ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - doremon
หน้า: 1 2 [3] 4 5
81  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / การภาวนา พุทโธ ถ้าเปลี่ยนเป็น ยุบหนอ พองหนอ จะได้หีรืิอไม่ ? เมื่อ: กันยายน 24, 2011, 08:05:17 am
คืออยากทราบว่า ถ้าเราต้องภาวนา พุทโธ ที่ฐานจิต แต่เราเปลี่ยนคำว่า พุทโธ เป็นยุบหนอ พองหนอ จะได้หรือไม่ครับ เพราะรู้สึกว่าจะชินแบบเก่าอยู่ครับ ดูยุบหนอ พองหนอ อยู่ครับ

  :13:
82  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: เชิญร่วมสมทบทุนเททองหล่อพระสังกัจจายน์-พระอุปคุตเถร วัดราชสิทธารม คณะ 5 เมื่อ: กันยายน 06, 2011, 07:34:36 am
ขอบคุณกับภาพที่นำมาให้ชม ครับ

ชื่นใจจริง ๆ ครับ

 :25:
83  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ฮือฮา'เมรุสีชมพู'วัดดังกรุงเก่าหวาน สมภารชี้ ลดเศร้า เลิกกลัว เมื่อ: สิงหาคม 28, 2011, 07:14:13 am
ท่านคงต้องการแฝคติธรรม ไว้ที่เมรุ นะครับ

 คิดดูแค่สีชมพู ดูหวานแหวว

 ปกติ คนตาย ก็จะนำใส่ โลงทองกัน อันนี้ก็วิจิตรตระการตา ก็เพื่อให้คนได้ไมรู้สึกกลัวไม่ใช่หรือครับ

อีกทั้งประดับประดาดอกไม้ เข้าไปอีก

 
84  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: กบฟุ้งซ่าน....ข้างกำแพงวัด เมื่อ: สิงหาคม 28, 2011, 07:11:57 am
เป็นเรื่อง ที่อ่าน แล้ว สามารถ สรุป จบลงตัวได้เวลา ที่เรายับยั้งความคิดไม่ได้ ทำให้สติ ของเราเตลิดไปเรื่อยเปื่อยก็น่าจะไม่ต่าง จาก กบ ตัวหนึ่ง ที่ฟุ้งซ่าน

   เหมือนที่ไม่รู้จัก ตัวเอง และ ไม่รู้จัก ความจริง และ ความสามารถ ของ กบ

   ที่นี้ คำว่า กบ เป็นคำที่มนุษย์ เรียก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดนี้ ก็ตามเสียงร้องของมัน

   กบ ในสายตาของมนุษย์ ก็เป็นเพียงสัตว์ที่ไม่มีกำลัง และ ใช้ชีวิตอยู่แต่ เปือกโคลนตม เป็นอาหาร

   เวลาใครทำอะไรแบบไม่รู้ประโยชน์ หรือ อ่อนต่อโลก เราก็มักจะใช้คำว่า กบในกะลา


 เฮ้อ เป็นกบ ก็น่ากลุ้มเหมือนกัน นะครับ

  :58:

สาธุ กับเรื่องนำเสนอ ด้วยครับ

85  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความเชื่อที่ว่า ยุคนี้ไม่มีบุคคลผู้เป็น พระสาวกภูมิ แล้ว เมื่อ: สิงหาคม 11, 2011, 08:54:08 am
คือได้สนทนา กับ ผู้ปฏิบัติในสายมหายาน ล้วนแล้วแสดงความเห้นว่า ยุคนี้ เกินกว่า 2500 ปีแล้ว ไม่ใช่ยุคสาวกภูมิแล้ว ไม่มีบุคคลใดเป็นสาวกภูมิ แล้ว เป็นยุคการสร้างบารมี เพื่อไปร่วมบรรลุธรรม กับพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ดังน้น ทางผู้ผมสนทนาด้วย จึงตอบว่่า มหายาน จึงเน้นเรื่องการบำเพ็ญบารมี มากกว่า ที่จะเพื่อการบรรลุธรรม

  สำหรับเรื่องนี้ เราชาวกรรมฐาน มีความเห็นอย่างไรต่อการภาวนา ที่บรรลุเป็น สาวกภูมิ บ้างครับหรือให้เชื่อตามพระสูตร อันมีในจักรวรรดิสูตร เลยครับ ว่าไม่มีแล้ว เป็นไปไม่ได้

 อยากฟังความคิดเห้นของทุกท่านครับ

  :c017: :49:
86  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: หากมีผู้กล่าว บทกวี สมาธิ อย่างนี้ ทุกท่านมีความเห็นอย่างไร ? เมื่อ: สิงหาคม 11, 2011, 08:47:44 am
ได้ความรู้จาก การแสดงความเห็นหลายอย่างเลยครับ แสดงถึงภูมิธรรมความเข้าใจของสมาชิกที่นี่ ว่ามีการภาวนากันอย่างดีครับ ติดตามความเห็น และ กระทู้ทุกวันครับ

 อนุโมทนา กับทุกท่านด้วยนะครับ ที่มา join comment

 :25: :25: :25:
87  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / นิยามของสัมปชัญญะ เมื่อ: สิงหาคม 10, 2011, 07:29:48 am
นิยามของสัมปชัญญะ
ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานนั้น ความหมายของสัมปชัญญะคือความรู้ตัวอยู่เสมอ หรือความไม่เผลอตัว

ส่วน ความหมายของสัมปชัญญะในทางธรรมนั้นมีความแตกต่างออกไปบ้าง โดยเฉพาะในแง่ของความรู้ชัดและรู้ต่อเนื่อง ดังจะยกคำจำแนกอธิบายตามพระอภิธรรมปิฎกเล่ม 1 และเล่ม 2 ซึ่งเกี่ยวกับการแจกแจงบรรพนี้โดยตรงมาแสดง

สัมปชัญญะเป็นไฉน? ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม ความกำหนดหมาย ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะที่รู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะที่รู้ละเอียด ความรู้แจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญ ปัญญาเหมือนแผ่นดิน ปัญญาเครื่องทำลายกิเลส ปัญญาเครื่องนำทาง ความเห็นแจ้ง ความรู้ชัด ปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญพละ ปัญญาเหมือนศาตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคือปัญญา แสงสว่างคือ ปัญญา ปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิอันใด นี้ชื่อว่าสัมปชัญญะมีในสมัยนั้น


ข้อสังเกตคือในมหาสติ ปัฏฐานสูตรนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าการรู้อิริยาบถย่อยจัดเป็นสัมปชัญญะ ซึ่งมองในมุมของผู้เริ่มปฏิบัติภาวนาแล้ว อาจเห็นทั้งในแง่ของการใช้อิริยาบถย่อยเป็นตัวสร้างสัมปชัญญะ และทั้งในแง่ของการ "รู้ทัน" อิริยาบถย่อยตามจริงเป็นเกณฑ์ประเมินว่ามีสัมปชัญญะตามธรรมชาติแล้วหรือยัง สำหรับบทนี้จะเน้นในแง่ของการสร้างสัมปชัญญะด้วยวิธีฝึกทั้งตามลำดับขั้นและ วิธีกำหนดรู้ตามจริง

ไม่ว่าจะมองตามภาษาชาวบ้านหรือภาษาพระ อย่างน้อยที่สุดคุณสมบัติของสัมปชัญญะคือต้องมีความ "ชัดเจน" และ "ต่อเนื่อง" ซึ่งไม่ใช่ความต่อเนื่องชนิดตลอด 24 ชั่วโมงไม่ขาดสาย แต่เป็นความต่อเนื่องสักครู่หนึ่งพอให้รู้ชัดในความเป็นเช่นนั้น ขาดไปหน่อยแล้วกลับมาต่ออีก

ตัว "คุณสมบัติ" ของการรู้ตัวเป็นเรื่องน่าพูดถึงอย่างที่สุด แม้ว่าจะรู้ตัวได้ต่อเนื่องจริงสักสิบนาทีไม่พลาดเลย แต่ถ้าต้องฝืนจิตฝืนใจ หรือเกิดอาการเพ่งเกร็งเกินกำลัง อันนั้นก็ไม่นับเป็นสัมปชัญญะชนิดที่จะก่อให้เกิดปัญญาหรือความสว่างใดๆ ตรงข้ามอาจเกิดผลให้จิตยิ่งมืดมัว คลุมหนักไปด้วยโมหะยิ่งกว่าเดิม

สรุป ว่าโดยนิยามของสัมปชัญญะในสัมปชัญญบรรพนี้ เราตั้งเข็มทิศไว้คือรู้อิริยาบถปลีกย่อยต่างๆให้ชัดเจนต่อเนื่อง ยิ่งชัดนานต้องยิ่งเบา ยิ่งนิ่มนวล ยิ่งสว่าง ไม่ใช่ชัดนานแล้วหนักอึ้งหรือมืดทึบไป

อีกประการหนึ่ง ผู้ภาวนาบางรายจะเข้าใจว่าคุณภาพของจิตชนิดเยี่ยมยอดในความมีสัมปชัญญะนั้น จะต้องไร้ร่องรอยความคิดเจือปน ความจริงแล้วหลักไมล์แรกที่ควรไปให้ถึงหาใช่ "ความไม่คิด" แต่ควรไปให้ถึงความ "ขยับเมื่อไหร่รู้เมื่อนั้น" คือขยับอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วรู้ทันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่จงใจขยับช้าหรือเร็วกว่าปกติ สิ่งเดียวที่เร็วกว่าปกติคืออาการไหวรู้ของจิตอันสัมพันธ์ตรงกับความเคลื่อน ตัวแห่งองคาพยพตลอดกาย




ขอบคุณภาพประกอบจาก http://i116.photobucket.com
88  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / การนั่งหลับตา เป็น สมาธิ กับ การนั่งลืมตา เป็น สมาธิ เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2011, 07:56:39 am
การนั่งหลับตา เป็น สมาธิ กับ การนั่งลืมตา เป็น สมาธิ

อย่างไหน จะเป็น สมาธิ ได้ก่อนกัน

การลืมตา จะเป็น สมาธิ ได้หรือไม่

การหลับตา จะเป็น สมาธิ ได้จริงหรือ

ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ

 เพราะเพื่อน ๆ ที่ภาวนาด้วยกัน บอกว่า ลืมตาดีกว่า บางท่านก็กล่าวว่า หลับตาดีกว่า
ส่วนตัวผมเอง ทั้งลืมตา และ หลับตา ก็ยังไม่เป็นสมาธิ ครับ สัก 5 นาที ก็แย่แล้วครับ

 :smiley_confused1: :'(
89  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: รายการ RDN ช่วงนี้ไม่ได้ยินเสียงครับ เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2011, 11:40:27 pm
เว็บมาสเตอร์ ขยัน อัพเดท ทุกวันเลยนะครับ

 :s_good:
90  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: บัวสี่เหล่า ย่อมมีอีกหลายสรรพสัตว์ ไม่สามารถเติบโตในกระแสธรรม เมื่อ: มิถุนายน 28, 2011, 09:38:55 pm
อนุโมทนา กับเนื้อเรื่องที่นำเสนอให้อ่านได้เพิ่ม มีสาระ ทำให้รู้สึกกลับมาพิจารณาตัวเองเพิ่มเติมแล้วครับว่า

