ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สัจจะอธิษฐาน : ธรรมะยู-เทิร์น  (อ่าน 1253 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28515
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
สัจจะอธิษฐาน : ธรรมะยู-เทิร์น
« เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2014, 10:09:24 am »
0

สัจจะอธิษฐาน : ธรรมะยู-เทิร์น โดยอิทธิโชโต

การตั้งสัจจะ หรือการตั้งจิตอธิษฐาน ที่สำคัญคือการบอกกับตนเอง ถ้าไม่มั่นใจก็บอกกล่าวกับครูบาอาจารย์ ผู้หลักผู้ใหญ่ ให้เป็นพยานหน่อยนะ แล้วพยายามทำให้ได้ ถ้าตั้งสัจจะแล้วทำไม่ได้ แสดงว่า เรายังบกพร่องอยู่ ก็ต้องตั้งใจใหม่ เอาใจใส่ให้มาก ไม่ใช่สักแต่ว่าจะทำ แล้วทำไม่ได้ อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ขอให้ทำเสียก่อน ค่อยๆ ทำไป วันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้เอาใหม่ แล้วพยายามทำให้ได้ เช่นว่า ที่เราติดไม่ดีอะไรบ้าง ลองแจงดู ก็ให้เบาลงๆ ในตลอดระยะเวลาสามเดือนนี้ พอออกพรรษาแล้ว อยากฝึกต่อ อยากจะทำอะไรให้มันดีขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับคุณ

บางคนบอกว่า เข้าพรรษาแค่สามเดือน จะไปทำทำไม ออกพรรษาตั้งกี่เดือน ทำไมไม่ทำ แต่ถ้าเราไม่เริ่ม อย่าว่าแต่หกเดือน เจ็ดเดือน แปดเดือนเลย ปีหนึ่งก็ไม่ได้อะไร ยิ่งฆราวาส ญาติโยม ที่มีหน้าที่การงานรับผิดชอบมากมายในแต่ละวัน แล้วมักจะบ่นว่าไม่มีเวลา การตั้งสัจจะลดละเลิกสิ่งที่ไม่ดี หรือสิ่งที่ตัวเราด้อยอยู่เพียงเล็กๆ สักเรื่องหนึ่งก็พอ

แต่สำหรับพระ ท่านจะปวารณาต่อกันว่า ถ้าข้าพเจ้าด้อยในสิ่งใด ขอให้ท่านว่ากล่าวตักเตือน บอกข้าพเจ้าด้วยนะ





ปฐมเหตุบัญญัติการปวารณาของพระสงฆ์ มาจากพระไตรปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ (พระวินัยปิฎกเล่ม ๔) ๔ ปวารณาขันธกะ หมวดปวารณา เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยพุทธกาล ขณะที่ภิกษุจำพรรษาในแคว้นโกศล ตั้งกติกาไม่พูดกัน ใช้วิธีบอกใบ้ หรือใช้มือแทนคำพูด เมื่อออกพรรษาแล้วไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ตรัสถามทราบความแล้ว ก็ทรงติเตียนการอยู่ร่วมกันอย่างปศุสัตว์ หมายถึงอยู่ร่วมกันโดยไม่มีการถามสุขทุกข์ของกันและกัน เพราะปศุสัตว์ทั้งหลายย่อมไม่บอกสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่ตนให้ใครทราบ และไม่ปฏิสันถารต่อกัน (วิ.อ.๓/๒๐๙/๑๕๔)

ดังนั้นจึงทรงห้ามการสมาทานมูควัตร (คือไม่พูด) ที่พวกเดียรถีย์ถือปฏิบัติกัน รูปใดสมาทานต้องอาบัติทุกกฎ และทรงอนุญาตการปวารณา คือการอนุญาตให้ภิกษุอื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ด้วยเหตุ ๓ คือ ด้วยได้เห็น ได้ยิน หรือนึกสงสัย ตรัสว่า
    การปวารณานั้น จักเป็นวิธีที่เหมาะสม เพื่อว่ากล่าวซึ่งกันและกัน เป็นวิธีออกจากอาบัติ เป็นวิธีเคารพพระวินัยของภิกษุ เมื่อได้จำพรรษาแล้ว โดยให้สวดประกาศตั้งญัตติแล้วให้ภิกษุพรรษาแก่กว่าปวารณาก่อน ๓ ครั้ง ภิกษุพรรษาอ่อนกว่าปวารณาทีหลัง ทรงห้ามไม่ให้นั่งลงกับพื้นจนกว่าจะปวารณาเสร็จ คือ ให้ทุกรูปนั่งกระโหย่ง รูปไหนเสร็จก่อนก็นั่งลงกับพื้นได้


 :25: :25: :25:

ทรงแสดงวันปวารณาว่ามี ๒ วันคือ วัน ๑๔ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ และทรงแสดงปวารณา ๔ อย่าง คือ
    ๑.ปวารณาแยกกันที่ไม่เป็นธรรม
    ๒.ปวารณารวมกันที่ไม่เป็นธรรม
    ๓.ปวารณาแยกกันที่เป็นธรรม และ
    ๔.ปวารณารวมกันที่เป็นธรรม
แล้วตรัสสอนให้ปวารณาเฉพาะรวมกันที่เป็นธรรม ...

    คณะสงฆ์ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก เพราะมีการปวารณา ดังนี้


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140726/188958.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 27, 2014, 10:11:53 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