า “มหาสงกรานต์” เพราะถือกันว่าเป็นสงกรานต์ คือการเคลื่อนย้ายของราศีที่สำคัญที่สุดในรอบปี
แน่นอนว่า ความรู้ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นของ made in India ทั้งสิ้น สังเกตง่ายๆ ได้จากการที่ใช้คำแขกเรียกชื่อของเทศกาล ไม่ใช่คำไทย หรือคำในภาษาพื้นเมืองอื่นๆ
และนี่ก็ทำให้อะไรที่เรียกว่า “สงกรานต์” จึงเป็นสิ่งที่ชนชาวอุษาคเนย์สมัยโบราณอิมพอร์ตเข้ามาจากอินเดียพร้อมกันกับเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ และพราหมณ์-ฮินดู จนได้ยังผลให้เราจะมีประเพณีการนับเอา “เดือนห้า” เป็นเดือนขึ้นปีใหม่ แทนที่จะนับว่า “วันแรมหนึ่งค่ำเดือนอ้าย” (แน่นอนว่า เดือนอ้าย แปลว่า เดือนที่หนึ่ง ซึ่งก็คือเดือนแรกของปีอย่างไม่ต้องสงสัย) ตามปฏิทินแบบพื้นเมืองของอุษาคเนย์ เป็นวันแรกของปี อย่างที่เคยใช้มาก่อนจะรับวัฒนธรรมอินเดีย
วิธีการนับปีจากอินเดียแบบที่ผมกล่าวถึงข้างต้นนี้ เป็นวิธีที่นับเอา “พระอาทิตย์” เป็นสำคัญ อย่างที่เรียกว่า “ปฏิทินสุริยคติ” แตกต่างจากปฏิทินพื้นเมืองของอุษาคเนย์ที่เป็นแบบ “จันทรคติ” ที่ให้ความสำคัญกับ “พระจันทร์”
แน่นอนว่าเมื่อให้ความสำคัญกับ “พระอาทิตย์” แล้ว ก็ย่อมเกิดการนับถือบูชาเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ คือ “พระสุริยเทพ” (หรือ พระสูรยเทพ ในภาษาสันสกฤต) ผู้เป็นหลักสำคัญของวันเวลา และฤดูกาล ซึ่งย่อมดลบันดาลให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ได้ด้วย
@@@@@@@
เกี่ยวกับเรื่องนี้มีสิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแพร่กระจายจากอินเดียเข้ามาสู่อุษาคเนย์ในระยะเริ่มแรกเมื่อราวหลัง พ.ศ.1000 นั้น ก็ได้มีการค้นพบรูปพระสุริยเทพในรัฐโบราณเหล่านี้ด้วย
โดยมีทั้งที่พบเป็นประติมากรรมรูปพระสุริยเทพเอง และที่พบประดับอยู่บนศาสนวัตถุอื่นๆ โดยเฉพาะชุดเสาธรรมจักร ในวัฒนธรรมทวารวดี ซึ่งพบว่ามีการประดับรูปพระสุริยะอย่างมีนัยยะที่น่าสนใจอยู่จำนวนหนึ่ง
เฉพาะที่มีการสลักเป็นรูปประติมากรรมนั้น พบมากในพื้นที่บริเวณเมืองศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ โดยมีการค้นพบประติมากรรมรูป “พระสุริยเทพ” จำนวนถึง 4 องค์เป็นอย่างน้อย (อันที่จริงแล้ว มีประติมากรรมรูปพระสุริยเทพที่อ้างว่า พบจากเมืองโบราณแห่งนี้อีกหลายองค์ แต่ในข้อเขียนชิ้นนี้จะขอนับเฉพาะองค์ที่มีที่มาที่ไปค่อนข้างชัดเจนเท่านั้น)
รูปพระสุริยะทั้ง 4 องค์นี้ เป็นประติมากรรมสลักหินลอยตัวทั้งองค์เหมือนกันทั้งสิ้น ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่า ภายในเมืองศรีเทพจะต้องมีปราสาท หรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้สำหรับประดิษฐานรูปพระสุริยะเหล่านี้อย่างต่ำก็ 4 หลัง
รูปพระสุริยะเหล่านี้สามารถกำหนดอายุอยู่ในช่วงสมัยที่ใกล้เคียงกันคือ สร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ.1100-1400 อันเป็นระยะเริ่มต้นของการรับวัฒนธรรมศาสนาจากชมพูทวีปเข้ามาในอุษาคเนย์เช่นเดียวกันทั้งหมด
จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยใจอยู่มากว่า ทำไมที่เมืองศรีเทพในยุคสมัยดังกล่าว จึงมีคติการนับถือพระสุริยะอยู่มากกว่าพื้นที่บริเวณอื่น?
@@@@@@@
ประติมากรรมลอยตัวรูปพระสุริยะที่พบในพื้นที่อื่นๆ ในดินแดนอุษาคเนย์นั้น ส่วนใหญ่จะพบเป็นองค์โดดๆ กล่าวคือ ในเมืองหนึ่งนั้นอาจจะพบเพียงองค์เดียว เช่น เมืองพระรถ จ.ชลบุรี หรือที่เขาพนมดา ใน ประเทศกัมพูชา เป็นต้น หลายเมืองไม่มีการค้นพบร่องรอยการนับถือบูชาพระสุริยเทพเลยด้วยซ้ำไป แถมหลายครั้งจะพบรูปพระสุริยะอยู่ร่วมกับกลุ่มเทวดานพเคราะห์ โดยถูกบูชาในฐานะของกลุ่มเทพเจ้าประจำดวงดาวทั้งหลาย ไม่ใช่การนับถือพระสุริยะอย่างเป็นเอกเทศ จึงแตกต่างไปที่ปรากฏหลักฐานอยู่ในเมืองศรีเทพอย่างเห็นได้ชัด
และนั่นก็แสดงให้เห็นถึงความนิยมในการนับถือพระสุริยเทพ ในเมืองโบราณแห่งนี้ที่มากพอสมควร จนทำให้มีการสันนิษฐานกันว่า เมืองศรีเทพเมื่อครั้งรุ่งเรืองนั้น มีนิกายเสาระ ซึ่งก็คือ นิกายที่นับถือพระสุริยะเป็นการเฉพาะรุ่งเรืองอยู่เลยทีเดียว
ประเด็นที่สำคัญก็คือ ในบรรดาประติมากรรมพระสุริยเทพที่ค้นพบที่เมืองศรีเทพนี้ มีอยู่องค์หนึ่งที่กรมศิลปากรขุดค้นได้จากปรางค์สองพี่น้อง ในตัวเมิองศรีเทพ โดยรูปพระสุริยะองค์นี้แต่งกายอย่างชนชาวต่างชาติทางตอนเหนือของอินเดียอย่างชัดเจน