อันที่จริงเราเป็นบัวเหล่านั้นแน่หนอ เคยหลงตนเองว่าเป็นบัวที่กำลังพ้นน้ำ พอได้อ่านแล้ว อาจจะเป็นเหยื่อปลา

และเต่า อาจจะไม่งอกเงย อ่านแล้วรู้สึกไม่อยากทำความประมาทต่อไปแล้วครับ

สาธุ ครับกับเรื่องนี้

 :25:
91  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ‘แพลงกิ้ง’ ปรากฏการณ์ฮิต+ฮอต+งง แฟชั่นสำแดงตัวตนบนโลกเสมือน เมื่อ: มิถุนายน 23, 2011, 08:47:36 am






คงไม่ใช่เรื่อง ที่น่าแปลกใจอะไร ที่ใครจะแชร์ภาพถ่ายของตนเองและเพื่อนๆ บนอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม อย่างพวกเฟซบุ๊ก ทวิตเทอร์ ฯลฯ และภาพถ่ายเหล่านั้นโดยมากก็จะเป็นภาพที่เจ้าของภาพคิดว่าตนเองดูดี หรือไม่ก็เป็นภาพที่เก็บช่วงเวลาแห่งความประทับใจเอาไว้
       
       แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ภาพถ่ายที่แชร์กันบนอินเทอร์เน็ตในอิริยาบถตัวนอนคว่ำและทำตัวแข็งเป็นท่อน ไม้ กลับกลายเป็นที่นิยม และแพร่หลายไปทั่วในโลกไซเบอร์สเปซ
       
       โดยกิจกรรมยอดฮิตอันนี้ มีชื่อเรียกที่รู้จักกันทั่วไปว่า การทำ ‘แพลงกิ้ง’ (Planking)
       
       แน่นอน หลายๆ คนก็คงจะไม่เข้าใจว่า การนอนคว่ำทำตัวแข็งและถ่ายรูปมาโพสต์บนอินเทอร์เน็ตนั้น...สนุกตรงไหน หรือทำไปเพื่ออะไร
       
       ดังนั้น จะเดินทางเข้าไปสำรวจโลกของการแพลงกิ้งกัน ในหลากหลายมิติและมุมมอง
       
        มันคืออะไร...ดูดูไปแล้วยังไม่เข้าใจ?
       
       คำว่าแพลง (Plank) นั้น จริงๆ มันแปลว่าแผ่นกระดาน ดังนั้นก็พอจะอนุมานได้ว่าการทำแพลงกิ้ง (Planking) ก็คือการทำตัวให้เป็นแผ่นกระดานนั่นเอง ซึ่งถ้าจะพูดถึงลักษณะโดยรวมของการทำแพลงกิ้งที่ได้รับการยอมรับและนิยมใน หมู่ประชากรชาวเน็ตนั้น ก็จะมีกติกาอยู่ว่า เพียงแค่นอนคว่ำลงไป มือและแขนจะต้องแนบชิดติดลำตัว จากนั้นก็ถ่ายรูปและเอาไปโพสต์บนอินเทอร์เน็ตก็เป็นอันเสร็จพิธี
       
       อันที่จริง การแพลงกิ้งนั้น เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2540 แล้ว โดยตอนนั้นมันมีชื่อเรียกว่า 'Lying Down game' ซึ่งเป็นผลผลิตความพิเรนทร์ของ เกรย์ คลาสสัน และ คริสเตียน แลงดอน สองหนุ่มที่อาศัยอยู่ในอังกฤษ และมันก็ได้รับความนิยมในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ ก่อนที่จะกลายเป็นที่นิยมไปทั่วไป จากการเล่นแบบนี้นั้นก็ลามไปทั่วโลก อย่างในเกาหลีใต้ก็เรียกการละเล่นนี้ว่า การเล่นแกล้งตาย ที่ฝรั่งเศสก็เรียกว่า à plat ventre, ในอเมริกาเรียกว่า facedowns ส่วน คำว่าแพลงกิ้งนั้น เป็นคำเรียกที่ใช้ในออสเตรเลีย ซึ่งมันฮิตมากเสียจนทำให้ที่อื่นๆ ในโลกที่เพิ่งรู้จักการละเล่นแบบนี้ ใช้คำว่า แพลงกิ้ง แทนที่จะเรียกว่าอย่างอื่น
       
       การละเล่นแบบนี้นั้น ถึงแม้มันจะเริ่มจากการนอนคว่ำหน้าและถ่ายรูปมาโพสต์บนอินเทอร์เน็ตเฉยๆ แต่ปัจจุบันรูปแบบของมันก็ได้พัฒนาเข้าไปใกล้กับกีฬาเอ๊กซ์สตรีมมากขึ้น เรื่อยๆ กล่าวคือ ในการนอนคว่ำนั้น ถ้าได้ไปนอนในที่ที่ไม่ควรนอนมากเท่าไหร่ ก็นับว่าเป็นการแพลงกิ้งที่เจ๋งมากขึ้นเท่านั้น จนบางครั้ง มันก็ก่อให้เกิดอันตรายแก่คนที่กระทำการแพลงกิ้งเอง อย่างเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2554 ที่ผ่านมา หนุ่มชาวออสเตรเลียวัย 20 ปีคนหนึ่ง ก็เพิ่งตกลงมาจากระเบียงชั้น 7 จนเสียชีวิต เหตุเพราะเขาพยายามปีนขึ้นไปแพลงกิ้งนั่นเอง
       
       เท่าที่เห็น ในบ้านเรา ก็มีหลายคนที่พยายามจะแพลงกิ้งแบบเสี่ยงอันตรายอยู่ไม่น้อย
       
        รู้ว่ามันมาจากไหน แต่ไม่รู้ใครเอามันเข้ามา
       
       สำหรับโลกยุคไซเบอร์ มันคงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าหากว่าแฟชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอีกมุมโลกหนึ่ง จะเดินทางมาถึงอีกมุมโลกหนึ่งในชั่วข้ามคืน
       
        พิชชภา กาเตชะ ผู้ก่อตั้งเว็บเฟซดาวน์ (Facedown.in.th) ซึ่งเป็นเว็บไซต์แห่งแรกๆ ของไทยที่เปิดพื้นที่ให้คนทั่วไปอัปโหลดภาพถ่ายการแพลงกิ้งมาแชร์กัน ซึ่งพิชชภาบอกว่า เธอเริ่มรู้จักการแพลงกิ้งจากเว็บไซต์ของต่างประเทศนั่นเอง และรู้สึกว่ามันทั้งเจ๋งทั้งน่าสนใจ
       
       “ดูแล้วก็อยากลองทำบ้าง ตอนแรกก็เริ่มถ่ายกันเองและโพสต์ลงเฟซบุ๊กก่อน”
       
       เมื่อเห็นว่าในประเทศไทยยังไม่มีเว็บที่ทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ และตัวของพิชชาเองก็พอมีความรู้ด้านเกี่ยวกับการเขียนเว็บฯ อยู่บ้าง เลยทำเป็นเว็บไซต์ขึ้นมา ตอนแรกไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่ต่อมามันก็กลายเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ลองทำกัน ส่วนการที่จะบอกให้ชัดว่า ใครเป็นคนนำเข้ามาคนแรกนั้น คงยาก เพราะมันเป็นกระแสที่ก่อตัวมากจากโซเชียลเน็ตเวิร์ก
       
       “ตอนแรกที่ทำเว็บฯ ยังไม่มีใครส่งรูปเข้ามา ก็จะมีคนรู้จักเราเองส่งมาเล่นด้วย ตอนนี้มันฮิตมากก็จริง แต่จะว่าไปมันก็เหมือนกับกระแสแต่งตัวเกาหลีนั่นแหละ ที่เราเห็นเขาทำก็อยากทำบ้าง เอาซะหน่อย แต่พอสมใจแล้วก็เลิก”
       
       ซึ่งหากถามว่าเราชอบการแพลงกิ้งตรงไหน หรือว่ามันเป็นศิลปะ? พิชชภาตอบว่า มันไม่ใช่ศิลปะหรอก มันก็แค่คนคนหนึ่งไปทำท่าแปลกๆ ในที่ใดที่หนึ่งก็เท่านั้น แต่ที่ชอบก็ตรงที่ไอเดีย
       
       “ชอบความกล้าของเขา รู้สึกว่ากล้าไปนอนตรงนั้นได้ยังไง นอนแล้วถ่ายรูปด้วย เพราะบางที่มันไม่ใช่ที่ที่คนจะไปนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้น”
       
       แต่กระนั้น นักแพลงกิ้งมืออาชีพอย่างพิชชภา ก็ยังยอมรับว่าการกระทำที่ว่า บางครั้ง มันก็ก้ำกึ่งระหว่างความสนุกสนานและความไร้สาระ
       
       “บางคนเขาอาจจะมองว่าตรงนี้มัน ไร้สาระ อันตราย บางทีก็บอกว่ามันเกะกะขวางทางชาวบ้าน เราก็อยากให้คนที่จะนอนถ่ายรูปนั้นพิจารณาก่อน ดูว่าไปนอนขวางทางเขาหรือเปล่า ส่วนคนอื่นจะมองว่า สิ่งนี้ดีหรือไม่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับการมองของแต่ละคนว่าคิดยังไง เพราะคนที่ส่งรูปถ่ายเข้ามาส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่อยู่ในระดับอายุที่มากแล้ว โตพอที่จะรู้ว่าตรงไหนอันตรายหรือไม่อันตราย ดังนั้นก่อนทำจึงควรดูให้ดีก่อน”
       
        แล้วแพลงกิ้งไปเพื่ออะไร?
       
       การทำแพลงกิ้งในที่สาธารณะ อาจจะถือเป็นเรื่องธรรมดาของประชากรชาวเน็ต แต่ในสายตาของคนที่ไม่ได้อินไปกับมัน การแพลงกิ้งคงเป็นเรื่องที่น่างงงวยไม่น้อย ว่าจะทำไปเพื่ออะไร หรือทำไปให้มันได้อะไรขึ้นมา
       
       และกับบางคนก็สงสัยเสียจนอยากจะลองทำดูบ้าง
       
        สุทธาวดี เนติมานนท์ พนักงาน บริษัทแห่งหนึ่ง ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยเธอกล่าวถึงกระแสแพลงกิ้งว่า ส่วนตัวคิดว่าเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร อาจเป็นเพราะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วในต่างประเทศ แต่ครั้งแรกที่ได้รับรู้เกี่ยวกับกระแสนี้ก็รู้สึกแปลกๆ และสงสัยว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกอยากทำบ้างแล้ว เพราะเห็นกระแสคนอื่นทำกันเยอะขึ้น
       
       “ครั้งแรกที่ได้รู้เกี่ยวกับแพลงกิ้งของต่างประเทศที่ทำกันมาก่อน รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่แปลก คิดว่าเขาทำไปเพื่ออะไร แต่พอนานๆ เข้าเริ่มรู้สึกเฉยๆ แต่พอกระแสมันเริ่มเยอะขึ้น เราก็อยากทำบ้างนะ ซึ่งถ้าถามว่าความแปลกของแพลงกิ้งอยู่ที่ตรงไหน น่าจะเป็นการคิดเรื่องของอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาประกอบการถ่าย และสถานที่ถ่าย เพราะต้องคิดว่าจะไปทำท่านี้แล้วถ่ายที่ไหนดี”
       
       ส่วนคนที่ลองทำแพลงกิ้ง เท่าที่สอบถามมา มักจะเริ่มทำเพราะเห็นว่ามันคือ แฟชั่น โดยตอนที่ทำก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
       
