ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สัมภเวสี กรรมตัดรอน สะเดาะเคราะห์  (อ่าน 6892 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
สัมภเวสี กรรมตัดรอน สะเดาะเคราะห์
« เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2010, 06:09:58 pm »
0

สัมภเวสี กับ กรรมตัดรอน
          ต่อแต่นี้ไป ก็มาพูดถึงสัมภเวสี ประเดี๋ยวก่อน ญาติโยมพุทธบริษัท บางทีญาติโยมจะสงสัยว่า อสุรกายนี่ต้องลำบากอยู่สักเท่าไร ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถามแบบนี้ อาตมาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกเวลาไว้ว่าจะเสวยผลประเภทนี้ไปสักกี่ปี กี่เดือน กี่วัน เป็นแต่เพียงท่านบอกว่า ถ้าพ้นจากสภาวะความเป็นอสุรกายแล้ว ก็ต้องเป็นสัตว์เดียรัจฉาน รู้กันไว้เท่านี้ก็แล้วกันนะ อาตมาจะบอกให้เลยไปกว่านี้ก็บอกได้ เป็นของไม่ยาก แต่ว่าบอกแล้วเวลาอาตมาตายไปแล้วไปลงนรกไม่บอกดีกว่า ถ้าตายแล้วต้องลงนรกนี่ไม่เอานา มันไม่ใช่ของดี
 
         เอาละ ต่อแต่นี้ไปก็เลยอสุรกายไปนิด ความจริงมันไม่ใช่เลย เรามายืนอยู่ในขอบเขตของเมืองมนุษย์นี่แหละ แต่ว่าเป็นผี คนพวกนี้มีอิสระ ไม่อยู่ในอำนาจของใครไม่ใช่เปรต ไม่ใช่อสุรกาย เป็นใคร? ที่เราเรียกกันว่า สัมภเวสี คือว่าคนที่ตายแล้วยังไม่ถึงอายุขัย เรียกว่ามีกรรมที่เรียกกันว่าอุปฆาตกรรม เข้ามาริดรอน ตัดรอนเสียตั้งแต่ยังไม่หมดอายุขัย ท่านพวกนี้เวลาตายแล้วทางนรกไม่ต้องการ ทางสวรรค์ไม่ต้องการ บุญที่ทำไว้ยังไม่ให้ผล หรือว่าบาปที่เขาทำยังไม่ให้ผล ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเรียกเข้าไปสอบสวนและจัดการลงโทษ มีสภาพเหมือนกับคนออกจากบ้านนี้แล้วเข้าบ้านโน้นไม่ได้ จะกลับเข้าบ้านนี้ก็ไม่ได้ เดินไปเดินมาไม่ใช่ว่าแบบหนุ่มเจ้าสำราญนะ เดินแบบลำบาก หาอะไรกินไม่ได้ ผีประเภทนี้เราเรียกกันว่าสัมภเวสี แปลว่าพวกแสวงหาที่เกิด หมายความว่าแสวงหาที่อยู่แน่นอน

         บรรดาคนที่ตายในสภาพนี้ ที่บรรดาหมอผีทั้งหลายชอบเรียกเอาไปเลี้ยงก็เพราะว่าเขาเป็นคนหิว เขาไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีอาหารเป็นเครื่องบริโภค ในเมื่อสภาพของเขาเป็นคนหิวแบบนี้แล้วใครชวนก็ไป ก็แบบเดียวกับเรา เราก็เหมือนกันเมื่อที่อยู่ไม่มี ใครชวนไปอยู่ด้วยก็ไป ไปทำไม? ไปเพื่อประทังชีวิตให้มีความสุข พวกนี้ต้องการเครื่องเซ่นสรวงบูชา แล้ว

สะเดาะเคราะห์ต่อชะตาเป็นจริงแค่ไหน
        สำหรับคนที่ตายประเภทนี้ ที่หมอเขาบอกว่าสะเดาะเคราะห์ได้จะไม่ตาย นี่เป็นความจริงเพราะว่ากรรมที่กระทำให้พวกเขาตาย เรียกว่าอุปฆาตกรรม กรรมเข้ามาตัดรอนในระหว่างอายุขัย ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องตาย แต่ถ้าหากว่า เราทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะเป็นการชดเชยกับความชั่วที่จะเข้ามาริดรอนเสียได้ อายุเข้าก็จะยืนต่อไป ที่เรียกกันว่าการต่ออายุ
 
