สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

กรรมฐาน มัชฌิมา => ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน => ข้อความที่เริ่มโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 11, 2014, 08:19:42 am



หัวข้อ: จงปล่อยศรัทธา มาเถิด เรามิได้ปิดประตูอมตธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 11, 2014, 08:19:42 am
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/s480x480/10486402_712547222160068_7256170063157361249_n.jpg?oh=54b348fce1ce6d5f3daf62d7f4cf25e0&oe=54C7C0D6&__gda__=1420554120_b08a3c773fa36eae1b2eb4caf4c08055)

"เมื่่อ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้แล้ว ในช่วงอยู่ รัตนจงกรม อยู่นั้น ท้าวสหัมบดีพรหม ได้มาอาราธนา ให้พระพุทธเจ้า โปรดบุคคลผู้ยังพอมีปัญญาเพื่อการตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า
พระผู้มีพระภาค ผู้ศาสดา ทรงสดับดังนั้นแล้วจึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า ‘พรหม สัตว์เหล่าใดผู้มีโสตประสาทจงปล่อยศรัทธามาเถิด เรามิได้ปิดประตูอมตธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เพราะเรารู้สำคัญว่าจะลำบาก จึงมิได้แสดงธรรมที่ประณีต คล่องแคล่วในหมู่มนุษย์‘

เมื่อระลึกถึงดำรัสที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ นั่นย่อมเป็นเหตุให้เราบรรดาสาวกทั้งหลาย ที่นับถือพระพุทธองค์ ย่อมกระทำการถ่ายทอดธรรม ให้แก่ผู้สมควรแก่ธรรม ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ฉันก็พยายามที่จะถ่ายทอดธรรมแต่ ก็ต้องเลือกผู้รับธรรมให้เหมาะสมแก่ธรรม ต้องขอบคุณอาจารย์ของฉันที่ท่านอบรม ธรรมให้ แม้เพียงหยดหนึ่ง เสี้ยวเดียว ก็ทำให้ฉันพอเอาตัวรอดจากปากเหยี่ยวปากกา ได้มาตลอด ไม่รู้จะรอดไปได้นานไหม เอาน่าถึงแม้จะไม่รอด แต่ก็ขอทำหน้าที่ให้เต็ม ตอบแทนครูของฉัน

หมายเหตุ คำว่าไม่รอด คือ ไม่สามารถเข้าถึงอรหัตผลได้ในชาตินี้ นะ"

ข้อความบางส่วน จากหนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
บันทึกการภาวนา ของ ธัมมะวังโส ภิกขุ





หัวข้อ: ศรัทธา เป็นเหตุให้เกิด ปีติ ในกรรมฐาน ปีติ เป็นด่านแรก นะจ๊ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 11, 2014, 08:43:54 am
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/10375968_859506124093599_7069722387094335858_n.jpg?oh=5aef25183f6f49b2454be1ffc5ffb558&oe=54BA5041&__gda__=1421512605_35ff261278964a60df8f3fbeafb46b8e)

( ภาพจาก https://www.facebook.com/phrakrusittisongvon (https://www.facebook.com/phrakrusittisongvon) )

   กรรมฐาน ใด ๆ ในศาสนานี้ ต้องเริ่มด้วยศรัทธา ( ที่ประกอบด้วยปัญญา ) ในที่นี้หมายถึงศรัทธา ของ พระโสดาปัตติมรรค คือ ยังไม่เป็นพระโสดาบัน เมื่อศรัทธาตั้งมั่นใน การปรารถนาเพื่อจะพ้นจากสังสารวัฏฏ์ คือตั้งมั่นในกุศลคุณงามความดี แล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ตกต่ำ ( คือไปสู่อบาย )