       “ก็เห็นเขาทำก็เลยลองทำดู ตลกดี ไม่มีอะไรหรอก จะเรียกว่าตามกระแสก็ว่าได้ แต่ไม่ได้ไปไกลถึงขั้นที่ว่าต้องทำแบบผาดโผนหรือไปทำกลางถนนแต่อย่างใด”
       
        นันทนัท เถรพันธุ์ พนักงานออฟฟิศสาว ซึ่งถือเป็นมือใหม่หัดแพลงกิ้ง เล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นของเธอ
       
       ”ทำไปแล้วก็สนุกดี เอารูปไปโพสต์ เจ้านายเรามาเห็นก็เอารูปเราไปโพสต์ต่อ จากนั้นก็มีคนมาคอมเมนท์ บางคนเขาไม่เคยเห็นก็เข้ามาถามกันว่ามันคืออะไร มีคนทำตามด้วยนะ แล้วเขาก็โพสต์และแทกเรามา บอกว่าไปทำตามมาแล้วนะ
       
       “ตอนก่อนทำ ก็ไม่รู้หรอกว่าเขาทำไปเพื่ออะไร ทำเสร็จแล้วก็ไม่รู้อยู่ดี (หัวเราะ) ที่ได้มาก็เป็นเรื่องของความสนุกและการพูดคุยกันบนสังคมออนไลน์เท่านั้น คือในกลุ่มเพื่อนยังไม่มีใครรู้ถึงกระแสนี้ แต่พอเรารู้ก็ทำเลย ประมาณว่าอินเทรนด์ก่อนเพื่อนๆ เรา”
       
        ชอบโชว์ ชอบแชร์ พฤติกรรมสามัญของคนในโลกสมัยใหม่
       
       แม้สุดท้ายแล้ว คนที่ประกอบการแพลงกิ้งเอง ก็ยังคงตอบไม่ได้ว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ข้อสังเกตหนึ่ง ที่มีต่อวัฒนธรรมการแพลงกิ้งก็คือ มันอาจจะเป็นเพียงความต้องการในการโชว์ให้คนอื่นๆ เห็นว่าฉันยังมีตัวตนอยู่เท่านั้น โดยที่ไม่มีความหมายใดๆ ที่ซับซ้อนไปกว่านั้น
       
        วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ นักเขียนผู้คร่ำหวอดในวงการโซเซียลเน็ตเวิร์ก กล่าวว่า อินเทอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางที่เอื้อต่อกิจกรรมประเภทการแชร์และโชว์ ซึ่งที่ผ่านมามันไม่ได้มีเพียง Planking เท่านั้น แต่มันยังเคยมีอีกหลายกิจกรรมที่ได้รับความนิยมแล้วก็สูญหายไป อาทิ Happy slapping (การถ่ายคลิปวิดีโอการตบหน้ากัน แล้วโพสต์ลงยูทูบ)
       
       “จริงๆ แล้วมันคือการแชร์และการโชว์ ในโลกยุคโซเซียลมีเดีย ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนต่างมีสื่ออยู่ในมือ ทุกคนก็สามารถเผยแพร่ภาพ หรือคลิป บทความ ความเห็น หรืออะไรก็ได้ในโซเซียลมีเดีย แพลงกิ้งเนี่ย เขาก็สามารถโชว์การแพลงก์ได้ ยิ่งเทคโนโลยีเปลี่ยน ยิ่งสื่อเปลี่ยน รูปแบบการใช้งานเปลี่ยน มันจะยิ่งทำให้คนเราต้องการแชร์ และต้องการโชว์ออฟมากขึ้นไปเรื่อยๆ
       
       “ผมเชื่อว่าเมื่อมาถึงยุคสมัยที่มีอินเทอร์เน็ต มีโทรศัพท์มือถือ มีกล้อง มันก็ยิ่งกระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่เป็นรูปแบบเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างมันเหมือนกับเป็นการพยายามพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกใหม่ หรือคาดหวังว่าคนอื่นเขาจะต้องชอบ เสร็จแล้วเราก็แชร์มันเท่านั้นเอง มันเหมือนเป็นปรากฏการณ์ เหมือนแฟชั่นที่จะมีช่วงที่มันคูล พอผ่านไปเรื่อยๆ มันก็จะเน่าไป”
       
       แต่หากมีหน่วยงานออกโรงมาประกาศต่อต้าน มันก็จะกลายเป็นการปลุกกระแสให้คนหันสนใจยิ่งขึ้น วุฒิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า วัฒนธรรมของโลกไซเบอร์นั้นอำนวยต่อกิจกรรมประเภทการแชร์-การโชว์ ซึ่งไม่นานมันก็จะเลิกฮิตจะหายไปเอง
       
        “สมมติว่ามีกระทรวงวัฒนธรรมมาบอกว่ามันไม่ดี หรือมีกรมศาสนาออกมาด่าว่าห้ามทำมันก็จะยิ่งคูลมาขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าความคูลมันคือการต่อด้านกระแสไง ถ้ากระแสหลักมองว่า มันไม่ดี Pแพลงกิ้งก็จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าทุกคนก็จะอยากทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะว่าทุกคนจะรู้สึกว่าเมื่อทำสิ่งที่ไม่ดีแล้วเอามาเผยแพร่อย่างนี้แล้ว มันสนุก”
       
       ..........
       
       สุดท้ายเรื่องราวของการแพลงกิ้ง ก็เป็นเพียงแค่แฟชั่นบนโลกไซเบอร์ ที่ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนมาอธิบาย หากแต่มันกลับได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง นั่นก็เป็นเพราะมันคือหนึ่งในช่องทางที่คนทั่วไปสามารถใช้ในการสำแดงตัว ตนและประกาศให้โลกรู้ว่าฉันยังอยู่เท่านั้นเอง
       
       และถึงแม้ว่าการแพลงกิ้งก็คงจะเหมือน กับแฟชั่นอื่นๆ ที่ต้องสูญสลายไปตามกาลเวลา แต่กระนั้น ก็เชื่อได้เลยว่า ในอนาคตมันจะต้องมีกิจกรรมรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเป็นตัวตายตัวแทนแน่นนอน ตราบใดที่มนุษย์ยังคงต้องการการยอมรับ และต้องการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในสังคม.
       
       >>>>>>>>>>
92  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘แพลงกิ้ง’ ปรากฏการณ์ฮิต+ฮอต+งง แฟชั่นสำแดงตัวตนบนโลกเสมือน เมื่อ: มิถุนายน 23, 2011, 08:47:05 am










คงไม่ใช่เรื่อง ที่น่าแปลกใจอะไร ที่ใครจะแชร์ภาพถ่ายของตนเองและเพื่อนๆ บนอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม อย่างพวกเฟซบุ๊ก ทวิตเทอร์ ฯลฯ และภาพถ่ายเหล่านั้นโดยมากก็จะเป็นภาพที่เจ้าของภาพคิดว่าตนเองดูดี หรือไม่ก็เป็นภาพที่เก็บช่วงเวลาแห่งความประทับใจเอาไว้
       
       แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ภาพถ่ายที่แชร์กันบนอินเทอร์เน็ตในอิริยาบถตัวนอนคว่ำและทำตัวแข็งเป็นท่อน ไม้ กลับกลายเป็นที่นิยม และแพร่หลายไปทั่วในโลกไซเบอร์สเปซ
       
       โดยกิจกรรมยอดฮิตอันนี้ มีชื่อเรียกที่รู้จักกันทั่วไปว่า การทำ ‘แพลงกิ้ง’ (Planking)
       
       แน่นอน หลายๆ คนก็คงจะไม่เข้าใจว่า การนอนคว่ำทำตัวแข็งและถ่ายรูปมาโพสต์บนอินเทอร์เน็ตนั้น...สนุกตรงไหน หรือทำไปเพื่ออะไร
       
       ดังนั้น จะเดินทางเข้าไปสำรวจโลกของการแพลงกิ้งกัน ในหลากหลายมิติและมุมมอง
       
        มันคืออะไร...ดูดูไปแล้วยังไม่เข้าใจ?
       
       คำว่าแพลง (Plank) นั้น จริงๆ มันแปลว่าแผ่นกระดาน ดังนั้นก็พอจะอนุมานได้ว่าการทำแพลงกิ้ง (Planking) ก็คือการทำตัวให้เป็นแผ่นกระดานนั่นเอง ซึ่งถ้าจะพูดถึงลักษณะโดยรวมของการทำแพลงกิ้งที่ได้รับการยอมรับและนิยมใน หมู่ประชากรชาวเน็ตนั้น ก็จะมีกติกาอยู่ว่า เพียงแค่นอนคว่ำลงไป มือและแขนจะต้องแนบชิดติดลำตัว จากนั้นก็ถ่ายรูปและเอาไปโพสต์บนอินเทอร์เน็ตก็เป็นอันเสร็จพิธี
       
       อันที่จริง การแพลงกิ้งนั้น เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2540 แล้ว โดยตอนนั้นมันมีชื่อเรียกว่า 'Lying Down game' ซึ่งเป็นผลผลิตความพิเรนทร์ของ เกรย์ คลาสสัน และ คริสเตียน แลงดอน สองหนุ่มที่อาศัยอยู่ในอังกฤษ และมันก็ได้รับความนิยมในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ ก่อนที่จะกลายเป็นที่นิยมไปทั่วไป จากการเล่นแบบนี้นั้นก็ลามไปทั่วโลก อย่างในเกาหลีใต้ก็เรียกการละเล่นนี้ว่า การเล่นแกล้งตาย ที่ฝรั่งเศสก็เรียกว่า à plat ventre, ในอเมริกาเรียกว่า facedowns ส่วน คำว่าแพลงกิ้งนั้น เป็นคำเรียกที่ใช้ในออสเตรเลีย ซึ่งมันฮิตมากเสียจนทำให้ที่อื่นๆ ในโลกที่เพิ่งรู้จักการละเล่นแบบนี้ ใช้คำว่า แพลงกิ้ง แทนที่จะเรียกว่าอย่างอื่น
       
       การละเล่นแบบนี้นั้น ถึงแม้มันจะเริ่มจากการนอนคว่ำหน้าและถ่ายรูปมาโพสต์บนอินเทอร์เน็ตเฉยๆ แต่ปัจจุบันรูปแบบของมันก็ได้พัฒนาเข้าไปใกล้กับกีฬาเอ๊กซ์สตรีมมากขึ้น เรื่อยๆ กล่าวคือ ในการนอนคว่ำนั้น ถ้าได้ไปนอนในที่ที่ไม่ควรนอนมากเท่าไหร่ ก็นับว่าเป็นการแพลงกิ้งที่เจ๋งมากขึ้นเท่านั้น จนบางครั้ง มันก็ก่อให้เกิดอันตรายแก่คนที่กระทำการแพลงกิ้งเอง อย่างเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2554 ที่ผ่านมา หนุ่มชาวออสเตรเลียวัย 20 ปีคนหนึ่ง ก็เพิ่งตกลงมาจากระเบียงชั้น 7 จนเสียชีวิต เหตุเพราะเขาพยายามปีนขึ้นไปแพลงกิ้งนั่นเอง
       