       แต่ทว่าการต่ออายุนี่ต้องระวังนะ ส่วนใหญ่ที่เคยได้ฟังมา มันเป็นการต่ออายุหมอไป หมอที่ทำพิธีน่ะ ได้รับการต่ออายุหมดเคราะห์ แต่ว่าคนที่เข้าไปสะเดาะเคราะห์กลับเพิ่มเคราะห์เข้ามาอีก ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะเชื่อหมอนี่ หมอบอกว่า ถ้าไม่ทำละก้อ ต้องตายเมื่อนั้นเมื่อนี่ ถ้าทำเสียแล้วจะมีความดี หมอก็ตั้งราคาไว้สูง จะต้องหาเงินให้หมดเป็นพันเป็นหมื่น พิธีกรรมก็มากมายถ้าทำไปแล้ว ถ้าไม่ถูกพิธีกรรม การสะเดาะเคราะห์นั้นไม่มีผล แต่เราต้องเสียสตางค์ เราเสียสตางค์ก็ชื่อว่าเพิ่มเคราะห์เข้ามา สำหรับหมอหมดเคราะห์ไป เราเสียไปให้พันบาท
       
         เรื่องการสะเดาะเคราะห์ คือเป็นการต่ออายุ แบบนี้ระวัง ระวังต้องให้พอเหมาะพอดีกับกฎของกรรม ถ้าจะทำกันให้ถูกจริงๆ ละก็ ไปหาพระที่ท่านได้ทิพยจักขุญาณ หรือว่าอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ความจริงมันก็ไม่ต่างกัน ได้ทิพยจักขุญาณอย่างเดียวเท่านั้นแหละมันก็ได้ทั้งหมด

     เมื่อท่านทราบชัดว่า กรรมเดิมมีอะไรบ้างที่จะเข้าริดรอน ท่านก็จะสอบถามว่ากฎกรรมประเภทนี้ จะต้องชดใช้ด้วยอะไร เมื่อทราบชัดท่านก็จะบอกให้ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเฉพาะพระเท่านั้นที่จะรู้ ฆราวาสที่เขารู้ก็มีถมไป ฆราวาสสมัยนี้ มีความดีจนพระควรจะอายมีเยอะ มีไม่น้อย เป็นอันว่าถ้าใช้ถูกจังหวะ ราคาก็ไม่แพง และผลก็จะได้สมความปรารถนาที่เขาจะต้องตายไป ก่อนที่เขาจะหมดอายุขัย ก็เพราะไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้

        ตานี้ เรื่องการสะเดาะเคราะห์หรือการต่ออายุก็ต้องดูกันใหม่ ดูกันไปว่าควรไม่ควรเพียงใด คนที่ถึงอายุขัยแล้วต่อไม่ไหว เมื่อพูดมาถึงตอนนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ติดตามมาทัศนาจรดูอสุรกายและ สัมภเวสีอาจสงสัยว่าหลวงตาองค์นี้ น่ากลัวจะพูดผิดเรื่องเสียแล้ว พระพุทธเจ้า ไม่เคยต่ออายุใครนี่ แล้วก็ตาเถรหัวล้านนี่มาพูดกันยังไงกัน ทำไมมาแนะนำให้ชาวบ้านต่ออายุ

อายุวัฒนกุมาร
        ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทสงสัยตอนนี้ละก็ไปเปิดพระธรรมบทดูที่บอกให้เปิดธรรมบทที่เขาลงท้ายว่าขุททกะ ขุททกนิกาย นิกายแปลว่าหมู่ ขุททกะแปลว่าเล็กๆ น้อยๆ คือเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มเป็นวิชาเกล็ด ท่านพุทธโฆษาจารย์ท่านรวมไว้อีกจุดหนึ่งแล้วไปเปิดดูเรื่องอายุวัฒนกุมาร ว่าพระพุทธเจ้าเป็นหมดดูหรือเปล่า แล้วก็พระพุทธเจ้าเป็นนักต่ออายุคนหรือเปล่า นี่นักสมถวิปัสสนา นักเข้าวัดละมักจะสวดพระสวดคนที่เขาทำสมถกรรมฐาน เจริญวิปัสสนากรรมฐาน

       ถ้าใครเขาดูด้วยอำนาจของญาณ ทำพิธีกรรมละบอกว่านอกรีตนอกรอย ทำไม่ถูก พระพุทธเจ้า สอนไว้ว่าการเป็นหมอดูเป็นไม่ได้ ทำพิธีกรรมแบบนี้ทำไม่ได้ คนเมื่อจะถึงคราวตายเป็นอำนาจกฎของกรรม ทำแล้วมันไม่ถูกนอกรีตนอกรอยนอกประเพณี นอกคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่แหละบรรดาญาติโยมคนรู้มากก็ยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ แต่ว่าคนพึ่งคลานได้นี่ซิ กลับไปด่าคนพึ่งคลานได้แบบนี้ นี่ซิ กลับไปด่าคนที่เขาวิ่งแข็งแล้วว่าทำไม่ถูก คนเกิดมาจะต้องคลานอย่างนี้ นี่ซิ มันเป็นแบบนี้ ลักษณะแบบนี้มันมีอยู่มาก อ่านหนังสือไม่ทันจะจบ

