แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
Messages - digitalknowledge
|
หน้า: [1]
|
1
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ตัณหายังคนให้เกิด ภัยใหญ่ของคนคือทุกข์ กรรมเป็นที่พำนักของคน
|
เมื่อ: กันยายน 24, 2018, 07:41:07 pm
|
ตัณหายังคนให้เกิด ภัยใหญ่ของคนคือทุกข์ กรรมเป็นที่พำนักของคน ปฐมชนสูตรที่ ๕
[๑๖๖] เทวดาทูลถามว่า อะไรหนอยังคนให้เกิด อะไรหนอของเขาย่อมวิ่งพล่าน อะไรหนอเวียนว่ายไปยังสงสาร อะไรหนอเป็นภัยใหญ่ของเขา.?
[๑๖๗] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ตัณหายังคนให้เกิด จิตของเขาย่อมวิ่งพล่าน สัตว์เวียนว่ายไปยังสงสาร ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของเขา.!!
@@@@@@
ทุติยชนสูตรที่ ๖
[๑๖๘] เทวดาทูลถามว่า อะไรหนอยังคนให้เกิด อะไรหนอของเขาย่อมวิ่งพล่าน อะไรหนอเวียนว่ายไปยังสงสาร สัตว์ย่อมไม่หลุดพ้นจากอะไร.?
[๑๖๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ตัณหายังคนให้เกิด จิตของเขาย่อมวิ่งพล่าน สัตว์เวียนว่ายไปยังสงสาร สัตว์ย่อมไม่หลุดพ้นจากทุกข์.!!
@@@@@@
ตติยชนสูตรที่ ๗
[๑๗๐] เทวดาทูลถามว่า อะไรหนอยังคนให้เกิด อะไรหนอของเขาย่อมวิ่งพล่าน อะไรหนอเวียนว่ายไปยังสงสาร อะไรหนอเป็นที่พำนักของสัตว์นั้น.?
[๑๗๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ตัณหายังคนให้เกิด จิตของเขาย่อมวิ่งพล่าน สัตว์เวียนว่ายไปยังสงสาร กรรมเป็นที่พำนักของสัตว์นั้น.!!ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค http://www.84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=15&item=143&items=100&preline=&pagebreak=1
|
|
|
2
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / หากกิเลสเป็นตัวตนแล้วไซร้ "จักรวาลนี้ก็แคบไป พรหมโลกก็ต่ำไป" ไม่พอบรรจุกิเลส...
|
เมื่อ: กันยายน 24, 2018, 03:12:19 pm
|
ขึ้นชื่อว่ากิเลสนี้เป็นของหยาบนัก หากกิเลสเป็นตัวตนแล้วไซร้ จักรวาลนี้ก็แคบไป พรหมโลกก็ต่ำไป ไม่พอบรรจุกิเลสได้เลย ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่ากิเลสนี้หยาบนัก กุลบุตรผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์เห็นปานนี้ กิเลสยังให้มัวหมองได้ ทำให้ต้องบวชถึง 7 ครั้ง สึกถึง 6 หน”
ขณะนั้นองค์พระศาสดาเสด็จมาทรงสดับกถานั้นด้วย จึงตรัสว่า “ถูกแล้วภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่ากิเลสนี้เป็นของหยาบนัก หากกิเลสเป็นตัวตนแล้วไซร้ จักรวาลนี้ก็แคบไป พรหมโลกก็ต่ำไป ไม่พอบรรจุกิเลสได้เลย กิเลสนี้เองสามารถทำบุรุษอาชาไนยผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญาแม้เช่นเราให้มัวหมองได้ ไม่ต้องกล่าวถึงคนเหล่าอื่น เราเองก็เคยอาศัยข้าวฟ่าง ลูกเดือยเพียงครึ่งทะนานและจอบเหี้ยน (จอบที่ใช้งานมานานแล้วจนสึก) จนต้องบวชแล้วสึกถึง 6 หน”ที่มา : อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท จิตตวรรคที่ ๓ (เรื่องพระจิตตหัตถเถระ) http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=25882.msg77763;topicseen#msg77763http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=13&p=5 “กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด” ในภาษาไทย มีคำพูดเป็นสำนวนเก่า ที่นิยมกล่าวอ้างกันสืบๆ มาแบบติดปากว่า “กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด” พึงทราบว่า เป็นถ้อยคำที่อิงหลักธรรม 2 หมวด คือ กิเลส 1500 และ ตัณหา 108 ที่แสดงดังนี้
@@@@@@