       เท่าที่เห็น ในบ้านเรา ก็มีหลายคนที่พยายามจะแพลงกิ้งแบบเสี่ยงอันตรายอยู่ไม่น้อย
       
        รู้ว่ามันมาจากไหน แต่ไม่รู้ใครเอามันเข้ามา
       
       สำหรับโลกยุคไซเบอร์ มันคงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าหากว่าแฟชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอีกมุมโลกหนึ่ง จะเดินทางมาถึงอีกมุมโลกหนึ่งในชั่วข้ามคืน
       
        พิชชภา กาเตชะ ผู้ก่อตั้งเว็บเฟซดาวน์ (Facedown.in.th) ซึ่งเป็นเว็บไซต์แห่งแรกๆ ของไทยที่เปิดพื้นที่ให้คนทั่วไปอัปโหลดภาพถ่ายการแพลงกิ้งมาแชร์กัน ซึ่งพิชชภาบอกว่า เธอเริ่มรู้จักการแพลงกิ้งจากเว็บไซต์ของต่างประเทศนั่นเอง และรู้สึกว่ามันทั้งเจ๋งทั้งน่าสนใจ
       
       “ดูแล้วก็อยากลองทำบ้าง ตอนแรกก็เริ่มถ่ายกันเองและโพสต์ลงเฟซบุ๊กก่อน”
       
       เมื่อเห็นว่าในประเทศไทยยังไม่มีเว็บที่ทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ และตัวของพิชชาเองก็พอมีความรู้ด้านเกี่ยวกับการเขียนเว็บฯ อยู่บ้าง เลยทำเป็นเว็บไซต์ขึ้นมา ตอนแรกไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่ต่อมามันก็กลายเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ลองทำกัน ส่วนการที่จะบอกให้ชัดว่า ใครเป็นคนนำเข้ามาคนแรกนั้น คงยาก เพราะมันเป็นกระแสที่ก่อตัวมากจากโซเชียลเน็ตเวิร์ก
       
       “ตอนแรกที่ทำเว็บฯ ยังไม่มีใครส่งรูปเข้ามา ก็จะมีคนรู้จักเราเองส่งมาเล่นด้วย ตอนนี้มันฮิตมากก็จริง แต่จะว่าไปมันก็เหมือนกับกระแสแต่งตัวเกาหลีนั่นแหละ ที่เราเห็นเขาทำก็อยากทำบ้าง เอาซะหน่อย แต่พอสมใจแล้วก็เลิก”
       
       ซึ่งหากถามว่าเราชอบการแพลงกิ้งตรงไหน หรือว่ามันเป็นศิลปะ? พิชชภาตอบว่า มันไม่ใช่ศิลปะหรอก มันก็แค่คนคนหนึ่งไปทำท่าแปลกๆ ในที่ใดที่หนึ่งก็เท่านั้น แต่ที่ชอบก็ตรงที่ไอเดีย
       
       “ชอบความกล้าของเขา รู้สึกว่ากล้าไปนอนตรงนั้นได้ยังไง นอนแล้วถ่ายรูปด้วย เพราะบางที่มันไม่ใช่ที่ที่คนจะไปนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้น”
       
       แต่กระนั้น นักแพลงกิ้งมืออาชีพอย่างพิชชภา ก็ยังยอมรับว่าการกระทำที่ว่า บางครั้ง มันก็ก้ำกึ่งระหว่างความสนุกสนานและความไร้สาระ
       
       “บางคนเขาอาจจะมองว่าตรงนี้มัน ไร้สาระ อันตราย บางทีก็บอกว่ามันเกะกะขวางทางชาวบ้าน เราก็อยากให้คนที่จะนอนถ่ายรูปนั้นพิจารณาก่อน ดูว่าไปนอนขวางทางเขาหรือเปล่า ส่วนคนอื่นจะมองว่า สิ่งนี้ดีหรือไม่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับการมองของแต่ละคนว่าคิดยังไง เพราะคนที่ส่งรูปถ่ายเข้ามาส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่อยู่ในระดับอายุที่มากแล้ว โตพอที่จะรู้ว่าตรงไหนอันตรายหรือไม่อันตราย ดังนั้นก่อนทำจึงควรดูให้ดีก่อน”
       
        แล้วแพลงกิ้งไปเพื่ออะไร?
       
       การทำแพลงกิ้งในที่สาธารณะ อาจจะถือเป็นเรื่องธรรมดาของประชากรชาวเน็ต แต่ในสายตาของคนที่ไม่ได้อินไปกับมัน การแพลงกิ้งคงเป็นเรื่องที่น่างงงวยไม่น้อย ว่าจะทำไปเพื่ออะไร หรือทำไปให้มันได้อะไรขึ้นมา
       
       และกับบางคนก็สงสัยเสียจนอยากจะลองทำดูบ้าง
       
        สุทธาวดี เนติมานนท์ พนักงาน บริษัทแห่งหนึ่ง ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยเธอกล่าวถึงกระแสแพลงกิ้งว่า ส่วนตัวคิดว่าเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร อาจเป็นเพราะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วในต่างประเทศ แต่ครั้งแรกที่ได้รับรู้เกี่ยวกับกระแสนี้ก็รู้สึกแปลกๆ และสงสัยว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกอยากทำบ้างแล้ว เพราะเห็นกระแสคนอื่นทำกันเยอะขึ้น
       
       “ครั้งแรกที่ได้รู้เกี่ยวกับแพลงกิ้งของต่างประเทศที่ทำกันมาก่อน รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่แปลก คิดว่าเขาทำไปเพื่ออะไร แต่พอนานๆ เข้าเริ่มรู้สึกเฉยๆ แต่พอกระแสมันเริ่มเยอะขึ้น เราก็อยากทำบ้างนะ ซึ่งถ้าถามว่าความแปลกของแพลงกิ้งอยู่ที่ตรงไหน น่าจะเป็นการคิดเรื่องของอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาประกอบการถ่าย และสถานที่ถ่าย เพราะต้องคิดว่าจะไปทำท่านี้แล้วถ่ายที่ไหนดี”
       
       ส่วนคนที่ลองทำแพลงกิ้ง เท่าที่สอบถามมา มักจะเริ่มทำเพราะเห็นว่ามันคือ แฟชั่น โดยตอนที่ทำก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
       
       “ก็เห็นเขาทำก็เลยลองทำดู ตลกดี ไม่มีอะไรหรอก จะเรียกว่าตามกระแสก็ว่าได้ แต่ไม่ได้ไปไกลถึงขั้นที่ว่าต้องทำแบบผาดโผนหรือไปทำกลางถนนแต่อย่างใด”
       
        นันทนัท เถรพันธุ์ พนักงานออฟฟิศสาว ซึ่งถือเป็นมือใหม่หัดแพลงกิ้ง เล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นของเธอ
       
       ”ทำไปแล้วก็สนุกดี เอารูปไปโพสต์ เจ้านายเรามาเห็นก็เอารูปเราไปโพสต์ต่อ จากนั้นก็มีคนมาคอมเมนท์ บางคนเขาไม่เคยเห็นก็เข้ามาถามกันว่ามันคืออะไร มีคนทำตามด้วยนะ แล้วเขาก็โพสต์และแทกเรามา บอกว่าไปทำตามมาแล้วนะ
       
       “ตอนก่อนทำ ก็ไม่รู้หรอกว่าเขาทำไปเพื่ออะไร ทำเสร็จแล้วก็ไม่รู้อยู่ดี (หัวเราะ) ที่ได้มาก็เป็นเรื่องของความสนุกและการพูดคุยกันบนสังคมออนไลน์เท่านั้น คือในกลุ่มเพื่อนยังไม่มีใครรู้ถึงกระแสนี้ แต่พอเรารู้ก็ทำเลย ประมาณว่าอินเทรนด์ก่อนเพื่อนๆ เรา”
       
        ชอบโชว์ ชอบแชร์ พฤติกรรมสามัญของคนในโลกสมัยใหม่
       
       แม้สุดท้ายแล้ว คนที่ประกอบการแพลงกิ้งเอง ก็ยังคงตอบไม่ได้ว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ข้อสังเกตหนึ่ง ที่มีต่อวัฒนธรรมการแพลงกิ้งก็คือ มันอาจจะเป็นเพียงความต้องการในการโชว์ให้คนอื่นๆ เห็นว่าฉันยังมีตัวตนอยู่เท่านั้น โดยที่ไม่มีความหมายใดๆ ที่ซับซ้อนไปกว่านั้น
       
        วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ นักเขียนผู้คร่ำหวอดในวงการโซเซียลเน็ตเวิร์ก กล่าวว่า อินเทอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางที่เอื้อต่อกิจกรรมประเภทการแชร์และโชว์ ซึ่งที่ผ่านมามันไม่ได้มีเพียง Planking เท่านั้น แต่มันยังเคยมีอีกหลายกิจกรรมที่ได้รับความนิยมแล้วก็สูญหายไป อาทิ Happy slapping (การถ่ายคลิปวิดีโอการตบหน้ากัน แล้วโพสต์ลงยูทูบ)
       
       “จริงๆ แล้วมันคือการแชร์และการโชว์ ในโลกยุคโซเซียลมีเดีย ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนต่างมีสื่ออยู่ในมือ ทุกคนก็สามารถเผยแพร่ภาพ หรือคลิป บทความ ความเห็น หรืออะไรก็ได้ในโซเซียลมีเดีย แพลงกิ้งเนี่ย เขาก็สามารถโชว์การแพลงก์ได้ ยิ่งเทคโนโลยีเปลี่ยน ยิ่งสื่อเปลี่ยน รูปแบบการใช้งานเปลี่ยน มันจะยิ่งทำให้คนเราต้องการแชร์ และต้องการโชว์ออฟมากขึ้นไปเรื่อยๆ
       
       “ผมเชื่อว่าเมื่อมาถึงยุคสมัยที่มีอินเทอร์เน็ต มีโทรศัพท์มือถือ มีกล้อง มันก็ยิ่งกระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่เป็นรูปแบบเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างมันเหมือนกับเป็นการพยายามพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกใหม่ หรือคาดหวังว่าคนอื่นเขาจะต้องชอบ เสร็จแล้วเราก็แชร์มันเท่านั้นเอง มันเหมือนเป็นปรากฏการณ์ เหมือนแฟชั่นที่จะมีช่วงที่มันคูล พอผ่านไปเรื่อยๆ มันก็จะเน่าไป”
       
       แต่หากมีหน่วยงานออกโรงมาประกาศต่อต้าน มันก็จะกลายเป็นการปลุกกระแสให้คนหันสนใจยิ่งขึ้น วุฒิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า วัฒนธรรมของโลกไซเบอร์นั้นอำนวยต่อกิจกรรมประเภทการแชร์-การโชว์ ซึ่งไม่นานมันก็จะเลิกฮิตจะหายไปเอง
       
        “สมมติว่ามีกระทรวงวัฒนธรรมมาบอกว่ามันไม่ดี หรือมีกรมศาสนาออกมาด่าว่าห้ามทำมันก็จะยิ่งคูลมาขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าความคูลมันคือการต่อด้านกระแสไง ถ้ากระแสหลักมองว่า มันไม่ดี Pแพลงกิ้งก็จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าทุกคนก็จะอยากทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะว่าทุกคนจะรู้สึกว่าเมื่อทำสิ่งที่ไม่ดีแล้วเอามาเผยแพร่อย่างนี้แล้ว มันสนุก”
       
       ..........
       
