เมืองสาวัตถีแล้ว."
ท้าวเธอนำพระเถระไปสู่บรรณศาลา ที่กุฎุมพีผู้น้องชายทำเพื่อ
ประโยชน์แก่พระเถระนั่นเทียว นิมนต์ให้นั่งเหนือแผ่นกระดานแล้ว
จำแลงเป็นสหายที่รักไปสู่สำนักของกุฎุมพีจุลปาละ ตรัสร้องเรียกว่า
"แน่ะปาละผู้สหาย."
กุฎีมพีจุลปาละร้องถามว่า "อะไร ? สหาย."
ท. ท่านรู้ความที่พระเถระมาแล้วหรือ ?
จ. ข้าพเจ้ายังไม่รู้, ก็พระเถระมาแล้วหรือ ?
เทวราช ตรัสว่า "เออ สหาย ข้าพเจ้าไปวิหาร เห็นพระเถระ
นั่งอยู่ในบรรณศาลาที่ท่านทำ มาแล้วเดี๋ยวนี้เอง" ดังนี้แล้ว เสด็จ
หลีกไป.
ฝ่ายกุฎุมพีไปถึงวิหาร เห็นพระเถระแล้ว ร้องไห้กลิ้งเกลือก
อยู่ที่บาทมูล กล่าวว่า "ท่านผู้เจริญเจ้าข้า ข้าพเจ้าเห็นเหตุนี้แล้วจึง
ไม่ยอมให้ท่านบวช" ดังนี้เป็นต้นแล้ว ทำเด็กทาส ๒ คนให้เป็นไทย
ให้บวชในสำนักของพระเถระแล้ว สั่งว่า "ท่านทั้งหลาย จงนำเอา
ของฉันมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น มาจากภายในบ้านอุปัฏฐากพระ-
เถระ" ดังนี้แล้ว มอบให้แล้ว. สามเถรทั้งหลาย ก็ทำวัตรปฏิบัติ
อุปัฏฐากพระเถระแล้ว.
ภายหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในทิศ (ผู้อยู่ที่อื่น) มาสู่
พระเชตวัน ด้วยหวังว่า "จักเฝ้าพระศาสดา" ถวายบังคมพระศาสดา
เยี่ยมพระอสีติมหาเถระแล้ว เที่ยวจาริกอยู่ในวิหาร ถึงที่อยู่ของ
พระจักขุปาลเถระแล้ว มีหน้าตรงต่อที่นั้นในเวลาเย็น ด้วยหวังว่า
"จักดูแม้ที่นี้."
ในขณะนั้น มหาเมฆตั้งขึ้นแล้ว พวกเธอคิดว่า "เดี๋ยวนี้
เย็นแล้ว, และเมฆก็ตั้งขึ้นแล้ว, เราจักมาดูแต่เช้าเที่ยว" ดังนี้แล้ว
กลับไป. ฝนตกในปฐมยาม หยุดในมัชฌิมยาม. พระเถระเป็นผู้ (เคย)
ปรารภความเพียร เดินจงกรมเป็นอาจิณ; เหตุฉะนั้น จึงลงสู่ที่กรม
แล้วในปัจฉิมยาม. แลในกาลนั้น ตัวแมลงค่อมทอง (หรือแมลงเม่า)
เป็นอันมาก ตั้งขึ้นแล้ว บนพื้นที่ฝนตกใหม่. ตัวเหล่านั้น เมื่อพระ
เถระจงกรมอยู่ ได้วิบัติ (ตาย) โดยมาก.
พวกอันเตวาสิก ยังไม่ทันกวาดที่จงกรมของพระเถระ แต่เช้าตรู่.
ฝ่ายพระพวกภิกษุนอกนี้ มาด้วยหวังว่า "จักดูที่อยู่ของพระเถระ" เห็น
สัตว์ทั้งหลายในที่จงกรมแล้ว ถามว่า "ใครจงกรมในที่นี้." พวก
อันเตวาสิกของพระเถระตอบว่า "อุปัชฌาย์ของพวกกระผมขอรับ."
