อ่านพระสูตร เรื่องนี้ก่อนนะ เดี๋ยวมาตอบกันในเพลาต่อไป
ปัญญาวรรค อิทธิกถา
[๖๗๙] ฤทธิ์เป็นอย่างไร ฤทธิ์มีเท่าไร ภูมิ บาท บท มูล แห่งฤทธิ์ มีอย่างละเท่าไร ฯ
ฤทธิ์ในคำว่า ฤทธิ์เป็นอย่างไร ด้วยความว่าสำเร็จ ฤทธิ์ในคำว่า ฤทธิ์มีเท่าไร มี ๑๐
ภูมิแห่งฤทธิ์มี ๔ บาทมี ๔ บทมี ๘ มูลมี ๑๖ ฯ
[๖๘๐] ฤทธิ์ ๑๐ เป็นไฉน ฯ
ฤทธิ์ที่อธิษฐาน ๑
ฤทธิ์ที่แผลงได้ต่างๆ ๑
ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ ๑
ฤทธิ์ที่แผ่ไปด้วยญาณ ๑
ฤทธิ์ที่แผ่ไปด้วยสมาธิ ๑
ฤทธิ์ของพระอริยะ ๑
ฤทธิ์เกิดแต่ผลกรรม ๑
ฤทธิ์ของท่านผู้มีบุญ ๑
ฤทธิ์ที่สำเร็จแต่วิชา ๑
ชื่อว่าฤทธิ์ ด้วยความว่าสำเร็จ เพราะเหตุแห่งการประกอบชอบในส่วนนั้น ๑ ฯ
[๖๘๑] ภูมิ ๔ แห่งฤทธิ์เป็นไฉน ฯ
ปฐมฌานเป็นภูมิเกิดวิเวก ๑
ทุติยฌานเป็นภูมิแห่งปีติและสุข ๑
ตติยฌานเป็นภูมิแห่งอุเบกขาและสุข ๑
จตุตถฌานเป็นภูมิแห่งความไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ๑
ภูมิ ๔ แห่งฤทธิ์นี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความได้ฤทธิ์ เพื่อความได้เฉพาะฤทธิ์เพื่อแผลงฤทธิ์ได้ต่างๆ เพื่อความสำเร็จแห่งฤทธิ์ เพื่อความเป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์เพื่อความแกล้วกล้าด้วยฤทธิ์ ฯ
[๖๘๒] บาท ๔ แห่งฤทธิ์เป็นไฉน ฯ
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยฉันทะและปธานสังขาร ๑
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่ง ด้วยความเพียรและปธานสังขาร ๑
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยจิตและปธานสังขาร ๑
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิมังสาและปธานสังขาร ๑
บาท ๔ แห่งฤทธิ์นี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความได้ฤทธิ์ ... เพื่อความแกล้วกล้าด้วยฤทธิ์ ฯ
[๖๘๓] บท ๘ แห่งฤทธิ์เป็นไฉน ฯ
ถ้าภิกษุอาศัยฉันทะได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต ฉันทะไม่ใช่สมาธิ สมาธิไม่ใช่ฉันทะฉันทะเป็นอย่างหนึ่ง สมาธิเป็นอย่างหนึ่ง
ถ้าภิกษุอาศัยวิริยะได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต วิริยะไม่ใช่สมาธิ สมาธิไม่ใช่วิริยะ วิริยะเป็นอย่างหนึ่งสมาธิเป็นอย่างหนึ่ง
ถ้าภิกษุอาศัยจิตได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต จิตไม่ใช่สมาธิสมาธิไม่ใช่จิต จิตเป็นอย่างหนึ่ง สมาธิเป็นอย่างหนึ่ง
ถ้าภิกษุอาศัยวิมังสาได้สมาธิได้เอกัคคตาจิต วิมังสาไม่ใช่สมาธิ สมาธิไม่ใช่วิมังสา วิมังสาเป็นอย่างหนึ่งสมาธิเป็นอย่างหนึ่ง
บท ๘ แห่งฤทธิ์นี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความได้ฤทธิ์ ... เพื่อความแกล้วกล้าด้วยฤทธิ์ ฯ
[๖๘๔] มูล ๑๖ แห่งฤทธิ์เป็นไฉน ฯ
จิตไม่ฟุบลง ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะความเกียจคร้าน เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอเนญชา (จิตไม่หวั่นไหว)
จิตไม่ฟูขึ้น ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะอุทธัจจะเพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอเนญชา
จิตไม่ยินดี ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะราคะ ... จิตไม่มุ่งร้าย ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะพยาบาท ...
จิตอันทิฐิไม่อาศัย ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะทิฐิ ...
จิตไม่พัวพัน ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะฉันทราคะ ...
จิตหลุดพ้นย่อมไม่หวั่นไหวเพราะกามราคะ ...
จิตไม่เกาะเกี่ยว ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะกิเลส ...
จิตปราศจากเครื่องครอบงำ ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะความครอบงำแห่งกิเลส ...เอกัคคตาจิตย่อมไม่หวั่นไหวเพราะกิเลสต่างๆ ...
จิตที่กำหนดด้วยศรัทธา ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ...
จิตที่กำหนดด้วยวิริยะ ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะความเกียจคร้าน ...
จิตที่กำหนดด้วยสติ ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะความประมาท ...
จิตที่กำหนดด้วยสมาธิ ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะอุทธัจจะ ...
จิต ที่กำหนดด้วยปัญญา ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะอวิชชา เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอเนญชาจิตที่ถึงความสว่างไสวย่อมไม่หวั่นไหวเพราะความมืดคือ อวิชชา เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าอเนญชา มูล ๑๖ แห่งฤทธิ์นี้ ย่อม
เป็น ไปเพื่อความได้ฤทธิ์ เพื่อความได้เฉพาะฤทธิ์ เพื่อแผลงฤทธิ์ได้ต่างๆ เพื่อความสำเร็จแห่งฤทธิ์ เพื่อความเป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์ เพื่อความแกล้วกล้าด้วยฤทธิ์ ฯ