       สุดท้ายเรื่องราวของการแพลงกิ้ง ก็เป็นเพียงแค่แฟชั่นบนโลกไซเบอร์ ที่ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนมาอธิบาย หากแต่มันกลับได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง นั่นก็เป็นเพราะมันคือหนึ่งในช่องทางที่คนทั่วไปสามารถใช้ในการสำแดงตัว ตนและประกาศให้โลกรู้ว่าฉันยังอยู่เท่านั้นเอง
       
       และถึงแม้ว่าการแพลงกิ้งก็คงจะเหมือน กับแฟชั่นอื่นๆ ที่ต้องสูญสลายไปตามกาลเวลา แต่กระนั้น ก็เชื่อได้เลยว่า ในอนาคตมันจะต้องมีกิจกรรมรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเป็นตัวตายตัวแทนแน่นนอน ตราบใดที่มนุษย์ยังคงต้องการการยอมรับ และต้องการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในสังคม.
       
       >>>>>>>>>>
93  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คนดี ที่พูดไม่ออก ....... เมื่อ: มิถุนายน 23, 2011, 08:42:32 am



ชายคนที่ 1.... เป็นหนุ่มที่มีความรับผิดชอบ รักครอบครัว
รักภรรยาและลูกสุดชีวิต ไม่เคยผิดลูกผิดเมียชาวบ้าน ปฏิบัติตนด้วยความดี
จนกระทั่งถึงแก่ชีวิต. ชายคนนี้ได้ไปที่นรก แต่ด้วยความดีที่เค้าได้กระทำ
พญายมจึงได้ให้ BENZ เพื่อให้เค้าได้ขับขี่ในนรกนั้น

ชายคนที 2 ..... รักครอบครัวเหมือนกัน แต่ก็มีแว่บโน่นแว่บนี่
ยุ่งกับภรรยาชาวบ้าน พอตกนรกไป พญายมจึงได้ให้ TOYOTA ไปขับ

ชายคนที่ 3..... ไม่มีความดีในชีวิต ชอบยุ่งกับลูกเมียชาวบ้าน
ไม่มีความรับผิดชอบอะไรเลย ไม่รักครอบครัวเลย สรุปก์คือ ไม่มีความดีอะไรเลย (เป็นคนไม่สนใจไรเลย) เมื่อตกนรกไป เค้าจึงได้แค่ "มอเตอร์ไซค์"

แต่แล้วมาวันนึง ทั้งสามคนได้มาเจอกันที่แยก ไฟแดง ทีหนึ่ง แต่เนื่องจากชายคนที่1 นั้น หน้าตาหมองคล้ำ ดูเหมือนคนอมทุกข์ทั้งๆ ที่ขับ BENZ ก็ตาม

ชายคนที่ 2 ( ขับtoyota) และคนที่ 3 ( ขับมอเตอร์ไซค์) จึงได้ถามไปว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนี้

ชายคนที่ 1 จีงถอนหายใจ ดังเฮือก พร้อมกับตอบว่า

" ผมเพิ่งจะเห็นภรรยาของผมขับ "จักรยาน" ผ่านหน้าไปเมื่อสักครู่นี้เอง
94  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 60คำสั่งบนแป้นคีย์บอร์ด สำหรับนักท่องเน็ต ทุกท่านห้ามพลาดครับ มีประโยชน์ เมื่อ: มิถุนายน 23, 2011, 08:30:51 am
60คำสั่งบนแป้นคีย์บอร์ด

คำสั่งบนแป้นคีย์บอร์ด


ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.geekzone.co.nz


เพื่อนๆ คงใช้เม้าส์ในการกด เพื่อเลือกฟังก์ชั่นต่างบนจอคอมจนเคยชินกันแล้วใช่มะ จนบางคนนั้นอาจลืม หรือไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าแป้นคีย์บอร์ด ที่เดี๋ยวนี้เราไว้ใช้แค่พิมพ์นั้นสามารถสั่งการใช้ง านของคอมพิวเตอร์ได้ เหมือนกัน งั้นเราลองมาทบทวนความทรงจำ ในการใช้คำสั่งบนคีย์บอร์ดกันดีกว่า...

60 คำสั่งบนแป้นคีย์บอร์ดเตือนคำทรงจำ....

CTRL+C --คัดลอก

CTRL+X --ตัด/ย้าย

CTRL+V --วาง (ใช้คู่กับคำสั่งคัดลอก/ตัด)

CTRL+Z --ยกเลิกการทำงานครั้งล่าสุด

DELETE --ลบโดยไปพักที่ถังขยะ

SHIFT+DELETE --ลบโดยไม่ต้องพักที่ถังขยะ

CTRL กดค้างไว้+คลิกเลือกไฟล์ --เป็นการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง

CTRL+SHIFT กดค้างไว้ แล้วคลิกที่ไฟล์แรก และไฟล์สุดท้าย --จะเป็นการเลือกตั้งแต่

ไฟล์แรกถึงไฟล์สุดท้ายทั้งหมด (ถ้ากด shift อย่างเดียวเราต้องเลื่อนบรรทัดเอง แต่ถ้ากด ctrl ด้วยมันจะไปบรรทัดสุดท้ายทันที (edit By miststar))

F2 --เปลี่ยนชื่อแฟ้ม

CTRL+RIGHT ARROW --ไปยังคำต่อไป (ด้านขวามือ)

CTRL+LEFT ARROW --ไปยังคำก่อนหน้า (ด้านซ้ายมือ)

CTRL+DOWN ARROW --ไปยังย่อหน้าต่อไป (ลงล่าง)

CTRL+UP ARROW --ไปยังย่อหน้าต่อไป (ขึ้นบน)

CTRL+SHIFT --ทำ Highlight ทั้งบรรทัด

SHIFT+ ปุ่มลูกศร --ทำ Highlight เฉพาะส่วนที่เลือก

CTRL+A --เลือกทั้งหมด

F3 --ค้นหา

ALT+ENTER --ดู properties

ALT+F4 --ปิดโปรแกรมที่ใช้งานในปัจจุบัน

ALT+SPACEBAR --เปิด shortcut menu ของหน้าจอที่ใช้งานอยู่

CTRL+F4 --ปิดโปรแกรมที่ใช้อยู่ทั้งหมด

ALT+TAB --สลับหน้าจอระหว่างโปรแกรมที่ 1 ไปโปรแกรมที่ 2 3 4

ALT+ESC (Cycle through items in the order that they had been opened)

F6 key (Cycle through the screen elements in a window or on the desktop)

F4 --แสดงรายการใน Address bar

SHIFT+F10 --เหมือนการคลิกขวาที่เม้าส์

CTRL+ESC --เหมือนการคลิกที่ปุ่ม Start

ALT+Underlined letter in a menu name (Display the corresponding menu)

Underlined letter in a command name on an open menu (Perform the
corresponding command)

F10 key (Activate the menu bar in the active program)

RIGHT ARROW --เปิดเมนูถัดไปทางขวาหรือเปิดเมนูย่อยทางขวา

LEFT ARROW --เปิดเมนูถัดไปทางซ้ายหรือเปิดเมนูย่อยทางซ้าย

F5 key --รีเฟรชหน้าจอปัจจุบัน

BACKSPACE --แสดงโฟลเดอร์ที่อยู่เหนือขึ้นไป 1 ระดับ

ESC --ยกเลิก

SHIFT เมื่อใส่แผ่น CD-ROM --หยุดยั้งการเปิดแผ่นแบบอัตโนมัติ

Dialog Box Keyboard Shortcuts /เกี่ยวกับไดอะล็อก

CTRL+TAB --ไปในแถบต่อไป

CTRL+SHIFT+TAB --ไปในแถบก่อนหน้า

TAB --เลื่อนไปยังส่วนต่อไป

SHIFT+TAB --เลื่อนไปยังส่วนก่อนหน้า

ALT+Underlined letter (Perform the corresponding command or select
the corresponding option)

ENTER --ตกลง

SPACEBAR --เลือก/ไม่เลือกใน check box

Arrow keys (Select a button if the active option is a group of option buttons)

F1 key --Help

F4 key --แสดงรายการที่ active อยู่

BACKSPACE --แสดงโฟลเดอร์ที่อยู่เหนือขึ้นไป 1 ระดับ

Microsoft Natural Keyboard Shortcuts /ทั่วไป ๆ

Windows Logo --แสดง/ซ่อน Start menu

Windows Logo+BREAK --แสดง System Properties

Windows Logo+D --แสดงหน้าจอ desktop

Windows Logo+M --ย่อหน้าต่างงานทั้หมด

Windows Logo+SHIFT+M --โชว์หน้าต่างงานที่เราย่อไว้ (ยกเลิกการย่อหน้าต่าง)

Windows Logo+E --เปิด My computer

Windows Logo+F,CTRL+Windows Logo+F --ค้นหา

Windows Logo+F1 --Help

Windows Logo+ L --ล็อค keyboard

Windows Logo+R --Run

Windows Logo+U --Utility Manager

เราหวังว่าคำสั่งบนคีย์บอร์ดเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ก ับเพื่อนๆ บ้างนะ
เผื่อว่าวันไหนเม้าส์ของเพื่อนๆ ใช้งานไม่ได้

ที่มา: PanTown
95  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "50 คำคมดีๆ" ที่เอามาเคาะหัวใจคุณ!! เมื่อ: มิถุนายน 23, 2011, 08:24:20 am

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://2.bp.blogspot.com



50 คำคมดีๆ ที่เอามาเคาะหัวใจคุณ
1.คาดหวังให้สูงเข้าไว้และแน่นอนว่าต้องเตรียมใจที่จะพบกับความผิดหวังด้วย
2.ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
3.ถ้าเชื่อว่าไม่แพ้ เราก็จะไม่แพ้
4.คนเข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้
5.อุปสรรคล้วนเป็นยาขม ไม่มีใครอยากลิ้มลอง แต่ขึ้นชื่อว่ายาขม ส่วนใหญ่มักเป็นยาดีเสมอ
6.ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้ความสุขในคราวต่อมาเป็นความสุขที่แท้จริง
7.เพื่ออะไรกับการรอคอยที่ไม่มีความหมาย
8.ยิ่งบทเรียนยากขึ้นเท่าไหร่ ถ้าเราผ่านมันไปได้เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น
9.กุหลาบไร้หนามมีเพียงมิตรภาพเท่านั้น
10.อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้คำนึงถึงสิ่งที่กำลังทำ


11.แม้แต่นิ้วของคนเรายังยาวไม่เท่ากัน นับประสาอะไรกับความยั่งยืนของชีวิต
12.โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวันค้นพบ
13.ไม่มีใครสะดุดภูเขาล้ม มีแต่สะดุดก้อนหินล้ม
14.ไม่มีใครเข้มแข็งตลอดไปและไม่มีใครอ่อนแอตลอดกาล
15.บางครั้งเราก็เหมือนคนตาบอดมีวิธีเดียวที่จะพาเรามุ่งหน้าไปได้คือการคลำทางเดินหน้าต่อไป
16.อย่าเกลียดน้ำตาเพราะมันคือเพื่อนแท้ อย่าเกลียดความอ่อนแอเพียงเพราะมันไม่ใช่ความเข้มแข็ง
17.มีเพียงชีวิตที่ทำเพื่อคนอื่นเท่านั้นที่ควรค่าแก่การมีชีวิต
18.ทุกอย่างมีค่าเสมอ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่าไม่ควรจะทำมันอีก
19.คนฉลาดย่อมไม่นำแต่ตาม ย่อมไม่พูดแต่ฟัง
20.ทุกคนได้ยินในสิ่งที่คุณพูด ต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะได้ยินแม้ในสิ่งที่คุณไม่ได้พูด

