ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : จิตในดงความคิด 2.  (อ่าน 1471 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28450
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
สมาธิชาวบ้าน : จิตในดงความคิด 2.
« เมื่อ: มีนาคม 02, 2014, 10:44:40 am »
0


สมาธิชาวบ้าน : จิตในดงความคิด 2.

สมถะสมาธิ สมาธิที่ดิ่งจมลงไปในความว่างแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ สมาธิแบบนี้ก็มีประโยชน์ แต่มีประโยชน์ในลักษณะที่เป็นภาวะเบื้องต้นที่จะนำจิตให้มีความนิ่งเพื่อที่จะเข้าสู่จิตเดิมแท้

แต่สมาธิแบบนี้จะต้องมีผู้มีภูมิธรรมที่สูงกว่าเป็นคนคุมกรรมฐานสมาธิ หรือสั่งสอนในข้อธรรมให้ฝังในจิต เพราะเมื่อจิตอยู่ในความนิ่ง จิตจะนำภูมิธรรมข้อธรรมมาพิจารณาในความนิ่ง จิตจะเกิดความรู้อย่างใหม่ที่แตกต่างจากสมมติโลก

สมมติบัญญัติที่เข้ามาครอบงำจิตจะค่อยๆ คลายตัวออก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจิตที่มีอาการอย่างนี้จะเป็นจิตที่ดำเนินไปสู่ภาวะพระนิพพาน แม้จิตจะว่างและนิ่งขนาดไหน เพราะพระนิพพานไม่ได้เข้าถึงด้วยอาการว่าง แต่พระนิพพานเข้าถึงได้ด้วยจิตเกิดอาการรู้ การเท่าทันความคิด การถอดถอนจิตออกจากความคิด หรือเรียกว่าการรู้แจ้งเห็นจริง จิตนั้นเกิดปัญญาความรู้ ในความว่างจิตไม่สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้


 :25: :25: :25:

จิตที่แน่นิ่งจมนิ่งอยู่ด้วยฌาณสมาธิหรือสมถะสมาธิ ถ้าไม่มีภูมิธรรมมากพอ จิตดวงนั้นจะไม่สามารถก้าวเข้าสู่โลกุตระภูมิได้ จิตจะไม่เกิดปัญญา จิตจะเกิดการถอนออกจากความว่าง จนเบื่อหน่ายความว่างขึ้นมา จิตที่เกิดการเบื่อหน่ายความว่างจะเกิดความหดหู่ จิตจะถดถอย เนื่องจากจิตไปต่อไม่ได้ ไม่มีอะไรมาให้พิจารณา เพราะเป็นความว่างอย่างเดียว

เมื่อจิตเกิดเบื่อหน่ายความว่าง วิธีที่จะทำให้จิตหลุดออกจากความว่างแล้วเกิดความรู้ภูมิรู้ ก็ต้องฟังธรรมในแนบแน่นจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับจิต ให้จิตมีธรรมอยู่ตลอดเวลา

 :96: :96: :96:

เมื่อจิตพ้นจากความว่าง จิตจะพิจารณาข้อธรรมเป็นเครื่องรู้ ก็ถือว่าเป็นดวงจิตที่ทำสมาธิจนใช้การได้ เพียงแต่ว่าเราจะต้องกระตุ้นให้มันทำงาน จิตดวงนี้ถ้าไปอยู่เฉยๆ ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย เกิดความขี้เกียจ
ผู้ปฏิบัติบางคนที่ติดอยู่ที่ความว่างนานๆ จะรู้สึกว่าการฝึกสมาธิไม่มีความก้าวหน้า ก็ขอให้ใช้สมมติบัญญัติแบบอ่อนๆ มาพิจารณา แต่สมมติบัญญัตินั้นจะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของความคิด จะเกิดความรู้อย่างใหม่ขึ้นมา เรียกว่าความรู้แจ้งเห็นจริงในโลกียะภูมิ

คือจิตไม่อยู่ในอำนาจของความคิด แต่ยังคงมีสมมติบัญญัติอย่างอ่อนๆ ควบคุมอยู่พอที่จะให้รู้ว่าเป็นหมายมั่นต่างๆ ให้จิตดำเนินไปเกิดความรู้อย่างใหม่ในสมมติบัญญัติแบบเดิมๆ

 st12 st12 st12

จิตเกิดความรู้ในโลกียะที่เหนือโลกียะ ก็จะเข้าใจในสิ่งเดิมๆ อีกรูปแบบหนึ่ง เช่น เคยอยากได้แหวนเพชรราคาแพง แต่เมื่อเกิดความรู้ในโลกียะภูมิขึ้นมาก็จะรู้ว่า แหวนเพชรก็เป็นเพียงสิ่งสมมติที่โลกให้ราคาขึ้นมา หากไปอยู่ในที่ที่มีเพชรมากมายมหาศาล เพชรนั้นจะไร้คุณค่าทันที จะเข้าใจในความเป็นไปของมัน มีมิติ มีความลุ่มลึกขึ้น มองเห็นความเป็นไปนอกเหนือจากด้านเดียว รู้ได้ด้วยเหตุผลโลก และเหตุผลเหนือโลก

จิตจะลึกซึ่งไปถึงมิติต่างๆ เรื่องภพภูมิ เรื่องเวรกรรม เรื่องพลังอำนาจต่างๆ เป็นความรู้อีกมิติหนึ่งมากกว่าความรู้ที่รู้ด้วยเหตุผลของโลกอย่างเดียว ทำให้เกิดปัญญาความรู้แจ้งขึ้น นอกจากเหตุผลที่พึงรู้ได้ด้วยความรู้สมมติโลก มันยังมีเหตุผลมีความรู้ที่เข้าใจในหลายมิติที่ลึกซึ้งลงไป นี่คือความรู้แจ้งแบบภูมิรู้ในโลกียะภูมิ (มีต่อฉบับหน้า).


ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/020314/86808
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สมาธิชาวบ้าน : จิตในดงความคิด 2.
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 02, 2014, 02:36:17 pm »
0
 st12 st12 st12
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

nongyao

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 380
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สมาธิชาวบ้าน : จิตในดงความคิด 2.
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มีนาคม 04, 2014, 07:00:57 am »
0
 thk56 :25:
บันทึกการเข้า
กราบนอบน้อมพระพุทธเจ้าอันเป็นอดีต อนาคต แลปัจจุบัน ด้วยเศียรเกล้า
                 พุทธัง  ธัมมัง  สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
                       
                         ข้าพเจ้าจักขอทำเหตุที่ดี