ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ใครฝึกเมตตา เจโตวิมุตติ เป็นประจำ ขอถามความเห็นหน่อย  (อ่าน 2951 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Be-boy

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 84
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ไม่ทราบว่าในห้อง ส่งจิตออกนอก นี้ มีใครบ้างที่ได้ฝึกฝนตนเองเพื่อเมตตาเจโตวิมุตติกันบ้าง
ปกติตนเองจะเจริญสมาธิภาวนาในแนวของอานาปานสติเป็นประจำ
แต่เมื่ไม่นานมานี้ลูกชายวัยเก้าขวบได้ขยั้นขยอชวนให้สวดบทแผ่เมตตาใหญ่
ก็สวดตามลูกชายไปในเนื้อหาของบทสวดได้กล่าวที่มาของพระคาถาบทสวดว่า
เป็นพุทธดำรัสขึ้นมาเองท่ามกลางหมู่สงฆ์โดยมิได้มีผู้ใดทูลถาม
จึงนับได้ว่าเป็นพระธรรมที่สำคัญมากที่ทรงประกาศให้ชาวโลกรับรู้
เมื่อเจริญทำให้มากแล้วย่อมได้รับอานิสงส์ทั้ง11ประการดังนี้

หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์ เป็นที่รักของอมนุษย์
เทวดาย่อมคุ้มครองรักษา ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ไม่อาจทำร้ายได้
เมื่อทำสมาธิจิตจะสงบเร็ว ใบหน้าผ่องใส ไม่หลงตาย
แม้ยังไม่บรรลุธรรมก็จะไปบังเกิดในพรหมโลก

ก่อนหน้านี้ไม่เคยพิจารณาพรหมวิหารสี่อย่างจริงจัง
แต่หลังจากสวดพระคาถานี้ได้สักพักหนึ่งจึงบังเกิดความเข้าใจ
ว่าแท้ที่จริงแล้วมีบางท่านที่ไม่เคยเจริญมาธิภาวนาสักเท่าใด
หรือบางท่านก็ไม่เคยทำสมาธิเลยแต่สามารถเข้าทุติยฌาน
โดยมีอารมที่เป็นปิติที่ไร้อามิสเกิดขึ้นได้เป็นประจำด้วการเจริญ
เมตตาและมีความกรุณาเป็นประจำยกตัวอย่างมีเพื่อนหนึ่ง
เขานั่งสมาธิได้ไม่นานแต่มีปกติเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น
และมีความสุขด้วยการสูญเสียอามิสด้วยการบริจาคกับผู้ที่เขารู้สึกเมตตา
พึ่งจะรู้ว่าเขาได้เห็นเวทนาในเวทนามีปิติที่ไร้อามิสเท่ากับได้ฌานสองเป็นประจำ
บางทีเจ้าเพื่อนคนนี้มันน่าจะได้อารมย์เอกคตามีจิตเป็นมุฑิตาเพราะไม่เคยเห็น
ว่าเขาจะอิจฉาในความสำเร็จของผู้อื่นเลยคนอย่างนี้ย่อมมีอารมย์หนักแน่น
ไม่หวั่นไหวเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าตนและสามารถยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นได้
แต่เขาคงยังเข้าไม่ถึงอุเบกขารมย์เพราะเห็นเขายังกลัวตุ๊กแกอยู่เลย!!!
เขียนมาพอสมควรแล้วก็อยากจะแนะนำบางท่านที่นั่งสมาธิมานานอ่านมามากนักหนาแล้ว
แต่ยังไม่เคยได้ปฐมฌานไม่เคยเห็นกายในกายลองมาเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
เหมือนเจ้าเพื่อนคนนี้เมื่อไปที่ไหนก็มีแต่คนรักคนชอบมาเจรจาปราศรัยด้วยเป็นประจำ

คนกรุงธน
บันทึกการเข้า
ออกกำลังกายเคลื่อนไหว เป็นสติครับ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พรหมวิหาร ๔
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