21.อวดโง่ดีกว่าอวดฉลาด
22.คนที่ว่าคนอื่นโง่ บุคคลนั้นโง่ยิ่งกว่า คนที่ว่าคนอื่นฉลาด บุคคลนั้นคือผู้ฉลาดอย่างแท้จริง
23.ฝันได้แต่อย่าหวัง
24.เรียนรู้ที่จะแพ้อย่างผู้ชนะ แล้วจะรู้จักกับคำว่าชัยชนะที่แท้จริง
25.นักปราชญ์ควรรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด
26.ความยึดถือคือความเจ็บปวด
27.พระเจ้าไม่ได้รักเรามากกว่าคนอื่น และไม่ได้รักคนอื่นมากกว่าเรา
28.อุปสรรคคือแบบทดสอบของชีวิต
29.ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต
30.สิ่งร้ายๆจะมาพร้อมกับสิ่งดีๆเสมอ

31.โลกใบนี้ยังมีมุมดีๆให้มอง
32.ตัวเรายังไม่ได้ดั่งใจเรา แล้วคนอื่นจะเป็นได้อย่างไร
33.ถนนบางสายไกลหน่อยแต่ก็ยังมีวันถึง
34.แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง แต่งใจด้วยความดี
35.ความเจ็บปวดทำให้หัวใจแข็งแกร่ง
36.เดินคนเดียวอาจไม่รู้สึกดีอะไร แต่อย่างน้อยก็มีที่แกว่งแขนมากขึ้น
37.ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเดิม
38.ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เพราะทุกปัญหาแก้ไขได้
39.ถ้าไม่ลองก้าวจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองวิ่งได้

40.ตึกสูงระฟ้ามาจากก้อนอิฐ
41.ใช้ชีวิตอยู่กับความจริง ยอมรับสิ่งที่เป็น มองเห็นข้อดีคนอื่น หยัดยืนด้วยขาตัวเอง
42.เราจะรู้รสชาติของความสุขก็ต่อเมื่อเราผ่านความทุกข์มาก่อน
43.ปัญหามีไว้แก้ และต้องแก้ด้วยตัวเองไม่ใช่ยืมมือคนอื่นมาแก้
44.จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์คือความเชื่อใจ
45.ทุกคนมีคุณค่าเพียงแต่มีโอกาสแสดงคุณค่าไม่เท่ากัน
46.บางทีการได้เจอปัญหามันก็ดีเหมือนกัน
47.สิ่งที่ผ่านมาแล้วจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก
48.ไม่ว่าใครจะตายหรือหายไป สุดท้ายโลกก็ยังหมุนต่ออยู่ดี
49.น้ำตาให้ได้แค่ความเห็นใจ
50.ในการที่จะเริ่มต้นทำสิ่งใดทุกครั้งควรคิดถึงจุดจบด้วย
96  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: ถ้าวันนี้ไม่มีเสียง RDN แสดงว่าสัญญาเช่า หมด แล้ว เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 08:29:25 pm
ปรากฏการณ์ ใหม่ของ RDN ครับ ผมเข้าไปห้องวิทยุ แล้วครับมี แชท สอบถามสดด้วยครับ
ตอนนี้ สมาชิก หลายท่านอยู่ครับ

ขอบคุณ เว็บมาสเตอร์ และ ทีมงานมัชฌิมา จริง ๆ ครับ



 :25: :25: :25:
97  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: อ่านกระทู้ที่เก่า บางกระทู้ยังไม่มีใครอ่านช่วยตอบ กันบ้างนะจ๊ะ เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2011, 11:52:24 pm
อ่านด้วย โพสต์ด้วยก็ดีนะครับ

อ่านอย่างเดียว ไม่โพสต์กันบ้าง เดี๋ยวไม่มีเรื่องให้อ่านเพิ่มครับ

 :hee20hee20hee:
98  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: รู้ได้อย่างไรว่า ใครเป็นศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2011, 11:41:39 pm
พึ่งทราบครับ ว่า มีระดับ สมาิชิก ตามสีด้วยครับ
ถึงว่า ผมถึงได้เห็นบอร์ด เพิ่มมาด้วยครับ ถ้าไม่ Login ก็ไม่เห็นบอร์ด

 :13:
99  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: สัญญาณ RDN ไม่มี 1 ชม. คะ เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2011, 11:40:00 pm
น่าจะเป็นปัญหา เดิม ๆ นะครับ

  คือ 1. สัญญาณเน็ตไม่มี

      2. ไฟฟ้าดับ

 :s_hi:
100  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: เพิ่มเวลา รายการ RDN หรือคะ เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2011, 11:39:08 pm
อนุโมทนาสาธุ ครับ อย่างนี้คนจัดรายการ ก็ต้องนอนดึกด้วยสิครับ

 :s_hi: :25:
101  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สงกรานต์ คนเยอะจริง ๆ วันสุดท้าย เมื่อ: เมษายน 16, 2011, 09:54:31 pm
ศิษย์กรรมฐาน คนไหน ได้สรงน้ำพระอาจารย์บางคะ
หรือไม่มีใครได้พบพระอาจารย์ในช่วงสงกรานต์

 :25:

อาจจะเป็นเรื่องที่ศิษย์พระอาจารย์ คิดไม่ถึงก็ได้ครับ เรื่องนี้
 :67:
102  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ขอข้ามส่วน ขอขมา และ อธิษฐาน ได้หรือไม่ เมื่อ: เมษายน 10, 2011, 07:01:46 pm
ผมว่าในระบบการสอนกรรมฐาน กำหนดมาดีแล้วครับ ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงหรอกครับ

รักษาของเก่าไว้บ้างครับ เดี๋ยวเราจะเป็นผู้ไม่มีวัฒนธรรมนะครับ กลายเป็นแต่โลกาภิวัฒน์ กันอยู่ประจำ

วัฒนธรรมของไทย จะสูญหายไปนะครับ

 :91:
103  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: [น้ำท่วม] วัดทุ่งเซียด ภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ น้ำท่วมเดือนเมษายน ภาค2 เมื่อ: เมษายน 10, 2011, 06:59:36 pm
อนุโมทนากับคณะ ที่ช่วยเหลือผู้ประสพภัย โดยเฉพาะพวกที่หลุดจากการเข้าไปช่วยเหลือ

น่าเห็นใจครับ บริจาคเงินไปก็ไม่รู้จะถึงมือผู้ประสพภัยหรือไม่ ต้องไว้ใจหน่วยงานที่ไปทำต่อครับ

ส่วนตัวผมก็บริจาค ร่วมกับครอบครัวข่าว 3 ครับ

คงช่วยได้แค่นี้ครับ

 :08:
104  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: [ภาพ]ปริวาสกรรมประจำปี 2554 ณ วัดทุ่งเซียด [ในเบื้องต้น] มีเรื่องราวให้ตื่นเ เมื่อ: เมษายน 06, 2011, 07:25:57 pm


ภาพที่ชอบอีกภาพครับ แสดงถึงศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อกิจกรรมของวัดทุ่งเซียด ครับ
ภาพถ่ายคมชัด แสดงถึงความชำนาญเรื่องภาพ และกล้อง และการทำให้สอดคล้องกับเว็บครับ
105  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: [ภาพ]ปริวาสกรรมประจำปี 2554 ณ วัดทุ่งเซียด [ในเบื้องต้น] มีเรื่องราวให้ตื่นเ เมื่อ: เมษายน 06, 2011, 07:22:52 pm


ผมชอบภาพนี้มากครับ คนถ่ายจัดองค์ภาพได้ความหมายดีครับ

 ใช้บริการฝากไฟล์ภาพ ที่เว็บนี้ก็ได้นะครับ เป็นของเว็บ มัชฌิมา ฝากง่าย ๆ สำหรับสมาขิก

  http://www.kidmadchima.th.ht/

106  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สอบถาม เรื่องบุญ บาป หน่อยครับ เกี่ยวกับ วัด เมื่อ: เมษายน 04, 2011, 07:18:34 pm
เรื่องสินทรัพย์ ทางศาสนา นั้นพอคุณ sanwhan  ยกเรื่องน้ำ ไฟฟ้า ขึ้ันมาผมเองก็หนาว ไปวัดทีไร ก็ใช้ทั้งห้องน้ำ ใช้ทั้งไฟฟ้า เปิดพัดลม ได้อยู่อาศัยวัดภาวนาธรรม โอ้อย่างนี้เป็นหนี้สงฆ์มากกว่า เรื่องมะม่วงอีก นะนี่ อ่านแล้ว
รู้สึกว่าผมบางครั้ง ก็ไม่ได้ชำระหนี้สงฆ์ ไปอยู่ฟรี ภาวนาฟรี ไม่ได้บริจาคช่วยอะไรสักอย่าง ....

  ต้องไปชำระหนี้สงฆ์ เพิ่มแล้วครับ

  ....... :91: โธเอ๋ย โธ่เอ๋ย ไม่น่าเลยเรา

 :021:
107  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ในขณะที่ภาวนา มีใครรู้สึกร้อน ๆ บ้าง เมื่อ: เมษายน 01, 2011, 07:18:27 pm
เกี่ยวกับพระธรรมปีติ นี้มีการสอนในกรรมฐานให้ภาวนาคงอยู่ด้วยหรือครับ

เพราะบางท่านก็ติดอยู่แค่ปีติ ไม่เคลื่อนจิตไปสู่ สภาวะธรรม ที่ควรจะเป็นครับ

 :character0029:
108  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: เวลานั่ั่งภาวนาไปแล้ว เห็นแสงสว่างที่กลางกระหม่อม เป็นแสงสีขาว ติด ๆ ดับ ๆ เมื่อ: เมษายน 01, 2011, 07:16:37 pm
ผมว่า การภาวนาเพื่อที่จะเห็นนั่น เห็นนี่ น่าจะทำให้เสียเวลานะครับ คือผู้ที่มีความต้องการอย่างนี้

ด้วยประสพการณ์ ที่ผ่านมาในกลุ่มเพื่อน ๆ แล้วไม่มีใครประสพความสำเร็จ เลยนะครับ

 :021:

ควรจะวางอารมณ์ให้ถูกในการภาวนานะครับ

 :19:
109  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: เชิญร่วมโพสต์ ภาพไทยๆ อวยพรในวันปีใหม่ไทยกันบ้าง เมื่อ: มีนาคม 24, 2011, 04:48:04 pm


ช้าไปนิดครับ แต่ DVD พระอาจารย์มาไวกว่าผมโพสต์ครับ คือรับลิงก์แล้วยังไม่ได้โพสต์ครับ

ตอนแรกเข้าใจว่าพระอาจารย์จะลงภาพให้เลยครับ

 :25:
110  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ขอเชิญร่วมเข้าปฏิบัติธรรมประจำเดือนมีนาคม 26 - 27 มี.ค. 2554 วัดราชสิทธาราม เมื่อ: มีนาคม 24, 2011, 04:36:22 pm
ใกล้จะถึง กำหรดปฏิบัติธรรมพิเศษประจำเดือน ที่วัดราชสิทธาราม คณะ 5