กิเลส 1500 (สภาพที่ทำให้จิตเศร้าหมอง )
กิเลส 1500 ที่จัดเป็นชุดจำนวนอย่างนี้ ไม่มีในพระบาลี แม้จะมีกล่าวถึงในอรรกกถาบางแห่งก็แสดงเพียงตัวอย่าง ไม่ครบถ้วน ระบุไว้อย่างมากที่สุดเพียง 336 อย่าง (ดู อุ.อ.172,424; อิติ.อ.166) เช่น โลภะ โทสะ โมหะ วิปริตมนสิการ อหิริกะ อโนตตัปปะ ถีนะ มิทธะ โกธะ อุปนาหะ ฯลฯ อกุศลกรรมบถ 10 ... ตัณหา 108
ในคัมภีร์รุ่นหลังต่อมา ได้มีการพยายามนับจำนวนกิเลสพันห้าให้เป็นตัวเลขที่ชัดเจน ดังปรากฏในธัมมสังคณีอนุฏีกา (ฉบับ มจร. สงฺคณี.อนุฏีกา 23-24) ซึ่งได้แสดงระบบวิธีนับไว้หลายอย่าง สรุปได้เป็น 2 แบบ คือ แบบลงตัวจำนวน 1500 ถ้วน และแบบนับคร่าวๆ ขาดเกินเล็กน้อย นับแต่จำนวนเต็ม
แบบที่ 1. จำนวนลงตัว 1500 ถ้วน คือ - อารมณ์ 150 x กิเลส 10 = กิเลส 1,500 - กิเลส 10 ดู [316] กิเลส 10 - อารมณ์ 150 หมายถึง อารมณ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของกิเลส แต่มีวิธีนับ 2 นัย คือ ก) อารมณ์ 150 = ธรรม 75 [อรูปธรรม 53 (คือจิต 1 + เจตสิก 52) + รูปรูป 18* + อากาสธาตุ 1 + ลักขณรูป 3**] x 2 (ภายใน + ภายนอก) ข) อารมณ์ 150 = ธรรม 75 [อรูปธรรม 57 (คือจิต 1 + เวทนาเจตสิก 5 + เจตสิกอื่นๆ 51) + รูปรูป 18] x 2 (ภายใน + ภายนอก)
แบบที่ 2. จำนวนไม่ลงตัว ขาดหรือเกินเล็กน้อย นับจำนวนเต็มปัดเศษ แบบที่ 2 นี้ ท่านแจงวิธีนับไว้หลายอย่าง เป็น 1,584 บ้าง 1,512 บ้าง 1,510 บ้าง 1,416 บ้าง แต่จะไม่นำรายละเอียดมาแสดงในที่นี้ เพราะจะทำให้ฟั่นเฝือ
*รูปทั้งหมดมี 28 (ดู [40]) ในจำนวนนี้ 18 อย่าง เรียกว่า รูปรูป เพราะเป็นรูปที่เป็นรูปธรรมจริงๆ หรือแปลง่ายๆ ว่า “รูปแท้” ได้แก่ มหาภูตรูป 4, ปสาทรูป 5, วิสัยรูป 4, ภาวรูป 2, หทัยรูป 1, ชีวิตรูป 1 และอาหารรูป 1 ส่วนรูปที่เหลืออีก 10 อย่าง (คือ ปริจเฉทรูป 1, วิญญัติรูป 2, วิการรูป 3, ลักขณรูป 4) เป็นเพียงอาการลักษณะหรือความเป็นไปของรูปเหล่านั้น จึงไม่เป็นรูปรูป
** ลักขณรูป นับเต็มมี 4 (ดู [40] ฏ.) แต่ 2 อย่างแรก นับรวมเป็น 1 ได้ เรียกว่า ชาติรูป กล่าวคือ อุปจยะ หมายถึง การเกิดที่เป็นการก่อตัวขึ้นทีแรก และ สันตติ หมายถึง การเกิดสืบเนื่องต่อๆ ไป โดยนัยนี้ จึงนับลักขณรูปเป็น 3
@@@@@@@
ตัณหา 108 (ความทะยานอยาก, ความร่านรน)
ตัณหา 108 ในพระบาลีเดิมเรียก ตัณหาวิจริต (ความเป็นไป หรือการออกเที่ยวแสดงตัวของตัณหา) [องฺ.จตุกฺก. 21/199/290; อภิ.วิ. 35/1033/530] จัดดังนี้
ตัณหาวิจริต 18 อันอาศัยเบญจขันธ์ภายใน = เมื่อมีความถือว่า “เรามี” จึงมีความถือว่า : เราเป็นอย่างนี้ เราเป็นอย่างนั้น เราเป็นอย่างอื่น เราไม่เป็นอยู่ เราพีงเป็นอย่างนี้ เราพึงเป็นอย่างนั้น เราพึงเป็นอย่างอื่น ฯลฯ
ตัณหาวิจริต 18 อันอาศัยเบญจขันธ์ภายนอก = เมื่อมีความถือว่า “เรามีด้วยเบญจขันธ์นี้” จึงมีความถือว่า : เราเป็นอย่างนี้ด้วยเบญจขันธ์นี้ เราเป็นอย่างนั้น ด้วยเบญจขันธ์นี้ เราเป็นอย่างอื่นด้วยเบญจขันธ์นี้ ฯลฯ
ตัณหาวิจริต 18 สองชุดนี้ รวมเป็น 36 x กาล 3 (ปัจจุบัน อดีต อนาคต) = 108
@@@@
อีกอย่างหนึ่ง ตัณหา 3 (กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา) x ตัณหา 6 (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรมารมณ์) = 18 x ภายในและภายนอก = 36 x กาล 3 = 108 (วิสุทธิ. 3/180)ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=359http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=357
|
|
|
3
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / “มารไม่มี บารมีไม่เกิด” พึงระวังมาร 8 ตัวนี้ให้ดี.!!
