ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - เท่ากับผลรวม
หน้า: 1 2 3 [4] 5
121  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชาวเน็ตรุมจวกพระโชว์"แพลงกิ้ง" เมื่อ: มิถุนายน 18, 2011, 08:22:11 am
 :96: อืมม์  :29: กลุ่มหนึ่ง อาจจะรู้สึก อย่างนี้











อีกกลุ่มหนึ่ง ก็อาจจะมองอย่างนี้



ความเป็นจริง แล้ว ท่านทั้งหลาย จะไปเดือดร้อน อะไรกันผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็คงจะดำเนินการกันไปเองแล้ว

 :97:
122  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / 30 กว่าปีกับการฝึกกรรมฐาน อานาปานสติ และ กายคตาสติ เมื่อ: มิถุนายน 10, 2011, 01:26:29 pm
ผมเริ่มฝึกกรรมฐานมาตั้งแต่ เด็กสักประมาณอายุ 12 ปีก็เริ่มฝึกแล้วเคยเข้ากรรมฐานได้ด้วยการลืมตา
ดูนาฬิกาตั้งแต่ 6 โมงเย็นจนถึง 6 โมงเย็น ก็มองอยู่อย่างนั้นโดยไม่กระพริบตา ฝึกมาอย่างนี้และเลือก
กรรมฐาน คือ อานาปานสติ และ การเจริญกายคตาสติ ผ่านไป 30 กว่าปี ก็ไม่เห็นจะก้าวหน้าตรงไนหเลย

กิเลสเบาบางลงหรือไม่ บอกตรง ๆ เลยครับ กามราคะก็ยังมีอยู่อีกมาก โกรธ อาฆาต ไม่พอใจก็มีอยู่
แต่ถึงจะยังนั้น สิ่งที่ผมเห็นอยู่คือ ถึงมีก็น้อยลงอาจจะเป็นเพราะว่าอายุมากขึ้นจะถึง 50 ปีแล้วจึงคิดได้บ้าง
ไม่ได้บ้าง

ทีผมจะบอกก็คือ การภาวนาถึงไม่มีครูอาจารย์ ก็ลำบากครับ ถึงมีครูอาจารย์ก็ใช่ว่าจะสบาย

ขนาดผมขยันเดินจงกรมวันละ เป็น 10 ชม. นั่งกรรมฐานวันละ 3 - 4 ชม. ก็ยังเห็นว่าไม่สำเร็จธรรมได้
ง่าย  ๆ เลยครับ

ดังนั้นเพื่อน  ๆ สมาชิก คิดหรือว่า จะปฏิบัติธรรมสำเร็จได้ในเวลาเพียง 2 - 3 วัน หรือ ไม่เกิน 7 วัน
( ไม่ใช่วันจันทร์ ถึง วันอาทิตย์ นะครับ )

ให้กำลังใจครับ

อนุโมทนากับทุกท่านครับ ที่ยังพากเพียร เรียนธรรม ภาวนาธรรม ปฏิบัติธรรม และ เห็นความสำคัญของธรรม


ขอบคุณภาพประกอบแทนรอบยิ้มจากหัวใจของผมครับ
http://www.bloggang.com/data/porpayia/
123  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: ถ้าวันนี้ไม่มีเสียง RDN แสดงว่าสัญญาเช่า หมด แล้ว เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 08:38:15 pm
อนุโมทนาสาธุ กับ เว็บมาสเตอร์ และทีมงานมัชฌิมา
ทุกท่าน ขอให้เจริญในธรรม เป็นร่มธรรมให้กับกัลยาณมิตรตลอดไปนะครับ

สาธุ

124  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ฝึกสมาธิมา 10 ปี ไม่พัฒนาขึ้นเลย ตอนนี้มาฝึกกสินดู เลยอยากถามจากผู้ที่ฝึกสำเร็จแ เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2011, 02:01:57 pm

เราฝึกถูกจริตไหม และพอจะมีทางสำเร็จไหม


อันนี้ไม่ทราบได้ครับ เพราะถ้าคุณชอบฝึกถูกจริต ก็น่าจะสำเร็จได้นะครับ
ส่วนการได้นิมิตนั้น เท่าที่ผมทราบมาในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับไม่สนใจเรื่องของภาพนะครับ

สนใจเพียงรัศมีเท่านั้น นะครับ

ส่วนถ้าจะตอบว่าปฏิบัติได้เป็นฌานหรือไม่ ผมว่าตนเองน่าจะรุ้คำตอบนะครับ
เพราะกสิณแสงนั้นให้ผลทางด้านการปฏบัติ

ปกติ อุคคนนิมิต คือ นิมิตที่ถือเอาไว้ได้ด้วยใจนะครับ ไม่ใช่ลืมตาแล้วเห็น หลับตาแล้วดับครับ
นิมิตกสิณ ต้องฝึกจากด้านนอกสู่ด้านใน ครับ

ผมคิดว่า น่าจะต้องเรียนถามพระอาจารย์ทางเมล นะครับ เพราะถามในห้องกระทู้ไม่ได้รับคำตอบหรอกครับ
เพราะการส่ง หรือ แจ้งกรรมฐาน จะแจ้งกรรมฐานเป็นการส่วนบุคคลครับ

 :s_hi:



ขอบคุณภาพจาก http://board.postjung.com
125  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: อยา่คิดว่า การปฏิบัติธรรม เป็นของง่าย...โปรดระลึกไว้ว่า... เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2011, 09:12:02 pm
ผมว่าอ่าน ทบทวนคำตอบให้ดีก่อน ครับ เพราะว่ามีไม่มาก

เจตนา ผู้ตอบต้องการให้เราทราบ ว่าการภาวนาที่ยากนั้น

เป็นเพราะว่าเรา ยังปฏิบัติกันไม่สำเร็จ ครับ...

หรือคุณ vongoleX เป็นพระอรหันต์แล้วครับ จึงบอกว่าง่ายครับ

  :smiley_confused1:
126  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: วิสาขะบูชา เพื่อนๆไปที่ไหนกันมาบ้าง? เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2011, 09:09:09 pm
อนุโมทนา กับ คุณธรรมธวัช ที่นำภาพบรรยากาศ งานวัดป่ามาให้ชมนะครับ

ส่วนตัวผมเองก็ชอบแนว ปฏิบัติในสายหลวงปู่มั่นครับ เพราะว่าปฏิบัติง่าย เข้าใจง่าย

ที่สำคัญที่สุด ศิษย์ จะแสดงความเคารพในครูอาจารย์ ครับ ซึ่งผมว่าในสายวัดป่านี้ชัดเจนมากครับ

ซึ่งต่างจากแนวกรรมฐาน อื่น ๆ ที่ไม่ค่อยได้กล่าวเคารพยกย่อง ครูอาจารย์กันนะครับ

อย่างหลวงตามหาบัว ดูจากวันงานก็รู้นะครับ ว่า ลูกศิษย์ ที่เคารพมากันมากมายเลยนะครับ

แม้ครูอาจารย์ จะจากไป ก็สร้างสถูปบรรจุสักการะ ไว้ โดยเฉพาะ อัฐิของหลวงตามหาบัวนั้น รู้สึกแจกกัน

เป็น สี่ภาค ทุกจังหวัดเลยนะครับ วันงานที่แจกผมนับเฉพาะพระก็มากมายจริง ๆ ก็ยังแปลกใจเลยครับว่า

ทำไม อัฐิ หลวงตาจึงมีแจกได้เป็นพัน ผะอบ เลยครับ

 :25: :25: :25:

 :25: :25: :25:
127  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ขอคำตอบและอธิบายเพิ่มเติมได้ยิ่งดีครับ เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2011, 05:28:57 pm
อ้างถึง
1. ปลามีวิญญาณ แมลงมีวิญญาณ ใช่ไหม?  เห็บ หมัด หมา มีวิญญาณไหมครับ ? ตอบ yes or no เลยครับ

 yes

อ้างถึง
2. และที่เกิดเป็น พ่อ แม่ ลูก กันต้องอยู่ใต้กฏเกณฑ์อะไรบ้าง ขอเพิ่มครับ รบกวนอีกทีครับ

จิตที่อธิษฐาน เช่นเรารักแม่ อยากเกิดกับแม่เรา แต่แม่เรารักพ่อ ก็เลยต้องมีพ่อ ที่ร่วมกับแม่ด้วย
ในกรณีนี้เป็นกรณี สำหรับลูกที่สงสัย ว่าไม่อยากเกิดกับพ่อคนนี้ แต่อยากเกิดกับแม่คนนี้

บุญกรรมที่สร้างสั่งสมไว้ บุญที่ทำร่วมกัน หลายสิบร้อยพันหมื่นล้านชาติ ( จริง ๆ นะ )

 :67:
128  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ขอคำตอบและอธิบายเพิ่มเติมได้ยิ่งดีครับ เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2011, 07:15:12 pm
ต้องศึกษาเรื่องกรรม ด้วยครับ
  กรรมมี 3 อย่างครับ
    1.กรรมดี 2.กรรมชั่ว 3.อัพยากตกรรม
  ในกรรมนี้ไม่ต้องเรียนเรื่อง กรรมดี กับ อัพยากตกรรม ก็ได้เรียนเรื่อง กรรมชั่ว อันเดียวก็พอ
เพราะกรรมชั่ว แบ่งเป็น 3 ระดับ สถานเบา สถานกลาง สถานหนัก
   
    การทำกรรมนั้น มี องค์ประกอบ ดังนี้
    1.ตัวเราผู้ คิด พูด ทำ ชั่ว 2.ตัวผู้ถูกกรรมที่เราทำ ทั้งทางตรง และทางอ้อม 3.ระยะเวลา

    ยกตัวอย่าง
    1.เราคิดจะด่าเพื่อน ๆ ใจทุกข์แล้วเป็นบาปแล้ว แต่ส่งผลแค่เรา เพราะยังไม่ได้ด่า หรือ กระทำการเรียกว่าด่า
    2.ได้ด่าด้วยวาจา และท่าทาง โดยตรง
    3.ได้ด่าเป็นระยะเวลาหลายวัน ด่าจนเป็นนิสัย ทุกวัน

   ที่นี้กรรมที่จะทำให้เกิดเป็นมนุษย์ นั้นต้องเป็นกรรมที่ละชั่ว และทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ครับ

  เรื่องพวกนี้กล่าวไปมาก ๆ ก็เป็นอจิณไตรย ( คือ คิดได้ไม่รู้จบ ) เป็นคำถามที่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสแสดงไว้ว่าเป็นทิฏฐิ ที่ผิด คือ มัวแต่มาตั้งคำถามว่า เราจะเกิดหรือไม่ เราจะเกิดเป็นอะไร ดังนี้เป็นต้น

  ดังนั้นความคิดอย่างนี้ยังจัดเป็นทิฏฐิ ที่ผิดอยู่นะครับ

  เอาเป็นว่า คุยกันพอได้อัธยาศัย ครับ

   :s_hi:
       
