ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติศาสตร์ของดินแดน และผู้คนไม่จำกัดชาติพันธุ์  (อ่าน 261 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ประวัติศาสตร์ของดินแดน และผู้คนไม่จำกัดชาติพันธุ์

“เปิดโฉมหน้าวิชาประวัติศาสตร์ไทย” เป็นความเคลื่อนไหวทางประวัติศาสตร์ไทยของหน่วยงานทางการศึกษาของรัฐบาลไทย ซึ่งเป็นผลจากวิชาประวัติศาสตร์ไทยไม่โดนใจคนทั่วไป ไม่ว่านักเรียนนักศึกษา หรือประชาชนพลเมือง

วิชาประวัติศาสตร์ไทยมีต้นแบบจากประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย (ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมที่มีกรมศิลปากรเกี่ยวข้องโดยตรง) ที่ไม่ซื่อตรงต่อหลักฐานวิชาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดี โดยเฉพาะเรื่องสำคัญที่บอกซ้ำแล้วซ้ำอีกจนซ้ำซาก คือ เชื้อชาติ และรัฐชาติ

@@@@@@@

เชื้อชาติ สำนึกเชื้อชาติเริ่มแรกมีในยุโรป แล้วถูกใช้ล่าอาณานิคม จนแผ่ถึงสยามราวต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วแพร่หลายในแผ่นดิน ร.6

เป็นที่รู้ภายหลังอย่างทั่วกันว่าในโลกนี้ไม่มีเชื้อชาติ ดังนั้น ประเทศต่างๆ ในโลกทยอยยกเลิกเชื้อชาติมานานแล้ว

แต่ประวัติศาสตร์ไทย “แห่งชาติ” ไม่ซื่อตรง จึงเน้นย้ำประวัติศาสตร์ชนชาติไทย ว่าคนไทย เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์มีถิ่นกำเนิดในเมืองจีนแถบเทือกเขาอัลไต

ต่อมาถูกทักท้วงจากนักวิชาการนานาชาติ ก็เลื่อนถิ่นกำเนิดลงไปอยู่ตอนใต้ของจีน แต่ยังรักษาแนวคิด (ทฤษฎี) อพยพยกโขยงถอนรากถอนโคนจากที่ใดที่หนึ่งในเมืองจีน เพื่อธำรงสิ่งเพิ่งสร้างใหม่ว่า “สุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย” ซึ่งไม่เคยพบหลักฐานวิชาการใดๆ สนับสนุน

@@@@@@@

รัฐชาติ เป็นที่รู้ทั่วโลกว่าสำนึกเรื่องรัฐชาติเพิ่งมีไม่นานมานี้ เริ่มจากยุโรป แล้วแผ่ถึงไทยสมัยต้นรัตนโกสินทร์ แผ่นดิน ร.4, ร.5 เริ่มทำแผนที่แสดงอาณาเขตประเทศสยาม

แต่ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยไม่ซื่อตรง ได้เน้นย้ำ “ชาติไทย” มีอย่างน้อยตั้งแต่สมัยสุโขทัย และมีเส้นกั้นอาณาเขตทางทิศใต้ตลอดแหลมมลายู ทั้งๆ ไม่จริง และไม่เคยพบหลักฐานอย่างนั้น แต่ดันทุรังจนทุกวันนี้

ดังนั้น ประวัติศาสตร์ไทยไม่ทำให้เข้าใจตนเองและรากเหง้าของตนเองตามต้องการของหน่วยงานทางการศึกษาของรัฐบาลไทยปัจจุบัน แต่ในทางตรงข้ามประวัติศาสตร์ชนเชื้อชาติไทยของทางการไทยเป็นประวัติศาสตร์บิดเบือน และเป็นประวัติศาสตร์บาดหมางสร้างบาดแผล ดังรู้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งโลกมายาวนานมาก โดยเฉพาะบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้



บรรพชนคนไทยทั้งนั้น (ซ้าย) ขบวนแห่ของละโว้ (ขวา) ขบวนแห่ของสยาม ภาพสลักบนระเบียงปราสาทนครวัด (เมื่อ 917 ปีมาแล้ว) พ.ศ.1650


ผู้คนไม่จำกัดชาติพันธุ์

ประวัติศาสตร์ไทยควรเป็นประวัติศาสตร์ของดินแดนและผู้คนในประเทศไทย ไม่จำกัดชาติพันธุ์ ซึ่งเคยมีต้นแบบเมื่อ 117 ปีที่แล้ว ในพระราชดำรัส ร.5 ทรงเปิดโบราณคดีสโมสร

“เราจะค้นหาข้อความเรื่องราวของประเทศสยามไม่ว่าเมืองใดชาติใดวงษ์ใดสมัยใด รวบรวมเรียบเรียงขึ้นเป็นเรื่อราวของประเทศสยาม”

“กรุงสยามเป็นประเทศที่แยกกันบ้างบางคราว รวมกันบ้างบางคราว ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินผู้ที่ปกครองก็ต่างชาติกันบ้าง ต่างวงศ์กันบ้าง”

