ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สังยุตตนิกาย นิทานวรรค สัทธรรมปฏิรูปกสูตร  (อ่าน 2698 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ประสิทธิ์

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +14/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 639
  • จิตว่าง ก็เป็นสุข
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
สัทธรรมปฏิรูปกสูตร

[๕๓๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปเข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นพระมหากัสสปนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลถามว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้เมื่อก่อนสิกขาบทมีน้อย
และภิกษุตั้งอยู่ในพระอรหัตผลมีมาก และอะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้บัดนี้
สิกขาบทมีมาก และภิกษุตั้งอยู่ในพระอรหัตผลมีน้อย ฯ
            [๕๓๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรกัสสป ข้อนั้นเป็นอย่างนี้คือ
เมื่อหมู่สัตว์เลวลง พระสัทธรรมกำลังเลือนหายไป สิกขาบทจึงมีมากขึ้น ภิกษุที่
ตั้งอยู่ในพระอรหัตผลจึงน้อยเข้า สัทธรรมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด
ตราบนั้นพระสัทธรรมก็ยังไม่เลือนหายไป และสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นในโลกเมื่อ
ใด เมื่อนั้นพระสัทธรรมจึงเลือนหายไป ทองเทียมยังไม่เกิดขึ้นในโลก ตราบใด
ตราบนั้นทองคำธรรมชาติก็ยังไม่หายไป และเมื่อทองเทียมเกิดขึ้น ทองคำธรรม-
*ชาติจึงหายไป ฉันใด พระสัทธรรมก็ฉันนั้น สัทธรรมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลก
ตราบใด ตราบนั้นพระสัทธรรมก็ยังไม่เลือนหายไป เมื่อสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้น
เมื่อใด เมื่อนั้นพระสัทธรรมจึงเลือนหายไป ฯ
            [๕๓๓] ดูกรกัสสป ธาตุดินยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ธาตุ
น้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ที่แท้โมฆบุรุษใน
โลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมาก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป เปรียบเหมือนเรือจะ
อัปปาง ก็เพราะต้นหนเท่านั้น พระสัทธรรมยังไม่เลือนหายไปด้วยประการฉะนี้ ฯ
            [๕๓๔] ดูกรกัสสป เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้ ย่อมเป็นไปพร้อม
เพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการ
เป็นไฉน คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพ
ยำเกรงในพระศาสดา ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในสิกขา ๑ ในสมาธิ
๑ เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อ
ความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม ฯ
            [๕๓๕] ดูกรกัสสป เหตุ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อ
ความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลือนหายแห่งพระสัทธรรม เหตุ ๕ ประการเป็น
ไฉน คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ มีความเคารพ
ยำเกรงในพระศาสดา ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในสิกขา ๑ ในสมาธิ
๑ เหตุ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน
ไม่เลือนหายแห่งพระสัทธรรม ฯ




http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=5846&Z=5888
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 26, 2011, 10:12:27 am โดย ประสิทธิ์ »
บันทึกการเข้า
ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
ใครเชิด ใครชู ช่างเขา
ใครด่า ใครบ่น ทนเอา
ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

:;

เฉินหลง

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 153
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สังยุตตนิกาย นิทานวรรค สัทธรรมปฏิรูปกสูตร
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 26, 2011, 10:15:22 am »
0
ผมเห็นว่า..สัมมาทิฐิ..อีกนั้นแหละครับ...
เพราะทุกวันนี้...หาผู้ที่มีสัมมาทิฐิ...ยากมากครับ...
หลายๆคน..หลายๆรูป...ที่เป็นผู้ปฎิบัติธรรมเอง..ก็ไม่มี..สัมมาทิฐิ..ทั้งๆที่ศึกษา..พระไตรปิฎกเล่มเดียวกันครับ...
เช่น...
ผู้ปฎิบัติธรรมที่ไม่ใช่พระสงฆ์...
เข้าใจว่าการปฎิบัติ...ต้องได้ฌาณ..ต้องได้ญาณ...ได้นิมิต...ได้ปิติ..ได้อะไรต่อมิอะไร..แต่ลืมนึกว่าว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ลดละกิเลส..จน..ดับกิเลสหมดสิ้นไปในที่สุด..ทั้งๆจริงๆแล้วสิ่งที่อยากได้เหล่านั้นจะต้องเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย...ของการลดละกิเลสหรือการปฎิบัติมรรค ๘ ให้ครบองค์แห่งมรรคในทุกๆผัสสะกระทบสัมผัสเท่านั้น...และส่วนใหญ่จะมองกิเลสผู้อื่นไม่เคยกระทำใจภายในใจดูกิเลสตัวเอง...ลดละกิเลสตัวเอง..อีกต่างหากครับ
พระสงฆ์ส่วนมาก...
ก็มีการพยายามตีความพระไตรปิฎกเข้าข้างกิเลสในตนโดยไม่รู้ตัว...ไม่ว่าจะเป็น..กฐิน(เงิน)..ผ้าป่า(เงิน)..รับเงินได้....ทำบุญ(เงิน)...พระเครื่อง(เงิน)...สรุปก็คืออยากได้เงินนะครับ..และยังสอนให้..ฆารวาสว่าให้เงินพระได้อีกต่างหาก..ครับ..แล้วศาสนาพุทธจะไม่เสื่อมได้อย่างไร..ในเมื่อพระสงฆ์สาวกส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้อยู่...มีตำแหน่งบริหารสงฆ์ในประเทศนี้อยู่ครับ..ซึ่งก็ทำให้คนธรรมดาปกติที่มีปัญญาทางโลก(ฉลาดแกมโกง)..ก็ไปบวชเป็นพระสงฆ์..เพื่ออาศัยหาเงินโดยวิธีดังกล่าวข้างต้น..แต่หากยึดตามคำสอนพระพุทธเจ้า..คือพระสงฆ์รับเงินไม่ได้เกิด ๕ บาสก...เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นครับ...ซึ่งจริงๆแล้วพระที่ปฎิบัติดี..ปฎิบัติชอบท่านไม่รับเงินครับ..ซึ่งเท่าที่ผมเห็นท่านก็บอกว่าไม่ได้ลำบากอะไร(เท่าที่ท่านบอกนะครับ..ส่วนหากผมคิดเองผมว่าท่านก็ลำบากครับ)