   
129  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: เชิญชมภาพงานพุทธาภิเษก ใครไปมาแล้ว รำลึกภาพวันงาน ที่วัดพลับ ครับ เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 06:09:26 pm
สาธุ ยังมีภาพให้ชมอีกหรือครับ

 :25: :25: :25:
130  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: ตาเคลิ้ม กับ สังกะสีแผ่นเดียว เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 03:11:02 pm
เรื่องนี้ผมฟังทาง รายการ RDN ซึ่งช่วงนี้มีเรื่อง กฏแห่งกรรมให้ฟัง ๆ เพลินดีครับ

พอได้มาอ่านเนื้อหาเพิ่มแล้ว เป็นเรื่องเล่าจากพระเดช พระคุณ หลวงพ่อจรัญ ด้วยแล้ว

ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องเลวไหลเลยครับ ควรจะเชื่อถือไว้ เพราะจะได้สร้างบุญบารมีไว้ให้มาก

จะไปลำบากเหมือนตาเคลิ้ม นะครับ

 :25:
131  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: เชิญร่วมโพสต์ ภาพไทยๆ อวยพรในวันปีใหม่ไทยกันบ้าง เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 02:42:55 pm


่ข้าพเจ้าขอตั้งจิต อุทิศผล
บุญกุศลนี้แผ่ไปให้ไพศาล
ถึงบิดามารดา ครูอาจารย์
ทั้งลูกหลาน ญาติมิตรสนิทกัน
ทั้งคนเคยร่วมงาน การทั้งหลาย
ขอให้ได้ในกุศล ผลของฉัน
ทั้งเจ้ากรรมนายเวร และเทวัญ
ขอให้ท่านได้บุญนี้ ถ้วนทั่ว เทอญ...

จากนาย โททอล
ผู้ตั้งใจผดุงพระพุทธศาสนาเถรวาท
132  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เราต้องตกนรกใช่มั๊ยคะ เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 02:34:56 pm
ตอนนี้ อาศัยเหตุที่เรายังเป็น เทวดา เพราะคุณธรรมของเทวดา คือ หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ คือเกรงกลัวบาป เมื่อคุณธรรม เทวดามีอยู่แล้ว ก็รีบเป็นเทวดา ครับจะได้ไม่ลงนรก ครับ

เห็นด้วยกับทุกความเห็น ที่มีความปรารถนาดี แนะนำกันผมเอง ได้อ่านแล้วก็ไม่รอช้าปกติก็ไมค่อยจะล็อกอิน แต่
เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว สิ่งที่อยากจะช่วยในเบื้องต้น คือคำแนะนำที่ดี ๆ ก่อนที่จะสายเกินไปครับ

ตอนนี้ยังไม่สาย...ครับ

หยุด เลยครับ ไม่ต้องไปห่วงครับเพราะกองทุกข์ และ กรรมเป็นของเรา ที่เราจะรับครับ

เห็นด้วยกับการตัดสินใจของคุณ ที่จะเลิกและหยุดครับ วันที่ 10 ช้่าไปครับ

หยุดวันนี้เลยครับ วันที่ 8 มีนาคม 2554 ฤกษ์ดีแล้วครับ....

 :s_good:
133  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: คุณเคยเห็นวิญญาณ ( ผี ) กันบ้างหรือไม่ ? เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 05:20:17 am
หากไปถามแท๊กซี่ที่เคยขับรถมาเกิน30 ปี จะรู้ว่า เส้นทางจากปากซอยสามัคคี ด้านถนนติวานนท์ อ.เมือง จ. นนทบุรี จะมี ญ. อิสลามโบกรถและให้พาไปซื้อของปากคลองตลาดเวลา ตีสี่ เป็นประจำ

โชเฟอร์ทุกคนสารภาพว่า ได้คุยกับ ญ. คนนี้มาตลอดทาง แต่ไม่เคยเห็นหน้า เพราะเธอคลุมหน้าตามประเพณี แต่เมื่อถึงปากคลองฯ ไม่เคยมีใครได้รับเงินค่าโดยสารเลยแม้แต่คันเดียว เพราะเธอหายไปอย่างไร้รองรอยใดๆ ทั้งๆที่ไม่ได้หยุดหรือจอดติดไฟแดงที่ไหน ระยะเวลาวิ่งก็ไม่เกินครึ่งชั่วโมง

เป็นที่กล่าวขานไปทุกอู่แท๊กซี่ในเวลานั้น
134  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คุณเคยเห็นวิญญาณ ( ผี ) กันบ้างหรือไม่ ? ( แมวดำข้ามศพ -1 ) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 05:09:39 am
เรื่องที่จะ อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องเล่า จาก Mail Forward
================================

ลุงและพ่อหันมองหน้ากัน ด้วยสีหน้าและแววตาที่มีค่อยจะสู้ดีนัก

ผมจะพวกบรรดาหลานๆของปู่ต่างไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

บรรยากาศเงียบวังเวงจนน่าสะพรึงกลัว

ศพของปู่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าผวยผืนใหม่ตั้งแต่คอจรดเท้า เหลือไว้เพียงส่วนศีรษะ สามารถมองใบหน้าของปู่ได้ชัด หน้าของปู่ซีดคล้ำอมเขียวผิวหนังเหี่ยวยับย่น เปลือกปากเผยอจนเห็นฟันดำเป็นรางๆ เปลือกตาปิดสนิท นอนเหยียดยาวอยู่เหนือเสื่อจูดกลางบ้านไม้โบราณซึ่งสร้างตั้งแต่สมัยทวด มันเก่าแก่พอที่จะทำให้พวกเราบรรดาหลานๆของปู่ ไม่กล้าที่จะขึ้นมาเดินหรือวิ่งเล่นคนเดียว แม้ในเวลากลางวันก็ตาม โดยเฉพาะฉากรูปถ่ายของทวด ซึ่งเก่าคร่ำคร่าน่ากลัวมาก เวลาเดินผ่านเหมือนกำลังถูกสายตาของทวดจดจ้องอยู่ตลอดเวลา

บ้านไม้ของปู่หลังนี้เป็นบ้านไม้โบราณทรงปั้นหยามุงกระเบื้องดินเผายกพื้น สูงปล่อยใต้ถุนโล่ง ไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์ในไร่นาต่างๆ รวมถึงเป็นที่นั่งเย็บจาก สานอะไรต่อมิอะไรมากมายตอนที่ปู่มีชีวิตอยู่ ปู่มีลูกสองคน เป็นชายทั้งหมด คือพ่อกับลุง หลังจากย่าตายปู่ก็อยู่คนเดียว โดยพ่อกับลุงพอแต่งงานมีครอบครัวต่างแยกตัวออกไปสร้างบ้านใหม่ แต่ก็ไม่ไกลออกไปนัก

ขณะนี้เหนือศพของปู่ซึ่งถูกคลุมด้วยผ้าผวยบริเวณอก ไอ้นิล แมวขนสีดำสนิทขึ้นไปนอนคู้กายเอาหัวแนบลำตัวอย่างไม่สะทกสะท้านต่อสายตาหลาย สิบคู่ที่กำลังจ้องมองมันอย่างตระหนกตื่นหวาดผวา ซึ่งก่อนหน้าที่มันจะขึ้นไปนอนบนอกมันได้เดินวนเวียนปีนข้ามร่างปู่ไปมา เอาหัวไถถูตามศีรษะและร่างของปู่คล้ายไม่รับรู้ว่าปู่ได้จากโลกไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงร่างกายที่ปราศจากวิญญาณเท่านั้น มันปฏิบัติเหมือนตอนปู่มีชีวิตทุกประการ ชอบเคลียคลอประจบประแจง ขึ้นไปนอนบนอกเวลาปู่นอน

ตอนที่ปู่มีชีวิตอยู่ ไอ้นิลเป็นเหมือนลูกคนที่สามของแกในยามบั้นปลายชีวิตที่ใกล้ชิดและรักแกมาก ถ้าหากวัดความรักโดยการคอยเคลียคลอเอาใจใส่ไม่หลบหนีห่างหายไปไหน และทำให้คนที่อยู่ใกล้มีความสุข ไอ้นิลเข้าข่ายทุกประการ และเช่นกัน ปู่ก็รักไอ้นิลมาก สังเกตจากการที่ทุกวันตลาดนัด สิ่งที่ปู่จะลืมไม่ได้ในการไปจับจ่ายซื้อของมากักตุนเอาไว้ นอกเหนือจาก ข้าวสาร กะปิ น้ำปลา เครื่องแกง น้ำมันพืช หรืออะไรต่างๆแล้ว ปลาทูนึ่งซึ่งสำหรับซาวข้าวให้ไอ้นิลกิน คือสิ่งที่ปู่ต้องซื้อทุกครั้ง ปู่จะกะประมาณซื้อปลาทูนึ่งเอาไว้พอเพียงกับชั่วระยะเวลากว่าจะถึงวันตลาด นัดอีก

การปฏิบัติของปู่ที่มีต่อไอ้นิล บางครั้วพวกเราหลานๆพากันคิดว่าท่านรักไอ้นิลมากกว่าพวกเราซึ่งเป็นหลานแท้ๆของแกเสียอีก

แต่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะพวกเราถึงจะเป็นหลาน ก็น้อยครั้งเหลือเกินที่จะคอยมาเอาใจใส่ปู่ เรามักจะคิดว่าท่านคนแก่ก็อยู่ส่วนท่าน เราเด็กๆก็อยู่ส่วนเรา ต่างมีโลกส่วนตัวคนละโลก โลกของคนแก่เป็นโลกที่เฉื่อยๆเนือยๆ ตื่นนอนล้างหน้าพูดจากับสัตว์เลี้ยงหุงหาข้าวปลาให้ต้นและสัตว์เลี้ยงกิน จากนั้นก็ละลายเวลาให้หมดไปกับการนั่งเหม่อลอยหรือทำงานจุกจิกอะไรสักอย่าง จนกว่าจะค่ำ กินข้าวเข้านอน วนเวียนอยู่อย่างนี้...น่าเบื่อ ไม่เหมือนโลกของเราเด็กๆที่เต็มไปด้วยความสดใสสนุกสนานร่าเริงโลดโผน ตื่นเต้นอยู่ตลอด

ในที่สุด ลุงเป็นคนทำลายบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวนั้นด้วยการลุกขึ้นไปหาเรียวไม้มาตี ไล่พร้อมทั้งตวาดด้วยเสียงอันดัง ไอ้นิลกระโดดหนี ร้องด้วยความตื่นกลัว มิวายลุงก็ยังใช้ให้ผมและพวกหลานๆของปู่ช่วยกันไล่ตีไอ้นิลให้ไปให้พ้น จากบริเวณบ้าน

ได้ผล ไอ้นิลกระโดดหนีหายเข้าไปในป่าหลังบ้านอย่างไม่มีวี่แววว่าจะหวนกลับมาอีก มันคงจะมีสำเหนียกแล้วว่า เวลานี้ไม่มีที่พึ่งให้มันพึ่งพาประจบประแจงอีกแล้ว