เธอทั้งหลายติเตียนว่า "ท่านทั้งหลายดูกรรมของสมณะเถิด ในกาล
มีจักษุท่านนอนหลับเสีย ไม่ทำอะไร, ในกาลมีจักษุวิกลเดี๋ยวนี้
ไว้ตัวว่า 'จงกรม' ทำสัตว์มีประมาณถึงเท่านี้ให้ตายแล้ว ท่านคิดว่า
'จักทำประโยชน์' กลับทำการหาประโยชน์มิได้."
พวกเธอไปกราบทูลพระตถาคตแล้วในขณะนั้นว่า "พระเจ้าข้า
พระจักขุปาลเถระ ไว้ตัวว่า 'จงกรม' ทำสัตว์มีชีวิตเป็นอันมาก
ให้ตายแล้ว."
พระศาสดาตรัสถามว่า "ท่านทั้งหลายเห็นเธอกำลังทำสัตว์มี
ชีวิตเป็นอันมากให้ตายแล้วหรือ ?"
ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า "ไม่ได้เห็น พระเจ้าข้า."
ศ. ท่านทั้งหลายไม่เห็นเธอ (ทำดังนี้) ฉันใดแล ถึงเธอก็ไม่
เห็นสัตว์มีชีวิตเหล่านั้น ฉันนั้น, ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าเจตนาเป็น
เหตุให้ตาย ของพระขีณาสพทั้งหลาย (คือบุคคลผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว)
มิได้มี.
ภ. พระเจ้าข้า เมื่ออุปนิสัยแห่งพระอรหัตมีอยู่ เหตุไฉน
ท่านจึงกลายเป็นคนมีจักษุมืดแล้ว.
ศ. ด้วยอำนาจกรรมอันตนทำไว้แล้ว ภิกษุทั้งหลาย
ภ. ก็ท่านได้ทำกรรมอะไรไว้แล้ว พระเจ้าข้า.
[บุรพกรรมของพระจักขุปาลเถระ]
พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนี้ ท่านทั้งหลาย
จงฟัง" ดังนี้แล้ว (ตรัสเล่าเรื่องว่า)
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพาราณสี ดำรงราชย์อยู่ในกรุง
พาราณสี หมอผู้หนึ่งเที่ยวทำเวชกรรมอยู่ในบ้างและนิคม เห็น
หญิงทุรพลด้วยจักษุคนหนึ่ง จึงถามว่า "ความไม่ผาสุกของท่านเป็น
อย่างไร ?"
หญิงนั้นตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่แลเห็นด้วยดวงตา."
หมอกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจักทำยาให้แก่ท่าน"
ญ. ทำเถิด นาย.
ม. ท่านจักให้อะไรแก่ข้าพเจ้า ?
ญ. ถ้าท่านอาจกระทำดวงตาของข้าพเจ้ากลับเป็นปกติได้,
ข้าพเจ้ากับบุตรและธิดา จักยอมเป็นทาสีของท่าน.
ม. รับว่า "ดีละ" ดังนี้แล้ว ประกอบยาให้แล้ว. ดวงตา
กลับเป็นปกติ ด้วยยาขนานเดียวเท่านั้น.
หญิงนั้นคิดแล้วว่า "เราได้ปฏิญญาแก่หมอนั่นไว้ว่า "จักพร้อม
ด้วยบุตรธิดา ยอมเป็นทาสีของเขา" ก็แต่เขาจักไม่เรียกเราด้วยวาจา
อันอ่อนหวาน เราจักลวงเขา." นางอันหมอมาแล้ว ถามว่า "เป็น
อย่างไร ? นางผู้เจริญ " ตอบว่า "เมื่อก่อน ดวงตาของข้าพเจ้า
ปวดน้อย เดี๋ยวนี้ปวดมากเหลือเกิน." หมอคิดว่า "หญิงนี้ประสงค์
ลวงเราแล้วไม่ให้อะไร ความต้องการของเราด้วยค่าจ้างที่หญิงนี้ให้แก่
เรามิได้มี, เราจักทำให้จักษุมืดเสียเดี๋ยวนี้" แล้วไปถึงเรือนบอก
ความนั้นแก่ภรรยา. เขาได้นิ่งเสีย. หมอนั้นประกอบยาขนานหนึ่งแล้ว
ไปสู่สำนักหญิงนั้น บอกให้หยอดว่า "นางผู้เจริญ ขอท่านจงหยอดยา
ขนานนี้." ดวงตาทั้ง ๒ ข้าง ได้ดับวูบแล้วเหมือนเปลวไฟ. หมอนั้น
ได้ (มาเกิด) เป็นจักขุปาลภิกษุแล้ว.
พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย กรรมที่บุตรของเราทำ
แล้วในกาลนั้น ติดตามเธอไปข้างหลัง ๆ, จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า บาป-
กรรมนี้ ย่อมตามผู้ทำไป เหมือนล้ออันหมุนตามรอยเท้าโคพลิพัท
(คือโคที่เขาเทียมเกวียนบรรทุกสินค้า) ตัวเข็นธุระไปอยู่" ครั้น
ตรัสเรื่องนี้แล้ว พระองค์ผู้เป็นพระธรรมราชา ได้ตรัสพระคาถานี้
สืบอนุสนธิ ดุจประทับพระราชสาสน์ ซึ่งมีดินประจำไว้แล้ว ด้วย
พระราชลัญจกรว่า
"ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่
สำเร็จและด้วยใจ, ถ้าบุคคลมีใจร้าย พูดอยู่ก็ดี
ทำอยู่ก็ดี, ทุกข์ย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น
ดุจล้อมหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่
ฉะนั้น."
[แก้อรรถ]
จิตที่เป็นไปในภูมิ ๔ แม้ทั้งหมด ต่างโดยจิตมีกามาวจรกุศลจิต
เป็นต้น ชื่อว่า "มโน" ในพระคาถานั้น, ถึงอย่างนั้น ในบทนี้
เมื่อนิยม กะ กำหนดลง ด้วยอำนาจจิตที่เกิดขึ้นแก่หมอนั้นในคราวนั้น
ย่อมได้จำเพาะจิต ที่เป็นไปกับด้วยโทมนัส ประกอบด้วยปฏิฆะ
(อย่างเดียว).
บทว่า ปุพฺพงฺคมา คือ ชื่อว่า มาตามพร้อมด้วยจิตนั้น อันเป็น
หัวหน้าไปก่อน.
บทว่า ธมฺมา คือ ชื่อว่า ธรรมเป็น ๔ อย่าง ด้วยอำนาจคุณ-
ธรรม เทศนาธรรม ปริยัติธรรม และนิสสัตตนิชชีวธรรม. ใน
ธรรม ๔ ประการนั้น ธรรมศัพท์นี้ในคำว่า
"ธรรมและอธรรม ๒ ประการ ให้ผลเหมือนกัน
หามิได้ อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อม
ให้ถึงสุคติ."
ดังนี้ ชื่อว่าคุณธรรม (แปลว่าธรรมคือคุณ). ธรรมศัพท์นี้ ใน
คำว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมงามเบื้องต้น แก่ท่าน
ทั้งหลาย" ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่าเทศนาธรรม (แปลว่าธรรมคือเทศนา)
ธรรมศัพท์นี้ ในคำว่า "ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง กุลบุตรบางจำพวกใน
โลกนี้ ย่อมเรียนธรรม คือสุตตะ เคยยะ" ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่า
ปริยัติธรรม (แปลว่าธรรมคือปริยัติ). ธรรมศัพท์นี้ ในคำว่า
"ก็สมัยนั้นแล ธรรมทั้งหลายย่อมมี ขันธ์ทั้งหลายย่อมมี" ดังนี้
เป็นต้น ชื่อว่านิสสัตตธรรม (แปลว่าธรรมคือสภาพที่มิใช่สัตว์)
นัยแม้ในบทว่า "นิชชีวธรรม" (ซึ่งแปลว่าธรรมคือสภาพมิใช่ชีวิต)
ก็ดุจเดียวกัน. ในธรรม ๔ ประการนั้น นิสสัตตธรรมหรือนิชชีธรรม
พระศาสดาทรงประสงค์แล้วในที่นี้. นิสสัตตธรรมหรือนิชชีวธรรม
นั้น โดยความก็อรูปขันธ์ ๓ ประการ คือ "เวทนาขันธ์ สัญญา-
ขันธ์ สังขารขันธ์," เหตุว่าอรูปขันธ์ ๓ ประการนั่น ชื่อว่ามีใจเป็น
หัวหน้า เพราะใจเป็นหัวหน้าของอรูปขันธ์ ๓ ประการนั่น.
