ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คุยกับ...สมาธิ  (อ่าน 2041 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28450
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
คุยกับ...สมาธิ
« เมื่อ: กันยายน 30, 2014, 10:55:15 am »
0

คุยกับ...สมาธิ

    หลายท่านคุยกับผมว่า ทำสมาธิไม่ได้! ผมก็ต้องพูดว่าเพียรไปเถอะต้องได้เข้าสักวันหนึ่ง เว้นแต่ว่าท้อเสียก่อนเท่านั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "พ้นทุกข์ได้ เพราะความเพียร"
    หลายคนบอกว่า ต้องรอให้ได้ศีล 5 ก่อน ถึงจะทำสมาธิ รอๆ ให้ลูกๆ เรียนจบแล้วค่อยทำ! ไม่ต้องรออะไรทั้งนั้น ทำเลย เรื่องบุญที่เกิดจากสมาธินั้นไม่ต้องรออะไรทั้งสิ้น

    ผมนั่งสมาธิได้ก็ไม่ได้รออะไรเลย ระยะนั้นบุหรี่ก็ยังสูบ เหล้าก็ยังดื่ม สมาธิยังนั่งได้เลย และก็นั่งติดต่อกันมาทุกวันเสียด้วย เมื่อนั่งๆ ไปบุหรี่ก็เลิกได้ ทั้งๆ ที่สูบวันละซองครึ่ง คิดเลิกบุหรี่วันรุ่งขึ้นก็ไม่สูบทิ้งไปเลยบุหรี่ ไม่เห็นมันอยากอีกตรงไหน ได้สมาธิแล้วอะไรๆ ไม่ดีก็เลิกง่ายหยุดง่าย นี่แหละบุญ เพราะปัญญามันเกิด
    เหล้าดื่มน้อยกว่าบุหรี่ก็เลยไม่ดื่ม! พออีกไม่กี่วัน ศีล 5 ก็ได้ครบ


     ans1 ans1 ans1 ans1

    มีคำกล่าวว่า คนที่นั่งสมาธิได้นั้นต้องมี 3 ข้อ คือ
       1.บุญเก่า
       2.ประกอบกรรมดีมาโดยตลอด
       3.ความเพียร
    ผมอาจจะเป็นคนโชคดีก็ว่าได้ นั่งวันแรกก็ได้เลย แล้วก็เห็น "บุญ" ทันที เห็นบุญแล้วไม่รีบกอบเอาบุญไว้ให้มากๆ หรือ ผมคิดเช่นนั้น

    พูดถึงบุญเก่า วันนั้นผมไปนั่งกินขนมจีนที่หน้าโรงเรียนนารีวิทยา ใกล้ๆ บ้านผมอีกซอยหนึ่ง มีแม่ค้าคนหนึ่งหน้าซื่อๆ เขาเล่าให้ฟังว่า ลูกสาวเขามีการมีงานทำแล้วอยู่กรุงเทพฯ เขานั่งสมาธิทีไรกายทิพย์จะออกจากร่างเขา แล้วมีเทวดาพาไปดูสวรรค์แต่ละชั้น สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น เขาไปเห็นมาหมดนี่แหละบุญเก่าของลูกสาวเขา
    ผมไม่เคยเห็นอย่างนั้น แต่เห็นอย่างอื่น เช่น วิญญาณ เปรต ผี เมื่อเห็นแล้วก็เห็นไปให้ถือเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปกลัว อย่าไปอยาก มันเป็นธรรมชาติของจิตแต่ละคน ซึ่งบุญเก่าสร้างไว้ไม่เหมือนกัน

    พูดถึงสมาธิ ผมนั่งตอนอายุมากแล้ว ก่อนหน้านั้นใครพูดให้นั่งสมาธิบอกว่าได้บุญมาก ปัญญามาก ผมไม่เคยเชื่อและไม่นั่ง! แสดงว่าบุญผมยังไม่มีและบุญยังมาไม่ถึงให้คิดจะนั่ง
    แต่พอบุญถึงและคิดนั่งก็นั่งได้เลยทันที แสดงว่าบุญผมมาถึงแล้ว ผมคิดอย่างนั้น



    เรื่องสมาธิทุกคนต้องนั่งได้ เพราะสมาธิมีวิธีนั่งมากมายที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ตามจริตของตน ผมเองที่นั่งได้เพราะไม่มีครูสอนเลยคิดท่าเอาเอง! คือ "หลับตาไม่คิด" เพียงเท่านั้นก็เป็นสมาธิได้
    สมาธิ คือ จิตว่าง คือ จิตอย่าไปคิดอะไรหลายอย่างนั่นเอง จิตไปเกาะที่ลมหายใจอย่างเดียว จิตก็ว่างจากสิ่งอื่นทั้งหมด จิตก็เป็นสมาธิได้