งานศพของปู่จัดขึ้นอย่างใหญ่โต ด้วยการร่วมกันดำเนินงานระหว่างพ่อกับลุง โดยตกลงกันว่าจะตั้งศพบำเพ็ญกุศล ๗ คืน ทุกคนจะมีพระมาสวดอภิธรรม ๓ เตียง ผมและหลานๆของปู่ถูกมอบหน้าที่ให้ค่อยต้อนรับจัดเลี้ยงแขกเหรื่อที่มาในงาน พ่อและลุงสั่งให้ล้มวัวสองตัวที่ปู่เคยเลี้ยงไว้ในขณะมีชีวิตอยู่เพื่อ เลี้ยงแขก แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อจำนวนคนที่มาในงานที่นับวันจะเพิ่มทวีขึ้น เรื่อยๆ ในที่สุดจึงต้องสั่งซื้อมาอีก ๓ ตัว

สิ่งที่ผมสังเกตได้คือ ตอนหัวค่ำช่วงพิธีกรรมทางศาสนาคนจะไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ที่มานั่งฟังพระสวดอภิธรรมส่วนมากจะเป็นคนเฒ่าคนแก่ในละแวกบ้านใกล้ๆเคียง ที่รู้จักมักคุ้นกัน แต่พอหลังจากพิธีกรรมทางศาสนาเสร็จแล้วลับหลังพระกลับวัด บริเวณลานพิธีจะถูกแปรสภาพเป็นบ่อนขนาดย่อมทันที มีผู้คนมากมาย ซึ่งผมไม่ค่อยคุ้นหน้าว่าเป็นญาติฝ่ายไหนของปู่กันแน่แห่กันมาล้อมวงเล่นการ พนันจำพวกไพ่ ปอ ไฮไล จนแน่นขนัด ตั้งแต่ค่ำยันเกือบสว่าง บางวันพระออกบิณฑบาตแล้วยังไม่เลิกก็มี ยิ่งนับวันยิ่งเพิ่มจำนวนวงการเล่นออกไป จากหนึ่งวงเป็นสอง เป็นสามเป็นสี่ และพอถึงวันงานคืนสุดท้าย รอบบริเวณบ้านเต็มไปด้วยวงการพนัน ภาระการเลี้ยงดูอาหารซึ่งผมและบรรดาหลานๆของปู่ต้องคอยดูแลพวกที่มาในงานจึง ค่อนข้างหนักหนาสาหัสเอาพอสมควร บางคนมาทั้งครอบครัว กินกันคนละหลายๆรอบ มิหนำซ้ำยังตักใส่ถุงพลาสติกที่เตรียมไว้เอากลับไปกินที่บ้านก็มี

พ่อกับลุงมักจะขลุกอยู่ที่โต๊ะรับซองทำบุญจากแขกที่มาในงาน ต่างคนต่างไม่พูดอะไรกันจนผมอดสงสัยมิได้ว่าท่านทั้งสองมีเรื่องอะไรผิดใจ กันหรือเปล่า เพราะช่วงตลอดวันงานที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าทั้งสองมีเรื่องที่ถกเถียงจนขึ้นเสียงกันถึงสามครั้ง

วันเผาศพของปู่ผู้คนมากันจนเต็มศาลาคู่เมรุเผาศพที่วัด แต่ถ้าหากเทียบจำนวนคนในคืนสุดท้ายที่บ้าน นับว่าคนที่มาในวันเผาน้อยกว่ามาก พ่อกับลุงจากตอนแรกก่อนจะเข้างานตกลงกันว่าจะนิมนต์พระสวดมาติกาบังสุกุลวัน เผาให้เท่ากับจำนวนอายุของปู่ คือ ๘๕ ปี จะนิมนต์พระให้ได้ ๘๕ รูป ถวายปัจจัยรูปละ ๑๐๐ บาท แต่เอาเข้าจริงๆ ได้เพยง ๑๕ รูป เท่านั้น ซึ่งเหตุผลในเรื่องนี้ผมมารู้เอาก็หลังจากเสร็จงานศพปู่เรียบร้อยแล้ว
135  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: คุณเคยเห็นวิญญาณ ( ผี ) กันบ้างหรือไม่ ? เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 05:05:28 am
ความรู้เรื่อง "เปรต" จากพระไตรปิฎก

เปรตคือสัตว์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยมารดาบิดา (โอปปาติกะ) ท่านว่าเปรตเกิดจากคนเราในสมัยที่เป็นมนุษย์ ชอบประกอบอกุศลกรรมเป็นอาจิณ หลังจากที่ได้ตายไปแล้ว และไปอุบัติเป็น สัตว์นรกเสวยทุกข์เวทนาเป็นเวลานานแสนนาน พอหมดอายุขัยจากนรกแล้ว ด้วยเศษอกุศลกรรมที่ยังเหลืออยู่ก็จะส่งผลให้ไปอุบัติเป็นชีวิตใหม่อีกรูป แบบหนึ่งเพื่อ เสวยทุกขเวทนาบนโลกมนุษย์ มีชื่อเรียกว่า "เปรตวิสัย"

ในพระไตรปิฎกกล่าวว่าเปรตเหล่านี้มีรูปร่างและลักษณะการเสวยทุกข์เวทนาจะแตก ต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ กรรม (การกระทำ) ของแต่ละบุคคล เช่น เปรตบางตนเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เคยประกอบอาชีพฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณ หลังจากหมดอายุขัยในนรกแล้วก็ไปอุบัติเป็นเปรตที่มีรูปร่างเป็นก้อนเนื้อให้ นกกาจิกแทะกลางอากาศ เปรตบางตนมีรูปร่างสวยงามแต่กลิ่นปากเน่าเหม็นคละคลุ้ง เพราะในสมัยมีชีวิตอยู่แม้จะประกอบกุศลกรรมบ้าง (ทำให้ร่างกายสวยงาม) แต่ปากคอระรานชอบด่าว่าผู้ทรงศีล เลยเกิดมาเป็นเปรตรูปร่างสวยงามแต่ปากเหม็น เป็นต้น สรุปคือ รูปร่างของเปรตแต่ละตัวล้วนแตกต่างกันไปตามอำนาจปรุงแต่งของกรรมที่ตนทำไว้ นั่นเอง หาใช่มีแต่เปรตตัวสูงเท่าต้นตาล ปากเท่ารูเข็ม อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจเท่านั้นไม่

ในพระไตรปิฎกมีเรื่องราวของเหล่าสาวกทั้งบรรพชิตและฆราวาสมากมายที่ได้พบ เห็นเปรตและมีโอกาสได้สนทนาด้วย ในการสนทนาส่วนใหญ่เปรตก็มักจะเล่าถึงเหตุผลของการที่ตนเองต้องมาเกิดเป็น เปรตรับทุกข์ทรมาน และมีสภาพที่น่าสมเพชเวทนาเช่นนี้ ว่าเกิดจากในสมัยที่ตนเป็นมนุษย์ได้กระทำกรรมชั่วอะไรไว้บ้าง และในตอนท้ายของการสนทนา เปรตก็มักจะขอร้องให้มนุษย์ที่ตนสนทนาด้วยให้ช่วยทำบุญให้ทาน อุทิศส่วนกุศลไปให้เปรตบ้าง เมื่อเปรตเหล่านี้ได้รับการอุทิศส่วนกุศลจากมนุษย์แล้ว ชีวิตของตนก็พ้นจากความทุกข์เวทนาจากเศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ มีความปีติยินดี ไปอุบัติเป็นสัตว์โอปปาติกะขนิดใหม่ที่ดีขึ้นเช่น เทวดา เป็นต้น

ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์เองก็ทรงไม่สนับสนุนให้ชาวพุทธไปเที่ยววุ่นวายกับเรื่อง"เปรต" ให้เสียเวลา เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของประสบการณ์เฉพาะตน ที่ไม่สามารถจะนำไปยืนยันหรือพิสูจน์ให้ทุก ๆ คนได้เห็นตามได้ อีกทั้งการที่ไปวุ่นวายเรื่องเหล่านี้ยังเป็นการเสียเวลาไม่เอื้อต่อการ ปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์อีกด้วย ยกตัวอย่าง กรณีท่านพระมหาโมคคัลลานะที่เล่าให้เพื่อนภิกษุฟังว่าตนมองเห็นเปรตที่เขา คิชฌกูฏ เพียงเท่านั้นเอง บรรดาเพื่อนพระภิกษุหลายรูปที่ไม่สามารถเห็นตามได้ ต่างก็เพ่งโทษพระมหาโมคคัลลานะว่ากล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม (อวดคุณวิเศษว่าตนมีตาวิเศษสามารถมองเห็นเปรตได้อะไรทำนองนี้ ) จนพระพุทธองค์ต้องมาช่วยตรัสรับรองความบริสุทธิ์ใจของพระมหาโมคคัลลานะว่า สิ่งที่พระมหาโมคคัลลานะท่านได้เล่าให้ฟังนั้น เป็นสิ่งที่ท่านได้เห็นมากับตาจริง ๆ ท่านไม่มีเจตนาที่จะอวดฤทธิ์แต่อย่างใด จึงไม่ต้องอาบัติ

แม้พระพุทธองค์เองก็ตรัสว่า ท่านก็เคยได้เห็นเปรตเช่นเดียวกัน แต่การที่ท่านไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ก็เพราะว่าการกระทำเช่นนั้นจะก่อให้เกิดความแคลงใจสงสัยสำหรับผู้ที่ไม่มี ความเชื่อ อันจะก่อให้เกิดผลเสีย คือ ทำให้เขาไม่ศรัทธาในสาระสำคัญในพุทธศาสนาอีกต่อไป ผู้นั้นจะเสียประโยชน์หมดโอกาสไปเปล่า ๆ ดังจะขอยกพระพุทธดำรัสดังกล่าวมาอ้างดังต่อไปนี้

... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อกาลก่อนเราก็ได้เห็นสัตว์ (เปรต) นั้น แต่เราไม่ได้พยากรณ์ (นำมาบอกเล่า หรือ พูดคุย )
ถ้าเราพยากรณ์สัตว์นั้น และคนอื่นไม่เชื่อเรา ข้อนั้นก็จะพึงเป็นไปเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลเพื่อทุกข์ แก่เขาเหล่านั้น
สิ้นกาลนาน....
( วินัย เล่ม ๑ ข้อ ๒๙๕ หน้า ๔๒๗ บรรทัดที่ ๒๒-๒๔)

สรุปแล้ว เรื่อง "เปรต" ควรเป็นเรื่องที่พอรู้ไว้ให้เป็นความรู้รอบตัว โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเที่ยวตามพิสูจน์หาความจริงแต่อย่างใด (เพราะอาจจะทำให้ถูกหลอกลวงจากผู้ที่ไม่ปรารถนาดี ) ควรสนใจเฉพาะคำสอนที่เป็นสาระในพุทธศาสนาจะเป็นการปลอดภัยที่สุด