การที่โลกุตระจะเจริญได้..ไม่ว่าฆารวาส..พระสงฆ์ที่อยู่ในพุทธศาสนา..จะต้องลดละกิเลส...ลดละการสะสม..ลดละความใหญ่โต...การเจริญของโลกุตระ..จะวัดที่การทำงานเพื่อส่วนรวม..ไม่ใช่เพื่อตัวเพื่อตน...ซึ่งมันจะขัดกับใจเราเองทำได้ยากยิ่ง..จึงหาผู้ที่เป็นลักษณะนี้ยากครับ(หากมันง่ายคงมีพระโสดาบัน..พระอรหันต์เยอะแยะไปหมดแล้วครับ)...ซึ่งจะทำให้โลกก็เจริญ...โลกุตระก็เจริญ..โดยไม่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเยอะจนทำลายล้างโลกอย่างปัจจุบันนี้ครับ

ตรงนี้เป็นความเห็น..ความรู้สึกต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทยนะครับ...แต่ก็ยังโชคดีอยู่ที่ยังมีพระสงฆ์บางส่วนที่ตั้งใจบวชเพื่อนิพพานจริงๆอยู่บ้างครับ

ความเห็นจากคุณ    : โกวิทย์ (โกวิทย์)
บันทึกการเข้า

เท่ากับผลรวม

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +11/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 169
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สังยุตตนิกาย นิทานวรรค สัทธรรมปฏิรูปกสูตร
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 26, 2011, 10:23:37 am »
0
ขอแสดงความเห็นบ้างครับ ความเห็นก็มีเหตุผลอยู่ แต่เหตุผลหลักผมว่าก็น่าจะเป็น
ดัง สัทธรรมปฏิรูปกสูตร ซึ้งผมอ่านคำพระพุทธเจ้าแล้วได้ใจความว่า ดังนี้

1. ความเสื่อมหรือความเจริญของพระพุทธศาสนาขึ้นอยู่ว่า พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าายังอยู่ในหัวใจของ
   พุทธบริษ้ทหรือไม่ ปฎิบัติตามคำสอนพระพระพุทธเจ้าหรือไม่ แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจคำสอนและ
   พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะเข้าใจถูกต้องจึงปฎิบัติถูกต้องและให้ผลที่ถูกต้อง
 
   "คำถามคือว่า ที่เราเข้าใจอยู่ รู้อยู่ นั้น ม้นถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้าาหรือไม่?"           

2. จากหัวข้อ 532 ได้ใจความว่าเพราะสัทธรรมปฏิรูป(ธรรมะปลอม)เกิดขึ้นจึงทำให้สัทธรรมแท้เลือน
   หายไป ทองคำแท้เจอที่ไหนก็มั่นใจได้ว่าเป็นของแท้ ตราบใดที่คนทรามยังไม่คิดที่จะทำทองปลอมขึ้น
             
3. จากหัวข้อ 533 - 534 อะไรๆ ก็ไม่สามารถทำให้สัทธรรมแท้เลื่อนหาไปได้  ทีแทัผู้ที่ทำให้
   ศาสนาเสื่อมและพระสัทธรรมแท้ฟั่นเฟือนเลือนหายไป ก็คือเราๆ ท่านๆ ทั้งนั้น   ภิกษุ ภิกษุณี
   อุบาสก อุบาสิกา ที่เป็นโมฆบุรุษ  ดังนั้น พระศาสดาจึงกล่าว "เรือจะอับปาง ก็เพราะต้นหน แท้ๆ"

4. จากหัวข้อ 535 การที่จะคงไวัซึ่งะพระสัทธรรมของพระศาสดาและความเจริญของพระพุทธ
   ศาสนา ให้กระทำ ดังนี้ 5 ประการ
     
       ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ ต้องมีความเคารพยำเกรงใน

    - พระพุทธเจ้า (คำถามคือว่าพุทธบริษัทต้องปฎิบัติอย่างไร จึงถือว่าความเคารพยำเกรงใน พระพุทธเจ้า?)
    - ในพระธรรม (คำถามคือว่าพุทธบริษัทต้องปฎิบัติอย่างไร จึงถือว่าความเคารพยำเกรงใน พระธรรม?)
    - ในพระสงฆ์ (คำถามคือว่าพุทธบริษัทต้องปฎิบัติอย่างไร จึงถือว่าความเคารพยำเกรงใน พระสงฆ์?)
    - ในสิกขา   (คำถามคือว่าพุทธบริษัทต้องปฎิบัติอย่างไร จึงถือว่าความเคารพยำเกรงใน สิกขา?)
    - ในสมาธิ   (คำถามคือว่าพุทธบริษัทต้องปฎิบัติอย่างไร จึงถือว่าความเคารพยำเกรงใน สมาธิ?)
                 
ขอเชิญท่านผู้รู้ไดัสนทนาธรรมและแก้ข้อกังขา 5 ข้อ ว่าปฎิบัติอย่างไรจึงถือว่าความเคารพยำเกรงใน
พระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในสิกขา ในสมาธิ ครับ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 26, 2011, 10:28:56 am โดย เท่ากับผลรวม »
บันทึกการเข้า
ชีวิต นี้เพื่อพุึทธศาสน์