   ดังนั้น ท่านที่ยังไม่มีความศรัทธา ก็ควรจะต้องสร้างศรัทธา ในตัวท่านกันเอง ไม่ใช่ให้ครูอาจารย์ หรือ พระรัตนตรัยไปสร้างความศรัทธาให้แก่ท่าน หลายคนมักเข้าใจผิดว่า พระรัตนตรัยเป็นผู้สร้างศรัทธา แก่เรา อันที่จริงแล้ว พระรัตนตรัย พระกรรมฐาน ครูผู้บอกกรรมฐาน สร้างได้แค่ความเลื่อมใส ส่วนความศรัทธานั้น อยู่ที่ตัวของที่มีศรัทธาเอง ศรัทธาจะเกิดได้อย่างไร ศรัทธาเกิดได้ เพราะเชื่อมั่นต่อ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อันนี้สำคัญ ไม่ใช่ อิทธิฤทธิ์ เป็นเหตุให้เกิดศรัทธา หรือ บุคคลอื่นใด ๆ เป็นเหตุให้เกิดศรัทธา แต่ศรัทธาเกิดจากที่ตัวเอง มองเห็นโทษแห่งสังสารวัฏฏ์ และจึงเชื่อมั่นต่อการจางคลาย และออกจากสังสารวัฏฏ์ จนกระทั่งเป็นผู้ไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป เป็นผู้รู้ตามพระสุคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    บัดนี้ พระรัตนตรัย ยังมีอยู่ พระกรรมฐาน ก็ยังมีอยู่ ครูผู้บอกกรรมฐาน ก็ยังมีอยู่ ( อาจจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ
)ดังนั้นท่านที่ถึงพร้อมแล้วด้วยความไม่ประมาท ผู้มีธุลีในจักษุน้อย จงเปิดศรัทธาของท่าน แล้วก้าวเข้ามาภาวนา พุทโธ กรรมฐาน เพื่อการไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดนี้ต่อไปกันเถิด

   เจริญธรรม / เจริญพร


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xaf1/v/t1.0-9/1800202_859506127426932_2958270549166926050_n.jpg?oh=5709abb750c4b23e678fae54d63106b7&oe=54BFD988&__gda__=1425479158_cb2ed3f80011e339840428c2f3132502)

 


หัวข้อ: ดอกไม้ 5 สี มีที่มา ที่ไป ใครสงสัย ก็ตอบตามนี้ ตามพระสูตรพระไตรปิฏก
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 11, 2014, 09:26:12 am
(๒๕)   เทพบุตรและเทพกัญญา    ต่างก็เลื่อมใส
    มีใจยินดี    พากันบูชาพระผู้องอาจกว่านรชน    ด้วยดอกไม้    ๕    สี
(๒๖)  เทวดาทั้งหลาย    ได้เห็นพระศาสดาพระองค์นั้น
       ต่างก็เลื่อมใส    มีใจยินดี
       พากันบูชาพระองค์ผู้องอาจกว่านรชน
       ด้วยดอกไม้    ๕    สี    แล้วเปล่งเสียงว่า
[๒๗] "โอ น่าอัศจรรย์  ขนพองสยองเกล้า (ปีติทั้ง 5 ย่อมเกิด)
       ไม่เคยปรากฏในโลก    ความอัศจรรย์
       ขนพองสยองเกล้าเช่นนี้    ไม่เคยปรากฏ’

    บรรดาเทพ เทวดา ทั้งหลาย ครั้นเห็นพระพุทธเจ้า เดินจงกรม ณ รัตนจงกรม อันเนรมิตด้วย พุทธพลัง แห่งพระสัพพัญญู ต่างนำออกมาอันเป็นทิพย์ อันมี ดอก มณฑารพ ปทุม และ ดอกปาริฉัตตกะ ส่วนเทวดา ที่ไม่สามารถนำดอกไม้ทั้งสามมาได้ จึงได้นำดอกไม้ 5 สี มาบูชา พระชินสีห์ ด้วยผลแห่งการบูชา ความปีิิติได้เกิดขึ้นแก่ท่านทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งปีติ ทั้ง 5 ซึ่งมีรัศมี ( สี ) ทั้ง 5 ประการ ท่านทั้งหลายด้วยความตื้นตัน จึงกล่าววาจา  โอ น่าอัศจรรย์ ขนพองสยองเกล้า ไม่เคยปรากฏในโลก  นั่นเอง