และนอกเหนือไปจากนั้นยังมีหนวด และเครา ที่แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการแต่งกายอย่างชนชาวเอเชียกลางพระสุริยเทพ กรมศิลปากรขุดพบที่หน้าปรางค์สองพี่น้อง เมืองศรีเทพ ทรงเครื่องอย่างชนต่างชาติทางตอนเหนือของอินเดีย ต้องตรงตามที่คัมภีร์ดาราศาสตร์-โหราศาสตร์ ที่ชื่อ พฤหัสสังหิตา ระบุไว้ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นที่น่าสนใจด้วยนะครับว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เอเชียกลางนั้น มีคติการนับถือเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง เทพเจ้าแห่งไฟ และเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ คือพระสุริยเทพ เป็นสำคัญ จนทำให้ในตำราของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู บางฉบับถึงกับระบุถึงลักษณะของเสื้อผ้าหน้าผมของพระองค์อย่างละเอียดว่า พระสุริยเทพนั้นทรงเครื่อง (คือ แต่งกาย) อย่างชนต่างชาติทางตอนเหนือของชมพูทวีป (คือเอเชียกลาง) และสวมหมวกทรงกระบอกที่เรียกว่า กิรีฏมกุฏ
(และนี่ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าสำหรับสายตาของพ่อพราหมณ์ในอินเดียแล้ว พระสุริยเทพเป็นเทพที่มาจากภูมิภาคอื่น ซึ่งก็คือเอเชียกลาง จตามอย่างเครื่องทรงของพระองค์นั่นเอง)
ส่วนตำราพราหมณ์อินเดียบางฉบับที่อ้างว่าพระสุริยเทพทรงเครื่องอย่างชนชาวเอเชียกลางนั้น มีชื่อว่า “พฤหัสสังหิตา” ที่เรียบเรียงขึ้นโดยท่านวราหะมิหิรา เมื่อราว พ.ศ.1050-1100 ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นตำราดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์
(ดังนั้น จึงให้ความสำคัญเทพเจ้าที่เกี่ยวข้องกับดวงดาว โดยเฉพาะพระสุริยะเป็นพิเศษจนถึงกับได้พรรณนารูปลักษณะการแต่งกายออกมา) ที่มีอิทธิพลต่อการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวดวงดาว และท้องฟ้า ทั้งในอินเดีย เอเชียกลาง และเปอร์เซีย (คืออิหร่าน) ต่อมาอีกหลายร้อยปีเลยทีเดียว
@@@@@@@
รูปพระสุริยะที่กรมศิลปากรขุดได้จากหน้าปรางค์สองพี่น้ององค์นี้กำหนดอายุได้ไม่ห่างจากอายุของคัมภีร์พฤหัสสังหิตาไม่มากนัก
ประกอบการที่ประติมากรรมรูปพระสุริยเทพองค์นี้แต่งกายต้องตรงกับข้อความที่ระบุอยู่ในคัมภีร์ ก็ชวนให้คิดไปได้ว่า เป็นการสร้างตามรูปลักษณะของพระสุริยะที่ระบุเอาไว้ในคัมภีร์ดาราศาสตร์ ควบโหราศาสตร์ฉบับสำคัญอย่างพฤหัสสังหิตา
และนั่นก็ย่อมทำให้มีความเป็นไปได้ด้วยว่า นักปราชญ์ที่เมืองศรีเทพ (หมายรวมไปถึงเมืองในเครือข่ายอื่นๆ และรัฐขนาดใหญ่ในอุษาคเนย์ยุคโน้นทั้งหลาย) จะรู้จักตำราดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์ฉบับสำคัญเล่มนี้
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้อีกทางหนึ่งว่า การปรากฏรูปพระสุริยะเป็นจำนวนมากที่เมืองศรีเทพนั้น จะเกี่ยวข้องกับกลุ่มของผู้ใฝ่ใจค้นคว้าในดาราศาสตร์-โหราศาสตร์ อันเป็นศาสตร์ที่สัมพันธ์กันอย่างแยกแทบจะไม่ออกในโลกโบราณ
และการศึกษาเรื่องราวการโคจรของดวงดาวเหล่านี้ ย่อมสัมพันธ์กันกับการนับและคำนวณเวลา โดยเฉพาะปฏิทินแบบสุริยคติ ที่ถือเอาพระอาทิตย์เป็นสำคัญ ต่างจากวิธีนับตามจันทรคติ ที่ถือเอาพระจันทร์เป็นใหญ่
ดังนั้น ความรู้สมัยใหม่ในยุคของการกำเนิดรัฐเริ่มแรกของอุษาคเนย์เมื่อหลัง พ.ศ.1000 อย่างปฏิทินแบบสุริยคตินั้นเอง ที่ทำให้ทั้งพระสุริยเทพ และวันมหาสงกรานต์ คือวันเปลี่ยนศักราชตามแบบของอินเดียกลายเป็นสิ่งที่สำคัญขึ้นมาในราชสำนักโบราณของอุษาคเนย์นั่นเอง • ขอขอบคุณ :- ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 เมษายน 2567 คอลัมน์ : On History ผู้เขียน : ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 4 เมษายน พ.ศ.2567 website : https://www.matichonweekly.com/column/article_759222
|
|
|
116
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การพัฒนามนุษย์ตามแนวภาวนา ๔
|
เมื่อ: เมษายน 03, 2024, 10:32:00 am
|
. การพัฒนามนุษย์ตามแนวภาวนา ๔โดย ภาษิต สุขวรรณดี สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา หมายเหตุ : ยกมาแสดงบางส่วน ๓. การพัฒนามนุษย์ตามแนวภาวนา ๔
ภาวนาหรือการพัฒนาตามแนวพระพุทธศาสนามี ๔ อย่าง จําแนกไว้ว่า คือ ๑. พัฒนาด้านกาย เรียกว่า กายภาวนา ๒. พัฒนาด้านศีล เรียกว่า ศีลภาวนา ๓. พัฒนาด้านจิต เรียกว่า จิตภาวนา ๔. พัฒนาด้านปัญญา เรียกว่า ปัญญาภาวนา
ภาวนาตามแนวพระพุทธศาสนานี้เป็นของเก่ามาก แต่จําเพาะมาใกล้กันมากกับ development ๔ ประการของวงการการศึกษาสมัยใหม่ ซึ่งกล่าวถึงการพัฒนาที่แปลจากของฝรั่งว่า development ๔ ด้าน หรือ growth ๔ ด้าน คือ ๑) พัฒนาทางกาย (Physicaldevelopment) ๒) พัฒนาการทางสังคม (Social development) ๓) พัฒนาการทางอารมณ์ (Emotional development) ๔) พัฒนาการทางปัญญา (Intellectual development)
ซึ่งมีการพูดกันมาหลายสิบปีแล้ว แต่ไม่เคยพูดถึงภาวนา ๔ อย่างในพระพุทธศาสนา คําว่า "ภาวนา" ใน dictionary ภาษาบาลี-อังกฤษ แปลเป็น development ทั้งนั้น ภาวนาในทางพระพุทธศาสนาแปลว่า พัฒนา และคําว่า development ก็มีความหมายตรงกับคําว่าภาวนา และทั้งภาวนา และ development มี ๔ ประเด็นเหมือนกัน ดังนี้