         ตานี้ถ้าไปดูเรื่องอายุวัฒนกุมาร อายุวัฒนกุมารนี่เกิดมาเป็นเด็กตัวเล็กๆ ยังไม่ ๗ ขวบ นั่งไม่ได้ จะต้องตายในระหว่างนั้น พ่อแม่ของอายุวัฒนกุมาร มีลูกเป็นคนแรก มีพราหมณ์อยู่คนหนึ่งเป็นเพื่อนกัน พราหมณ์คนนี้ แกได้ทิพยจักขุญาณ แกได้ญาณต่าง ๆ มีอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ก็ว่ากันไปตามเรื่อง แต่ว่ากำลังญาณ กำลังญาณของแกยังอ่อนกว่าพระพุทธเจ้า แกรู้ตัวว่าแกสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ แกก็ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าดีกว่าแก
 
          สองคนตายายพ่อแม่ของเด็กอายุวัฒนกุมารคนนี้ ทราบข่าวว่าเพื่อนฤาษีคนนี้เข้ามาในเขตของเมือง ก็พากันไปหา เพราะเป็นเพื่อนกันมาก่อน เมื่อคุยกันด้วยดีพอสมควรแก่เวลา ท่านพ่อก็ส่งลูกให้แก่แม่ กราบลาเพื่อนกลับ
 
          เพื่อนก็บอกว่าท่านจงมีอายุยืนยาว ทีฆายุโก โหตุ นะ ภาษาบาลี นึกจะไม่พูดให้ฟัง เพราะภาษาบาลีมันขัดคอคนฟัง ทีฆายุโก โหตุ ท่านจงมีอายุยืนยาวเถิด ตานี้เมื่อท่านพ่อกราบลาแล้ว ท่านแม่ก็ส่งลูกให้ท่านพ่อ
 
        ท่านแม่กราบบ้าง ท่านพราหมณ์ก็ว่าอย่างนั้น ว่า ขอให้ท่านเป็นผู้มีอายุยืนยาว
        อีตอนหลัง ก็จับลูกของเขาให้กราบ ลุงพราหมณ์คนนี้แกนิ่งเฉย แกไม่พูดแบบนั้น ท่านพ่อท่านแม่แกก็สงสัยว่า เอ๊ะ ! นี่เรากราบเพื่อนของเรา บอกว่าจงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่ว่าเวลาที่เราให้ลูกชายของเรากราบ เอาละซีเพื่อนนิ่งเสีย สงสัย
 
        ถามว่าเวลาที่ผมกับเมียกราบท่าน ลาท่าน ท่านบอกว่าจงเป็นผู้มีอายุยืนยาวแต่เวลาที่ให้ลูกกราบทำไมจึงนิ่งเฉย ๆ ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า ก็ลูกของแกอายุมันไม่ยาวนี่ จะต้องตายภายใน ๗ วัน ถ้าหากว่าฉันพูดแบบนั้นฉันก็พูดผิดน่ะซิ ไม่ได้แล้ว ฉันไม่พูด เขาก็เลยถามว่า ท่านรู้วิธีแก้ไหม
 
       ท่านพราหมณ์ก็เลยบอกว่าไอ้รู้ว่าจะตายน่ะรู้ แต่วิธีแก้น่ะ ไม่รู้หรอก คนที่รู้วิธีแก้มีอยู่คนเดียว คือรู้วิธีแก้ไม่ผิด คือพระสมณโคดม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าท่านต้องการจะแก้ไม่ให้ลูกของท่านตายละก็ไปหาพระสมณโคดมเถิด ท่านแก้ได้ นี่คนโบราณที่เขาดีจริง ๆ น่ะเขาดี เขาไม่ได้ทะนงตัวนะ ว่าเขาดีแค่นี้ละก้อไม่มีคนดีกว่าเขา ไม่เหมือนบรรดาอาจารย์สมัยปัจจุบัน หวงลูกศิษย์กันนัก ลูกศิษย์ของตัวจะไปหาใครละบอกว่าอย่าเชียวนะ อย่า มาหาฉันแล้วจะไปหาคนอื่นไม่ได้นะ รดน้ำมนต์จากฉันแล้วอย่าไปให้คนอื่นรดเชียวนะ มาเป็นลูกศิษย์ฉันแล้ว อย่าไปเป็นลูกศิษย์คนอื่นเดี๋ยวจะพากันเลอะเทอะ ไม่ได้ของฉันเป็นผู้วิเศษ ดีไม่ดี เป่าขม่อมไปให้แล้วละก้อ อย่าไปให้ใครเป่าทับเชียวนะ ถ้าใครเขาเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ละก็อย่าเชียวแน่ะ เอาเข้ายังนั้น พรรคพวกเรามันเป็นยังงี้นะโยมนะ พรรคพวกเราเป็นแบบนี้อยู่เสมอ ที่ดีท่านก็มี ที่เป็นประเภทนี้ก็มีมาก