อนุโมทนากับข่าวสาร ด้วยครับ
 
 :25:
111  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ถามเกี่ยวกับผู้ที่ชำนาญกสิณครับ คือฝึกแล้วภาพไม่ติดตาสักที เมื่อ: มีนาคม 04, 2011, 04:53:08 pm
การจับภาพนิมิต หรือภาพกสิณใดๆ ภาพจะชัดหรือไม่ชัด จะสว่างหรือไม่สว่าง

ไม่ได้อยู่ที่อาการเพ่ง หรืออาการของภาพ หมายความว่าอย่าสนใจในภาพ ที่เราจับอยู่

หรือนึกถึงอยู่ว่า เอะ! ไมเป็นแบบนั้น เอะ!ไมเป็นแบบนี้ ไห้สนใจที่กำลังใจ หรือใจของเรา

เป็นสำคัญนะครับ ใจยิ่งนิ่ง ใจยิ่งสงบ ภาพจะชัด จะแจ่มใจขึ้นเป็นลำดับ

อย่าสนใจในภาพ ดูความเปลี่ยนปลงของภาพ อย่างใจที่เป็นปกติ เท่านั้นพอ

แต่ไห้จำ ไห้สนใจความรู้สึกของใจเท่านั้น สังเกตดูนะครับ พอใจเราเริ่มสงบนิ่ง+ใจเป็นสุข

ภาพก็จะใสขึ้นตามมา ชัดเจนขึ้น เริ่มสว่างขึ้น อันนี้เข้าสู่อุปจรสมาธิแล้วนะ ถ้ากำลังใจ สงบระงับแนบแน่นลงไปได้อีก

ความเป็นประกายของภาพจะปรากฏขึ้น ถ้าฌาณหนึ่ง หรือประฐมฌาณ ภาพวงกลมที่เราจับ ขอบด้านนอกจะเป็นประกาย ยังไม่กินเข้าไปด้านใน
ที่เล่ามานี่ มันพึ่งจะจุ่มเองนะครับ

พึ่งจะเข้าสู่อัปมาสมาธิในเบื้องต้น ( เอาวงกลมภาพที่เราจับเป็นตัวตั้ง ถ้าเป็นประกายสว่าง หนึ่งในสี่=ฌาณหนึ่ง

เป็นประกายสองในสี่=ฌาณสอง เป็นประกาย สามในสี่=ฌาณสาม ถ้าเป็นประกายสว่างจ้า เต็มดวงภาพกสิณทั้งดวงนั่นแหละ

ฌาณสี่)

การฝึกที่จะไห้ได้ผล ของการจับภาพกสิณ ทุกเวลานาที ภาพที่เราตั้งใจจับไว้นั้น

ต้องอยู่กับใจเราตลอดเวลา นึกปุป เห็นปั๊บ หรือไม่ก็ทรงอยู่ในใจตลอดเวลา

จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน ไห้ภาพกสิณนั้น ติดตา ติดใจอยู่ตลอดเวลา ถ้าทำได้อย่างนี้แล้ว
สิ่งที่เราปราถนาไว้ จะสมประสงค์แน่นอน

อนุโมทนาครับ
112  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / ข้อธรรมดี ๆ เมื่อ: มีนาคม 03, 2011, 08:04:21 am
หลวงปู่ทิวา งานหลวงปู่หลุย 19 ธค 53


หลวงปู่อุทัย งานหลวงปู่หลุย 18 ธค 53


พระอาจารย์แบน งานหลวงปู่ฟัก 12 ธค 53


งานกฐินวัดป่ามณีกาญจน์ หลวงปู่อุทัย 24 ตค 53 เทศน์
http://www.mediafire.com/?wsv5jro4eob0qe8

ขอบคุณเจ้าของไฟล์ด้วยครับ

จากคุณ : look4images
113  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Re: E-book:หนังสือธรรมะขององค์หลวงตามหาบัว เมื่อ: มีนาคม 03, 2011, 08:02:18 am
หลวงตาบัว
19 ธค 49


11สค 53


12สค53


เพลงตามรอยบัว
114  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: มส.มีมติห้ามตัดคำว่า "วัด" ออกจากชื่อโรงเรียน เมื่อ: มีนาคม 03, 2011, 07:56:06 am
เห็นข่าวจากมติชนออนไลน์ " มส.กร้าว !!สั่งห้ามตัดคำว่า " วัด " ออกจากชื่อโรงเรียน ขู่ใครฝ่าฝืนไม่ให้ต่อสัญญาเช่าที่ธรณีสงฆ์ "

     ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่า เดี่ยวนี้โรงเรียนต่างๆเขานิยมตัดชื่อคำว่า โรงเรียนวัด.....โน้น..วัดนี้ ออกไปเหลือแต่เชื่อของโรงเรียนเต็มๆ ไม่ทราบว่าเป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการหรือเปล่า หรือว่าไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงเพราะอะไร เลยมีคำถามขึ้นในใจว่า

  ตัดคำว่า วัด  ออกไปแล้วทำให้เด็กเก่ง ฉลาดขึ้นหรือ??

  ตัดคำว่า วัด ออกไปแล้วทำให้เด็กได้เรียนสูงๆหรือ??

  ตัดคำว่า วัด ออกไปแล้วจะมีผลดีตรงใหนหรือ ??

  หรือว่า คำว่า วัด ทำให้คุณครูอาย นักเรียนอาย ผู้ปกครองอาย ??

นึกไม่ออกจริงๆว่า วัด นี้เมื่อตัดออกไปแล้ว คุณครู นักเรียน ผู้ปกครอง ได้ประโยชน์ตรงใหน หรือว่าแค่ป้ายชื่อ ทำให้สั้นลง

 วัด ทั้งในพุทธศาสนาและ ศาสนา อื่นเป็นแหล่งขัดเกลาจิตใจ เป็นแหล่งศูนย์รวมใจของคนไทยมาตั้งแต่บรรพบุรุษ วัดกับโรงเรียนแยกกันแทบไม่ออกเพราะว่า เป็นแหล่งขัดเหลาจิตใจคนเหมือนกัน แหล่งความรู้ แหล่งปลูกฝั่ง แหล่งสร้างคน วัดกับโรงเรียนจึงสร้างติดกันสมัยก่อนบางโรงเรียนก็เรียนในวัด เพราะว่าต้องการให้นักเรียนเรียนรู้ศีลธรรมไปพร้อมๆกับวิชาการ

 สมัยผมเรียนปฐมผมก็เรียนโรงเรียนวัด พอถึงเวลาศีลธรรมพระท่านก็มาสอนหรือไม่เราก็ยกขบวนไปเรียนกันในวัด วันพระวันสำคัญๆคุณครูก็จะพานักเรียนไปวัด วันศีลรับพรจะพระ เป็นสิ่งดีๆที่ซึมซับเข้าสู่เด็กโดยไม่รู้ตัว แล้วที่สำคัญก็ข้าวก้นบาตรนี้แหละ ทำให้เราโตจนปัจจุบันนี้

 แล้วทำไม กระทรวงศึกษาธิการ จึงคิดจะตัดคำว่า วัด ออกจากชื่อโรงเรียนหรือว่าปล่อยให้โรงเรียนตัดคำว่า วัด ออกไปโดยพลการ มันเสียหายตรงใหนเหรือครับ ที่มีคำว่า ว่าวัดติดกับชื่อโรงเรียนด้วย

มันไม่อินเตอร์หรือครับ หรือว่ามันไม่นานาชาติ เดี่ยวนี้ต้องโกอินเตอร์ ยุคนักเรียนนอก กระทรวงศึกษาธิการหรือว่าผู้บริหารโรงเรียนไม่เคยเรียนโรงเรียนวัด กลัวว่าเด็กๆจะเข้ามาเรียนน้อยเพราะว่าโรงเรียนวัด สู้ๆโรงเรียนที่ไม่มีชื่อวัดไม่ได้ เลยโอนบาปไปให้วัด

  ไม่รู้ว่าเอาอะไรไปคิด จนต้องให้ มส. ( มหาเถรสมาคม ) ต้องออกมาคัดค้าน  โรงเรียนบางโรงเรียนอยู่มาเป็นร้อยปี ส่วนใหญ่โรงเรียนที่มีวัดนำหน้าอยู่มานานแล้วทั้งนั้น

   วันดีคืนดี ก็จะตัดทิ่งไปเสียนี้ มันเสียหายมากมายเลยหรือครับท่านผู้บริหารทั้งหลาย..หรือว่ามันหนักหัวพวกท่านเลยตัดทิ้งไปเลย !

จากคุณ    : kullapun

ดูเพลงนี้ซิ นานแล้วนะเนี้ย

"เรียนเข้าไปลูกถึงลูกจะเรียนโรงเรียนวัด พ่อไม่มีเงินยัดลูกไปโรงเรียนดีดี"
http://www.siamzone.com/music/thailyric/index.php?mode=view&artist=!!a4d2c3d2bad2c7&song=!!c5d9a1cbd4b9

มันเป็นค่านิยม....
คนไทยกันเองนี้แหละ ส่วนใหญ่พอรู้ว่าจบโรงเรียนวัดก็ไปดูถูกเขา
เขาเลยเอาออกไง
เดี๋ยวนี้ จะให้เท่ห์ ต้อง โรงเรียนอินเตอร์ คนรวยเท่านั้นถึงส่งได้

ค่าเทอมแพงโคตร ศีลธรรมความดีไม่เน้น เน้น รวยๆๆ 555+

จากคุณ    : แมงกุ๊ดจี่

ค่านิยมคนไทยเปลี่ยนไป ยึดติดกับอะไรหรู ๆ เพราะความเจริญเข้ามามาก

ความจริงก็ไม่เห็นด้วย ที่จะให้เปลี่ยน แต่ถ้ามาสัมผัสจริงๆๆ

จบจากโรงเรียนวัด คนเมืองในสังคมส่วนใหญ่มักเหยียด

ทำอะไรมักไม่มีน้ำหนัก ด้อย รวมทั้งไม่เชื่อถือ ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ?

ขอย้อนไปถึงสมัยรับน้อง... , มีการแนะนำตัวว่าจบจากโรงเรียนอะไร ชื่ออะไร

เชื่อไหมพอเค้ารู้ว่าจบจากโรงเรียนอะไรข้อปฏิบัติจากรุ่นพี่เพื่อนร่วมรุ่นแตกต่างมาก

ลองจบพวกอัสสัม โรงเรียนคอนแวนต์ทั้งหลาย ได้รับการเอาใจใส่เอาอกเอาใจ น้องคนโน้น น้องนี่

มีแต่คนอยากคบค้าสมาคมด้วย

แต่ลองบอกจบการวัดโน้นวัดนี่!! แตกต่าง โรงเรียนรัฐบาลก็จะอีกเกรดนึง

ประเด็นคือ... มันไม่เกี่ยวกับชื่อสถาบัน แต่ตัวบุคคลได้รับผลกระทบ ถ้าเปลี่ยนคงเปลี่ยนค่านิยมนี้ไม่ได้

บางคนปากบอกไม่คิด ๆ ใจก็คิดอยู่ดี คนมีตังค์คนเ้ค้าพี่ ลองไม่มี ใครเค้าอยากจะมายุ่ง

นี่ก็คงเหมือนกันมั้งคะ....รู้สึกแย่ที่สังคมไทยเดี๋ยวนี้เป็นอะไรไม่รู้ เศร้า!!