     ท่านทั้งหลาย การบูชาพระกรรมฐาน นิยมจัดตั้ง ถาดขันธ์ 5 ยึดถือตามนัยการบูชาพระพุทธเจ้า เพื่อเข้าถึงคุณธรรมอย่างน้อยขั้นต้น ก็คือ พระปีติด้วยแห่งพุทธะ ไม่ใช่ปีติ ทั่วไปอย่างในกองกรรมฐาน อื่น ๆ เพราะปีติในกองกรรมฐาน พุทธานุสสติ นั้น มีรัศมี และ ลักษณะ อันเป็นฉันทลักษณ์ คุณวิเศษในกองกรรมฐานนี้ด้วยอำนาจ พุทธพลัง ที่มีสืบมาแต่กาลนั้น ดังนั้น ปีติในกองกรรมฐานพุทธานุสสติ นี้ จึงเรียกปีติ ทุกองค์ นั้นเป็นกองกำเนิด ตามธาตุ มีลักษณะ นำก่อน มีรัศมี เป็นประการสอง ติดอยู่พร้อมสององค์ ประจำธาตุ ประจำฐาน แตกต่างจากปีิติในกองกรรมฐาน อื่น ๆ

      อันว่า ถาดขันธ์ 5 ในครั้งครูปฐมอาจารย์ ไม่ธูป แต่ มีเทียน มีเครื่องหอม และดอกไม้ 5 สี ครั้นกรรมฐานรุ่งเริองมายัง แดนสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นเมืองแห่งกสิกรรรม จึงได้เพิ่มธูป เพิ่มข้าวตอก มาตั้งแต่นั้น ดังนั้น ถาดกรรมฐานขึ้นครู เป็นอามิสบูชา ประกอบ ด้วย ธูป ห้า ดอก เทียน 5 เล่ม ดอกไม้ 5 ชุด ข้าวตอก 5 กระทง รวมแต่งไว้ในถาดเดียวกัน บางครั้งจัดมาเป็นถาดกลม ถาดเหลี่ยม หรือ ถาดกระทงใบตอง พร้อมบายศรี ทั้งหมดนี้ก็เพียงส่วนหนึ่ง ที่บรรดาศิษย์ทั้งหลาย แสดงการเปิด ศรัทธา เพื่อที่จะตั้งใจมอบตัวถวายชีวิต แด่พระรัตนตรัย และกรรมฐาน กับครูผู้บอกกรรมฐาน เป็นบุญ เป็นบุญ เป็นบุญ เป็นกุศล เป็นศรัทธา เป็นพลัง เพื่อเข้าถึง พุทธพลัง แห่ง พระสัมมาอรหัง ผู้ประเสริฐ กว่านรชน

      จงเปิด ศรัทธา ของท่าน บูชาตรงต่อ พระรัตนตรัย พระกรรมฐาน และ ครูผู้บอกกรรมฐาน เถิด เพราะประตูแห่ง อมตธรรม นั้นมิไดปิดแก่ผู้มี ศรัทธา

     เจริญธรรม / เจริญพร


 



หัวข้อ: ที่เดินจงกรม ของ พระศาสดา รัตนจงกรม บนเขาสิเนรุราช บนนภากาศ
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 11, 2014, 09:38:41 am
(http://younome.net/images/religion/2.jpg)