๑) พัฒนากาย หรือพัฒนาทางกาย ได้แก่ Physical development ตรงกับ กายภาวนา ๒) พัฒนาศีล หรือพัฒนาทางสังคม ด้วยเหตุที่ศีลคือการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยไม่เบียดเบียนกัน มีชีวิตที่เกื้อกูลต่อกัน และมีวินัยจึงได้แก่ Social development ตรงกับ ศีลภาวนา ๓) พัฒนาจิตใจ หรือพัฒนาทางอารมณ์ เรื่องอารมณ์ที่เพี้ยนมาในภาษาไทยปัจจุบัน ก็คือเรื่องของจิตใจนั่นเอง พัฒนาด้านนี้ จึงได้แก่ Emotional development ตรงกับ จิตภาวนา ๔) พัฒนาปัญญา หรือพัฒนาการทางปัญญา ได้แก่ Intellectual development ตรงกับ ปัญญาภาวนา
@@@@@@@
๓.๑ การพัฒนาสี่ด้าน แต่รวมลงเป็นระบบเดียว จึงกล่าวได้ว่า ภาวนา ๔ กับ development ตรงกันหมด แต่ความหมายมีนัยที่แยกกัน ต่างกัน กว้างกว่ากัน หรือลึกกว่ากันบ้าง คือ
กายภาวนา พระพุทธศาสนาไม่เน้นที่การทําให้ร่างกายเติบโตแข็งแรง แต่ถือว่าการกินอาหารให้ได้คุณค่า กินพอดี ด้วยความรู้จักประมาณ ให้ร่างกายอยู่ผาสุก มีสุขภาพดีเป็นฐานให้การพัฒนาด้านอื่นๆ ต่อไป การมีร่างกายที่ระบบภายในต่างๆ ทํางานเรียบร้อยดี เรียกว่าเป็น ปธานิยังคะ อย่างหนึ่ง คือ เป็นองค์หนึ่งของสภาพชีวิตที่เหมาะแก่การใช้ความเพียรพยายามในการพัฒนาชีวิต แต่การพัฒนากายไม่ใช่แค่นั้น
การพัฒนากาย ท่านเน้นที่เราดํารงชีวิตอยู่ในโลกนี้ ส่วนของร่างกายที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมในการดํารงอยู่ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น และประสาทกาย ที่เรียกว่าอินทรีย์ ฉะนั้น การพัฒนากายในพระพุทธศาสนาจึงเน้นไปที่การพัฒนาอินทรีย์ ในการสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้ใช้งานได้ดี เกิดประโยชน์สูงสุด มีผลในทางส่งเสริมคุณภาพชีวิต เช่น พัฒนาการใช้ตาให้ดูเป็น พัฒนาการใช้หูให้ฟังเป็น ฯลฯ การพัฒนากายจะต้องเน้นเรื่องนี้
การพัฒนาอินทรีย์ คือ การฝึกใช้อินทรีย์ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิต ไม่ใช่ใช้อินทรีย์ให้เกิดโทษ ฉะนั้น การศึกษาจะต้องมีกายภาวนา ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเพียงฝึกให้ร่างกายเติบโตแข็งแรง มีสุขภาพดีเท่านั้น แต่ต้องพัฒนาให้ใช้อินทรีย์เป็น นอกจากนั้นการพัฒนาทักษะต่างๆ ในทางอาชีพ ก็รวมอยู่ในข้อนี้ด้วย แต่ที่เป็นแกนกลาง ก็คือ การพัฒนาที่เป็นอินทรีย์นี้ จนพูดได้ว่า การพัฒนากายก็คือการพัฒนาอินทรีย์
ศีลภาวนา ที่ว่าเป็นการพัฒนาทางสังคมนั้น ไม่มุ่งแต่การอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดีโดยไม่เบียดเบียนกันเท่านั้น แต่มุ้งถึงการฝึกอบรมกาย วาจา ให้เป็นฐานในการพัฒนาจิตต่อด้วย กล่าวคือการฝึกอบรม ให้รู้จักควบคุมตนในเรื่องกายวาจานั้น เริ่มด้วยการไม่เบียดเบียนผู้อื่น ให้อยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้ดี เป็นไปในทางที่เกื้อกูลต่อกันในสังคม เรื่องนี้เป็นศีลขั้นพื้นฐาน แต่นอกเหนือจากนั้น ยังมีการศึกษาอบรมกายวาจาให้ประณีตยิ่งขึ้นไปอีก โดยที่ความสามารถในการฝึกพฤติกรรมทางกายวาจาของตนนั้น จะเป็นฐานแก่การพัฒนาจิตใจต่อไปด้วย
เมื่อเรารู้จักควบคุมฝึกหัดกายและวาจาแล้ว จะต้องฝึกฝนพัฒนาจิตใจพร้อมกันไปด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อกันตามหลักปัจจัยสัมพันธ์ หมายความว่า ภาวนา ๔ ด้านนี้ จะต้องโยงเป็นระบบเดียวกันไม่ใช่แยกเป็นด้านๆ ไม่ใช่เป็นความคิดแบบ reductionist เพราะพวกนั้นแยกแล้วไม่โยง คือแยกภาวนา หรือพัฒนา ๔ ด้าน แยกออกไปได้หมด แต่ไม่ได้ดูว่า ๔ ด้านนั้นสัมพันธ์กันอย่างไร
ทางที่ถูกต้องโยงด้วยว่า ๔ ด้านนี้เกื้อกูลและอาศัยกันอย่างไรอีกที แยกแล้วต้องโยงด้วยทางด้านการพัฒนาจิตใจก็ต้องโยงว่า เมื่อพัฒนาจิตใจดี ก็ส่งผลดีออกมาต่อร่างกาย เช่น ใจไม่โกรธไม่เครียด ช่วยให้มีสุขภาพดีและมีผลในการสัมพันธ์หรือในการอยู่ร่วมสังคมด้วย ทําให้การสัมพันธ์กับโลก และสภาพแวดล้อมภายนอกพลอยดีไปด้วย และการพัฒนาจิตใจนั้น เช่น เมื่อมีสมาธิ ใจไม่ว้าวุ่นสับสน ก็เป็นฐานให้แก่การพัฒนาปัญญาต่อไป
เมื่อพัฒนาปัญญาดีแล้ว ก็ทําให้จิตใจเป็นอิสระ เพราะรู้ว่าจะทําจะปฏิบัติต่ออะไรอย่างไร แก้ไขข้อติดขัดขจัดปัญหา หายอึดอัดหลุดโล่งไปได้ ตลอดจนรู้เท่าทันชีวิตและโลกตามเป็นจริงรู้เท่าทันเหตุปัจจัย มีอะไรเกิดขึ้นก็รู้จักมองตามเหตุปัจจัย ก็ไม่มีอะไร มาบีบคั้นตัว อย่างน้อยก็ไม่ค่อยมีการกระทบกระแทก เพราะทําตามปัญญา ไม่ใช่ทําตามใจอยาก
การพัฒนาปัญญาตามหลักพระพุทธ-ศาสนานี้ จะใช้คําว่า intellectual ก็ไม่ค่อยตรงเพราะคําว่า intellectual เน้นไปที่ความคิดเหตุผลซึ่งเป็นเพียงขั้นหนึ่งหรือด้านหนึ่งของปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนา มีอยู่หลายขั้น เริ่มตั้งแต่การรู้จักรับ รู้ประสบการณ์ให้ตรงตามเป็นจริง การคิดตามเป็นจริง โดยไม่ถูกครอบงําด้วยอคติ หรือโลภะ โทสะ โมหะ จนถึงความรู้ความเข้าใจโลกและชีวิตตามเป็นจริง ที่ทําให้มีจิตใจเป็นอิสระ ด้วยเหตุนี้ ปัญญาภาวนาอาจจะต้องใช้คําว่า wisdom development