สำหรับผู้ที่มีความเชื่อเรื่องนี้ ก็ให้ยึดหลักการที่ท่านแนะนำไว้ให้แม่น ๆ ว่า หน้าที่ของชาวพุทธคือศึกษาพัฒนาตนเอง ส่วนเรื่อง เปรต หรือ ผีสางนางไม้นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรเสียเวลาไปเที่ยวพิสูจน์ ดังที่กล่าวมาข้างต้น เพราะถึงแม้ท่านจะสามารถพิสูจน์เห็น"เปรต"มาได้ด้วยตนเองแล้ว (ด้วยการฝึกฝนจิตตนเองหรือด้วยเหตุปัจจัยอันใดก็แล้วแต่) แต่คนสมัยใหม่ที่เขาเชื่อเรื่องของเหตุผล เขาก็จะด่วนสรุปทันทีว่าท่านเป็นคนงมงาย แม้ว่าท่านจะนั่งยันนอนยันว่าเห็นมากับตาสักเท่าไรก็ตามที

แม้พระพุทธองค์ท่านยังรู้ขอบเขต ไม่เน้นสอนเรื่องเหล่านี้ คงเพียงแค่กล่าวผ่าน ๆ รับรองว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงเท่านั้น เพราะถ้าหากขืนไปเน้นพูดถึงเรื่องนี้มาก ๆ ผู้คนก็จะพาหลงทิศหลงทางจากหลักธรรมได้ง่ายๆ (เพราะมัวแต่ไปตระเวนตามล่าเปรตสุดขอบฟ้า) ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็จะคิดดูหมิ่นดูแคลนพุทธศาสนา กล่าวหาว่าสอนแต่เรื่องงมงายไปเลย จะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ถ้าไปยุ่งกับมันมาก ๆ จะก่อให้เกิดผลเสียต่อพระพุทธศาสนาในระยะยาว (พุทธศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่เสื่อมขนาดหนัก ก็เพราะเน้นสอน เรื่องอิทธิปาฎิหาริย์ ผีสางเทวดา นั่นเอง ท่านสามารถศึกษาบรรยากาศของพุทธศาสนาในสมัยนั้นได้ จากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน )

สมมุติว่าวันดีคืนดีท่านเกิดไปเดินเจอเปรตตัวจริงที่ไหนเข้า ท่านก็รู้หลักการจากพระไตรปิฎกแล้วว่าควรปฏิบัติอย่างไร นั่นคือการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรต ให้ท่านถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย

อันที่จริงไม่ใช่เพียงแต่ เปรต อย่างเดียวเท่านั้นที่ต้องการบุญกุศลจากมนุษย์ แม้เทวดาทั้งหลายก็ยังต้องการบุญกุศลจากมนุษย์เช่นเดียวกัน เพราะสัตว์เหล่านี้หมดโอกาสที่จะได้ทำบุญกุศลแล้ว มนุษย์คือสัตว์ชนิดเดียวที่มีโอกาสประกอบคุณงามความดีได้อย่างไม่มีที่สิ้น สุด มนุษย์จึงไม่ควรสยบยอมอยู่ใต้อำนาจผีสางเทวดา เที่ยวไปหมอบคลานกราบไหว้ผีสางเทวดา เพื่อขอพึ่งพาอาศัย ให้เป็นที่น่าอนาถใจ

มนุษย์ควรมีศักดิ์ศรีของตนเอง ควรพัฒนาตนเองให้ประเสริฐ ให้ผีสางเทวดามากราบไหว้ ทำตัวให้เป็นที่พึ่งของเจ้าพ่อเจ้าแม่ยังจะดีเสียกว่าไปพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ นี้ถ้าหากคนไทยสามารถปฎิวัติความคิดของตนเองเช่นนี้ ประเทศไทยก็จะได้พ้นจากอำนาจผีสางเทวดาเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่ครองเมืองกันมานาน พุทธศาสนาของเราจะได้รุ่งเรืองกันเสียที
136  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: คุณเคยเห็นวิญญาณ ( ผี ) กันบ้างหรือไม่ ? เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 05:01:26 am
ผมเห็นผีทุกวันครับ

  ผีสุรา ผีการพนัน ผีอบายมุข น่ากลัวมาก ๆ ครับพวกผีพวกนี้ อยู่บ้านไหน บ้านนั้นพัง อยู่เรือนไหน เรือนนั้นแตก

ผีพวกนี้แม้แต่พระ ก็ปราบไม่ได้

 :85:

ล้อเล่นนะครับ น่าสนใจครับ เดี๋ยวไปค้นเรื่องมาโพสต์ให้อ่านครับ

 :29:
137  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: ทีมมัชฌิมา สระบุรี มีรายละเอียด ของทุ่งทานตะวันบ้างหรือป่าวคะ เมื่อ: ธันวาคม 28, 2010, 09:19:16 pm
แวะมาที่สระบุรี ช่วง 23 ม.ค.2554 เลยก็ได้ครับ

ทีมงานมัชฌิมา น่าจะมีข้อมูล ช่วยเหลือมากมาย

 :25: :25: :08:
138  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: สรุปธรรมสัญจร ภาคเหนือ 24 25 26 27 ธ.ค.2553 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2010, 09:17:59 pm
คุณธรรมธวัช ดีจริง ๆ ครับ มีภาพให้ดูมากครับ ผมดูแล้วอนุโมทนาชื่นชมจริง ๆ ครับ

คนอื่น ๆ ไม่ได้ถ่ายไว้หรือครับ

อนุโมทนา กับ คณะเดินทางแสวงบุญ จริง ๆ ครับ

 :25: :25: :25:
139  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: กรรมใดที่พวกเราทำ จึงเป็นเหตุให้อยู่ในยุคถิ่นกาขาว? เมื่อ: ธันวาคม 28, 2010, 09:09:41 pm
เรื่องของ อีกาเผือก OK ครับ

แต่เนื้อเรื่องด้านบน โปรดใช้วิจารณ์ ด้วยครับ เพราะหัวข้อดึงออกไปเรื่องการเมือง
ซึ่งผิดกฏของเว็บ คือ ไม่โพสต์ประเด็นการเมือง เข้าข้างฝ่ายใดนะครับ



 :signspamani:
140  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำไม พระพุทธเจ้า จึงทรงตรัสห้ามสตรีบวชพระหลังจาก พระองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อ: ธันวาคม 06, 2010, 10:21:20 pm
ผมเอง ก็แปลกใจไม่น้อย กับเรื่องนี้

  ทั้งที่ตอนที่ พระนางปชาบดี ขออุปสมบถนั้น ก็ทรงตรัสห้าม และ พยากรณ์ ให้พระอานนท์ฟัง

 แล้วมายุคนี้ พระสงฆ์ ฝ่ายมหายาน และ พระสงฆ์ ฝ่าน หินยาน ต่างประเทศกำลังเริ่มให้มีการบวชพระหญิง

และพระหญิงเหล่านี้ ก็เริ่มเข้ามาอยู่ในประเทศไทย โดยขาดหลัก คุณธรรม 8 ประการอย่างที่พระพุทธเจ้า

ทรงตรัสให้รับ เป็นแบบแผนก่อนบวชพระฝ่ายหญิง

   ที่จริง ก็อยากรู้ว่า พระฝ่ายหญิง ได้ทำอย่างไรกันบ้างหลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน

มีประวัติ หรือ ตำนาน ต่อจากตรงนั้นมาอย่างไร ในสังคายนานั้น มีพระฝ่ายหญิงร่วมด้วยหรือไม่


   ใครพอจะเล่าเรื่องนี้เป็น วิทยาทาน ได้ครับ

   :25: :c017:
141  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สมัยพุทธกาล "อรหันต์ประเภทไหนมีมากที่สุด" เมื่อ: ธันวาคม 06, 2010, 10:09:31 pm
ในฐานะ ผู้ปฏิบัติธรรม วงนอก กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำัดับ นะครับ

ผมได้ตามอ่านศึกษา ที่ไปที่มา และ แนวการปฏิบัติ และ ลองฟังในรายการ RDN ดูแล้ว

ดูการตอบคำถาม พิจารณา แล้ว

ผมก็เห็นคล้อยตามว่า กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นั้นมิได้สอนให้เป็น ฝ่ายเจโตก่อน อย่างที่เข้าใจอย่างเมื่อ

ก่อน เพราะกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เริ่มแบบง่าย ไป สู่ยาก


   ถ้าจะจัด กรรมฐานแล้ว ปัญญาวิมุตติ กับ เจโตวิมุตติ แล้ว

   ปัญญาวิมุตติ นั้น ก็คือ ง่าย  เจโตวิมุตติ ก็คือ ยาก

  ตามตัวเลขปริมาณของ พระอรหันต์ ที่ปรากฏในพระไตรปิฏก และตำนาน นั้นก็ชี้ชัดแล้ว ว่า ยาก ก็มีน้อย ครับ

 ดังนั้น กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นั้นเริ่ิมสอนตั้งแต่ ระดับ อนุบาล คือไม่เป็นอะไรเลย ไปเรื่อย ๆ

 ตามขั้น ตามตอน ที่เรียกว่า ลำดับ

   แต่เพราะว่า ในยุคนี้ ศิษย์กรรมฐาน คงเข้าใจผิดกัน เพราะขาดครูอาจารย์ที่เข้าใจแนะนำจึงทำให้มีความคิด

มุมมองว่า กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เป็นเรื่องที่ฝึกยาก

   ทั้ง ๆ ที่จริง แล้ว ทั่วประเทศไทยนี้ ไปที่ไหน ๆ เขาก็ฝึก พุทโธ เป็นหลัก แม้แต่เด็กฝึกกรรมฐาน ก็ยังใช้

คำภาวนา พุทโธ สิ่งที่ผมมองเห็นคือ รากฐาน การฝึก พุทโธ นั้นมีมาแต่เดิม แต่บรรดาศิษย์ผู้สอนกรรมฐาน

องค์จริง นั้นขาดหายไป จึงทำให้ยุคนี้ ที่ฝึกกันนั้นเป็นสันโดด กรรมฐาน หรือ สันโดด วิปัสสนา

   มีการเปลี่ยนแปลงตามจริต ผู้ฟัง อาจจะเป็นเพราะคนยุคนี้ มีสื่อที่ไว จึงไปตามสื่อที่รู้ก่อน ส่วนพระอาจารย์

ผู้สอนกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เท่าที่ผมทราบมาันั้น ที่เป็นพระสงฆ์ มีคุณวุฒิ ด้านการศึกษา แนววิทย์

นี้มีน้อย มาในยุคนี้ ได้คนรุ่นใหม่ ที่มีความชำนาญเรื่อง เทคโนโลยี มาก่อน มาเป็นศิษย์ พร้อมได้ครูอาจารย์

ที่ทุ่มเทออกมาสอน ประกาศกรรมฐาน อีกครั้ง หนึ่ง ในยุคนี้ผมเอง ก็เห็นมีไม่กี่องค์

   ในภาคอิสาณ มีพระที่มาเรียน กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ที่วัดพลับ หลายรูป มากแต่เวลาสอนกรรมฐาน