สำหรับวันนี้ ความจริงคิดว่าจะจบสมถะภาวนา เว้นไว้แต่อรูป ๔ ประการ ยังมีพระท้วงว่าขาดพรหมวิหาร ๔ ไปอาจจะพลั้งเผลอไป วันนี้ก็จะขอพูดเรื่องพรหมวิหาร ๔ ในด้านสมถภาวนา ความจริงพรหมวิหาร ๔ นี้เป็นกรรมฐานเลี้ยงทั้งศีล เลี้ยงทั้งสมาธิ เลี้ยงทั้งปัญญา เพราะว่ามีพรหมวิหารสี่เสียอย่างเดียว อารมณ์จิตก็สบาย มีความเยือกเย็น เราจะเห็นว่าเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร สองอย่างนี้ก็สามารถจะคุ้มศีลให้บริบูรณ์ทุกอย่าง เพราะศีลทุกข้อคำจะทรงอยู่ได้ก็ต้องอาศัยเมตตาและกรุณาทั้งสองอย่าง

เมตตาแปลว่าความรัก กรุณาแปลว่าความสงสาร ถ้าเรามีความรักเรามีความสงสารเสียแล้ว เราก็ทำลายชีวิตสัตว์ไม่ได้ ลักขโมยของเขาไม่ได้ ยื้อแย่งความรักเขาไม่ได้ พูดโกหกมดเท็จไม่ได้ ดื่มสุราเมรัยไม่ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อดื่มสุราเมรัย ถ้าเรามีความรักความสงสารคนทางบ้าน เพื่อน บิดามารดา เราก็ไม่สามารถจะทำความชั่วโดยขาดสติสัมปชัญญะ

เป็นอันว่าในพรหมวิหาร ๔ โดยเฉพาะสองประการ คือ เมตตา กรุณาทั้งสองประการนี้ สร้างความเยือกเย็นให้เกิดกับจิตสามารถทำศีลให้บริสุทธิ์ เมื่อศีลบริสุทธิ์สมาธิก็ตั้งมั่น ความเร่าร้อนของจิตไม่มี จิตไม่มีความกระวนกระวายก็เป็นสมาธิ มีข้อหนึ่งสำหรับด้านสมาธิจะใช้เฉพาะเมตตากรุณาทั้งสองประการก็ไม่พอ ต้องมีมุทิตา อุเบกขา อารมณ์จิตจึงจะทรงสมาธิได้มั่นคง

มุทิตาความมีจิตอ่อนโยน ตัดความอิจฉาริษยาออกจากจิต พลอยยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดีแล้ว อารมณ์อิจฉาริษยาตัวนี้เป็นอารมณ์ที่มีความร้ายแรงมาก เมื่อเห็นใครเขาได้ดีก็ทนไม่ได้เกรงเขาจะเกินหน้าเกินตาตัวไป หากมีมุทิตาคือตัดอิจฉาริษยาออก มันพ้นไปจากจิต ความเร่าร้อนมันก็ไม่มี เห็นใครเขาได้ดีแทนที่เราจะคิดว่าเขาเกินหน้าเกินตาไป กลับพลอยยินดีกับความดีที่เขาจะพึงได้
    เพราะอาศัยความสามารถและบุญวาสนาบารมีของเขาเป็นสำคัญ อารมณ์มุทิตาจิตนี้สร้างความดีให้เกิด ในเมื่อใครเขาทำความดีได้ เราพลอยยินดีกับเขาด้วยเป็นอันช่วยให้เราดีขึ้น แทนที่จะทำลายเราให้เสื่อมไป คนที่เขาได้ดีมีความชอบก็เกิดมีความรักในเรามีความเมตตาในเรา แทนที่เขาจะเหยียดหยามกลับจะคบเป็นมิตรที่ดี เราก็มีความสุข

สำหรับอุเบกขาในด้านสมถภาวนามีอารมณ์วางเฉยคือ เฉยแต่เฉพาะอารมณ์ที่เข้ามายุ่งกับจิตที่ไม่เนื่องกับอารมณ์ที่เราต้องการ อย่างเรากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก จิตมันหยุดอยู่เฉพาะลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว ไม่ไปยุ่งกับอารมณ์ภายนอกทั้งหมด คือไม่สนใจกับแสงสีใดๆ อย่างนี้เป็นต้น จะเห็นผลว่าอุเบกขาคือความวางเฉยในด้านสมถภาวนา มีอารมณ์ทำจิตให้ทรงตัว มีอารมณ์จิตเป็นฌาน