ภาวนา ๔ นี้เป็นหลักสําคัญอีกชุดหนึ่ง โดยสรุปแล้ว ภาวนาหรือพัฒนาแสดงถึงหนทางในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เมื่อพูดแยกเป็นแง่ ด้านต่างๆแล้ว ก็ต้องเอามาโยงเข้าด้วยกันให้เป็นภาพรวมอันหนึ่งอันเดียว กันอีกที
@@@@@@@
๓.๒ เป้าหมายของการพัฒนาสู้จุดหมายของชีวิต
จุดหมายในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ถือเป็นจุดหมายของการศึกษา ซึ่งกล่าวให้ง่าย จุดหมายนั้นก็คือ การพัฒนาตนของแต่ละคนให้เข้าถึง อัตถะ(เรื่องอัตถะ คือ จุดหมายของชีวิต ๓ ขั้น พึงดูในหนังสือวินัยชาวพุทธ หน้า ๙–๑๐ หรือ ธรรมนูญชีวิต หน้า ๘–๙) คือ เข้าถึงจุดมุ่งหมายของชีวิตในระดับต่างๆกัน คือ
๑. ขั้นชีวิตระดับรูปธรรม หรือชีวิตด้านนอก ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตามองเห็น เช่น ให้พึ่งตนเองได้ในทางเศรษฐกิจ ให้พึ่งตนได้ในทางสังคม โดยอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดี มีความเจริญก้าวหน้าในสังคม มีฐานะตําแหน่งเป็นที่ยอมรับนับถือ เป็นต้น ซึ่งเป็นขั้นเรียกว่า ทิฏฐธัมมิกัตถะ คือ ประโยชน์ที่ตามองเห็น อันเป็นประโยชน์ในขั้นของจุดหมายสามัญ เป็นอิสรภาพของชีวิตด้านนอก หรืออิสรภาพทางกายภาพและทางสังคม ขั้นนี้แม้จะสําคัญแต่ไม่เพียงพอ ถ้ามีได้เพียงขั้นนี้ไม่มีขั้นที่ ๒. จะไม่ปลอดภัย
๒. ขั้นเข้าถึงจุดหมายในทางชีวิตจิตใจที่ลึกซึ้งลงไป คือ มีจิตใจที่ดีงาม เชื่อมั่นในความดีและการกระทําสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีคุณธรรมและรู้จักเสียสละสร้างสรรค์ทําประโยชน์ต่างๆ มีปัญญากอปรด้วยวิจารณญาณ ซึ่งทําให้เกิดความมั่นใจและความสุขในบุญกุศล หรือการมีชีวิตที่มีคุณค่า ซึ่งเป็นขั้นที่เรียกว่า "สัมปรายิกัตถะ" คือ ประโยชน์ที่ลํ้าเลยจากการที่ตามองเห็น เป็นอิสรภาพของชีวิตด้านใน ที่ปลอดพ้นจากความชั่วร้ายตกตํ่า และความทุกข์ที่ร้ายแรงขั้นที่เรียกว่า ตกอบาย
๓. ขั้นสุดท้ายคือ ปรมัตถะ ความหมายคือ ประโยชน์สูงสุด คือถึงขั้นที่มีจิตใจเป็นอิสระด้วยปัญญาที่รู้ความจริง อย่างที่เรียกว่ารู้แจ้งสังขารหรือรู้เท่าทันโลกและชีวิต ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งทั้งหลาย ไม่หวั่นไหวตามความเป็นไปภายนอก เป็นภาวะเต็มอิ่มสัมบูรณ์ ซึ่งมีแต่ความสุขที่โปร่งเบา ไร้ทุกข์ เป็นอิสรภาพขั้นสูงสุดหรือขั้นสุดท้าย ที่ความเป็นอิสระของชีวิตจิตใจถึงขั้นเป็นภาวะเด็ดขาดสิ้นเชิง เพราะปัญญากําจัดเหตุปัจจัยแห่งความติดข้องของจิตหมดสิ้นแล้ว
แม้แต่ความสุขก็แบ่งได้เป็นหลายประเภทหลายระดับ เช่น ที่แบ่งอย่างง่ายๆว่า ความสุขของมนุษย์แยกออกเป็น ๒ แบบ คือ ๑) สามิสสุข ความสุขที่อาศัยอามิส และ ๒) นิรามิสสุข ความสุขที่ไม่อาศัยอามิส
สําหรับคนธรรมดาทั่วๆไปที่ยังมีจิตใจไม่เป็นอิสระ ไม่ถึงปรมัตถ์ ก็ต้องอาศัยสิ่งภายนอกมาเป็นปัจจัยช่วยให้ได้รับความสุข ความสุขของเขาขึ้นต่อวัตถุ ต้องอาศัยสิ่งบํารุงบําเรอ หรือแหล่งความสุขจากภายนอก ถ้าไม่มีอะไรภายนอกมาช่วยให้ได้เสพได้บริโภค เป็นต้น ก็เป็นทุกข์ ไม่สบาย ไร้ความสุข อย่างนี้เรียกว่ามีแต่ สามิสสุข กล่าวคือ ความสุขที่ยังพึ่งพาวัตถุ แต่ถ้าได้พัฒนาตนขึ้นไปถึงปรมัตถ์แล้ว หรือแม้แต่ในแนวทางของปรมัตถ์ ก็จะมีนิรามิสสุข สุขที่ไม่ต้องอิงอาศัยอามิส ไม่ต้องขึ้นต่อสิ่งภายนอก มีความสุขได้โดยลําพังตัว เป็นตัวของตัวเอง เป็นความสุขแบบอิสระ เป็นการพึ่งตัวเองได้ด้วยความมีอิสรภาพทางจิต ทางปัญญา การพึ่งตนได้ ก็มีหลายขั้นเป็นระดับๆ ขึ้นมา
เริ่มแต่พึ่งตนได้ทางรูปธรรม ไม่ต้องขึ้นต่อผู้อื่นในด้านวัตถุภายนอก ในทางสังคม ในทางจิตใจจนถึงพึ่งตนเองได้ในทางปัญญา จึงเข้าถึงอิสรภาพอย่างแท้จริง
กล่าวโดยสรุป การพึ่งตนได้ ก็คือ อิสรภาพในระดับต่างๆ จนถึงอิสรภาพสูงสุด ทั้งหมดนี้จึงกลับเข้าสู่หลักข้างต้น ที่ว่า ๑) รู้ความจริงของสิ่งทั้งหลาย เข้าถึงสัจธรรม ๒) จึงดําเนินชีวิต หรือปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายได้สอดคล้องกับหลักความจริง เป็นผู้มีจริยธรรม ๓) จึงสามารถแก้ปัญหาได้สําเร็จ ไร้ทุกข์ เกิดมีอิสรภาพ๔. ยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธศาสตร์ ๔ มิติ
"การพัฒนา" พระพุทธศาสนา เรียกว่า ภาวนา หมายถึง กระบวนการสร้างหรือทําให้เกิดให้มีขึ้น ส่วนบุคคลหรือทรัพยากรมนุษย์ที่ผ่านการขัดเกลาพัฒนา และตามกระบวนการแล้วเรียกว่า "ภาวิตา" หมายถึงถูกพัฒนาแล้วโดยใช้เครื่องมือและกลไก หลักการ ที่จัดเป็นยุทธวิธีตามแนวพุทธศาสตร์ คือ มีคุณสมบัติและมีวัตถุประสงค์ (Objective) และเป้าหมาย (Goal) ตามรูปแบบ (Pattern) ยุทธศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์ กําหนดไว้ ๔ มิติ คือ @@@@@@@
๔.๑ กายภาวนา หมายถึง การพัฒนากาย ฝึกอบรมกาย ให้รู้จักติดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอกทั้งด้านกายภาพและชีวภาพด้วยดีมิให้เกิดโทษ มีประโยชน์แก่ตนเองและสังคม บําเพ็ญตนให้เกิดประโยชน์ มิให้อกุศลเกิด ปัจเจกบุคคลต้องรู้จักเลือกเสพ บริโภคสิ่งที่เป็นประโยชน์ มีคุณค่างแก่ร่างกายแก่ตนเอง รับเอาปัจจัยที่ส่งเสริมความแข็งแรงของร่างกาย ไม่ทําอะไรที่เป็นการหักโหมจนเกินไป รู้จักพักผ่อนให้เพียงพอแก่สุขภาพร่างกาย ออกกําลังกายแต่พอควร และใช้ชีวิตด้วยการมีสติ อย่าประมาท
การกําหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศด้านคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน มีนัยตามนี้ จึงกําหนดนโยบายเร่งด้วนออกมา ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี จากหลากหลายทัศนะมุมมอง อันเนื่องมาจากผลกระทบด้านบวกต่อประชาชนในระดับรากหญ้า รัฐจึงใช้ยุทธวิธีทั้งในเชิงรุก คือ การสร้างกระแสตื่นตัวในการส่งเสริมให้ประชาชนได้ออกกําลังกายในรูปแบบต่างๆ โดยใช้ทรัพยากรภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การออกกําลังประกอบเพลงดนตรีท้องถิ่นของแต่ละภาค เป็นต้น เพื่อสร้างสุขอนามัยที่ดี
ยุทธวิธีในเชิงรับ คือ การดูแลรักษาผู้ที่มีโรคภัย หรือไม่สบาย ดูแลรักษาอย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับหนึ่ง เป็นการให้โอกาสกับประชาชนได้เข้าบริการของรัฐตามสิทธิอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๕๒ มีเป้าหมายทางสังคม คือ การมีสุขภาพชีวิตที่ของประชาชน การพัฒนาด้านกายตามแนวพุทธศาสตร์จึงเป็นการกําหนดทำาทีและทิศทางอันเหมาะสมกับตนเอง
@@@@@@@
๔.๒ ศีลภาวนา คือ การพัฒนาพฤติกรรมของปัจเจกบุคคล ให้ถูกต้องสอดคล้องกับระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ กติกาของสังคม ตลอดถึงขนบธรรมเนียม จารีตวิถี และมารยาทสากลนิยม มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ ประกอบอาชีพที่สุจริต ใช้ชีวิตถูกต้อง และขยันหมั่นเพียรสร้างผลผลิต (product) ให้เพิ่มขึ้นโดยสุจริตในการประกอบอาชีพ (อุฏฐานสัมปทา) รู้จักฉลาดอดออม (save) ทรัพย์สินที่หามาได้ ด้วยมาตรการต่างๆ (อารักขสัมปทา) เข้าสู่ระบบการออมของนโยบายรัฐ
สังคมไม่มีสันติสุข ขาดความสมดุลยภาพเพราะปัจเจกบุคคลบกพร่องในจริยธรรม คุณธรรม ที่ได้ชื่อว่าศีลนี้เอง โดยเฉพาะศีล ๕ ซึ่งเป็นศีลขั้นต้น นับเป็นหลักสากลในการสร้างบรรทัดฐานทางสังคม ทั้งมิติของคําพูดการกระทํา และการเลี้ยงชีพ
ผลกระทบต่อสังคม อันเนื่องมาจากการย่อหย่อนหรือความบกพร่องทางคุณธรรม คือ ความเสียหายต่อสังคม ประเทศชาติ ความเชื่อมั่นต่อประเทศลดลง การพัฒนาไม่ประสบผลสําเร็จเพราะกระบวนการที่ถูกต้อง สังคมจึงไม่ปกติสุข มีปัญหา อันเป็นผลมาจากการทุจริตทั้งสามมิติ คือพูด พฤติกรรม และการอาชีพการทุจริต หรือคอรัปชั่น มีสมุฏฐานมาจากการบกพร่องทางศีลธรรม จึงมีปรากฏทุจริตเชิงนโยบายอันแยบยลออกมา องค์กรอิสระที่เราตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลด้านนี้โดยเฉพาะ ถูกต้องคาดหวังเอาไว้สูงมาก เพราะเราได้สูญเสียโอกาส สิทธิอันพึงมีพึงได้
ดังปรากฏในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๙ (๒๕๔๔-๒๕๔๙) จึงได้กําหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการบริหารจัดการที่ (Good governance) เป็นยุทธศาสตร์ที่สําคัญในการผลักดันยุทธศาสตร์ให้ขับเคลื่อนไปด้วยดี และให้ความสําคัญกับ การปรับระบบบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ (Sufficiency) และโปร่งใส (Transparent) การป้องกันและการทุจริตประพฤติมิชอบ
@@@@@@@
๔.๓ จิตตภาวนา การพัฒนาจิต ฝึกอบรมจิต ข่มอารมณ์ความรู้สึกได้ มีความเจริญงอกงามทางอารมณ์ (Emotional growth) จิตที่ฝึกอารมณ์ดีแล้วนําความสุขมาให้ จิตที่มีคุณภาพประกอบด้วยคุณธรรมตามหลักศาสนา มีสมาธิ มีสติมั่นคง ใช้งานได้ดี เป็นสุขผ่องใส เป็นต้น
การพัฒนาจิตเป็นเรื่องของคุณธรรม ความรู้สึก แรงจูงใจ สภาพจิตใจ และเป็นนามธรรม คนเข้าใจยาก ไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เมื่อสังคมเผชิญกับภาวะวิกฤต ก็เอาตัวไม่รอด มีการฆ่าตัวตาย เพราะภูมิคุ้มกันทางจิตไม่ดี สุขภาพจิตเปราะบาง เมื่อประสบเหตุการณ์เข้า ทนไม่ได้ หาทางออกไม่ได้ ฆ่าตัวตาย ถ้าผ่านกระบวนการฝึกอบรมจิต ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิด ไม่ส่งผลกระทบกับสังคม