ก็ไม่ยกย่องครูอาจารย์ บางครั้งเอ่ยแค่นาม ของ สมเด็จพระสังฆราชก็ไม่กล้าเอ่ยกัน

   ตอนนี้ ครูอาจารย์ ในสายกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นั้นจริง ๆ ในความรู้สึกส่วนตัวของผม ว่ามีน้อยมาก

ทั้ง ๆ ที่มีพระขึ้นกรรมฐาน กันมาก แต่ สุดท้าย พระที่ขึ้นกรรมฐานเหล่านั้นเวลาสอนกรรมฐาน ก็ไม่ได้สอน

ในแนวกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ กลับไปสอนในแนวสติปัฏฐาน ซะเป็นส่วนใหญ่ อาจจะทำตามกระแส

เพราะในยุคนี้ ถ้า่ไม่กล่าวเรื่อง มหาสติปัฏฐาน แล้ว จะว่าเชย หรือ ไม่รู้จริง ทั้ง ๆ ที่พระกรรมฐาน มัชฌิมา

แบบลำดับ ผมอ่านแนวทาง ก็เป็นทุกรรมฐาน ทุกกอง รวมทั้ง วิปัสสนาด้วย


  ดังนั้น ตอนนี้ ในฐานะคนนอก ก็อยากให้ศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ช่วยกันอธิบายความง่ายของ

กรรมฐาน ที่มีลำดับขั้นตอน อย่างชัดเจนนี้เถอะครับ อย่ามัวแต่ไปยกเรื่อง เจโตวิมุตติ ทำให้คนที่เข้ามาศึกษา

ใหม่ ๆ เบื่อ และมองเป็นเรื่องยาก เลยครับ


  :25: :25: :25:
142  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เมื่อ ความตั้งใจไว้ ( ความคิด ) กับ ความจริงที่ทำ สวนทางกัน เมื่อ: ธันวาคม 06, 2010, 09:47:38 pm
ถ้าไม่ลง ที่มา ผมนึกว่า คุณ translate มาบ่นนะครับนี่
 :91:

แท้ที่จริง มาตั้งกระทู้ให้ระลึก ในปัจจุบัน อนุโมทนา ครับ  :25:
143  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ภาวนากรรมฐาน แล้ว มีอาการกึ่งหลับ กึ่งตื่น เมื่อ: ธันวาคม 06, 2010, 09:17:36 pm
 ผมว่า ในเมื่อ คุณป้าปชาบดี  มีความสามารถสนทนากับ ตุ๊กแก ได้ผมว่าถามเจ้าต้วเลยก็ได้ครับ

 ไม่ต้องถามพระอาจารย์ ก็ได้ครับ  :)

 อีกอย่่าง ผมว่าพระอาจารย์ไม่ตอบแน่ครับ เพราะผมเองอ่านคำถามแล้ว ผมก็รู้แล้วว่า คุณป้าตัดสินใจ

 กับ ตุ๊กแก เรียบร้อยแล้วครับ เนื่องด้วยคุณป้า สื่อภาษากันได้ อยู่แล้ว น่าจะบอกให้มันไปอุจจาระให้เป็นที่

 เป็นทางก่่อนนะครับ

 อีกอย่าง ตุ๊กแก บอก หวยให้ด้วย นี่สิสำคัญมาก เพราะตุ๊กแก มีค่าตัวมากกว่า 3000 บาทแล้วครับ

 คุณป้าช่างโชคดี เสียนี่กระไร ?

 อีกอย่าง การที่เรามีคุณ กับ ตุ๊กแก แล้วสื่อภาษากันได้ มันน่าจะง่าย นะครับ

     :13: :13:  :13:
144  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ฌายี 4 ของพระโยคาวจร ( ความสำคัญผิดหรือถูก ในฌาน ) ควรปรับปรุงด้วยสติ เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 11:08:36 pm
สติมา  ปัญญาเกิด

สติเตลิด ก็จะเกิดปัญหา


 :25:

 :25: :25: :25:
145  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: สมถะ และ วิปัสสนา ถ้าปฏิบัติคู่ักันไปทำอย่างไร คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 11:07:45 pm
พึ่งทราบ ว่ามีพระสูตร แนะนำ สมถะ วิปัสสนา คู่กัน ครับ

อนุโมทนา ครับ

 :25:
146  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นามผู้สร้างหนังสือพระกรรมฐานห้อง ๔ เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 11:04:48 pm
ได้ข่าวว่า พระอาจารย์ ได้ติดต่อโรงพิมพ์ เรียบร้อยแล้วนะครับ

สอบถามไปทางเมล ... นะครับ

 :)
147  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / การปฏิบัติธรรมที่ศาลากรรมฐาน วัดแก่งขนุน ในวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2553 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 10:58:43 pm
อนุโมทนา ด้วยครับ ได้ข่าวมาว่า ไปกันพอสมควร... คิดว่าครั้งต่อไป น่าจะมากขึ้น เพราะเท่าที่ทราบ

คือ สมาชิก บางท่านก็ยังไม่ได้ทราบข่าวนี้


สาธุ สาธุ กับ คุณ Ngangjang

ผมว่า ลุง kittisak แนะนำถูก นะครับมาอยู่ใน FWD นี้ ซึ่งกระทู้มีโพสต์มาก ทำให้เรื่องตกไปอยู่ส่วนลึก

น่าจะโพสต์ ในห้อง ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน และ ติดหมุดด้วย ให้เว็บมาสเตอร์ ช่วยติดให้หน่อย

 :25: :25: :25: :25: :25:
148  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สมัยพุทธกาล "อรหันต์ประเภทไหนมีมากที่สุด" เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 10:54:49 pm
อ้างถึง
เพื่อนๆครับ แล้วกรรมฐานมัชฌิมาของเราล่ะครับ อยู่ส่วนไหน

ขอให้ทุกท่าน แสดงความคิดเห็นกันหน่อย

ขอให้ธรรมคุ้มครอง

รอฟังคำวิจารณ์ จากผู้ถามครับ

 :25:



ถ้าดูจากที่โพสต์กันนั้น ก็หมายถึง สอนวิปัสสนา เสมอ สมถะ คือสอนทั้งสองอย่าง เพราะ

พระพุทธานุสสติ นั้นไม่น่าจะเป็น สมถะส่วนเดียว

มีการเรียน และ ฝึกเรื่อง ธาตุ ทุก ฐาน จิต ซึ่งต้องใช้ปัญญา ในการเข้าถึง พระลักษณะ และ พระรัศมี ด้วย

 สุดท้ายสำเร็จ พระอุปจาระสมาธิ ซึ่งยังไม่ได้เป็น ฌาน ก็สามารถไปต่อ วิปัสสนา ได้เลย หรือ จะฝึก สมถะ

อันเป็น อัปปนาจิตต่อ ....

 :25:
149  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สมาธิ พิชิตความปวด เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2010, 10:56:55 pm

มาแบ่งปันความรู้ ครับ

ตอนที่ 96 สมาธิ พิชิตความปวด

สวัสดีครับ


พอดีทำงานกับผู้ป่วยทุกโรค รู้สึกโรค AS สาเหตุจะซับซ้อนมากกว่า มะเร็ง

มะเร็ง คนจะเป็นมากกว่า ลองเทียบเคียงได้ครับ


สมาธิ พิชิตความปวด


คุณอรทัย ชัยฐานียชาติ เคยป่วยเป็นมะเร็งเต้านม และได้รับการผ่าตัดแล้วเธอเป็นผู้ที่แพ้ยาทุกชนิดในการผ่าตัด
เธอจึงเจ็บปวดจากแผลผ่าตัดมาก แต่เธอใช้วิธีทำสมาธิเพื่อระงับความปวด และได้ผลอาการปวดลดลง
ตามที่ “หมอชาวบ้าน” เคยสัมภาษณ์เรื่องราวของเธอลงในคอลัมน์เปลี่ยนชีวิต ฉบับ ๒๑๕ มีนาคม ๒๕๔๐ แล้วนั้น
บทความต่อไปนี้คุณอรทัยได้บันทึกประสบการณ์ในการปฏิบัติตนของเธอขณะเจ็บป่วย
เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันเผื่อว่าผู้อ่าน “หมอชาวบ้าน” สนใจจะนำไปปฏิบัติบ้าง

มะเร็ง กายมะเร็งใจ
หลังจากดิฉันได้ผ่าตัดเต้านม เนื่องจากเนื้องอกเป็นมะเร็งจึงทำให้ใคร่รู้ในเรื่องมะเร็งมากขึ้น
นอกจากจะสอบถามจากคุณหมอรักษาแล้วยังได้หาหนังสือเกี่ยวกับโรคมะเร็งและ
อาหารต้านมะเร็งมาอ่านหลายเล่มก็พอจะสรุปคร่าวๆ ได้ดังนี้

โรค มะเร็ง เกิดขึ้นจากสารพิษหรือสารก่อมะเร็ง เข้าสู่ร่างกายมากเกินกว่าที่ร่างกายจะขับออกมาได้หมด
ดังนั้นร่างกายจึงพยายามกำจัดสารพิษให้อยู่เป็นที่ โดยสะสมในรูปของเนื้องอกหรือมะเร็ง
เนื้องอกหรือมะเร็งเปรียบเสมือนโรงเก็บสารพิษจากกระแสเลือดนั่นเอง
การก่อตัวของมะเร็งนั้นจะใช้เวลานานประมาณ ๑๐ - ๓๐ ปี ซึ่งในช่วงเวลาอันยาวนานนี้เซลล์ปกติจะค่อยๆ
เปลี่ยนรูปไปทีละน้อยในทางเสื่อม ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยเซลล์จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านเซลล์
และในจำนวนนี้ ถ้าหากว่ามีเพียงหนึ่งเซลล์ที่กลายเป็นเซลล์มะเร็ง แบ่งตัวเองประมาณ ๓๐ - ๓๒ ครั้ง
จะมีเซลล์มะเร็งประมาณร้อยละล้านเซลล์ ซึ่งทำให้เกิดก้อนมะเร็งขนาดครึ่งเซนติเมตร
และถ้าหากว่ามันแบ่งตัวไปเรื่อยๆ โดยไม่มีอะไรไปขัดขวางจนกระทั่งเกิดเซลล์มะเร็งในร่างกายทั้งหมดหนึ่งล้าน
เซลล์จะทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตายได้

