ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมปฏิบัติธรรมแล้ว.? ยังเอารัดเอาเปรียบ และพูดจาว่าร้ายคนอื่น.!!  (อ่าน 728 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28467
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



ทำไมปฏิบัติธรรมแล้ว.?  ยังเอารัดเอาเปรียบ และพูดจาว่าร้ายคนอื่น.!!

ถาม : ผู้ปฏิบัติธรรมบางคนชอบเล่าบ่อยครั้งว่าตนนั่งสมาธิ ฟังธรรมเป็นประจำ แต่เพื่อนในกลุ่มรู้สึกตรงกันว่า เขามักเอาเปรียบและพูดจาว่าร้ายผู้อื่นเสมอ ยุยง ส่งเสริมให้เพื่อนในกลุ่มแตกแยกกัน อยากสอบถามว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นคะ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือคนที่ปฏิบัติฝักใฝ่ในธรรมโดยแท้จริง

 ans1 ans1 ans1

ตอบ : การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นหนทางการขัดเกลาจิตใจให้ลดความเห็นแก่ตัว ถอนความถือตัวและละความอหังการ (ยึดมั่นว่าตัวเรา) นี่คือสาระหลัก

แต่คนที่อ้างตนว่าเป็นผู้ ปฏิบัติธรรมแต่มีพฤติธรรมตรงกันข้ามนั้น น่าจะยังมิใช่ผู้ปฏิบัติธรรมตามสมอ้าง ดังนั้นนักปฏิบัติธรรมที่แท้จริงต้องเป็นไปเพื่อการชำระความเย่อหยิ่งความถือตัว ความเห็นแก่ตัว อาจเรียกว่าเป็นผู้กำลังหันหลังให้กับอัตตาก็ว่าได้ และต้องปฏิบัติตนเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นสม่ำเสมอ

หลักการของผู้ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาที่แท้จริงควรมีลักษณะที่โดดเด่นและแจ่มชัด กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องไม่ทำความชั่วโดยประการทั้งปวง หมั่นบำเพ็ญแต่ความดี บริหารจิตของตนให้ผ่องใสเนืองๆ ไม่กล่าวโทษหรือทำร้ายผู้อื่น มีความสำรวมในข้อปฏิบัติอันชอบด้วยธรรมเสมอ มักจะเป็นผู้รู้จักประมาณในการใช้ชีวิต เลือกเฟ้นสังคมหรือชุมชนที่เหมาะสม และขยันฝึกฝนตนเองอยู่ตลอดเวลา นี่คือหลักการสำคัญของนักปฏิบัติในพระพุทธ-ศาสนา และเป็นหลักสากลที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงสั่งสอนไว้ ถ้าถือปฏิบัติผิดแผกแตกต่างไปจากหลักการเช่นนี้ก็แสดงว่า ผู้นั้นยังไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องอย่างแท้จริง


@@@@@@

ฉะนั้น จากคำถามนี้อาจพิจารณาได้ด้วย 2 เหตุผล กล่าวคือ

1. ผู้นั้นอาจไม่ได้ปฏิบัติธรรมตามกระบวนการโดยแท้จริง เพียงแต่สละตนเข้าปฏิบัติธรรม เพื่อให้ตัวเองได้ถูกเรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติจริงและไม่สามารถเข้าถึงหลักการที่แท้จริงได้ เพราะรับเอาแต่เฉพาะรูปแบบการปฏิบัติตามคนอื่น แต่ตนเองไม่เข้าใจว่าตนได้ปฏิบัติธรรมจริงหรือเปล่า หรือกำลังได้อะไรจากการเข้าปฏิบัติธรรมนั้น นี่เรียกว่าหลอกทั้งตนเองและผู้อื่นด้วยประเภทนี้จะเสียประโยชน์ตนและเสียเวลาเปล่า

2. ผู้นั้นอาจเป็นผู้สละตนเข้าปฏิบัติธรรมจริง แต่ว่ามีอุปนิสัยดั้งเดิม เช่น ความโลภ แล้งน้ำใจ หรือมีนิสัยปากเปราะชอบว่าร้ายผู้อื่น ยังคงทำหน้าที่อยู่ก็เป็นไปได้เพราะอุปนิสัยนั้น บางทีไม่อาจสลัดออกไปได้โดยสิ้นเชิงทีเดียว เพราะมันเป็นกิเลสที่นอนเนื่อง เป็นสันดานติดตัวมาจากหลายภพชาติที่ผ่านมา เคยสั่งสมพฤติกรรมเก่าในอดีตชาติ ดังนั้น ผู้อ้างตนว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมท่านนี้แม้เข้าปฏิบัติธรรมก็จริง แต่ยังไม่สามารถละอุปนิสัยเดิมก็เป็นได้ 

@@@@@@

แต่คำถามที่น่าสนใจคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ใด คือ ผู้ปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ควรมีหลักการสังเกตไว้ดังนี้
    1. จิตใจต้องอ่อนโยน ละเอียด ละเมียดละไม เป็นผู้สงบ ผู้อยู่ใกล้ชิดจะสามารถสัมผัสความเยือกเย็นของเขาได้โดยการแสดงออกผ่านการกระทำ
    2. ผู้ปฏิบัติธรรมมักมีจิตเอื้อเฟื้อ เสียสละ เห็นใจคนอื่นง่าย ประกอบกับมีความเมตตาเป็นที่ตั้ง
    3. ผู้ปฏิบัติธรรมมักมีปฏิภาณไหวพริบ เฉลียวฉลาดมีความรู้เรื่องศีลธรรม และตระหนักในคุณค่าของความดีเสมอ


ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/81394.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