    ลมหายใจของเราที่หายใจเข้าออก เข้าออก อยู่ตลอดเวลานั้น เอาจิตไปเกาะตรงนั้น เข้าก็รู้ว่าเข้า ออกก็รู้ว่าออก อย่าให้จิตไปไหน ลมไปทางไหนจิตก็ตามไปทางนั้นด้วย ซึ่งอยู่ตรงรูจมูก ลมเป็นอุปกรณ์ให้จิตคิดเกาะอย่างเดียว อย่าไปคิดนอกลม จิตต้องเป็นสมาธิแน่ๆ
    คนเราก็ยังเถียงว่าไม่ได้! เพราะจิตไปแล้วออกไปนอกลมหายใจ ไปไหนก็ไม่รู้ สมาธิก็ไม่ได้
    ทำไม? จิตเกาะลมหายใจ หรือไม่ก็กอดลมหายใจให้มันแน่นให้ได้ มันต้องนิ่ง

    เราลองเปลี่ยนที่นั่งใหม่ซิ นั่งต่อหน้าพระพุทธเจ้าก็ไม่นิ่ง ลองอาบน้ำอาบท่าให้สะอาดดู ลองจุดธูปจุดเทียนดู ลองนุ่งขาวห่มขาวดู ฯลฯ พูดง่ายๆ เพียรมันให้จริง ต้องได้สักท่าหนึ่ง หรือเข้าไปนั่งในถ้ำมืดๆ คนเดียวดู ลองไปๆ ต้องนั่งได้แน่ๆ มันจะหนีความเพียรไปได้อย่างไร!
    ไม่ว่าจะทำอะไรลงจิตท้อขึ้นมามันก็ไม่สำเร็จ อย่าไปท้อต้องเพียร! ให้ได้ ผมเป็นคนกลัวผี! ถ้ามัวแต่กลัวผีจะได้สติปัญญาอะไรขึ้นมา ไม่เกิดผลกับตัวเองแน่นอน ผมต้องดับความกลัวให้ได้ ถ้าเราอยากได้ธรรมบริสุทธิ์!


     :25: :25: :25: :25:

    พระปฏิบัติที่ผมเคยสัมผัสมาเดิมท่านก็เป็นคนกลัวผีมากมาก่อนเช่นกัน แล้วท่านก็ดับความกลัวให้หายกลัวได้
    "สัจจะ" ในการนั่งสมาธินั้นมีความสำคัญมาก ไม่ใช่พูดขึ้นมาลอยๆ แล้วไม่ทำ มันจะกลายเป็นคนไม่มีสัจจะตลอดไป สัจจะเป็นคำตั้งความปรารถนา คือ ความตั้งใจจริงนั่นเอง ลงขาดสัจจะบ่อยๆ คำพูดก็เชื่อถืออะไรไม่ได้!
    คนมีสัจจะนั้น มีประโยชน์อันยิ่งใหญ่กับตนเองมาก ยามทุกข์ยามร้อนแม้แต่เทวดาฟ้าดินท่านก็เมตตาเราได้

    พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "อานนท์ปฏิบัติให้มาก ทำให้มากแล้วจะสิ้นสงสัย ความสงสัยจะไม่มีวันสิ้นไปได้ด้วยการคิด ด้วยทฤษฎี ด้วยการคาดคะเน หรือด้วยการถกเถียงกัน หรือจะอยู่เฉยๆ ไม่ปฏิบัติภาวนาเลย ความสงสัยก็หายไปไม่ได้อีกเหมือนกัน กิเลสจะหายสิ้นไปได้ก็ด้วยการพัฒนาทางจิต ซึ่งจะเกิดได้ก็ด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้น" พระอาจารย์ชา สุภัทโท



    จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติให้มากเท่านั้นจึงจะสิ้นสงสัย แต่ก็อย่าลืมว่า "นิพพาน" นั้นไม่ใช่ของง่าย ใครๆ ก็ทำได้
    การภาวนาเป็นการทำให้เกิดความสงบและเกิดปัญญาขึ้นเรื่อยๆ แต่จะถึงนิพพานทันทีไม่ ใครที่ว่านิพพานเป็นของง่าย ผมไม่เชื่อ!
    ผมเองไม่เคยคิดว่าผมจะได้นิพพานในชาตินี้! แต่ผมคิดว่าการที่ผมปฏิบัติธรรมอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อให้เกิดความสงบขึ้น มีสติปัญญาขึ้น และเป็นการสะสมกุศลขึ้น ก็พอใจในการปฏิบัติแล้ว

    การปฏิบัติไม่ได้หวังขั้นนิพพาน! เพราะการจะได้นิพพานนั้นต้องปฏิบัติถึงขั้นอุกฤษฏ์จริงเท่านั้นถึงจะได้กัน
    หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี แห่งถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ท่านเคยพูดไว้ในหนังสือประวัติของท่านว่า ผู้ที่ได้พระอรหันต์นั้นมันแสนยาก ขณะนี้ผู้ที่ได้พระอรหันต์ในบ้านเราคงไม่เกิน 3 ท่านจะได้ เพราะพระอรหันต์ไม่ได้กันง่ายๆ ท่านว่า
    ที่เคยสัมผัสพระปฏิบัติมา และคิดว่าได้พอสมควรนั้น มักจะได้พระอริยะขั้นต้นๆ เสียเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น