ข้อเสนอในประเด็นนี้ คือ สร้างจิตสํานึกด้านคุณธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา ส่งเสริมให้มีการศึกษาองค์ความรู้ของศาสนาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะพุทธศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตอยู่แล้ว ให้เวลากับการสํารวจดูตัวเองอย่างมีวิจารณญาณ ใช้ปัญญาให้มากอย่าให้อารมณ์อยู์เหนือเหตุผล ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากแต่ถ้าตั้งใจแน่วแน่ใช้เวลาในการศึกษา รู้ทันตัวเอง มีสติกํากับอยู่ทุกขณะ
สร้างกระบวนการในการบริหารงานด้านส่งเสริมคุณภาพจิตใจของประชาชน โดยการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมให้กับหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการเผยแผ่องค์ความรู้ด้านศาสนธรรมแก่ประชาชน และหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสุขภาพจิต ปรับปรุงกระบวนการทํางานให้ทันเหตุการณ์ ศึกษาวิเคราะห์แนวทางต่างๆ อย่างเป็นระบบ ในรูปเครือข่ายงานสร้างคุณภาพจิตของประชาชน
วิธีการในการพัฒนาคุณภาพจิตของพุทธศาสนา มีให้เลือกและสามารถนํามาใช้กับพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลอย่างเหมาะสมหลายประการ แต่ละอย่างมีผลสะท้อนกลับมายังผู้ปฏิบัติมากน้อยตามกําลังความสามารถของแต่ละคน โดยไม่ต้องเข้าศึกษาหรือบวชเรียนตามสํานักต่างๆ เพียงแต่มีศูนย์ดูแลมีบุคลากรผู้ประสบการณ์ เชี่ยวชาญเข้าใจในวิธีบริการดีต่อผู้อื่น
ในกระแสโลกาภิวัตน์สิ่งที่มาคู่กัน คือ กระแสวัตถุนิยมในระบอบประชาธิปไตยคนที่จะยืนหยัดสู้ได้ จิตใจต้องเข้มแข็ง ชีวิตจึงไม่ตกเป็นทาส หรือเหยื่อของกระแส ไม่ต้องไปมองไกลถึงขนาดที่จะช่วยสังคมองค์รวมให้พ้นปัญหาสาธารณะ ขอเพียงให้แต่ละคนช่วยตนเองให้ได้ ก็เป็นปัญหาที่หนักหนาพอสมควร พุทธศาสตร์สร้างความเข้มแข็งด้านสุขภาพจิต จึงเป็นเรื่องของจิตตภาวนาโดยตรง
@@@@@@@
๔.๔ ปัญญาภาวนา พัฒนาปัญญา การฝึกอมรมปัญญา ให้รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง รู้เท่าทันเข้าใจโลกและชีวิตตามสภาวะ เป็นการไตร่ตรองวินิจฉัยเหตุการณ์ตามความเป็นจริง เป็นอิสระ ไม่ตามกิเลส รู้และเข้าใจอะไรตามความเป็นจริง
ข้อเสนอในประเด็นนี้ หลักการหรือแนวทางการพัฒนาตามแนวทางของพุทธศาสนา ที่จะนําไปกําหนดเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรบุคคล จะต้องมีปัญญากํากับเสมอ ปัญญาเป็นคุณธรรมสําคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยเป็นแสงสว่างส่องทางแห่งชีวิต ช่วยคุ้มครอง หรือปกครองคนและข้อสําคัญ ช่วยให้พ้นทุกข์ หรือให้หาความสุขได้ในท่ามกลางความทุกข์ การเผชิญปัญหาชีวิตโดยปราศจากปีญญา เปรียบเหมือนการเดินคลําไปในที่มืด อาจตกหลุมตกบ่อ หรือที่รกชัฏก็ได้
หลักการหรือแนวทางการพัฒนาตามแนวทางของพุทธศาสนา ให้ความสําคัญกับปัญญาอย่างยิ่ง และปัญญานั้นต้องเป็นสัมมาปัญญา คือปัญญาที่ถูกต้อง ปัญญาเกิดจากการประกอบความเพียร ฝึกฝน มิใช่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ เพราะปัญญาที่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญไม่สามารถที่จะเป็นปัญญาขั้นสูงสุด ประเภทของปัญญาจึงมีหลายอย่าง แต่ปัญญาที่จะกําหนดให้เป็นยุทธศาสตร์ได้ ขอเสนอในที่นี้ คือ
๑) จินตามยปัญญา ปัญญาชนิดนี้เกิดจากการจินตนาการ หรือคิดพิเคราะห์ใคร่ครวญด้วยวิจารณญาณ ๒) สุตามยปัญญา ปัญญาประเภทนี้เกิดจากการศึกษา ฟังจากท่านผู้รู้ อบรมสัมมนา ฟังจากสื่ออื่นๆ ๓) ภาวนาปัญญา เกิดจากการพัฒนาโดยกระบวนการต่างๆ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีภูมิรู้
ปัญญามีขีดความสามารถ แข็งแกร่งทางด้านวิชาการ มีคุณภาพชีวิตที่ดีประกอบอาชีพด้วยวิชาการและทักษะชั้นสูง จําเป็นที่จะต้องกําหนดยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาปัญญาของมวลชน
เป้าหมายสูงสุดของยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตามแนวพุทธศาสตร์ คือ การพัฒนาให้เกิดปัญญา ซึ่งมีวิธีการเพื่อส่งผลให้บรรลุถึงจุดหมายสูงสุด ตามแนวทางของพระพุทธศาสนา คือ การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ก็คือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของปัจเจกบุคคลให้ดีขึ้นในทุกด้าน ทั้งมิติร่างกาย อารมณ์ สังคมและวิญญาณ ซึ่งแต่ละตัวมีเครื่องชี้วัดคุณภาพ (Indicator) แตกต่างกันไป การสร้างยุทธศาสตร์พัฒนาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนา คือ เป้าหมายทางสังคมนั้น
@@@@@@@
พัฒนาตามแนวทางของพุทธศาสนา มีหลักการที่เป็นองค์ความรู้ที่จะกําหนดเป็นยุทธวิธีในการพัฒนาไว้อย่างเด่นชัด สามารถที่จะเลือกใช้ได้ตามกลุ่มเป้าหมาย หรือปัจเจกบุคคลที่จะพัฒนา เป็นวิธีการ (ploy) ของการพัฒนาที่ส่งผลต่อการดําเนินงานยุทธศาสตร์ ซึ่งจะต้องวางตําแหน่ง (position) กลุ่มเป้าหมายที่จะพัฒนา ตามลําดับของความแตกต่างทางด้านความสามารถทางสติปัญญา (Intelligence) เช่น ๑) ผู้ที่มีสติปัญญา (IQ) สูง การรับรู้ เข้าใจได้เร็วเรียกว่า อุคฆฏิตัญญู ๒) ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดรองลงมา เรียกว่า วิปจิตัญญู ๓) ผู้มีสติปัญญาปานกลาง เนยยะ ๔) ผู้อับเฉาปัญญา หรือขั้นปัญญาอ่อน เรียกว่า ปทปรมะ
สําหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในมิติของระดับสติปัญญา ได้กําหนดยุทธวิธีหรือหลักการที่เป็นแนวทางสําหรับปฏิบัติให้เหมาะสมแตกต่างออกไปมีเป้าหมายอยู่ที่ เข้าใจอย่างถูกต้อง เหมาะสําหรับการพัฒนาคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ด้านการศึกษา
การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายในการวางยุทธศาสตร์พัฒนา การกําหนดกลุ่มเป้าหมายมีความสําคัญเพื่อให้เกิดความชัดเจน ในการที่จะวางยุทธศาสตร์ไปอย่างมีทิศทาง ซึ่งจะส่งผลให้กับวัตถุประสงค์และเป้าหมายทางสังคม(Social goal) คือ สมาชิกของสังคมทั้งหมดเกิดสันติสุข เป้าหมายทางเศรษฐกิจ (Economic goal) คือ ความมั่งคั่ง (Wealth) พร้อมทั้งเป้าหมายสูงสุดของชีวิต (Ultimate goal) คือ นิพพาน สภาวะที่เป็นสุขสูงสุดเพราะไร้ทุกข์ เป็นอิสรภาพที่สมบูรณ์
ในมิติอื่นๆ พุทธศาสตร์มีมุมมองและวางเอาไว้อย่างครอบคลุมเกือบทุกสาขา โดยมี (Goal หรือ Purpose) แตกต่างกันไป ในที่นี้ไม่สามารถที่จะกล่าวถึงได้หมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระเบียบวิธีศึกษาวิจัยและศักยภาพของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน ยุทธศาสตร์จึงเป็นการนําองค์ความรู้อันหลากหลาย ของพุทธศาสนามาประกอบในการกําหนดโดยวางวิธีการหรือยุทธวิธีในหมวดองค์ความรู้ด้านนั้นๆ จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้สติปัญญาและความสนใจของผู้ศึกษาเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาต่อไป
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jsrc/article/view/211162/146299
ขอขอบคุณ :- ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/บทความของ : ภาษิต สุขวรรณดี สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา | bhasitsukhawandee@gmail.comที่มา : วารสารสิรินธรปริทรรศน์ , ปีที่ ๑๗ ,ฉบับที่ ๑ ,มกราคม-มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๙ website : https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jsrc/article/view/211162/146299
|
|
|
117
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระภูตเถระ : ผู้ยินดีในความสงัดและความอยู่ผาสุกสบายในป่า
|
เมื่อ: เมษายน 02, 2024, 07:23:08 am
|
. พระภูตเถระ : ผู้ยินดีในความสงัดและความอยู่ผาสุกสบายในป่าว่าด้วย : ผู้ยินดียิ่งในความสงัด
เหตุการณ์ : บุพกรรมและคาถาสุภาษิตของพระภูตเถระ - พระภูตเถระประกาศการยินดียิ่งในความสงัดและความอยู่ผาสุกสบายในป่าแก่ญาติ ผู้ปรารถนาให้ท่านอยู่อย่างไม่ลำบากและพวกตนได้เจริญบุญขึ้น
ท่านพระภูตะเถระผู้ได้บำเพ็ญ สั่งสมบุญซึ่งเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ได้นามว่าเสนะ วันหนึ่งพบพระศาสดา มีใจเลื่อมใส จึงชมเชยด้วยคาถา ๔ คาถา ว่า
• ผู้ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้องอาจ ผู้ประเสริฐ ผู้แกล้วกล้า ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ทรงชนะวิเศษ มีพระฉวีวรรณดังทองคำแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า
• ผู้เห็นพระฌานของพระพุทธเจ้าอันเปรียบเหมือนภูเขาหิมวันต์อันประมาณไม่ได้ ดังสาครอันข้ามได้ยากแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า
• ผู้เห็นศีลของพระพุทธเจ้าซึ่งเปรียบเหมือนแผ่นดินอันประมาณไม่ได้ ดุจมาลัยประดับศีรษะอันงดงาม ฉะนั้นแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า
• ผู้เห็นพระญาณของพระพุทธเจ้าซึ่งเปรียบดุจอากาศอันไม่กำเริบ ดุจอากาศอันนับไม่ได้ฉะนั้นแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า
ด้วยการสรรญเสริญนั้น ท่านไม่ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอด ๙๔ กัป
@@@@@@
ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นลูกชายของเศรษฐีผู้มีทรัพย์สมบัติมากในบ้านใกล้ประตูนครสาเกต ท่านเศรษฐีมีบุตรหลายคน แต่ถูกยักษ์จับกินเสีย เพราะผูกใจอาฆาตไว้ แต่สำหรับเด็กคนนี้ พวกภูตพากันคุ้มครองไว้ได้ เพราะความที่เป็นผู้เกิดชาติสุดท้าย ญาติทั้งหลายจึงตั้งชื่อว่า ภูตะ
เมื่อรู้เดียงสา ท่านพร้อมกับพวกอุบาสกพากันไปยังวิหาร ฟังธรรมในสำนักพระศาสดาในพระนครสาเกต เกิดมีศรัทธา ออกบวช แล้วอยู่ในถ้ำใกล้ฝั่งแม่น้ำชื่อว่าอชกรณี เริ่มเจริญวิปัสสนา ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต.
สมัยต่อมา พระเถระต้องการอนุเคราะห์หมู่ญาติ จึงไปยังพระนครสาเกต ได้รับการบำรุงจากพวกญาติ ๒-๓ วัน ก็ไปอยู่ในป่าไม้อัญชัน พวกญาติพากันอ้อนวอนให้พระเถระอยู่ต่อเพื่อความไม่ลำบากและพวกตนได้เจริญบุญขึ้นพระเถระประกาศการยินดียิ่งในความสงัดและความอยู่ผาสุกสบายในป่าของตน จึงกล่าวคาถาว่า
"เมื่อใด บัณฑิตกำหนดรู้ทุกข์ในเบญจขันธ์ที่ปุถุชนทั้งหลายไม่รู้แจ้งว่า ความแก่และความตายนี้เป็นทุกข์ แล้วจมอยู่ เป็นผู้มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้นย่อมไม่ประสบความยินดีในเบญจขันธ์นั้น ยิ่งไปกว่าความยินดีในวิปัสสนา และในมรรคผล"
"เมื่อใด บัณฑิตละตัณหาอันนำทุกข์มาให้ ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ นำมาซึ่งทุกข์อันเกิดเพราะความต่อเนื่องแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า เป็นผู้มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้นย่อมไม่ประสบความยินดียิ่งไปกว่าการพิจารณาธรรมนั้น"
"เมื่อใด บัณฑิตถูกต้องทางอันสูงสุด เป็นทางปลอดโปร่ง ให้ถึงองค์ ๒ และองค์ ๔ เป็นที่ชำระกิเลสทั้งปวงด้วยปัญญา มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้นย่อมไม่ได้ประสบความยินดียิ่งไปกว่าการเพ่งพิจารณานั้น"
"เมื่อใด บัณฑิตเจริญสันตบทอันไม่ทำให้เศร้าโศก ปราศจากธุลี อันปัจจัยอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ให้หมดจดจากกิเลสทั้งปวง เป็นเครื่องตัดกิเลสเครื่องผูกพัน คือสังโยชน์ เมื่อนั้นย่อมไม่ได้ประสบความยินดียิ่งไปกว่าการเจริญสันตบทนั้น"
"เมื่อใด กลอง คือ เมฆอันเกลื่อนกล่นด้วยสายฝน ย่อมคำรนร้องอยู่บนนภากาศอันเป็นทางไปแห่งฝูงนกอยู่โดยรอบ และภิกษุไปเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ที่เงื้อมเขา เมื่อนั้นย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการเพ่งธรรมนั้น"
"เมื่อใด บัณฑิตมีจิตเบิกบาน นั่งเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำทั้งหลาย อันดารดาษไปด้วยดอกโกสุม และดอกมะลิที่เกิดในป่าอันวิจิตรงดงาม ย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการนั่งเพ่งพิจารณาธรรมนั้น"
"เมื่อใด มีฝนฟ้าร้องในเวลาราตรี ฝูงสัตว์ที่มีเขี้ยวก็พากันยินดีอยู่ในป่าใหญ่ และภิกษุไปเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ที่เงื้อมเขา เมื่อนั้นย่อมไม่ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการพิจารณาธรรมนั้น"
"เมื่อใด ภิกษุกำจัดวิตกทั้งหลายของตน เข้าไปสู่ถ้ำภายในภูเขา ปราศจากความกระวนกระวายใจ ปราศจากกิเลสอันตรึงใจ เพ่งพิจารณาธรรมอยู่ เมื่อนั้นย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการพิจารณาธรรมนั้น"
"เมื่อใด ภิกษุมีความสุข ยังมลทินกิเลสอันตรึงจิตและความเศร้าโศกให้พินาศ ไม่มีกลอนประตู คือ อวิชชา ไม่มีป่าคือตัณหา ปราศจากลูกศรคือกิเลส เป็นผู้ทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป เพ่งพิจารณาธรรมอยู่ เมื่อนั้นย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการเพ่งพิจารณาธรรมนั้น" อ่าน ภูตเถรคาถา ขอขอบคุณ :- อ้างอิง : ภูตเถรคาถา พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๖/๓๖๙/๒๙๕-๒๙๖ และอรรถกถา website : https://uttayarndham.org/node/5040
|
|
|
120
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดประวัติ “สามเณรนนท์” วัดโมลีฯ อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ สอบได้ ป.ธ.9
|
เมื่อ: มีนาคม 31, 2024, 06:25:53 am
|
. เปิดประวัติ “สามเณรนนท์” วัดโมลีฯ อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ สอบได้ ป.ธ.9สามเณรภานุวัฒน์ กองทุ่งมน อายุ 17 ปี หรือ "สามเณรนนท์" วัดโมลีโลกยาราม สามเณรอายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์ ที่สอบได้ป.ธ.9 พบสถิติสุดยอดสอบบาลีผ่านทุกปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการสอบประโยคบาลีสนามหลวง ประจำปี พ.ศ. 2567 ซึ่งได้มีการประกาศผลสอบที่วัดสามพระยา ซึ่งปีนี้มีผู้สอบได้เปรียญธรรม (ป.ธ.) 9 ประโยค จำนวน 76 รูป ในจำนวนนี้เป็นสามเณร 14 รูป นั้น หนึ่งในรายชื่อสามเณร พบว่ามีชื่อสามเณรภานุวัฒน์ กองทุ่งมน หรือ “สามเณรนนท์” อายุ 17 ปี วัดโมลีโลกยาราม รวมอยู่ด้วย ถือว่าเป็นสามเณรที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทยที่สามารถสอบได้ ป.ธ.9
สำหรับประวัติสามเณรภานุวัฒน์ เป็นชาวอ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา สังกัดสำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม กรุงเทพฯ บวชตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ที่สำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม อายุ 10 ปี สอบไล่ได้ประโยค 1-2 อายุ 11 ปี สอบไล่ได้ป.ธ. 3 อายุ 12 ปี สอบไล่ได้ป.ธ. 4 อายุ 13 ปี สอบไล่ได้ป.ธ. 5 อายุ 14 ปี สอบไล่ได้ป.ธ. 6 พ.ศ. 2565 ก็สอบไล่ได้ป.ธ. 7 พ.ศ. 2566 อายุ 16 ปี สอบไล่ได้ป.ธ.8
ด้านพระธรรมราชานุวัตร (สุทัศน์ ปิยสีโล) เจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง ที่สำนักเรียนได้สร้างประวัติศาสตร์ของวัดเป็นครั้งแรกที่พระภิกษุ-สามเณร สามารถสอบได้ ป.ธ.9 เป็นจำนวนถึง 25 รูป ถือว่ามากที่สุด ในประวัติศาสตร์การสอบของวัดโมลีฯ อีกทั้งมีสามเณรสอบได้ ป.ธ.9 ถึง 9 รูป โดยเฉพาะสามเณรภานุวัฒน์ ที่มีอายุเพียง 17 ปี ถือว่ามีอายุน้อยที่สุด ขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งขอบคุณ : https://www.dailynews.co.th/news/3303962/30 มีนาคม 2567 , 18:37 น. | การศึกษา-ศาสนา
|
|
|
|