พุทธประวัติ
ตอน นางจิญจมาณวิกา
ในขณะที่พระบรมศาสดาเสด็จประทับ ณ เชตุวันมหาวิหาร นครสาวัตถี พระภิกษุสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา เป็นอันมากได้สำเร็จมรรคผล ทำให้เกิดลาภสักการะในพระพุทธศาสนามากมาย ฝ่ายพวกเดียรถีย์ นักบวชนอกศาสนาก็เสื่อมลาภ หมดอำนาจ ผู้คนนับถือน้อยลงพากันอิจฉา คิดจะกำจัดพระพุทธองค์เสีย จึงได้ว่าจ้างนางจิญจมานวิกา ให้กล่าวโทษใส่ร้ายพระศาสดา วันหนึ่งขณะที่ฝูงชนกำลังฟังธรรมเทศนาอยู่ นางได้เอาท่อนไม้รองในมีผ้าเก่าพันท้องให้โตขึ้นเหมือนกับว่าตั้งครรภ์แก่ แล้วให้พวกเดียรถีย์เอาไม้ทุบหลังมือหลังเท้า ให้บวมคล้ายหญิงมีคครภ์จวนคลอด เข้าไปยืนอยู่ข้างหน้าฝูงชนแล้วกล่าวขึ้นว่า “ท่านจะมาแสดงธรรมอยู่ทำไม บัดนี้เด็กในครรถ์ของข้าพเจ้าซึ่งเกิดกับท่านใกล้จะคลอดอยู่แล้ว ถึงท่านจะไม่ดูแลก็ควรจะให้พระเจ้าดกศลหรือท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี หรือนางวิสาขาคนใดคนหนึ่ง ช่วยเลี้ยงดูข้าพเจ้าและลูก”
พระพุทธองค์ทรงหยุดแสดงธรรมและกล่าวกับนาง ว่า “ดูก่อนน้องหญิง เรื่องนี้เจ้ากับเราสองคนเท่านั้นรู้กันว่าจริงหรือไม่จริงตามคำของนาง” นางจึงตอบว่า “จริงทีเดียว เพราะการที่ข้าพเจ้ามีครรภ์ขึ้นนี้ มีแต่ท่านกับข้าพเจ้าเท่านั้นที่รู้กัน”
ในขณะนั้น ท้าวสักกะมีอาการร้อนอาสนะ จึงสอดส่องทิพยจักษุลงมา ทรงทราบว่าหญิงงามแต่ใจทรามกำลังกล่าวตู่พระตถาคต จึงดำริว่า เราจะต้องเป็นผู้ชำระคดีนี้ด้วยตนเอง ว่าแล้วก็เสด็จมาพร้อมกับเทพบุตร ๔ องค์ เทพบุตรได้แปลงเป็นลูกหนูเข้าไปกัดเชือกที่ผูกท่อนไม้รองในติดที่ ท้องของนางจิญจมานวิกา ท่อนไม้นั้นก็ขาดตกลงมาถูกหลังเท้าของนาง ได้รับความเจ็บปวดและเกิดมีลมแรงพัดเอาเสื้อผ้าของนางให้ปลิวขึ้น จนปรากฎแก่คนทั้งหลายว่า นางมิได้ตั้งครรภ์ นางได้กล่าวตู่หาความใสร้ายพระพุทธองค์ คนทั้งหลายพากันลุกฮือขึ้นไล่ทุบตี พอออกไปพ้นประตูพระเชตวันมหาวิหาร นางก็ถูกแผ่นดินสูบ
ที่มา http://www.dharma-gateway.com/buddha/buddha-history/buddha-history-misc-07.htm----------------------------------------------------------------------------------------
ว่าด้วยบุพกรรมของพระพุทธเจ้าในชาติอื่นในกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้าย (ตอบ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสหลายพันปีเป็นอันมาก
ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ เราจึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง
เราจึง ท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมานวิกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง
อ้างอิง
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐ (๓๙๐)
ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=32&A=7849&Z=7924&pagebreak=0----------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อถูกด่าควรทำอย่างไรปัญหา เมื่อเราถูกโกรธก็ดี ถูกด่าก็ดี เราควรทำอย่างไร ควรจะโกรธตอบ ด่าตอบ หรือควรจะเฉยเสีย ?
พุทธดำรัสตอบ “ ดูก่อนพราหมณ์.....
ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าอยู่ ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธอยู่
ท่านหมายมั่นเราผู้ไม่หมายมั่นอยู่ เราไม่รับรู้เรื่องมีการด่าเป็นต้นของท่านนั้น
ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องมีการด่าของท่านผู้เดียว
ดูก่อนพราหมณ์.... ผู้ใดด่าตอบบุคคลผู้ด่าอยู่
โกรธตอบบุคคลผู้โกรธอยู่ หมายมั่นตอบบุคคลผู้หมายมั่นอยู่....
ผู้นี้ เรากล่าวว่า ย่อมบริโภคร่วมกัน ย่อมกระทำตอบกัน
เรานั้นไม่บริโภคร่วม ไม่กระทำตอบด้วยท่านเป็นอันขาด
ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้น เป็นของท่านผู้เดียว”
อักโกสกสูตรที่ ๒ ส. สํ. (๖๓๒)
ตบ. ๑๕ : ๒๓๘ ตท. ๑๕ : ๒๒๕
ตอ. K.S. I : ๒๐๒
http://www.84000.org/true/121.html----------------------------------------------------------------------------------------
วิธีปฏิบัติเมื่อถูกด่าว่าปัญหา เมื่อเราถูกด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย เราควรจะปฏิบัติอย่างไร?
พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการ คือ
กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑
กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑
กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคาย ๑
กล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่น
จะกล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สามควรก็ตาม
จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม
จะกล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคายก็ตาม
จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม
จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะภายในกล่าวก็ตาม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน
เราจักไม่เปล่งวาจาลามก
เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์
เราจักมีจิตเมตตา ไม่มีโทสะในภายใน
เราจักแผ่มตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์
ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท
ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทางซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถึงศึกษา ด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แลฯ ”
กกจูปมสูตร มู. ม. (๒๖๗)
ตบ. ๑๒ : ๒๕๕-๒๕๖ ตท.๑๒ : ๒๐๖-๒๐๗
ตอ. MLS. I : ๑๖๓-๑๖๔
http://www.84000.org/true/024.html----------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องกรรมเป็นเรื่องอจินไตย คิดมากไม่ได้ มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตอบได้
พระพุทธเจ้าก็ยังหนีบุพกรรมไม่พ้น คนธรรมดาอย่างเรา ต้องยอมรับสภาพครับ
ผมเสนอเรื่องที่ใกล้เคียงกับเรื่องของคุณปกรณ์ได้เท่านี้ครับ
อยากให้ถือว่า นั่นเป็นแบบฝึกหัดที่ดี ในการเจริญสติ (พิจารณาลงเป็นไตรลักษณ์)
เอาเป็นเครื่องวัดระดับธรรมในใจได้
“ปัญหามา ปัญญามี”
ขอให้ธรรมคุ้มครองครับ