@@@@@@@

ประวัติศาสตร์ของดินแดนและผู้คนในประเทศไทย ไม่จำกัดชาติพันธุ์ มีความหมาย ดังนี้

ดินแดน หมายถึง พื้นที่บริเวณประเทศไทย ซึ่งเดิมเรียกประเทศสยาม อันเป็นส่วนหนึ่งซึ่งแยกไม่ได้จากพื้นที่บริเวณอุษาคเนย์ มีความเป็นมาอย่างสรุป ดังนี้

(1.) เริ่มต้นที่ดินแดนสยามซึ่งมีพื้นที่จำกัดแค่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาเท่านั้น หลังจากนั้นขยายไปผนวกดินแดนที่อยู่ต่อเนื่องและใกล้เคียงเข้าด้วยกัน เป็น “ราชอาณาจักรสยาม” หรือ “เมืองไทย” (มีบอกชัดเจนในจดหมายเหตุลา ลูแบร์)

(2.) สมัยแรกไม่มีเส้นกั้นอาณาเขต แต่มีสมัยหลังในแผ่นดิน ร.5

(3.) สมัยดั้งเดิมพื้นที่กว้างขวางรกร้างว่างเปล่ามีมาก ผู้คนไม่มาก จึงทำสงครามกวาดต้อนผู้คนเป็นเชลย (โดยไม่ยึดครองพื้นที่) เมื่อได้เชลยเป็นกำลังการผลิตก็ทำให้มีการประสมประสานทางชาติพันธุ์มากขึ้น

(4.) สยามถูกเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยด้วยแนวคิดชาตินิยม “คลั่งเชื้อชาติไทย” สายเลือดบริสุทธิ์ (ทั้งๆ ไม่มีจริง) เมื่อ 85 ปีที่แล้ว (พ.ศ.2482)

@@@@@@@

ผู้คน หมายถึง คนไม่จำกัดชาติพันธุ์ที่อยู่ในดินแดนประเทศไทย ได้แก่ มอญ, เขมร, ลาว, มลายู, จีน, จาม, อินเดีย, อิหร่าน (เปอร์เซีย) ฯลฯ

บรรดาคนหลายชาติพันธุ์เหล่านี้มีจำนวนหนึ่งเป็นชาวสยามที่ต่อไปข้างหน้าเมื่ออยู่ในภาษาและวัฒนธรรมไทยจะกลายตนเป็นไทย

(1.) ชาวสยาม ประกอบด้วยคนหลากหลายชาติพันธุ์ และพูดหลายภาษา จึงเลือกภาษาไท-ไต เป็น “ภาษากลาง” ใช้พูดสื่อสารระหว่างชาติพันธุ์

(2.) ภาษาไท-ไต ที่เป็น “ภาษากลาง” ของคนหลายชาติพันธุ์บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ผสมกับภาษานานาชาติ ได้แก่ ภาษาบาลี-สันสกฤต (อินเดีย), ภาษาเปอร์เซีย (อิหร่าน), ภาษาจีน, ภาษามอญ, ภาษาเขมร, ภาษามลายู ฯลฯ ได้ถูกเรียกชื่อใหม่แบบภาษาบาลีว่า เทยฺย แล้วกลายคำว่าไทย ใช้เรียกภาษาไทย

(3.) ชาวสยามหลายชาติพันธุ์ใช้ภาษากลางสื่อสารทางการค้าคือพูดภาษาไท-ไต ครั้นนานไปก็เปลี่ยนเป็นพูดภาษาไทย แล้วกลายตนเป็นคนไทย และถูกเรียกว่าคนไทย

@@@@@@@

คนไทย หมายถึง คนที่เรียกตนเองว่าไทย และถูกคนอื่นเรียกว่าไทย

คนไทยกลุ่มเริ่มแรกมีในอโยธยา (เมืองต้นกำเนิดอยุธยา) เรือน พ.ศ.1700 พบกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จเป็นภาษาไทย ตราขึ้นเมื่อ 115 ปีก่อนมีอยุธยา ตรงกับ พ.ศ.1778

ต้นทางประเทศไทย คืออโยธยา เพราะเริ่มแรกมีคนไทย และเรียกประเทศว่าเมืองไทย ต่อจากนั้นอโยธยาสืบเนื่องเป็นกรุงศรีอยุธยา, กรุงธนบุรี, กรุงรัตนโกสินทร์-ประเทศไทย

“ราชธานีแห่งแรกของไทย” (ถ้าอยากมี) คือ อโยธยา (ไม่ใช่สุโขทัย) ดังนั้น การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยที่แท้จริงต้องพิทักษ์รักษา “คุณค่า” เมืองอโยธยาเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีซึ่งจะสร้าง “มูลค่า” มหาศาลในอนาคต อย่าให้ถูกทำลายไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ •


 


ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12-18 มกราคม 2567
คอลัมน์ : สุจิตต์ วงษ์เทศ
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม พ.ศ.2567
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_738320
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 20, 2024, 08:49:03 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