จากคุณ    : Pol2yPock3T


สงสารเด็ก..
ต้องกลายเป็นหนูทดลองสำหรับดอกเตอร์ไทยหัวใจฝรั่ง
จึงไม่น่าแปลกที่ผลสำรวจคนยุคปัจจุบันยอมได้หากจะมีการโกงกินของผู้บริหารประเทศ
ขอเพียงตัวเองได้รับผลประโยชน์คืนกลับมาเข้ากระเป๋าตัวเองบ้าง
เรื่องคุณธรรมความดี..ไม่ต้องคำนึงถึงให้เสียเวลาและเปลืองสมอง

โรงเรียนวัดสมัยก่อนมีพระเป็นครูสอน..เน้นให้เด็กเป็นคนดีวิชาความรู้เป็นเรื่องรอง
แต่สมัยนี้เน้นความรู้เป็นหลัก..เด็กต้องเข้าสู่สนามแข่งขันตั้งแต่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
ต้องแบกตำรากันหลังแอ่น..เพื่อความสำเร็จเพื่อการแข่งขัน
แม้จะต้องเหยียบบ่าเพื่อนขึ้นไปก็กลายเป็นเรื่องปกติ
เพราะครูบาอาจารย์และเหล่าผู้บริหารในวงการศึกษา
หลายคนก็ทำแบบนี้ได้อย่างหน้าตาเฉย
กลายเป็นเยี่ยงอย่างให้เด็กเดินตาม..

ทหารเขาบอกว่า..ไม่มีพลทหารเลว..จะมีก็แต่ผู้บังคับบัญชาเท่านั้นที่เลว
(โทษฐานไม่ยอมสั่งสอนให้พลทหารเป็นทหารที่ดี)
กรณีนี้ก็เหมือนกัน..???



ที่มาคำวิจารณ์
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10295313/Y10295313.html
115  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: คำถามจากเมล "ท่านเป็นพระอรหันต์หรือ" เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2011, 08:31:07 pm
พระอาจารย์ตอบอย่างไม่ต้องให้ถามอีกเลยนะครับ
ผมเองก็ยังไม่เคยพบพระอาจารย์ แต่รู้สึกเลื่อมใส ประทับใจ

ตรงที่บอกให้ 

อ้างถึง
แ่ต่จงให้ความสำัคัญกับธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแสดงไว้เถิด ให้ความสำคัญกับพระกรรมฐาน มาก ๆ เถิด

สาธุ ครับ
116  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ทำไมคนยุคนี้ ต้องทำบุญ 9 วัดในหนึ่งวัน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2011, 10:21:18 pm
ความเพียรข้อที่ 3 ครับ

  ภาวนาปธาน สร้างกุศลให้เกิดขึ้นเป็นนิสัย ( แปลตามความเข้าใจนะครับ )

  อนุรักขนาปธาน รักษากุศลที่สร้างขึ้นไว้ให้คงอยู่ไม่หายไป

การทำบุญ 9 วัีดน่าจะสงเคราะห์ได้ใน 2 กรณีนี้นะครับ สำหรับชาวพุทธที่ศึกษาหลักธรรมอย่างผมก็พอ

จะนึกได้เท่านี้ก่อนเบื้องต้นครับ


  อุตสาหะ เพียร ขยัน สร้างนิสัยธรรม ครับ


 :25:
117  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: พุทโธ ใครก็ได้ช่วยผมที เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2011, 01:51:31 am
๏ การเดินจงกรม

เดินจงกรม ก็หมายถึง เปลี่ยนอิริยาบถนั่นเอง ให้เข้าใจว่า เดินจงกรมเพื่ออะไร ? (เพื่อ) เปลี่ยนอิริยาบถ คือนั่งนานมันเจ็บแข้งเจ็บขา บัดนี้ เดินหลาย (เดินมาก) มันก็เมื่อยหลังเมื่อยเอว นั่งด้านหนึ่ง เขาเรียกว่า เปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนให้เท่าๆกัน นั่งบ้าง นอนบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง อิริยาบถทั้ง ๔ ให้เท่าๆ กัน แบ่งเท่ากัน หรือไม่แบ่งเท่ากันก็ได้ เพราะว่าเราไม่มีนาฬิกานี่ น้อยมากอะไร ก็พอดีพอควร เดินเหนื่อยแล้ว ก็ไปนั่งก็ได้ นั่ง เหนื่อยแล้ว ลุกเดินก็ได้

เวลาเดินจงกรม ไม่ให้แกว่งแขนเอามือกอดหน้าอกไว้ หรือเอามือไขว้ไว้ข้างหลังก็ได้

เดินไปเดินมา ก้าวเท้าไปก้าวเท้ามา ทำความรู้สึก แต่ไม่ได้พูดว่า "ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ" ไม่ต้องพูด เพียงเอาความรู้สึกเท่านั้น

เดินจงกรม ก็อย่าไปเดินไวเกินไป อย่าไปเดินช้าเกินไป เดินให้พอดี

เดินไปก็ให้รู้...นี่เป็นวิธีเดินจงกรม ไม่ใช่ว่าเดินจงกรม เดินทั้งวันไม่รู้สึกตัวเลย อันนั้นก็เต็มทีแล้ว เดินไปจน ตาย มันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เดินอย่างนั้น

เดินก้าวไป ก้าวมา "รู้" นี่ (เรียก) ว่า เดินจงกรม

ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6013
118  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เมื่อเพื่อนมาขอคำปรึกษาด่วน เรื่องถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงาน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 17, 2011, 08:48:07 pm
ผมอยากแสดงความเห็นที่แตกต่างสักนิดได้ไหมครับ

คือเพื่อความยุติธรรม ตามหลักธรรมาธิปไตย นั้นควรฟังความทั้งสองฝ่าย ผมจึงขอเสนอความเห็นว่า
ตอนนี้ยังไม่ได้ต้องแต่ง ผมว่าสิ่งที่ควรทำก็คือ เปิดโอกาสให้ฝ่ายชายรู้จักเรา และ เรารู้จักฝ่ายชาย ก่อน
ดีกว่าไหมครับ ถ้าไปด้วยกันไม่ได้ ก็ค่อยถอยทีหลัง โดยคุยกันตรง ๆ กับฝ่ายชายเลย เชื่อว่าการคุย
ยกเลิกด้วยกันสองฝ่าย น่าจะดีกว่า ที่เราจะยกเลิกฝ่ายเดียว

 ผมเห็นเรื่องการคลุมถุงชน ที่ประสพความสำเร็จก็มาจาก พี่สาว ผมนี่แหละครับ เืชื้อสายจีน คนจีนเยาวราช
ครับ เตี่ย ตกลงกันไว้กับเพื่อนที่อยู่ที่ ฮ่องกง กันทั้งพี่สาว และ พี่เขยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก็อาศัยการดูตัว
พี่สาวผมตอนนี้ไปอยู่ที่ ฮ่องกง ชีวิต happy มากเพราะฝ่ายชายเอาใจตลอดมาเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้วจน
ทั้งคู่มีฐานะการเงิน มีเงินฝากร่วม 15 ล้านบาทแล้วขนาดทั้งคู่ไม่มีลูกนะครับ ก็มาขอลูกฝั่งไทยไปเป็นลูก
บุญธรรมกัน ผมว่าอาจจะดีก็ได้นะครับ ถ้าเราเปิดโอกาสให้ศึกษาอุปนิสัย ความไปด้วยกันได้หรือป่าว

ผมเชื่ออยู่อย่างว่า บุพเพสันนิวาส เป็นสิ่งที่พูดยาก เนื้อคู่กันแล้ว ก็ไม่แคล้วกันหรอก

ให้โอกาสฝ่ายชายด้วยครับ ศึกษาความเป็นไปได้ก่อน ขอให้คุณครูทำวิจัยเพิ่มอีกนิดครับ

 :08:
119  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีแก้ไสยดำ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 06:57:00 am
วิธีแก้ไสยดำ
ถาม : อาจารย์ครับ ไสยดำแก้อย่างไรครับ ?

ตอบ : ไสยดำ ถ้าหากว่าเราภาวนาไม่ต้องมากหรอก เอาแค่มากกว่า อุปจารสมาธิ นิดหนึ่ง หลวงพ่อ ท่านใช้คำว่า อุปจารฌาน ไม่ต้องถึง ปฐมฌาน หรอก

ถ้าเราทำได้ตั้งแต่อุปจารฌานขึ้นไปป้องกันได้แน่นอน แต่ห้ามเผลอ ถ้าจะเอาป้องกันจริงๆ ก็ควรจะไปรับยันต์เกราะเพชร เพราะว่าถ้าเรารับยันต์เกราะเพชรอยู่แล้วให้สวดมนต์เป็นการปลุกยันต์อยู่ทุกวัน ใครทำไสยศาสตร์ใส่เรามันจะย้อนกลับเจ้าของเขาหมด หรือไม่ก็หาผ้ายันต์เกราะเพชรมาแล้วตั้งใจสวดอิติปิโส ๓ ห้อง ทุกวัน อธิษฐานขอให้ช่วยคุ้มครองก็ได้ แต่อย่างที่เรียกว่า เราต้องขยัน คือ สวดมนต์เช้า-เย็นได้ยิ่งดี

ยันต์เกราะเพชรที่เป่าติดตัว นี่ดีตรงที่ว่าไม่หล่นหาย แต่ถ้าคุณกินเหล้าเมื่อไหร่เสื่อมเลย ขโมยของเขาเมื่อไหร่เสื่อมเลย

ส่วนผ้ายันต์ อาจจะหล่นหายได้ แต่คุณกินเหล้าไม่เสื่อม เลิกกินแล้วอาราธนาผ้ายันต์ใหม่ได้

ไสยศาสตร์จริงๆ ไม่น่ากลัว กำลังใจเขาคิดเบียดเบียนคนอื่นมันไม่มีตัวอุเบกขา มันก็เลยเข้าไม่ถึงที่สุดของอารมณ์จริงๆ แต่ว่ามันน่ากลัว เพราะว่าถึงขนาดเข้าไม่ถึงที่สุดนี่เขายังทำได้สารพัดเลย

ถาม : .................................

ตอบ : เรื่องของยันต์เกราะเพชร เราทำอย่างไรก็ทำไม่ได้หรอก ต้องรอพระท่านสงเคราะห์อย่างเดียว ถ้าท่านไม่ได้สั่งเสือกไปทำ โอกาสสำเร็จไม่มีหรอก เพราะฉะนั้นต้องรอ



สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
120  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: อยากทราบ วิธี ชนะความขี้เกียจ ในการภาวนาต้องทำอย่างไรคะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 06:14:44 am

ให้ทำอย่างนี้นะ ตอนตื่นนอนตอนเช้า พอลืมตาปุ๊บ ให้บอกตัวเองเลยว่า
วันนี้เราอาจจะตาย เราไม่รู้ได้ว่าจะอยู่หรือจะตาย ระลึกถึงความตายให้ได้อย่างนี้

แล้วเปลี่ยนมาเจริญกรรมฐาน ส่วนนี้ให้มากขึ้นครับ

แล้วหันกลับมานั่งกรรมฐาน สัก 5 -10 นาที พอสบาย ๆ ก่อนครับ
ไม่ต้องถึงกับเร่ง เอาเป็นเอาตาย ให้ได้

ทำอย่างสบาย ๆ สักครั้งละ 5 นาที แต่ทำบ่อย ๆ ครับ

การฝึกอย่างนี้เรียกว่า การฝึก วิทิศาสมาธิ คือฝึกแบบช้า ๆ น้อย ๆ ค่อย ๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ

 :25:
หน้า: 1 2 [3] 4 5