มีคำถามว่า "ก็ใจ มีวัตถุเดียวกัน มีอารมณ์เดียวกัน เกิด
ในขณะเดียวกัน พร้อมกับธรรมเหล่านั้น ไม่ก่อนไม่หลังกว่ากัน
ชื่อว่าเป็นหัวหน้าของธรรมเหล่านั้นอย่างไร ?"
มีคำแก้ว่า "ใจ ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าของธรรมเหล่านั้น ด้วย
อรรถว่า เป็นปัจจัยเครื่องยังธรรมให้เกิดขึ้น." เหมือนอย่างว่า เมื่อ
พวกโจรเป็นอันมาก ทำโจรกรรมมีปล้นบ้านเป็นต้นอยู่ด้วยกัน เมื่อมี
ใครถามว่า "ใครเป็นหัวหน้าของพวกมัน ?" ผู้ใดเป็นปัจจัยของพวก
มัน คืออาศัยอยู่ใดจึงทำกรรมนั้นได้ ผู้นั้นชื่อทัตตะก็ตาม ชื่อ
มัตตะก็ตาม เขาเรียกว่าหัวหน้าของมัน ฉันใด ; คำอุปไมยซึ่งเป็น
เครื่องให้อรรถถึงพร้อมนี้ บัณฑิตพึงรู้แจ้ง ฉันนั้น. ใจชื่อว่าเป็นหัวหน้า
ของธรรมทั้งหลายนั่น ด้วยอรรถว่า เป็นปัจจัยเครื่องยังธรรมให้เกิดขึ้น
ฉะนี้ เหตุนั้น ธรรมทั้งหลายนั่น จึงชื่อว่ามีใจเป็นหัวหน้า, เพราะเมื่อ
ใจไม่เกิดขึ้น ธรรมเหล่านั้นย่อมไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้. ฝ่ายใจ ถึง
เจตสิกธรรมบางเหล่าแม้ไม่เกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นได้แท้. อนึ่ง ใจชื่อว่า
เป็นใหญ่ของธรรมทั้งหลายนั่น ด้วยอำนาจเป็นอธิบดี เหตุนั้น ธรรม
ทั้งหลายนั่นจึงชื่อว่ามีใจเป็นใหญ่ เหมือนอย่างว่า ชนทั้งหลายมีโจรผู้
เป็นหัวโจกเป็นต้น ผู้เป็นอธิบดี ได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ของชนทั้งหลายมีโจร
เป็นต้น ฉันใด, ใจผู้เป็นอธิบดี ได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ของธรรมเหล่านั้น
ฉันนั้น, เหตุนั้น ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่ามีใจเป็นใหญ่. อนึ่ง
สิ่งทั้งหลายนั้น ๆ เสร็จแล้วด้วยวัตถุมีไม้เป็นต้น ก็ชื่อว่าของสำเร็จแล้ว
ด้วยไม้เป็นต้น ฉันใด, แม้ธรรมทั้งหลายนั่น ได้ชื่อว่าสำเร็จแล้ว
ด้วยใจ เพราะเสร็จมาแต่ใจ ฉันนั้น.