    เราท่านอย่าได้ท้อ ทาน ศีล ภาวนา ต้องเพียรพยายามปฏิบัติให้จงได้ ธรรมะก็จะปรากฏแก่ตนเองขึ้นเรื่อยๆ
    เรื่องของการสั่งสมบุญกันมาแต่ชาติอดีตนั่นย่อมแตกต่างกัน บางท่านเห็นได้ชัด บุญที่สร้างไว้ ซึ่งปรากฏให้เห็นในชาตินี้


     st12 st12 st12 st12

    ท่านฤาษีลิงดำท่านเคยพูดว่า ในหลวงของเราท่านทรงสร้างบุญไว้มากเมื่อชาติก่อนๆ นั้น ชาตินี้คนจึงรักเคารพท่านมาก เราไม่รู้หรอกชาติก่อนพระองค์ท่านทรงทำบุญไว้มากเท่าไร ดูชาตินี้เถอะท่านทรงทำความดีไว้มากกว่าเราแค่ไหน!
    คนบางคนก็เห็นรอยบาป เช่น ฐานะ รูปร่างหน้าตา กิริยามารยาท ย่อมแตกต่างกว่าผู้มีบุญได้สร้างมา
    เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็สร้างบุญสะสมกันในชาตินี้ให้มากๆ เข้าไว้ จะได้เป็นทุนเพิ่มในชาติต่อๆ ไปได้มากขึ้น
    อย่าได้ไปหลงอกุศลติดจิตเราไป เพราะทางโลกเป็นเรื่องของทุกข์ทั้งสิ้น

    หนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ องค์ที่ 19 วัดบวรนิเวศวิหาร ท่านตรัสไว้ว่า "การทำสมาธิ เป็นการสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ลงทุนน้อยที่สุดเพราะไม่ได้เสียเงินเสียทอง ไม่ได้เหนื่อยยากต้องแบกหามอะไร เพียงแต่ค่อยเพียรระวังรักษาสติ คุ้มครองจิตไม่ให้แส่ส่ายไปสู่อารมณ์อื่นๆ ให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น
    ทำทานเสียอีกยังต้องเสียเงินเสียทอง การสร้างโบสถ์วิหาร ศาลาโรงธรรม ยังต้องเสียทรัพย์ แต่ก็ได้บุญน้อยกว่าการทำสมาธิ
    เพียรทำสมาธิให้ได้เถอะครับ บุญมหาศาล แล้วจะเห็นตัวบุญได้อย่างชัดเจนครับ.

               
                    ประวิทย์ จำปาทอง



ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/280914/96783
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

nongyao

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 380
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คุยกับ...สมาธิ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 30, 2014, 01:27:50 pm »
0
 st11 :25:
บันทึกการเข้า
กราบนอบน้อมพระพุทธเจ้าอันเป็นอดีต อนาคต แลปัจจุบัน ด้วยเศียรเกล้า
                 พุทธัง  ธัมมัง  สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
                       
                         ข้าพเจ้าจักขอทำเหตุที่ดี

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คุยกับ...สมาธิ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2014, 03:49:51 pm »
0
ส่วนที่เป็น ทฤฎีก็รู้แล้ว(อย่างแตกฉาน)ซึ่งมีให้อ่านมีให้จำมากมายหลายวิธี...
ส่วนการที่ทำสมาธิไม่ได้...น่าจะเนื่องมาจากบุคคลนั้นไม่รู้จักการรวมจิต,ยังไม่รู้ว่าตนเอง ณ.ขณะนั้น ตนเองกำลังอยู่ที่ตรงไหน??....(สติไม่ได้รวมตัวกับจิต,มรรคไม่ สมังคี).....ไม่ฉลาด(และไม่เฉลียวใจ)ในการตามจิตหรือไม่เข้าใจตนของตนเอง
.....เมื่อขยับ...มันก็เขยือน...เมื่อเขยื่อน มันก็เปลี่ยนแปงไป......เดี๋ยวก็ไป...เดี๋ยวก็มา...เดี๋ยวก็มี...เดี๋ยวก็หาย.....เพราะขยับจึงเข้าใจความสงบ เมื่อสงบ ก็เห็นความเคลื่อนไหว.....
ผู้ปฎิบัติทุกคน...ถ้ามีความแน่วแน่... มีความพยายามอยู่อย่างพอเพียง...มีสติที่มากพอ....มีความฉลาดเฉลียว...สมาธิก็มีเองไม่ต้องอยากได้...มันก็เกิด.....ข้าพเจ้าขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนที่มีเจตนาดีต้งใจในการทำสมาธิ....และขอให้มีความเฉลียวใจซักนิด การพัฒนาทางจิตเราก็จะเกิดเอง....โดยไม่ต้องสงสัย
บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คุยกับ...สมาธิ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2014, 07:05:18 pm »
0
ขออนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา