สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

กรรมฐาน มัชฌิมา => เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ เมษายน 24, 2015, 08:40:49 pm



หัวข้อ: หนีกรุงไปสองแควขึ้นฝั่งลำนํ้าน่าน..นมัสการหลวงพ่อใหญ่ จ.พิษณุโลก
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ เมษายน 24, 2015, 08:40:49 pm
 
(https://scontent-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-9/11169826_1573113142966976_5750786411689770189_n.jpg?oh=7870ea189a2dec172c8b735a0e436136&oe=55DD5B1E)

หนีกรุงไปสองแควขึ้นฝั่งลำนํ้าน่าน...

ก่อนอื่น ต้องออกตัวก่อนว่า ผมไม่มีพื้นที่คอลัมน์พอจะพาไปไหว้พระทั้ง 3 วัด ก็เลยขอเลือกพาไปเพียงที่เดียว คือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก ที่คนพื้นที่เรียกกันติดปากว่า “วัดใหญ่”

หนีกรุงไปสองแควขึ้นฝั่งลำนํ้าน่าน..นมัสการหลวงพ่อใหญ่ จ.พิษณุโลก

พงศาวดารฝ่ายเหนือบันทึกไว้...ในคราวออกผนวช พระยาลิไทยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง ทรงชำระพระไตรปิฎก รวมไปถึงนิพนธ์หนังสือ “ไตรภูมิพระร่วง” อันทรงคุณค่า และด้วยความที่ตั้งมั่นอยู่ในธรรมดังที่กล่าวมา ประชาชนจึงขนานนามกษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัยในราชวงศ์พระร่วงพระองค์นี้ในอีกพระนามว่า “พระมหาธรรมราชา” หรือ “มหาราชาผู้ทร'ธรรม”

หลังขยายพระราชอาณาเขตจนเป็นปึกแผ่น พระองค์ก็มีดำริจะสร้างเมืองพิษณุโลก อันเป็นเมืองลูกหลวงขึ้นบริเวณตำบลสองแคว ทรงโปรดให้สร้างวัดขึ้นไปพร้อม ๆ กับการสร้างเมืองที่ริมแม่นํ้าน่านฝั่งตะวันออก มีการระดมช่างฝีมือจากทั่วสารทิศทำการหล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ คือ พระพุทธชินสีห์แห่งวัดสุทัศนเทพวรารามฯ พระศรีศาสดาแห่งวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และพระพุทธชินราชแห่งวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ถือเป็นสามสุดยอดพระพุทธรูปแห่งแผ่นดินไทย


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t1.0-9/13421_1573113259633631_7356420603160665258_n.jpg?oh=69211679c397e42a57b874fa97b14938&oe=559B0131&__gda__=1436505053_30c0b370df696555ea7f9a1b1f1e5e1a)

หนีอุณหภูมิร้อน ๆ ตอนซัมเมอร์ไปไหว้พระกันครับ ก่อนอื่น ต้องออกตัวก่อนว่า ผมไม่มีพื้นที่คอลัมน์พอจะพาไปไหว้พระทั้ง 3 วัด ก็เลยขอเลือกพาไปเพียงที่เดียว คือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก ที่คนพื้นที่เรียกกันติดปากว่า “วัดใหญ่” อันเป็นสถานที่ประดิษฐานของ “พระพุทธชินราช” หรือ “หลวงพ่อใหญ่” ที่ใคร ๆ ยกให้เป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดในโลก คนไหนช่างสังเกตจะเห็นว่าซุ้มเรือนแก้วรอบองค์พระนั้นถือเป็นต้นแบบในการสร้างพระเครื่อง รวมถึงหล่อพระในยุคต่อ ๆ มา แสดงถึงฝีมือเชิงช่างสมัยสุโขทัยที่ยืนยงมาจนปัจจุบัน

มาเริ่มกันที่เรื่องราวของการหล่อองค์พระกันก่อน รับรองว่าแค่อินโทรก็สนุก ตำนานเล่าว่า ตอนเททองสร้างพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ทั้งพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาต่างสำเร็จเรียบร้อยดีจะมีก็แต่องค์พระพุทธชินราชที่เททองไม่ติด คือ ทองกลับแล่นไม่ตลอดองค์พระ เมื่อเป็นดังนี้ พระมหาธรรมราชาจึงได้ตั้งสัตยาธิษฐาน ร้อนไปถึงพระอินทร์ต้องแปลงร่างเป็นตาปะขาวลงมาช่วยจนสำเร็จ เมื่อพระองค์ถามหาตาปะขาวก็พบว่าได้เดินหายไปทางทิศเหนือเสียแล้ว ซึ่งบริเวณที่ตาปะขาวเดินหายไปก็ถูกเรียกว่า “ชุมชนตาปะขาวหาย” เช่นเดียวกับวัดเล็ก ๆ ที่ถูกเรียกว่า “วัดตาปะขาวหาย”


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfp1/v/t1.0-9/22111_1573113226300301_6322166216580446366_n.jpg?oh=74b83fb45f115370539d5526a88c85ef&oe=55A1175F&__gda__=1436838494_e1ecf31c39fce513568e4d5786c43661)

เมื่อสร้างพระพุทธรูปทั้ง 3 สำเร็จไปตามพระราชประสงค์ พระมหาธรรมราชาก็รับสั่งให้นำทองที่เหลือมาหล่อเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดเล็กราว 1 ศอก อันเรียกว่า “พระเหลือ” แต่ก็ยังคงมีทองเหลืออยู่ จึงได้หล่อพระสาวกเพิ่มอีก 2 องค์ คือ พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร ซึ่งใครเดินเข้าจากทางหน้าวัด ศาลาพระเหลือก็จะอยู่ทางขวามือ

จากศาลาพระเหลือเราจะเห็นองค์พระพุทธชินราชอยู่ในพระวิหาร แต่ยังไม่ต้องรีบร้อนเข้าไปนะครับ ต้องเรียนว่าภายในวิหารไม่ให้จุดธูปแล้วก็ปิดทอง แต่มีองค์จำลองอยู่ด้านหน้าให้แทน เราสามารถเดินไปบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ได้ตามกำลังศรัทธา ใครจะเติมนํ้ามันตะเกียงก็มีให้ และทางซ้ายจะเห็น “กลองอินทรเภรี” ที่แปลความตามศัพท์ได้ว่า “กลองของพระอินทร์” จะมีคนมาตียํ่าบอกเวลาทุก ๆ ชั่วโมง อันนี้ห้ามขึ้นไปตีเล่น

หลังจากไหว้พระปิดทองด้านนอกก็ได้เวลาเดินเข้าไปชมองค์จริงด้านใน เชื่อเลยว่า ใครเดินผ่านประตูเข้าไปเห็นองค์พระพุทธชินราชครั้งแรกก็ต้องตะลึงในความงามของพระพุทธชินราชกันทั้งนั้นนอกจากองค์พระจะสวยหาที่ติไม่ได้แล้ว ผนังและเพดานของพระวิหารก็สวยจนยากที่จะละสายตาเช่นกันครับ แต่ก่อนก้าวเข้าไปในวิหารหลวง ผมแนะนำให้สังเกตประตูที่กำลังจะเดินเข้าไปนั่นแหละครับ เป็นประตูประดับมุกโบราณที่เก่าแก่และอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก เป็นอะไรที่ไม่น่ามองข้ามคือ มาวัดต้องมองช้า ๆ ไม่ต้องรีบร้อน อย่างลวดลายบนฝาผนังรอบ ๆ ก็เป็นอะไรที่เดินดูได้นาน


(https://scontent-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xtf1/v/t1.0-9/10365894_1573113316300292_269331641972625734_n.jpg?oh=6f0669163ac3508b33eadd04d56f7196&oe=55DE655B)

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/11156206_1573113596300264_2617211310961589291_n.jpg?oh=3c412f188a8e8df316dfc6c14a6b8b3a&oe=55E18514&__gda__=1439744045_94eba26427d37a4d435dd28e8b38836b)

แจ้งนิดนึงว่า เค้าไม่อนุญาตให้ยืนเพื่อถ่ายรูปภายในอุโบสถซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะเมื่อเป็นแบบนี้ จะทำให้ไม่มีการยืนบังคนข้างหลัง การเข้ามานั่งข้างในต่อหน้าพระพุทธชินราช แค่นี้ผมก็ว่าคุ้มค่าที่จะเดินทางมาแล้ว

จำได้ว่าเคยพาอาจารย์ที่ปรึกษาจากเชียงใหม่มาที่วัดแกชอบมากครับ นั่งมองพระพุทธชินราชพักใหญ่ ก่อนนั่งสมาธิอยู่ตรงนั้นอีกร่วมครึ่งชั่วโมง ตอนเดินออกมาสีหน้าอาจารย์ดูอิ่มเอมมาก บอกว่าไม่เคยเห็นพระที่ไหนสวยงามขนาดนี้มาก่อน ถ้าใครไปจะไปนั่งสวดมนต์หรือนั่งสมาธิผมว่าเป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน หลบแดดข้างนอกเข้าข้างใน ได้นั่งต่อหน้าองค์พระ เย็นทั้งกายเย็นทั้งใจสบายดี

เบื้องขวาขององค์พระมีรูปหล่อขององค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ รวมถึง พระสุพรรณกัลยา ตรงนี้มีช้างเสี่ยงทายที่หากใครสามารถยกช้างด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียวก็ถือว่าคำขอนั้นจะเป็นจริง โดยมีข้อแม้ว่าผู้ชายให้ยกด้วยนิ้วก้อย ส่วนผู้หญิงให้ยกด้วยนิ้วนางอธิษฐานช้า ๆ รวบรวมสมาธิให้ดีนะครับ หนักไม่น้อยเชียวละ


(https://scontent-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xpa1/v/t1.0-9/11038870_1573113526300271_387904949296824809_n.jpg?oh=a0e77cea56e685e9a4f10de2ebdc1fb0&oe=55E10421)

รอบ ๆ วิหารหลวงเป็นระเบียงคด ตลอดทางเดินมีพระพุทธรูปตั้งเรียงรายอยู่มากมาย เชื่อว่าต้องถูกใจคนชอบถ่ายรูปแน่นอน เพราะมีมุมให้เล่นเยอะไปหมด จะเลนส์ฟิก เลนส์เทเล หรือเลนส์ฟิชอาย รับรองว่าได้หยิบมาใช้ครบจริง ๆ แล้วต่อให้ไม่มีอุปกรณ์มากมาย แค่กล้องโทรศัพท์ก็เหลือเฟือ

(https://scontent-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xpa1/v/t1.0-9/11059590_1573113409633616_141954237910481630_n.jpg?oh=986344f3a9b4ed87ae497fa8eda35341&oe=55D4E790)

และถ้าเดินไปหลังวัด จะพบพระพุทธรูปปางห้ามญาติองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง เรียกว่า “พระอัฏฐารส” จริง ๆ แล้วตรงนี้เคยเป็นวิหารใหญ่ แต่เวลาก็ได้ทำให้ผุพังไปจนเหลือแต่องค์พระ นอกจากนี้ยังมี “วิหารพระเจ้าเข้านิพพาน” ภายในมีหีบพระบรมศพจำลองของพระพุทธเจ้ามีพระมหากัสปเถระนั่งนมัสการพระบรมศพ เป็นโบราณวัตถุในสมัยอยุธยาซึ่งมีที่นี่เพียงแห่งเดียว

ออกจากวิหารพระเจ้าเข้านิพพานแล้ว หิวไม่ต้องไปไหนไกลทั่วบริเวณวัดมีร้านอาหาร ร้ านขายของฝากของที่ระลึกหลายสิบร้าน เช่นเดียวกับมีแผงสำหรับคอเสี่ยงโชค เรียกว่าไหว้พระขอพรเสร็จก็ออกมาลุ้นโชคต่อได้ทันที ถ้าออกไปหน้าวัดจะเจอบันไดเลียบแม่นํ้าน่าน มีต้นไม้ใหญ่เยอะมากเดินไปนั่งรับลมเย็น ๆ ได้สบาย ๆ และตรงนี้ก็เป็นจุดจัดเทศกาลแข่งเรือซึ่งยิ่งใหญ่ไม่แพ้ที่ใด ผมเคยมาครั้งนึงได้ฟังเสียงโฆษกแล้วก็ไม่รู้ว่าเอาพลังมาจากไหนเหมือนกัน พากย์มันกว่าคนพายในแม่นํ้าซะอีก

ผมถ่ายรูปอยู่ในวัดนานมาก ๆ ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งสบายใจเห็นคนพื้นที่และนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าออกกันไม่ขาดรู้สึกดีจริง ๆ ครับ


(https://scontent-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xpf1/v/t1.0-9/11043535_1573113469633610_2460479804115165448_n.jpg?oh=2fc05422bc473c10ae31109f33516649&oe=55DD9804)

ในฤดูร้อนแดดแรง ๆ แฟนหนีกรุงคนไหนนึกเบื่อทะเลขึ้นมา ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาเข้าวัดก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ และถ้าเดินทางมา จ.พิษณุโลก ก็ห้ามพลาดที่จะมายังวัดนี้นะครับ และเมื่อค้นข้อมูลลึกลงไป ผมก็ได้รู้ว่า หลังองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จกลับจากหงสาวดีมายังพิษณุโลก ได้ทรงเปลื้องเครื่องทรงบูชาถวายพระพุทธชินราช และถ้านับจาก พ.ศ. 1900 อันเป็นปีที่ทำการหล่อองค์พระได้สำเร็จ ปัจจุบันพระพุทธชินราชก็ได้ประดิษฐานอยู่คู่เมืองพิษณุโลกมากว่า 658 ปีแล้ว

ฝีมือเชิงช่างแผ่นดินสุโขทัยได้ส่งมอบความงดงามแห่งศรัทธาสู่อยุธยาและธนบุรี ต่อเนื่องมายังกรุงรัตนโกสินทร์ ถือเป็นความสงบเย็นที่อยู่คู่แผ่นดินไทยอย่างที่ยากจะหาบ้านใดเมืองใดเสมอเหมือน.


(https://scontent-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xpt1/v/t1.0-9/11129688_1573113576300266_6525607799663148491_n.jpg?oh=f4e2df1deb6de2019f2c40ee04ea8b98&oe=55CEAABC)


เรื่อง : รัฐรงค์ ศรีเลิศ, กรกฤษณ์ พิณศรีสุข
ภาพ กองบรรณาธิการนิตยสารหนีกรุง
www. facebook.com/neekrungmagazine
http://www.dailynews.co.th/article/316380 (http://www.dailynews.co.th/article/316380)