บทว่า ปทุฏฺเน คือ อันโทษมีอภิชฌาเป็นต้นซึ่งจรมา
ประทุษร้ายแล้ว. จริงอยู่ ใจปกติชื่อว่าภวังคจิต, ภวังคจิตนั้น
ไม่ต้องโทษประทุษร้ายแล้ว. เหมือนอย่างว่า น้ำใสเศร้าหมองแล้ว
เพราะสีทั้งหลายมีสีเขียวเป็นต้นซึ่งจรมา (กลับ) เป็นน้ำต่างโดย
ประเภทมีน้ำเขียวเป็นต้น จะชื่อว่าน้ำใหม่ก็มิใช่ จะชื่อว่าน้ำใสตาม
เดิมนั่นแลก็ใช่ ฉันใด, ภวังคจิตแม้นั้น อันโทษมีอภิชฌาเป็นต้น
ที่จรมาประทุษร้ายแล้ว จะชื่อว่าจิตใหม่ก็มิใช่ จะชื่อว่าภวังคจิต
ตามเดิมนั่นแลก็มิใช่ ฉันนั้น, เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่มันเศร้าหมองแล้ว เหตุอุปกิเลส
ทั้งหลายซึ่งจรมาแล" ดังนี้. ถ้าบุคคลมีใจร้ายแล้วอย่างนี้.
บาทคาถาว่า ภาสติ วา กโรติ วา คือ เขาเมื่อพูดเฉพาะ
แต่วจีทุจริต ๔ อย่าง. เมื่อทำ ย่อมทำ เฉพาะแต่กายทุจริต ๓ อย่าง,
เมื่อไม่พูด เมื่อไม่ทำ เพราะความที่ตัวเป็นผู้มีใจอันโทษมีอภิชฌา
เป็นต้นประทุษร้ายแล้วนั้น ย่อมทำมโนทุจริต ๓ อย่างให้เต็ม. อกุศล-
กรรมบถ ๑๐ อย่างของเขา ย่อมถึงความเต็มที่ ด้วยประการอย่างนี้.
บาทพระคาถาว่า ตโต น ทุกฺขมเนฺวติ ความว่า ทุกข์ย่อม
ตามบุคคลนั้นไป เพราะทุจริต ๓ อย่างนั้น คือว่า ทุกข์ที่เป็นผล
ทั้งเป็นไปในกาย ทั้งเป็นไปในจิต โดยบรรยายนี้ว่า "ทุกข์มีกาย
เป็นที่ตั้งบ้าง ทุกข์มีจิตนอกนี้เป็นที่ตั้งบ้าง" ย่อมไปตามอัตภาพ
นั้น ผู้ไปอยู่ในอบาย ๔ ก็ดี ในหมู่มนุษย์ก็ดี เพราะอานุภาพแห่ง
ทุจริต.
มีคำถามว่า "ทุกข์ย่อมติดตามบุคคลนั้นเหมือนอะไร ?"
มีคำแก้ว่า เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าของโคพลิพัท
ไปอยู่ อธิบายว่า "เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าของโคพลิพัท
อันเขาเทียมไว้ที่แอก นำแอกไปอยู่ เหมือนอย่างว่า มันลากไป
วันหนึ่งก็ดี สองวันก็ดี ห้าวันก็ดี สิบวันก็ดี กึ่งเดือนก็ดี
ย่อมไม่อาจให้ล้อหมุนกลับ คือ ไม่อาจละล้อไปได้, โดยที่แท้เมื่อ
มันก้าวไปข้างหน้า แอกก็เบียดคอ (ของมัน), เมื่อมันถอยหลัง
ล้อก็ขูดเนื้อที่ขา, ล้อเบียดเบียนด้วยเหตุ ๒ ประการนี้ หมุนตาม
รอยเท้าของมันไป ฉันใด , ทุกข์ทั้งที่เป็นไปทางกาย ทั้งที่เป็นไป
ทางจิต อันมีทุจริตเป็นมูล ย่อมติดตามบุคคลผู้มีใจร้ายแล้ว
ทำทุจริต ๓ ประการให้เต็มที่อยู่ ในที่เขาไปแล้วนั้น ๆ มีนรกเป็น
ต้น ฉันนั้นแล."
ในกาลจบคาถา ภิกษุสามพันรูป ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วย
ปฏิสัมภิทาทั้งหลาย. เทศนาได้เป็นกถามีประโยชน์มีผลแม้แก่บริษัท
ผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องพระจักขุปาลเถระ จบ.