|
เมื่อ: สิงหาคม 28, 2018, 09:22:37 am
|
“มารไม่มี บารมีไม่เกิด” พึงระวังมาร 8 ตัวนี้ให้ดี.!! ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นครูบาที่ได้รับการนับถือมากที่สุดในแผ่นดินล้านนาและแผ่นดินไทย ท่านเกิดในหมู่บ้านยากจนที่บ้านปาง จ.ลำพูน นับตั้งแต่ท่านเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ท่านก็มุ่งหน้าศึกษาธรรมและยังประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาตลอดชีวิตของท่าน
โดยเฉพาะการสร้างและบูรณะวัดวาอารามทั่วแผ่นดินล้านนา ด้วยหวังจะให้เป็นที่ขัดเกลาจิตใจ และเป็นศูนย์รวมในการทำความดีของศรัทธาประชาชนทั่วไป คนทั้งประเทศต่างถิ่นมักจะรู้จักท่านในผลงานสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ ที่เป็นผลงานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งจากหลายร้อยผลงาน
@@@@
ตลอดชีวิตของท่านต้องพบ “มาร” มาขัดขวางการสร้างบุญบารมีตลอดเวลา ต้องถูกใส่ป้ายสีจนต้องอธิกรณ์มีการสอบสวนหลายครั้ง กักขังท่านเป็นระยะๆ มารทำกับท่านมากมายสารพัด เพียรพยายามจะ”สึก”ท่านให้ได้ด้วยอุบายต่างๆ ในท่ามการมรสุมร้ายเหล่านี้ ครูบาเจ้าท่านนิ่งสงบ มีเมตตา มีอุเบกขาเป็นที่ตั้ง
ท่านเพียงบอกว่า “มารไม่มี บารมีไม่เกิด” ในชีวิตคนเรานั้น “มาร”มาในรูปแบบต่างๆ เพื่อทดสอบว่า เราเป็นผู้มีบุญบารมีระดับใด พึงระวังมาร 8 ตัวนี้ให้ดี
@@@@@@
1.“มาร” มาช่วยเสริมสร้างบุญบารมีหากเราคิดเป็น มีธรรมในใจจริง 2. “มาร” เข้ามาในชีวิต เพื่อให้เรารู้ว่า กฏแห่งกรรมมีจริง ผลแห่งกรรมมีจริง 3. “มาร” มาในรูปแบบคู่ชีวิต เจ้ากรรมนายเวรมีแต่เรื่องปวดหัว เรื่องร้อนในใจ เข้ามาเพื่อให้เรารู้สึกตัว รู้จักที่จะฝึกจิตให้อดทน รู้จักยับยั้งชั่งใจไม่กระทำบาปกรรมตอบสนอง รู้ดีรู้ชั่ว ไม่สร้างเวรกรรมใหม่ผูกพันกันหนักขึ้นไปอีก 4. “มาร” มาในรูปแบบเพื่อนรอบตัวไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่ทำงาน เพื่อนบ้าน เพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ เข้ามาทดสอบจริยธรรม คุณธรรมของเราว่าเราอยู่ในระดับ เข้ามาเพื่อให้เราได้เห็นทางสว่างขึ้น พัฒนาตนเองให้ดีขึ้น เข้าใจโลกและธรรมมากขึ้น
@@@@
5. “มาร” มาในรูปแบบเงินทั้งการอัตคัดขัดสน เพื่อให้เราจักความจริงแท้ของธรรมชาติ ได้รู้จักตน รู้จักพอประมาณ รู้จักใช้ชีวิตที่พอเพียง ไม่ประมาท เกิดปัญญาในการมีชีวิตโดยไม่เอาเงินเป็นที่ตั้งก็มีความสุขได้ 6. “มาร” มาในรูปแบบเงินมากมายที่ยั่วยวนให้เราหลงใหล มาทดสอบกิเลสว่า ทดสอบคุณธรรมว่าเราดีจริงหรือไม่ 7. “มาร” มาในรูปแบบปัญหาในเนื้องานที่เราทำ ทำให้เรา”ตื่น” ที่ต้องแสวงหาปัญญาในทางแก้ไข ทำให้เรารู้ว่า”ปัญญา”ของเราอยู่ในระดับไหน ต้องเสริมเพิ่มเติมอย่างไร 8. “มาร”มาในรูปแบบการขัดขวางการสร้างบุญ ทำให้เรารู้คุณค่าของ”บุญ” ที่แท้จริง มาเสริมให้เรามีจิตใจ มีศรัทธา ไม่ยอท้อในการสร้างบุญบารมีมากขึ้น
@@@@@@