นี่คือ การก่อเกิดของมะเร็งทางร่างกาย ซึ่งไม่มีใครทราบได้เลยว่าขณะนี้ในร่างกายของตนนั้นมีสารพิษหรือสารก่อ
มะเร็งมากน้อยสักเท่าไร กว่าจะรู้ก็เจอเป็นก้อนเนื้อร้ายเสียแล้ว บางคนอาจคิดว่าจนเองโชคร้ายเสียเหลือเกินที่เป็นโรคมะเร็งอย่างเช่นดิฉัน
เป็นต้น เมื่อได้ทราบจากคุณหมอ แรกๆ ดิฉันแทบจะหยุดความคิดปรุงแต่งไม่ได้
แต่แล้วธรรมชาติก็ปราณีมนุษย์เสมอ หลังจากหายตกใจ เศร้าใจ และเสียใจแล้วก็มาถึงการทำใจ
ได้ค้นพบความปลอดโปร่งขึ้นมาแทน ต่อไปนี้ภาระต่างๆ ได้สิ้นสุดแล้ว เพราะจะต้องอยู่ในฐานะผู้ป่วยจำเป็น
จะต้องละวางภาระทางกายทางใจออกให้หมด เพื่อเตรียมตัวในการผ่าตัด

เอา ความเจ็บปวดเป็นกรรมฐาน
ดังที่ได้เล่าไปแล้วเมื่อครั้งที่ “หมอชาวบ้าน” สัมภาษณ์ลงคอลัมน์ “เปลี่ยนชีวิต” ถึงการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา
ทำให้จิตบรรลุถึงธรรมโอสถที่สามารถระดับความเจ็บปวดได้โดยไม่ต้องพึ่งพา ครั้งนี้ก็จะเล่าต่อเมื่อกายยังมีบาดแผลอยู่
ความเจ็บปวดก็คงยังมีอยู่เป็นธรรมดาจิตเมื่อคุ้นเคยกับความเจ็บปวด ก็ยึดเอาความเจ็บปวดเป็นอารมณ์กรรมฐานน้อมไปพิจารณาส่วนต่าง ๆ
ที่ประกอบเข้าเป็นร่างกาย จนปรากฏเห็นว่า ร่างกายนี้ก็สักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติทั้งสี่ มีธาตุน้ำ ดิน ลม ไฟ
มาประชุมกัน ตั้งอยู่ได้ไม่นาน ผลสุดท้ายก็ต้องแตกดับไปตามกาลเวลา
ธาตุทั้งสี่ก็จะแยกออกจากกันไปสู่สภาวะของแต่ละธาตุไม่มีส่วนใดที่จะเข้าไป
ยึดถือว่าเป็นตัวตน บุคคล เรา เขา เมื่อจิตดำเนินการพิจารณาอายอยู่นั้นความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
จึงเกิดขึ้นเต็ม รูปแบบ พร้อมกับการตื่นของธาตุรู้หรือพุทธะ

เมื่อธาตุรู้ถูกปลุก ให้ตื่นการทำหน้าที่ของธาตุรู้ดำเนินต่อไป ดังนี้

๑. แยกจิตออกจากกาย จะเห็นได้ว่าจิตก็คือจิต กายก็คือกาย ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน
เหมือนน้ำกับน้ำมัน เมื่อกายป่วยจิตจะป่วยไปด้วย นอกจากจิตไม่ป่วยแล้ว
จิตยังมีส่วนช่วยกายเข้าสู่ความเป็นปกติได้เร็วขึ้น

๒. แยกความอยากออกจากความหิว เมื่อร่างกายเกิดอาการหิวโดยปกติแล้วความอยากจะเข้ามาผสมโรง
ทำให้แสวงหาของเอร็ดอร่อยมาบริโภค แต่เมื่อธาตุรู้แยกความอยากออกไปร่างกายเกิดความต้องการ (หิว)
ปัญญาจะออกมาทำหน้าที่ นั่นก็หมายความว่าการบริโภคก็เพื่อนำสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าไปบำรุงร่าง
กาย ให้ดำรงอยู่ได้ด้วยความเป็นปกติเท่านั้น การพิจารณาในการบริโภคจึงเกิดขึ้นในทุกขณะที่ร่างกายต้องการ

๓. แยกอารมณ์ออกจากความรู้สึก (เวทนา) ตามปกติเมื่อร่างกายกับสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นเย็น ร้อน อ่อน แข็ง
หรือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ด้วยอารมณ์ชอบไม่ชอบก็จะเข้ามาผสมโรงทำให้เกิดความอยากที่จะกระทำการอย่างได
อย่างหนึ่งไปตามอารมณ์ แต่เมื่อธาตุรู้ได้แยกอารมณ์ออกไปแล้ว ทุกอย่างที่มากระทบก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
ปัญญาก็จะจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบตามเหมาะตามควรต่อไป

๔. แยกความปรุงแต่งฟุ้งซ่านออกจากความคิด ตามปกติเมื่อคนเราคิดอะไรแล้วมักจะหยุดไม่ได้
บางครั้งถึงกับนอนไม่หลับ นั่นก็เป็นเพราะความปรุงแต่งฟุ้งซ่านเข้ามาผสมโรงเมื่อธาตุรู้แยกความปรุง
แต่งฟุ้งซ่านออกไปแล้ว ก็จะเหลือแต่ความคิดล้วนๆ ซึ่งเป็นอิสระ คิดแล้วเมื่อไม่มีประโยชน์ก็หยุดได้
การสำรวม กาย วาจา ใจ ก็จะเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับความคิด

เมื่อดิฉันฝึกสมาธิวิปัสสนาตามแนว หลวงพ่อเทียนใหม่ๆ ท่านได้เล่าให้ฟังว่า
การปฏิบัติอย่างที่ท่านแนะนำให้ทำอยู่นี้เป็นการปฏิบัติเพื่อให้รู้สึกตัว
เมื่อพละอินทรีย์แก่กล้าก็จะไปเขย่าธาตุรู้หรือพุทธะให้ตื่น ท่านบอกว่า ทุกคนสามารถบรรลุได้
ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนไทย จีน ฝรั่ง หรือว่าเชื้อชาติใด ภาษาใด ฐานะใด ก็แล้วแต่
ถ้ามีความพยายามต่อเนื่องสามารถบรรลุได้ภายในหนึ่งวัน ภายในเจ็ดวัน ภายในเจ็ดเดือน
ภายในเจ็ดปี ถ้าจำไม่ผิดก็คงจะกว่าเจ็ดปีแล้วกระมัง กว่าธาตุรู้ของดิฉันจะถูกปลุกให้ตื่น
มะเร็งมีส่วนช่วยเขย่าธาตุรู้ของดิฉันให้ปรากฏ ถ้าหลวงพ่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านคงจะภูมิใจว่าสิ่งที่ท่านได้ค้นพบ
และนำมาพร่ำสอนแก่สาธุชน ตลอดชีวิตการบรรลุธรรมของท่านนั้น ได้สัมฤทธิ์ผลตามที่ท่านได้ยืนยันไว้
แม้แต่ฆราวาสผู้ครองเรือนถ้าใฝ่ใจต่อการปฏิบัติ แม้จะให้ผลช้าตามฐานะ
ก็คุ้มค่าต่อการพิสูจน์ก็ขอระลึกถึงหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูง

การ บรรลุถึงธาตุรู้หรือพุทธะของดิฉันนั้นคงจะแปลกกว่าท่านอื่นๆ ตรงที่ธาตุรู้ถูกปลุกให้ตื่นโดยมีความเจ็บป่วยเป็นผู้ช่วย
ทุกอย่างมีคุณและมีโทษ ความเจ็บป่วยถ้ารู้จักหาประโยชน์ ก็จะได้ประโยชน์มหาศาล ตามที่ได้เล่ามาเพราะความเจ็บป่วยสำหรับดิฉันนั้น
พาไปสู่ความพ้นทุกข์จะเห็นได้ว่าจิตเองก็เป็นมะเร็ง ธาตุรู้เปรียบเสมือนหมอผ่าตัดเมื่อรู้ว่าเซลล์มะเร็งอยู่ส่วนใดของร่างกายก็
ทำการผ่าตัดทิ้งไปคงเหลือแต่เซลล์ดีๆ ไว้ให้ร่างกายมีชีวิตอยู่

สำหรับ มะเร็งใจ จะสามารถรู้ได้โดยวิธีการปฏิบัติสมาธิ เพื่อเขย่าธาตุรู้ให้ตื่น เมื่อธาตุรู้ปรากฏปัญญาก็จะกลายเป็นหมอผ่าตัด
แยกแยะมะเร็งร้ายออกจากจิตใจได้เอง เมื่อมะเร็งร้ายโดนกำจัดออกไปจากจิตใจ ความสะอาด สว่าง สงบ ก็จะเกิดขึ้นมาแทน
ขอผู้ป่วยทั้งหลายอย่าเศร้าโศกนาน จงเร่งหาข้อดีจากความเจ็บป่วย ในการป่วยแต่ละครั้งอย่างน้อยก็ขอให้รู้จักตัวเอง
เพราะการเจ็บป่วยจะมีญาติมิตรมาเยี่ยมให้กำลังใจซึ่งแสดงให้เห็นว่า เรามีความดีพอที่จะทำให้คนรอบข้างมาเอื้ออาทร
ความ เจ็บป่วยทำให้มนุษย์วางทุกสิ่งทุกอย่างได้ ซึ่งเป็นของขวัญจากธรรมชาติ แม้ที่สุดร่างกายนี้ก็จะต้องแตกดับไป ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุกท่านค่ะ

ในการเจ็บป่วยครั้ง นี้ ดิฉันพอจะสรุปได้ว่า

    * สารก่อมะเร็งทาง กาย ได้แก่สารพิษฆ่าแมลง สารเคมีต่างๆ ควันพิษจากท่อไอเสียรถ
พาหะที่นำสารพิษหรือสารก่อมะเร็งเข้าสู่ร่างกาย ก็คือ อาหาร น้ำดื่ม อากาศ และขาดการออกกำลังกาย

วิธี ป้องกัน ให้ระวัง และพิจารณาอาหาร น้ำดื่ม ก่อนจะกินว่ามีความสะอาดมากน้อยเพียงใด มีธาตุอาหารที่ร่างกายต้องการครบห้าหมู่หรือไม่
ควรงดการสูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า อากาศดี ก็ควรหาเวลาไปพักผ่อน ทำสมาธิใต้ต้นไม้ในป่า
หรือในสวนสาธารณะเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง และสุดท้ายควรจะได้ออกกำลังกายทุกวัน
หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ ๔ ครั้ง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงไว้ นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว
เหงื่อยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายได้ด้วย


    * สาร ก่อมะเร็งทางใจ ได้แก่ โลภ โกรธ หลง พาหะที่นำมา ก็คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