ในสมาคมนั้น    พระชินเจ้าผู้พระศาสดา
 เสด็จเหาะขึ้นในนภากาศแล้ว
 ทรงเนรมิตภูเขาสิเนรุราชให้เป็นที่จงกรมที่รื่นรมย์
 ทวยเทพในโลกธาตุมีหมื่นจักรวาลนมัสการพระตถาคตแล้ว
 กระทำการบูชาพุทธเจ้าในสำนักของพระชินเจ้า
 ทรงเนรมิตที่จงกรมอันสำเร็จด้วยรัตนะทุกชนิดสำเร็จดีแล้ว
  [๑๒]  ทรงแสดงภูเขาสิเนรุซึ่งสูงสุดในโลกธาตุมีหมื่นจักรวาล
 เป็นดุจเสาเรียงกันไปตามลำดับในที่จงกรมซึ่งทำด้วยรัตนะ
  [๑๓]  พระชินเจ้าทรงเนรมิตที่จงกรมเลยขอบปากหมื่นจักรวาล
  ชานทั้ง    ๒    ด้าน    ที่จงกรมที่สำเร็จด้วยรัตนะ    สำเร็จด้วยทองคำล้วน
  [๑๔]   ทรงเนรมิตไพที ทองคำล้วน    ลาดด้วยแผ่นทองคำ
  อันเหมาะสมแก่ขื่อและเต้าไว้ทั้ง    ๒    ข้าง
  [๑๕]   รัตนจงกรมที่ทรงเนรมิต    เกลื่อนไปด้วยทรายแก้วมณี
  ทรายแก้วมุกดา    สว่างไปทั่วทิศ    เหมือนดวงอาทิตย์อุทัย


      แก้วทั้งหก อันกำเนิด จาก ธาตุ ล้วนแล้ว รวมลงสู่ รัตนจงกรม ( เรียกว่า ที่จงกลมแก้วอัญมณี ) บรรดาพระอรหันต ผู้มี ทิพยจักษุจักเห็นได้ ด้วยอำนาจสมาบัติ เปรียบประดุจดั่งรูปทิพย์ ที่สกาว ตระการตา เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ ด้วย ฤทธานุภาพ แห่งพระพุทธเจ้า ที่เกิดด้วย พุทธพลัง แห่งพระพุทธเจ้า



     


หัวข้อ: Re: จงปล่อยศรัทธา มาเถิด เรามิได้ปิดประตูอมตธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ ตุลาคม 11, 2014, 07:13:34 pm
ขออนุโมทนาสาธุ


หัวข้อ: Re: จงปล่อยศรัทธา มาเถิด เรามิได้ปิดประตูอมตธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 12, 2014, 08:10:28 am
[๙] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบคำทูลอาราธนาของพรหม และทรงอาศัย
ความกรุณาในหมู่สัตว์ จึงทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ เมื่อตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ
ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยก็มี ที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุมากก็มี ที่มีอินทรีย์
แก่กล้าก็มี ที่มีอินทรีย์อ่อนก็มี ที่มีอาการดีก็มี ที่มีอาการทรามก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี
ที่จะสอนให้รู้ได้ยากก็มี ที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ก็มี.
             มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริกในกอบุณฑริก
ที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้
บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว.
             พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย บางพวก
มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุมาก บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า
บางพวกมีอินทรีย์อ่อน บางพวกมีอาการดี บางพวกมีอาการทราม บางพวกสอนให้รู้ได้ง่าย
บางพวกสอนให้รู้ได้ยาก บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ ฉันนั้น
เหมือนกัน ครั้นแล้วได้ตรัสคาถาตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า ดังนี้:-
                          เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว สัตว์เหล่าใดจะฟัง
                          จงปล่อยศรัทธามาเถิด ดูกรพรหม เพราะเรา
                          มีความสำคัญในความลำบาก จึงไม่แสดงธรรม
                          ที่เราคล่องแคล่ว ประณีต ในหมู่มนุษย์.
             ครั้นท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรม
แล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณแล้ว อันตรธานไปในที่นั้นแล.



