การบำเพ็ญ นั้นมีหลายระดับ
ขั้นทาน
ขั้นศิล
ขั้นภาวนา
ทางเลือกต่างก็มีความพอใจที่แตกต่างกัน ไปตามทิฏฐิที่มี อวิชชาที่มี ตามอาสวะ
ดังนั้นความเห็นทั้งหลาย ึงไม่ใช่เรา
ความเห็นของเราก็ไม่ใช่ของคนอื่น คนอื่นอาจไม่ได้เห็นแบบเรา แต่ถ้าขั้นเดียวกันก็เห็นแบบเดียวกัน คือเห็นตามธาตุ
ที่มีอยู่
แน่นอนทุกคนไม่ได้เห็นแบบเดียวกัน..เพราะธาตุ นั้นมีหลายธาตุ
แต่นั่นก็ต้องสักว่า ไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา
พระอาจารย์ ออกธรรมช่วงหลัง ไม่มีคนถาม เพราะ ไม่ได้ ปฏิบัติตามมา นั่นคือส่วนที่ไม่รู้
ไม่ถามเพราะกลัวเสียฟอร์มว่าไม่เก่ง แต่ปฏิบัติธรรมเพื่อละ สงสัยต้องถาม
แล้วจะหายสงสัยได้อย่างไร เพราะส่วนที่สงสัยยังมี อยากถาม ถามเลย ไม่ต้องกลัวไม่เก่ง
เพราะบางท่านที่ไม่ใช่ศิษย์สายตรง ไม่ได้พบครูอาจารย์
ส่วนที่ เปรียบเทียบ อยู่ก็มีมาก ก็ยังวนอยู่ ก็คือกรรมฐานยังไม่ปักอารมณ์ ยังส่ายยังหมุนยังล่องยังลอย
เป็นๆหาย ชอบบ้าง บางครั้งก็เบื่อ...มันเป็นเรื่องธรรมดาของปุทุชน
จนกว่าท่านจะมีความสุขในองค์ธรรม ทั้งหลาย ยกองค์ธรรมทั้งหลายได้เป็น ท่านจึงจะเห็นจิตของท่าน
ว่าถ้าเป็นโรคนี้ กินยาอะไร กิน ตอนไหน จึงจะหายขาดแบบเฉียบพลัน หายชั่วคราว เป็นอีกก็รักษาและกินยาใหม่
เพราะพระกรรมฐาน จะเริ่มรักษาตนเองได้ตั้งแต่ อนุโลมปฏิโลม ขึ้นมาแล้ว
หากกรรมฐานสูงกว่าอนุโลมปฏิโลมก็ไม่ต้องห่วง รักษาได้หมด เพราะสูงขึ้น จนขึ้นโพชฌง7
ก็จะเข้มข้นขึ้น สนุกขึ้น เพราะโพชฌงค์รักษาโรค และ องค์แห่งการตรัสรู้ด้วย
คุยเป็นเพื่อนแก้อารมณ์เท่านี้...ขอให้สนุกและมีความสุขกับธรรมที่ท่านมีเถอะ
เพราะธรรมทั้งหลายมันเป็น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ(ของอะไรรู้ได้เฉพาะตน)