พิมพ์

[raponsan]

“พระสมเด็จย้อนยุค” เนื้อเก่า-เนื้อกรุ อิ่มบุญสร้างสมเด็จโตใหญ่ที่สุดในโลก

คอลัมน์ - เหนือลิขิตประกาศิตฟ้าดิน

ทุกวันนี้ชื่อเสียงและเกียรติคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) หรือ สมเด็จโต,หลวงปู่โต, ขรัวโต ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วสารทิศ ในฐานะอมตะเถราจารย์แห่งสยามประเทศ ผู้รังสรรค์ตำนาน “จักรพรรดิพระเครื่อง” นั่นคือ พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม และ พระสมเด็จบางขุนพรหม

ประวัติโดยสังเขป สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ท่านเกิดในเรือของมารดาชื่อ เกศ ซึ่งจอดเทียบท่าอยู่หน้าวัดไก่จ้น อ.ท่าหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๕ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีวอก จุลศักราช ๑๑๕๐ ตรงกับวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๓๑ โดยมารดาตั้งชื่อว่า โต ส่วนบิดาไม่มีหลักฐานว่าเป็นใคร เล่าลือว่าท่านเป็นบุตรคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่

ครั้น ด.ช.โต เติบใหญ่ ได้บรรพชาเป็นสามเณร พ.ศ. ๒๓๔๓ สามารถเล่าเรียนเขียนอ่านได้คล่องแคล่ว เป็นที่โปรดปรานของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๑ เมื่ออายุครบอุปสมบทปี พ.ศ. ๒๓๕๐ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปสมบทเป็นนาคหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) โดยมีสมเด็จพระพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “พรหมรังสี”

ภายหลังเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร พระภิกษุโต ได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ และได้สร้างปูชนียสถานในที่ต่าง ๆ  เอาไว้เป็นอนุสรณ์มากมาย เช่น พระพุทธไสยาศน์ วัดสะตือ ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา พระพุทธรูปหลวงพ่อโต วัดไชโย (วัดเกศไชโย) จ.อ่างทอง เป็นต้น ด้วยคุณงามความดีของท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ในปี พ.ศ. ๒๓๙๕ ที่ราชทินนาม “พระธรรมกิติ” และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร พระอารามหลวง

ขณะสิริอายุ ๖๕ ปี ต่อมา พ.ศ. ๒๓๙๗ ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ ในราชทินนาม “พระเทพกวี” และ พ.ศ. ๒๔๐๗ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ ในราชทินนามเต็มว่า “สมเด็จพระพุฒาจารย์ เอนกปรีชา วิสุทธศีลจรรยาสมบัติ นิพัทธุตคุณ สิริสุนทร พรตจาริก อรัญญิกคนฤศร สมณนิกรมหาปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลศีลขันธ์” แต่ลูกศิษย์และชาวบ้านทั่วไปมักเรียกท่านว่า “สมเด็จโต”

ในปี พ.ศ. ๒๔๑๐ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ได้เป็นประธานก่อสร้างปูชนียวัตถุครั้งสุดท้ายของท่าน คือ พระพุทธรูปหลวงพ่อโต (พระศรีอริยเมตไตรย) ที่วัดอินทรวิหาร (สมัยนั้นเรียกว่า วัดบางขุนพรหมใน) ทว่าก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ ก่อองค์พระได้เพียงพระนาภี (สะดือ) ท่านก็ถึงแก่กาลมรณภาพ บนศาลาเก่าวัดบางขุนพรหมใน ณ วันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก ตรงกับวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๕ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ความศรัทธาในเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โตนั้นเกิดขึ้นทุกแห่งทั่วสารทิศ ทำให้มีสร้างรูปหล่อเท่าขนาดองค์จริง รวมทั้งหล่อรูปเหมือนขนาดใหญ่ เพื่อให้สาธุชนกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคลกันมากมาย

วันนี้พุทธสถานมูลนิธิพุทธคยา อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ได้มีโครงการก่อสร้างรูปเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ความสูงรวมฐาน ๔๑.๙ เมตร หน้าตักกว้าง ๒๓.๙  เมตร โดยมี นายทวีเดช กิจกานนท์ ประธานมูลนิธิพุทธคยา และ “อาจารย์แจว” ณชพร ปานรักษา รองประธานมูลนิธิพุทธคยา ร่วมกันดำเนินงาน

โครงการนี้ยิ่งใหญ่มาก จึงต้องมีการระดมทุนทรัพย์มโหฬาร วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร (คณะ ๙) และมูลนิธิพุทธคยา ได้ร่วมจัดสร้าง สมเด็จวัดระฆังย้อนยุคเป็น พระสมเด็จพิมพ์พระประธานใหญ่เนื้อเก่าและเนื้อกรุ ทุกองค์บรรจุในกรอบทองพร้อมกล่องไม้สวยงามเพื่อมอบเป็นที่ระลึกแก่ผู้ศรัทธาร่วมทำบุญบริจาคเข้าโครงการนี้
               

เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๖ ได้จัดพิธีมหาพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร โดยมีเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำภาษีเจริญ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชฯ เป็นประธานในพิธี พระธรรมธีรราชมหามุนี เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร เป็นรองประธาน และพระเกจิชื่อดังร่วมกันอธิษฐานจิต อาทิ พระครูปริยัตยาธิคุณ วัดสะตือพุทธไสยาสน์ พระครูพิพิธพัชโรภาส เจ้าอาวาสวัดหนองเผาถ่าน พระครูพิพัฒน์วชิรปัญญาวุฒิ เจ้าอาวาสวัดนายาง ครูบาบุญช่วย พุทธคยา เป็นต้น

สนใจร่วมทำบุญได้ที่วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร (คณะ ๙) หรือที่พุทธสถานมูลนิธิพุทธคยา อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โทร.๐๘-๙๙๙๙-๒๑๙๕ และ๐๘-๙๙๙๙-๒๑๙๔ หรือที่ www.มูลนิธิพุทธคยา.com

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/article/1291/234230

[suchin_tum]

ขออนุโมทนาสาธุ