    ตานี้เมื่อพราหมณ์ ๒ ตายายพ่อแม่ของเด็กทราบว่า เด็กจะตายใน ๗ วัน ก็ตกใจ เพราะเป็นลูกคนแรก ลูกผู้ชายเสียด้วย ออกจากสำนักของพราหมณ์เพื่อนที่แนะนำก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอไปถึงสำนักของพระพุทธเจ้า ก็ทำแบบนั้นแหละ เวลาลากลับพระพุทธเจ้าก็พูดเหมือนกับพราหมณ์ อีตอนลูกชายลาท่านก็เฉยเสีย พราหมณ์ก็ถาม ท่านก็บอกว่าลูกชายคนนี้จะตายภายใน ๗ วัน เขาก็ถามว่าทำยังไงจึงจะแก้ไขไม่ให้ตายได้เล่าพระพุทธเจ้าข้า
 
         พระพุทธเจ้าบอกว่าได้ ถ้าต้องการแบบนั้นได้ เพราะกรรมประเภทนี้เป็นอุปฆาตกรรม ไม่ใช่อายุขัย ถ้าอายุขัยตถาคตก็แก้ไม่ได้ คือเป็นกรรมที่เข้ามาแทรกระหว่างกลาง ซึ่งผลของความดีเด็กนี้ยังมีอยู่มาก ถ้าไม่ตายก่อน จะได้เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา แล้วจะมีอายุถึง ๑๒๐ ปี แต่อาศัยเวลานี้ กรรมที่เป็นอกุศลเข้ามาริดรอน จึงเป็นเหตุให้เด็กคนนี้จะต้องตายใน ๗ วัน เมื่อเขาทราบชัดก็ถามสมเด็จพระทรงธรรมว่า ทำยังไงจึงจะไม่ให้เด็กตายพระพุทธเจ้าข้า
 
       ท่านก็ตรัสแนะว่า พราหมณ์กลับไปบ้านไปทำโรงพิธีเข้าแล้วก็นิมนต์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปนั่ง ล้อมเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน เมื่อทำได้อย่างนี้ละก็ลูกของท่านจะพ้นจากความตายไอ้เรื่องกลัวเปลืองไม่มีสำหรับคนที่ลูกจะตาย ก็เลยทำตามสั่ง ไปถึงก็ทำโรงพิธีเข้า นิมนต์พระไป พระสมัยนั้นมีมาก ไปนั่งล้อมกันไม่ต้องให้สายสิญจน์ เมื่อล้อมกันแล้วก็เจริญพระปริตร สวดบ้างไม่สวดบ้าง แต่ก็นั่งล้อมกันแบบนั้น พระมาสับเปลี่ยนกันไป ไม่ใช่ไปชุดเดียวแล้วนั่งเจ็ดวันเจ็ดคืน มันคงแย่เหมือนกัน

       พอถึงวันที่เจ็ดปรากฏว่าพระพุทธเจ้าเสด็จเอง แล้วเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมก็มา เทวดาก็มา แล้วคนที่จะเอาชีวิตของเด็กก็เป็นยักษ์ธรรมดา ๆ เป็นลูกน้องของท้าวเวสสุวัณณ์ อีตอนนี้เอง ในเมื่อเจ้านายชั้นผู้ใหญ่มา พลทหารก็ต้องไปยืนสุดกู่ องค์สมเด็จพระบรมครูก็นั่งอยู่จนครบรอบของวันที่ ๗ คือเริ่มต้นของวันท่านก็ไปนั่งจนที่สุดของวันคืออรุณใหม่ เพราะว่ายักษ์ตนนี้ได้รับพรจากท้าวเวสสุวัณณ์ว่าจะมาเอาขีวิตของเด็กคนนี้ ได้ภายใน ๗ วัน ถ้าเลย ๗ วันแล้วไม่มีโอกาส ฉะนั้น เมื่อแกมาคอยอยู่ ๖ วันแล้วพระก็นั่งล้อมรอบอยู่แบบนั้น แกก็เข้าไม่ได้ ได้แต่ตั้งท่าว่าพระเผลอเมื่อไรจะเอาเมื่อนั้น
 