    รวมความว่าพรหมวิหาร ๔ มีประโยชน์ทั้งในด้านศีลและด้านสมาธิทั้งสองประการ ขอให้ท่านนักปฏิบัติผู้มีความปรารถนาในการทรงฌานให้เป็นปกติ ถ้าเราสามารถทรงพรหมวิหาร ๔ จิตก็ประกอบด้วยพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา คืออารมณ์เบาตลอดวัน ทั้งวันมีความรู้สึกรักในคนและสัตว์เสมอด้วยเรา ไม่คิดประทุษร้ายสัตว์ ไม่คิดจะทำลายสัตว์ เพราะมีความรักและมีความสงสาร จิตใจก็จะมีแต่ความเยือกเย็นเพราะอารมณ์ไม่เกิดเป็นศัตรูกับใคร อย่างนี้ใจสบาย ศีลไม่ขาด สมาธิก็ทรงตัว

    ต่อมาข้อมุทิตาเราก็ไม่มีความอิจฉาริษยา เมื่อบุคคลอื่นได้ดีกลับมีจิตปรานีพลอยยินดีกับบุคคลที่เขามีความดี แสดงความยินดีร่วมกับเขา อันนี้ก็มีความสบายใจ
     ถ้ามีอุเบกขาเข้ามาควบคุมใจเข้าไว้ไม่ยอมให้อารมณ์อื่นใดเข้ามายุ่งกับจิตไม่ทำอารมณ์ให้กระสับกระส่าย อุเบกขาแปลว่าความวางเฉย ในเมื่อจับกรรมฐานกองใดกองหนึ่งขึ้นพิจารณาหรือภาวนา ก็ให้จิตทรงอยู่ในอารมณ์นั้น


    แสดงว่าจิตของเราจิตของบุคคลใดที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ จิตของบุคคลนั้นก็จะเป็นผู้ทรงฌานตลอดเวลาจำไว้ให้ดีนะ

    การที่เราทำอะไรไม่ได้ดีในด้านสมาธิจิตหรือวิปัสสนาญาณ
    เริ่มแต่การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ได้ก็แสดงว่าเราขาดพรหมวิหาร ๔
    ถ้าอารมณ์จิตของเราตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา เรื่องฌานสมาบัติเป็นเรื่องเล็กจริงๆ
    เพราะฌานสมาบัติจะทรงขึ้นมาได้และศีลบริสุทธิ์ได้เพราะความเยือกเย็นของจิต ไม่มีความเร่าร้อนของจิต เมื่อจิตมีความเยือกเย็นไม่กระวนกระวายไม่กระสับกระส่าย ไม่มีความโหดร้าย ไม่คิดอิจฉาริษยา ทำร้ายใคร ใจก็เป็นสุข อารมณ์ก็เป็นกุศล เราจะทรงจิตในพระกรรมฐาน ๔๐ กอง แยกอย่างใดอย่างหนึ่งก็ทรงไว้ได้ดี นี่เป็นอารมณ์ของฌาน....ฯลฯ


ที่มา http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=3519:2012-10-19-17-23-54&catid=86:2012-07-11-07-35-36&Itemid=203
ขอบคุณภาพจาก http://www.watpanonvivek.com/,http://gallery.palungjit.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

 ans1 ans1 ans1
   
      คำสอนเรื่องพรหมวิหาร ๔ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยาน)
     น่าจะตอบโจทย์ของคุณ Be-boy ได้เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะบทสรุปที่ว่า
     "พรหมวิหาร ๔ นี้เป็นกรรมฐานเลี้ยงทั้งศีล เลี้ยงทั้งสมาธิ เลี้ยงทั้งปัญญา"
     "ถ้าอารมณ์จิตของเราตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา เรื่องฌานสมาบัติเป็นเรื่องเล็กจริงๆ"

    กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ มีอยู่วิชาหนึ่ง เรียกว่า "ออกบัวบานพรหมวิหาร ๔"
    ขณะนี้ในศิษย์กรรมฐานมัชฌิมาในสายสระบุรี พระอาจารย์ได้สอนบางส่วนให้กับบางท่านแล้ว
    ขอคุยเท่านี้ครับ

     :25: :25: :25:
 
   
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