วิธีป้องกัน ให้สำรวม ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะเราจะไม่รู้เลยว่าใจเก็บสารก่อมะเร็งเหล่านี้ไว้มากน้อยสักเท่าไร
จนกว่าจะได้ปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา ให้จิตได้สงบนิ่งนั่นแหละ ถึงจะเห็นสารก่อมะเร็งใจอย่างแท้จริง
เมื่อปฏิบัติจนเห็นมะเร็งใจแล้ว ใจเองก็จะต้องปลุกหมอขึ้นมา เพื่อจะผ่าตัดมะเร็งร้ายออกจากใจให้หมด
นั่นก็คือการปฏิบัติสมาธิเพื่อเขย่าธาตุรู้หรือพุทธะให้ตื่น ธาตุรู้หรือพุทธะคือหมอตัวจริง ที่จะผ่าตัดมะเร็งร้ายออกจากใจ
หน้าที่ของเรา คือ พยายามปลุกหมดให้ตื่นโดยการทำสมาธิ หมอมีอยู่แล้วในกายตน ไม่ต้องไปเที่ยวค้นหาจากที่ไหน
ยิ่งปลุกหมอให้ตื่นได้เร็วเท่าไร โอกาสที่จะปลอดจากมะเร็งร้ายในจิตใจก็มีมากขึ้น

จะเห็นได้ว่า มะเร็งกายนั้นต้องอาศัยคุณหมดที่ท่านมีความรู้ความชำนาญในเรื่องของร่างกาย
มาคอยตรวจรักษาให้ ส่วนมะเร็งใจนั้นตนเท่านั้นที่จะช่วยตนได้ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

http://www.doctor.or.th/node/2724
150  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เรียนสมาธิแบบนกแก้วนกขุนทอง เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2010, 10:47:48 pm
เรียนสมาธิแบบนกแก้วนกขุนทอง
ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2553 09:09:39 น.
อ.บูรพา ผดุงไทย
www.a-burapa.com


สมาธิแม้จะเป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนสามารถ

เข้าถึงกันได้ แต่ในการที่จิตจะดำเนินเข้าสู่สภาวะแห่งจิตเดิมแท้นั้น กลับไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่แค่เพียงนั่งหลับตาแล้วจะสามารถเข้าถึงได้ ต้องอาศัยกระบวนการในการอบรมจิตตามแนวทางการปฏิบัติจิตภาวนา และปัญญาภาวนาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำการปฏิบัติแก่ชาวโลก เอาไว้

ในปัจจุบันจะเห็นว่ามีผู้คนต่างให้ความสนใจในการปฏิบัติสมาธิภาวนา กันมากขึ้น ด้วยเพราะเริ่มตระหนักถึงสัญญาณเตือนภัยของธรรมชาติที่ปรากฏให้เห็นเป็น ระยะๆ ว่า โลกของเรากำลังจะแปรเปลี่ยนเข้าสู่ยุคที่โลกจะได้รับผลกระทบจากพลังทำลาย ล้างของมหาจักรวาล ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามวิถีธรรมชาติที่การโคจรของดวงดาวทุกดวงใน มหาจักรวาลนี้ จะต้องเดินทางกลับมายังจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เมื่อผู้คนในยุคนี้เกิดการรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าว จึงหันมาให้ความสนใจในเรื่องราวของจิตวิญญาณเพิ่มขึ้น ด้วยมุ่งหวังที่จะแสวงหาปัญญาเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง อันเป็นปัญญาที่จะนำพาตนเองและครอบครัวให้พ้นจากทุกข์นานาประการที่จะเกิด ขึ้นกับโลกของเราในภายภาคหน้า

อีกทั้งในยุคนี้ก็เป็นยุคที่ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างมี ประสิทธิภาพสูง จนราวกับมีหูทิพย์ตาทิพย์ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์เอาไว้ เพียงแต่เป็นหูทิพย์ตาทิพย์ด้วยเครื่องมือสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ สามารถติดต่อสื่อสารทั้งภาพและเสียงได้ทั่วโลก พวกเราซึ่งเป็นมนุษย์ในยุคนี้ จึงมีหูทิพย์ตาทิพย์กันเกือบทุกคน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณเทคโนโลยีอันทันสมัยที่ช่วยให้ความรู้เรื่องธรรมะ สามารถแผ่ขยายไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว

แต่ที่น่าเสียดายคือ สมาธิส่วนใหญ่ที่เรากำลังสัมผัสกันอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ กลับเป็นสมาธิแบบนกแก้วนกขุนทองที่มีผู้สอนเป็นคนประเภทอ่านมากแล้วจำเก่ง และชอบมาอวดอ้างตัวว่าเป็นครูบาอาจารย์ จึงนับว่าเป็นโชคร้ายของผู้ที่ตั้งใจในการปฏิบัติ แต่กลับหาครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถไม่ได้ เพราะในเมื่อครูบาอาจารย์ทำสมาธิภาวนาไม่เป็น คือไม่อาจเข้าถึงความเดิมแท้แห่งจิตได้จริงแล้ว ก็ย่อมจะไม่สามารถตอบคำถามของผู้ปฏิบัติได้เลย เพราะคำตอบของคำถามเหล่านั้นไม่อาจที่จะหาอ่านได้ตามหนังสือหรือตำรับตำรา ใดๆ ทั้งสิ้น คำถามที่เป็นข้อสงสัยที่

เกิดขึ้นจากการปฏิบัตินั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถในการปฏิบัติได้ อย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะสามารถตอบ ปัญหาและแก้ปัญหาข้อข้อง ใจจากการปฏิบัติสมาธิภาวนาได้

ในภาวะที่สังคมขาดครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงในการ ปฏิบัติสมาธิภาวนาจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากผู้ที่มีความสนใจในการปฏิบัติธรรมจะหันไปพึ่งพาครูบาอาจารย์ที่เป็นเพียง นกแก้วนกขุนทองที่เก่ง แต่การเน้นสร้างภาพภายนอก แต่ไม่มีภูมิความรู้อะไรเลยในการปฏิบัติ

ผู้ปฏิบัติที่หลงเข้าไปปฏิบัติจิตภาวนาในสำนักเหล่านี้ จึงไม่มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ หรือหากก้าวหน้าก็เป็นการก้าวหน้าที่ผิดทาง เช่น การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในภาพมายานิมิตกสิณ คิดยึดมั่น คิดเป็นจริง ในภาพมายาเหล่านั้น ไม่ยอมปล่อยวางภาพมายา ทั้งๆ ที่ควรใช้เป็นแค่อุบายกรรมฐานซึ่งส่งเราจนข้ามฝั่งมาได้ก็พอ

ทีนี้พอเราไม่ยอมปล่อยเรือลำนั้นทิ้งไป แต่กลับแบกเอาเรือลำนั้นขึ้นฝั่งไปกับเราด้วย ผลเสียที่จะตามมาก็คือ ในไม่ช้าผู้ปฏิบัติก็จะต้องหวนกลับลงไปในแม่น้ำใหม่ เพราะยังยึดมั่นถือมั่นในความสะดวกสบายของเรือลำนั้นอยู่ ตราบใดที่ยังไม่ยอมปล่อยวาง การปฏิบัติก็ย่อมไม่อาจที่จะก้าวหน้าต่อไปได้

เราเสียเวลากับการสร้างภาพของพวกนกแก้วนกขุนทองกันมาเป็นเวลานานแล้ว ในเมื่อจุดประสงค์ของพวกเขาคือ การเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากความเชื่อและความศรัทธาของผู้คน จึงเป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติที่จะต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองข้อมูล และเลือกเรียนกับครูบาอาจารย์ผู้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติสมาธิภาวนา อย่างแท้จริง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนสมาธิแบบนกแก้วนกขุนทองที่เก่งตาม เนื้อหาในตำรับตำรา เก่งแต่พระไตรปิฎก แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับทำสมาธิจิตไม่เป็น      เทคนิคง่ายๆ ที่จะใช้เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจคือ ให้สังเกตดูว่าหากเป็นการสอนแบบนกแก้ว นกขุนทองแล้ว ผู้สอนมักจะพูดเรื่องราวของตำนานเก่ง รู้คำศัพท์แปลกๆ มีความสามารถในการจดจำรูปแบบเก่ง ทั้งบทความ บทกลอน เอาไว้โอ้อวดการโต้วาที สิ่งใดมีกี่แบบกี่อย่างจะพูดได้อย่างช่ำชอง และชอบแสดงปัญญาในการตีความพระไตรปิฎกว่าตนตีความและจินตนาการได้เก่งกว่า แต่จะนำการปฏิบัติสมาธิภาวนาได้แค่พื้นๆ หากเป็นการถามคำถามที่เกิดจากการที่ผู้ปฏิบัติจิตภาวนาจริงๆ แล้ว นกแก้วนกขุนทองจะตอบไม่ได้เลย หรือถึงตอบได้แต่จะเป็นเพียงคำถามธรรมดาทั่วไปที่เคยอ่านมาจากหนังสือ

หากไม่เชื่อก็ให้ท่านลองทดสอบดูว่า อะไรที่เป็นคำถามที่ไม่มีปรากฏในตำรับตำราหรือในหนังสือในพระไตรปิฎกแล้ว นกแก้วนกขุนทองจะไม่มีภูมิปัญญาความรู้ในการแก้ไขและตอบปัญหาเหล่านั้นเลย เพราะในตำรามันไม่มีคำเฉลยของคำตอบให้นกแก้วนกขุนทองอ่าน.
151  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: กถาวัตถุ ๑๐ (เรื่องที่ควรพูด) เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2010, 09:07:29 am
นิยามเพิ่มครับ

   ธรรมะ เปรียบเหมือนน้ำ ถ้าไหลเบา ๆ พอประมาณ ก็มีประโยชน์ ครับ

   ธรรมะ เปรียนเหมือนน้ำ ถ้าไหลแรง มาก ๆ ก็กระเด็นครับ คนที่ปฏิบัตินะครับ ไม่ใช่กิเลสกระเด็น

    :25: :25:
152  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชายเจ็ดโบสถ์ บรรลุอรหันต์ เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2010, 09:05:24 am
สาธุ ครับ ถ้าเป็นโบสถ์พุทธ คือ บวช ๆ สึก นั้นยังมีหวัง ครับที่จะเป็นพระอรหันต์

แต่ถ้าเป็น โบสถ์คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกซ์ ก็หมดหวังครับ เพราะทำ อภิฐาน 6 ครับ


ผมว่า คนที่บวช แล้ว สึก ดีกว่า คนที่ บวช แล้ว ผิดศีล แล้วไม่สึก ครับ

 :25: :25:
153  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คำแนะนำเพื่อนสมาชิก ทุกท่านที่อ่านห้องนี้ นะครับ เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 01:01:24 am
ในห้อง Hi5 ที่ผมอยู่กันมี บอร์ดอย่างนี้ เป็นมากกว่า 20 ที่ผมเข้าไปและโต้วาทะในทำนอง ศาสนาสากล

ในนั้นมีการกล่าว แนะนำตน ด่า ให้ร้าย เป็นเทพ อรหันต์ อริยะ ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งอ่านไปแล้วก็ปวดเศียร

เวียนเกล้า เพราะว่าผู้ที่กล่าวทั้งหมดต้องการบัญญัติศาสนาใหม่ เป็นเอกภพเดียว โดยสรุปให้ พระยะโฮวา

เป็นพระพุทธเจ้า สิ่งที่ปรากฏก็คือ ไม่มีหลักการปฏิบัติ มีแต่เพียงให้รู้มีเทพอย่างนั้น อย่างนี้ มากมายและให้