พรหมจายนกถา มหาขันธกะ ก็มีแสดงส่วนนี้ไว้ นะ ตามที่สอบถามกันมาว่าอยู่ส่วนไหน

ส่วนเรื่อง พุทธพลัง และ รัตนจงกรม อยู่ พุทธวงศ์ เล่มที่ 33


หัวข้อ: Re: จงปล่อยศรัทธา มาเถิด เรามิได้ปิดประตูอมตธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: kobyamkala ที่ ตุลาคม 13, 2014, 05:32:54 am
ขออภัย ด้วยเจ้าคะ หลุดตา ไปหลายหัวข้อ นะคะ

ขอบพระคุณพระอาจารย์ ที่ยังมอบธรรม ให้อ่านอยู่คะ


 st11 st12 st12


หัวข้อ: เรื่องพุทธวงศ์ กำลัง อัดเสียงใหม่ ตอนนี้บรรยายไปตอนแรก หนึ่งตอนแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 13, 2014, 09:50:30 am
เรื่องพุทธวงศ์ กำลัง อัดเสียงใหม่ ตอนนี้บรรยายไปตอนแรก หนึ่งตอนแล้ว

  เรื่องนี้มีความพิศดาร เหตุที่ต้องรอการบรรยาย นั้นเพราะว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ มีพระพุทธดำรัส ของพระพุทธเจ้า โดยตรงที่สำคัญ มาก ๆ ก่อนที่จะได้ศึกษาเรื่องพุทธวงศ์ คือ

    1. จงปล่อยศรัทธา มาเถิด หมายถึง ความเชื่อ ความเลื่อมใส ต่อพระรัตนตรัย มีความสำคัญ มาก ๆ เพราะความศรัทธา ย่อมนำให้ถึง อมตะบท ได้

    2. ผู้จะฟังแม้พระดำรัสก่อนขึ้น เรื่อง สุเมธดาบส นั้นพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสกำชับว่า เธอ ยังปีติให้เกิด จงยังปราโมทย์ให้เกิด เพราะปีติและปราโมทย์ ย่อมทำให้เธอเข้าใจในเรื่อง พุทธวงศ์

     เหตุเพราะว่า เรื่องพุทธวงศ์เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสแสดงเล่าเรื่องราวอันเป็นอดีตของพระพุทธเจ้าตั้งแต่องค์แรกมาเลย จนถึงปัจจุบันคือพระองค์ ดังนั้นเรื่องราวบางประการเกินจากสติปัญญา ของพวกเราทั้งหลายที่จะเข้าไปพิสูจน์ ว่ามีจริง หรือ ไม่มีจริง คงเพียงทำได้แต่ ปีติ และ ปราโมทย์ และยินดีในธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ประหารกิเลส อันพอกพูนการละซึ่งตัณหา และทิฏฐิที่ผิด

     ยกตัวอย่าง พระองค์กล่าวแสดง พระวรกาย ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งว่า สูง 80 ศอก มีอายุ 100000 ปี อย่างนี้เป็นต้นถ้าเราเอาสติปัญญาตอนนี้ไปเทียบเราก็จะคิดว่า พระพุทธเจ้าหลอกลวง ซึ่งเป็นเหตุนำมาซึ่งการปรามาสต่อพระพุทธเจ้าโดยตรง เพราะเราเอาสติปัญญาแบบปุถุชนเข้าไปวัดกับ พุทธญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่อันบุคคลนับไม่ได้ เป็นหนึ่งในสี่อย่างที่ไม่สามารถนับได้

   เจริญธรรม / เจริญพร


หัวข้อ: Re: จงปล่อยศรัทธา มาเถิด เรามิได้ปิดประตูอมตธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Akira ที่ ตุลาคม 13, 2014, 09:59:13 am
 st12 st12 st12


หัวข้อ: Re: จงปล่อยศรัทธา มาเถิด เรามิได้ปิดประตูอมตธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ ธันวาคม 30, 2014, 09:25:52 am
จาก..ครูบาอาจารย์