        แต่พอวันที่ ๗ วันสุดท้ายแกตั้งใจว่า วันนี้จะต้องเอาชีวิตเด็กคนนี้ให้ได้ ให้มันตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะอะไร ? เพราะกรรมเดิมสร้างไว้มาก ที่เป็นปาณาติบาต แล้วความดีก็มีแยะ ในเมื่อเห็นท่าเอาไม่ได้แน่แล้วก็ต้องตั้งท่าให้พระเผลอ พระพุทธเจ้าเสด็จเสียเอง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมลงมา ตายักษ์คนนี้แกก็ถอยหลังลงไปพ้นเขตพรหม เทวดาลงมาแกมีบุญน้อยกว่าแกก็ถอยหลังออกไป ในที่สุดแกต้องไปนั่งอยู่ขอบจักรวาล เพราะพรหมและเทวดามาก มีปริมาณมากแล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงนั่งเสียหมดเวลา เป็นอันว่าเด็กคนนั้นไม่ต้องตายเกินเวลาเจ็ดวันยักษ์ทำอันตรายไม่ได้


การทำบุญให้สัมภเวสี
        นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ติดตามรับฟังและติดตามทัศนาจรในภพ ต่าง ๆ กลับมาภพมนุษย์ด้วยกัน ทราบไว้ว่ากรรมที่เป็นอุปฆาตกรรม คือบรรดาสัมภเวสีพวกนี้ ที่เดินอยู่ข้างหน้า เดินเกลื่อนไปเกลื่อนมา มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนธรรมดา
 
       เวลาที่เขาตาย เวลาที่ตายแต่งตัวแบบไหนนุ่งผ้าประเภทไหนก็แต่งตัวแบบนั้น แล้วก็สำรวยต่าง ๆ ท่าทางแข็งแรง แต่ดูเหมือนว่ามีความกังวลอยู่อย่างหนึ่ง คือมีความทุกข์ใจไม่รู้จะเกิดที่ไหน ไม่รู้จะพักผ่อนที่ไหนได้แน่นอน บรรดาสัมภเวสีพวกนี้มีความลำบาก นี่ถ้าหากว่าบรรดาเขารู้ในด้านการตัดอุปฆาตกรรม เสียได้แล้วละก็เขาจะมีความสุขมากเอาละ
 
       บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องนี้รับฟังไว้แล้วก็ควรจะฟังต่อสักนิดว่า ถ้าญาติของเราตาย ตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือไม่สิ้นอายุ ฟ้าผ่าตาย สุนัขกัดตาย มดกัดตาย ยุงกัดตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกยิงตาย รถชนตาย แต่ก็ไม่แน่นักนะ บรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี
แต่เผื่อเหนี่ยวไว้ก่อน สมมุติว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก
 
- ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป
- เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร
- เอาพระพุทธรูปมา ๑ องค์
- นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน

 
         ทำเงียบๆ อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง อย่าทุบแม้แต่ไข่สักหนึ่งฟอง เมื่อทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด
 
        ถ้าทำอย่างนี้ละท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบเมื่อเข้าถึงอายุขัย เมื่อใดก็เป็นอันว่าพวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน
     
    สำหรับท่านอายุวัฒนะกุมารนั้น ปรากฏว่าเมื่อพ้นจากตอนนั้นมาแล้ว ถึงเวลาอายุ ๗ ขวบท่านก็เป็นสามเณร บวชเณร แล้วก็ได้อรหัตผลอยู่มาได้อายุ ๑๒๐ ปี ตรงตามที่องค์สมเด็จพระมหามุนีทรงตรัส

         เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท วันนี้ท่องเที่ยวชมกันเท่านี้ก็พอนะ เพราะเวลามันหมด เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ของสถานีเขาจะว่าเอา เกินเวลาเขาเสมอ เป็นอันว่าวันนี้พักอยู่แดนของอสุรกายอยู่สัก ๗ วัน พอครบ ๗ วันแล้วเดินกันใหม่นะ คราวนี้เดินเข้าไปหาดินแดนของสัตว์เดียรัจฉานและมนุษย์

         เอาละนี่มันก็หมดเวลาแล้วนี่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ก็นอนพักกันเสียก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี.



ที่มา   ไตรภูมิพระร่วง คำเทศนาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ  จากเว็บพุทธภูมิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 16, 2012, 08:54:00 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