เคารพศรัทธา และสุดท้ายก็จะสรุปว่า พระไตรปิฏก นั้นไม่ต้องเชื่อถือเพราะ บุตรของพระเจ้ามากล่าวธรรม

แทนแล้ว ท่านจงตามข้ามาเถิด ปัจจุบันก็เลยเกิดลัทธิ แยกตัวตั้งตนเป็น อะัไรต่าง ๆ ตามที่เขาอวดอ้าง

เกริ่นพอเท่านี้นะครับ

  ต่อไปขอแนะนำวิธีการรับมือคนพวกนี้

  1.อย่าไปคุยดีด้วยไม่มีประโยชน์ จากกระทู้่นี้ไม่ว่าใครเข้ามาก็จะโดนด่าหมดครับ ไม่เว้นพระสงฆ์องค์เจ้า

    แม้สังฆราชยังโดนด่าเลยครับ

  2.จดจำ User ไว้และไม่ต้องเข้าไปอ่านเนื้อหาอะไร เพราะจะทำให้ใจผู้เริ่มฝึกภาวนา หงุดหงิดได้

     ซึ่งเขาเหล่านี้ ก็จะทำการสมัคร User ใหม่ มากมาย นายพลศักดิ์ บางครั้งก็เป็นตุ๊ด เป็นแต๋ว เป็นป้า เป็น

     ยาย นะครับ ใช้ User มากมายไม่มั่นคง เพราะโดนด่ากลับมากๆ ก็ร้อนใจต้องเปลี่ยนใหม่

  3.กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เท่าที่ผมลองตามอ่านดูเนื้อหาในเมื่อวานนี้ ผมเห็นว่าเป็นกรรมฐานที่ควร

    ศึกษาและปฏิบัติ มาก ๆ ผมเองก็ตั้งใจไว้เมื่อวานนี้ว่าจะเข้าไปวัดราชสิทธารามเพื่อศึกษาพระกรรมฐาน

    บ้าง ก่อนที่ผมจะเพี้ยนตามพวกศาสนาสากลไป

  4.แผ่เมตตา ซึ่งผมเห็นดีตรงกรรมฐานนี้ เมื่อวานลองนั่งฟังเสียงสวดมนต์ ตอนปิดสถานี ก็ไพเราะมากฟังไม่ทัน

    ว่าเป็นบทสวดอะไร แต่สมเด็จพระสังฆราชสุก นั้นพระองค์เป็นเลิศในเรื่องเมตตาจิต ไก่ป่าเชื่องกับท่าน อีก

    อย่างเป็นพระอริยะเถระ ที่เป็นครูของพระสงฆ์ที่เรารู้จักกันมากมายหลายรูป

  5.สิ่งที่ผมอยากให้เกิดก็คือ ช่วยกันดัดนิสัย คนพาลที่ใช้พระธรรมในทางที่ผิด

   เห็นว่ามีเด็กอ่านกันมาก ผมก็เข้าใจ เผื่อแผ่เยาวชน บ้าง ขอให้ทีมงานอย่าท้อถอยนะครับ

   :25: :25: :25: :25: :25: :25: :25: :25: :25: :25: :25: :25: :25:
154  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: 3 พระสูตรที่ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ/นิพพาน/พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 12:35:56 am
อ้างถึง
ความเห็นของทุกท่าน ไม่ใช่คำพิพากษาของศาสฎีกา ที่่โต้แย้งไม่ได้

แต่ก็ขอให้ชี้แจ้งด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการทำร้ายจิตใจของผู้อื่น


หากพบเห็นคำหยาบ กรุณาโทรแจ้งผมได้ทันที ที่ 089-823-6122

หรือที่ nathaponson@gmail.com

ขอขอบคุณในความร่วมมือของทุกท่าน

รับทราบ และ ยินยอมปฏิบัติตามกฏครับ
155  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: 3 พระสูตรที่ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ/นิพพาน/พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 12:34:10 am
อ้างถึง
เพราะเห็นว่ามีความคิดวิปริต ฟั่นเฟือน เป็นอันตรายต่อชาวพุทธ คนแบบนี้อย่าเสียเวลาเอาข้อธรรมะมาเถียงเลย

ผมเห็นด้วยครับ จึงมาร่วมกำหราบมาร ด้วย

 :25: :25:
156  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: หลักฐานต่างๆชี้ว่า: พระเยซูเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์พุทธมหายาน เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 12:26:24 am
อ้างถึง
หลวงพี่ครับ...ผมไม่บิณฑบาตรให้ท่านหรอกนะครับ  ...................
........................................(ขออนุญาตเซ็นเซอร์)
แต่ผมไม่ห่วง เรื่องนี้หรอกครับ  อยากได้กระทู้ไหน เอาไปได้ทั้งนั้น  ทุกอย่าง....มันแล้วแต่บุญวาสนาของผู้อ่าน และของชาวโลกด้วย  เมื่อผมเปิดเผยความลับสูงสุดของฟ้า  ทั้งฟ้า ทั้งมาร ย่อมไม่พอใจทั้งสิ้น  เพราะเป็นหน้าที่ของพระศรีอริยะเมตไตยพุทธเจ้า ไม่ใข่หน้าที่ของกายหนึ่งของพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์อย่างผม

อีก อย่างกระทู้ของผมยังมีอีกมากมายมหาศาล  จำเป็นต้องรักษาชีวิตในเว็บนี้ให้นานที่สุดเท่าทีจะนานได้  ไม่งั้นไม่ได้เปิดเผยความลับของฟ้าต่อ

กระล่อน เก่งจังเลยนะ กับพระก็ไม่เว้น แถมเอาตนเองไปวัดด้วยอีก กล่าวหาอีก นี่ถ้าผู้ดูแลไม่ขอเรื่องคำหยาบไว้

เอ็งโดน ข้าด่าแน่..... แน่จริง แลก MSN กันไหม กล้อง คุยกันเลย ไอ้.............

อ้างถึง
ใส่การอ้างถึงคำพูด
อนุญาต ให้แปะลิงก์ ไปได้

เจริญพร

 พระท่าน อนุญาต แปะลิงก์ ให้คนตามไปอ่านได้ เพียงไม่ใ้ห้โพสต์ในนี้ นี่เป็นบ้านเขา

 เอ็งจะมาทำตามอำเภอใจในบ้านเขาได้อย่างไร มารยาทคนไทย ต้องมีไว้บ้าง

 อยากทำตามอำเภอใจ ก็ไปเว็บเอง เลยสิวะ จะได้ทำตามใจ อารมณ์ตัวเองได้

 ปืน ถ้าอยู่ในมือคนวินัย เขาเรียกว่า ปืนในมือทหาร

 ปืน ถ้าอยู่ในมือคนไร้วินัย เขาเรียกว่า ปืนในมือโจร

 
 ผมขอกราบขอขมา พระอาจารย์ในที่นี้ด้วยครับ ไม่ได้ตั้งใจดึงพระอาจารย์มาร่วมกับพวกคนบ้าเลย
157  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: 3 พระสูตรที่ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ/นิพพาน/พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 12:09:06 am
อ้างถึง
ผมพ้นแล้วจากเรื่องเอาชนะคำท้าบ้าๆบอๆนี่


มัน ไม่ใช่ คำตอบ นะคุณ tuenum phonsak phonesak1

 มีแต่อวดอ้าง ชักแม่น้ำทั้ง 5







158  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: 3 พระสูตรที่ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ/นิพพาน/พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 12:00:55 am
อ้างถึง
ประโยค........ นี้เคยได้ยินมาหลายครั้งแล้ว มันเป็นพฤติกรรมของโจร ที่บุกเข้ามาปล้นฆ่า

คนในบ้านเรา แล้วเหลือเรา แล้วมันก็พูดว่า นี่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา

แล้วมันก็ฆ่าเรา เพราะบอกว่าถ้า ..โกรธ ...เกลียดก.... มึงไม่ใช่พระอรหันต์ นะแล้วมันก็หัวเราะเดินจากไป


   เหตุผลเพราะอะไร ครับฟังนะไอ้...........

  นักปฏิบัติทุกท่าน ๆ เป็นพระโสดาบัน ละกิเลส 3 ข้อ ก็ไม่ไ้ด้หมายความไม่มีความขัดเคืองไม่ได้

  มีความกำหนัดไม่ได้ พระโสดาบัน ยังเงื้อหมัดต่อยหน้า ไอ้........ได้

  อีกอย่างพระโสดาบันมีอยู่มาก แต่ถูกประนามเป็นมาร ก็ไอ้..........แรก

่ขอโทษผู้ดูแลทุกท่าน ผมได้อ่านสิ่งที่ผมโพสต์ลงไปแล้ว เห็นว่ามีข้อความเปลี่ยนแปลงด้วย

น่าจะเกิดจากผู้ดูแลระบบ ดำเนินการตัดคำของผมออก จึงเหลือแต่จุด........

ทำให้ข้อความไม่หนักแน่น

 
159  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: 3 พระสูตรที่ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ/นิพพาน/พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง เมื่อ: ตุลาคม 12, 2010, 11:58:16 pm
อ้างถึง
ตามที่ โยม สมาชิกนาม total ได้ส่งเมล์ประวัติตนเองมาให้พระอาจารย์ เพื่อการพิสูจน์คุณธรรม

 คุณโยมพลศักดิ์

   ขอยืนยันว่าได้รับเมล์ นั้นแล้ว

 อยู่ที่พวกโยมตัดสินใจกัน นะจ๊ะ

 เจริญพร

 ;)


กราบนมัสการพระอาจารย์ พระอาจารย์ที่ยอมมาตอบรับเรื่องเมล์ของผม

160  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: 3 พระสูตรที่ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ/นิพพาน/พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง เมื่อ: ตุลาคม 12, 2010, 07:04:07 am
อ้างถึง
สงครามศาสนาไม่ได้เกิดขึ้นจากเบื้อบนสุดตีกัน  เพราะตีกันไม่ได้ เนื่องจากเป็นองค์เดียวกัน  แต่สงครามศาสนาเกิดขึ้นจากมนุษย์ที่เห็นสิ่งสูงสุดของตนดีกว่าของอีกคน  และบังคับให้คนอื่นเปลี่ยนศาสนา

   ศาสนาพุทธเขา ก็อยู่เฉย ๆ เหมารวมไปได้ว่าชาวพุทธ ก่อสงครามศาสนา ชาวพุทธ

ไม่ก่อสงครามศาสนามีแต่หลีก เลี่ยง ไอที่ก่อ มันศาสนาอื่น ๆ โว๊ย


  อีกอย่าง ถึงจะมีศาสนา แตกต่างกัน แต่ทุกศาสนานั้น ไม่ได้สอนให้ทำสงคราม

  มาตรฐาน ของทุกศาสนานั้น คือสอนให้คนละชั่ว ทำดี ตรงนี้เหมือนกันหมด




 

:96:
หน้า: 1 2 3 [4] 5