ขอให้พิจารณา”มาร”ในความเป็นจริง ในแง่มุมที่เกิดผล ขอ”บุญบารมี” จงบังเกิดแก่ท่านทุกคน ขอโมทนาสาธุ เมตตาธรรมของครูบาเจ้าศรีวิชัยขอบคุณข้อมูล : rugyim.com ขอบคุณเว็บไซต์ : https://www.phuea-khun.com/no-excuse/By เพื่อคุณ , Posted on January 25, 2018
|
|
|
5
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / บุคคลไม่ชื่อว่า "เป็นบัณฑิต" เพราะเหตุที่พูดมาก
|
เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2018, 11:01:43 am
|
บุคคลไม่ชื่อว่า "เป็นบัณฑิต" เพราะเหตุที่พูดมากจาก อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ธัมมัตถวรรคที่ ๑๙ เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ ข้อความเบื้องต้น พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุฉัพพัคคีย์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น เตน ปณฺฑิโต โหติ" เป็นต้น.
@@@@@@
ภิกษุฉัพพัคคีย์ทำโรงภัตให้อากูล ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นเที่ยวทำโรงภัตให้อากูล ในวัดบ้าง ในบ้านบ้าง. ครั้นวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายถามภิกษุหนุ่มและสามเณรผู้ทำภัตกิจในบ้านแล้วมา ว่า "ท่านผู้มีอายุ โรงภัตเป็นเช่นไร.?"
ภิกษุหนุ่มและสามเณรตอบว่า "อย่าถามเลย ขอรับ, พวกภิกษุฉัพพัคคีย์กล่าวว่า 'พวกเราแหละเป็นผู้ฉลาด, พวกเราเป็นบัณฑิต จักประหารภิกษุเหล่านี้ โปรยหยากเยื่อที่ศีรษะแล้วนำออกไป’ แล้วจับหลังพวกกระผมโปรยหยากเยื่ออยู่ ทำโรงภัตให้อากูล."
ภิกษุทั้งหลายไปสู่สำนักพระศาสดาแล้ว กราบทูลความนั้น.
@@@@@@
ลักษณะบัณฑิตและไม่ใช่บัณฑิต พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกคนพูดมาก เบียดเบียนผู้อื่นว่า ‘เป็นบัณฑิต’ แต่เราเรียกคนที่มีความเกษม ไม่มีเวร ไม่มีภัยเลยว่า ‘เป็นบัณฑิต’.
ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :- น เตน ปณฺฑิโต โหติ ยาวตา พหุ ภาสติ เขมี อเวรี อภโย ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ. บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต เพราะเหตุเพียงพูดมาก, (ส่วน)ผู้มีความเกษม ไม่มีเวร ไม่มีภัย เรากล่าวว่า เป็นบัณฑิต.
@@@@@@
แก้อรรถ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาวตา เป็นต้น ความว่า บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต เพราะเหตุที่พูดมากในท่ามกลางสงฆ์เป็นต้น, ส่วนบุคคลใด ตนเองเป็นคนมีความเกษม ชื่อว่าไม่มีเวร เพราะเวร ๕ ไม่มี ผู้ไม่มีภัย คือ ภัยย่อมไม่มีแก่มหาชน เพราะอาศัยบุคคลนั้น, ผู้นั้นชื่อว่า "เป็นบัณฑิต" ดังนี้แล.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ จบ. ที่มา : อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ธัมมัตถวรรคที่ ๑๙ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25.0&i=29&p=2อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎกได้ที่ http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=946&Z=985
|
|
|
|