ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - raponsan
หน้า: 1 ... 491 492 [493] 494 495 ... 556
19681  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เชิญร่วม "ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ" ที่ วัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์) เมื่อ: ธันวาคม 18, 2012, 12:48:41 pm

     
    ท่านที่จะมาวัดเขาวง ควรมาตั้งแต่วันที่ ๒๙-๓๐ ธันวาคม
    เพราะจำนวนคนเข้าพักจะมีมาก ประมาณ ๕๐๐ คน
    หากประสงค์ความสะดวกใครมีเต๊นท์นอนส่วนตัวก็นำติดตัวมาด้วยจะดีมาก
    แต่การนอนพักก็ยังเป็นไปตามระเบียบของสำนัก คือ แยกหญิง-ชาย ไม่อนุญาตให้นอนเต๊นท์เดียวกัน
    ผู้หญิงนอนอาคารและศาลาต่างๆ ผู้ชายนอนเขตสังฆาวาสและศาลาข้างอุโบสถ
    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานกลางวัดเขาวง โทร. ๐๓๖ ๓๔๗-๗๓๐


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.watkhaowong.com/
19682  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / สถานที่จัดกิจกรรม "สวดมนต์ข้ามปี 2556" เมื่อ: ธันวาคม 18, 2012, 12:28:13 pm

สถานที่จัดกิจกรรม "สวดมนต์ข้ามปี 2556"

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย เตรียมจัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” เป็นครั้งที่ 3 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมกันสร้างมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ที่ผ่านมา ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ประธานคณะกรรมการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เปิดเผยว่า ในปี 2555 นี้ ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของคนไทยทุกคน ที่จะได้ร่วมกันเฉลิมฉลองปีพุทธชยันตี และที่สำคัญ คือ จะได้สวดมนต์ถวายพระพรชัยมงคล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 85 พรรษา

โดยภายในงานดังกล่าวจะมีการสวดมนต์หลายบทด้วยกัน อาทิ บทสวดมนต์อิติปิโส บทโพชฌังคะปริตร และบทพระคาถาถวายพระพรชัยมงคล ภูมิพลมหาราชวรัสสะ ชัยมงคลคาถา ซึ่งเป็นบทสวดมนต์ เพื่อขอถวายพระพรชัย ขอพระองค์ทรงเจริญพระชนมายุยิ่งยืนนาน มีพระพลานามัยสมบูรณ์ทรงพระเกษมสำราญ ปราศจากภัยพิบัติ และขอพระองค์ทรงสถิตสถาพรอยู่ในมไหศวรรยาธิปัตย์เป็นศูนย์รวมใจของพสกนิกรชาวไทยถ้วนหน้า

ดังนั้น สสส. ขอเชิญประชาชนทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ มาร่วมกันสร้างมหากุศลถวายแด่พ่อหลวง และเพื่อเป็นการต้อนรับปีใหม่ 2556 ด้วยการตั้งจิตอธิษฐานให้เกิดความ เป็นสิริมงคล ความเจริญรุ่งเรือง ความสุขสวัสดี แก่ประเทศชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย

โดยให้กิจกรรมนี้เป็นทางเลือกที่ดีในการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แทนการสังสรรค์ เคาท์ดาวน์ ดื่มเหล้า เหมือนที่นิยมทำกันมา และให้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญในการสร้างความรักความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่คนไทย



ศ.นพ.อุดมศิลป์ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่หวังจะทำสิ่งดี ๆ เพื่อเป็นการส่งท้ายปีเก่า และเริ่มก้าวเข้าสู่ปีใหม่ด้วยความเป็นมงคลของชีวิต สามารถเดินทางไปร่วมกิจกรรมได้ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานครสนามหลวง และจังหวัดตัวแทนภาคทั้ง 4 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น,ภาคตะวันออก จ.ฉะเชิงเทรา และภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช รวมถึงวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่หากไม่สะดวกเดินทางก็สามารถสวดมนต์ที่บ้านได้เช่นกัน

ทั้งนี้ กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีเป็นอีกกิจกรรมที่สามารถทำกันได้ทั้งครอบครัว และถือเป็นอีกกิจกรรมหนึ่ง ที่ผู้คนยุคนี้ให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเชื่อกันว่า การสวดมนต์ข้ามปี จะช่วยนำพาความเป็นศิริมงคลมาให้ หรือเป็นเสมือนการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ด้วยความบริสุทธิ์ ผ่องใส ทั้งกาย และใจ ซึ่งวัดหลายแห่งทั่วประเทศได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา รายชื่อวัดที่จะมีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี 2556 มีดังนี้

ภายในกรุงเทพ
- วัดศรีบุญเรือง บางกะปิ กรุงเทพฯ : วันที่ 31 ธันวาคม 2555 - 1 มกราคม 2556
- วัดสังข์กระจาย เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ : วันที่ 31 ธันวาคม 2555 - 1 มกราคม 2556
- ยุวพุทธิกสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ เขตภาษีเจริญ จ.กรุงเทพฯ : วันที่ 31 ธันวาคม 2555 - 1 มกราคม 2556
- วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ : วันที่ 31 ธันวาคม 2555 - 1 มกราคม 2556


ต่างจังหวัด
- ต้นบุญธรรมสถาณ จ.ชลบุรี : วันที่ 31 ธันวาคม 2555 - 1 มกราคม 2556
- วัดป่าปฐมชัย ต.หนองปากโลง อ.เมือง จ.นครปฐม : วันที่ 31 ธันวาคม 2555 - 1 มกราคม 2556
- สำนักปฎิบัติ "แสงธรรมส่องชีวิต" ต.โคกแย้ อ.หนองแค จ.สระบุรี : วันที่ 28 ธันวาคม 2555 - 2 มกราคม 2556
- วัดใหญ่ชัยมงคล จ.อยุธยา : วันที่ 30 ธันวาคม 2555 - 2 มกราคม 2556
- วัดปัญญานันทาราม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี : วันที่ 31 ธันวาคม 2555 - 1 มกราคม 2556
- ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จ.ปทุมธานี : วันที่ 31 ธันวาคม 2555 - 1 มกราคม 2556



รายชื่อวัดที่จัดงานเมื่อปีที่แล้วในเขตกรุงเทพ(คาดว่าปีนี้น่าจะจัดอีก)
1. วัดยานนาวา เขตสาทร
2. วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เขตป้อมปราบฯ
3. วัดภาษี เขตวัฒนา กทม.
4. วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เขตบางขุนเทียน
5. วัดชัยพฤกษ์มาลา เขตตลิ่งชัน
6. วัดสุวรรณประสิทธิ์ เขตบึงกุ่ม
7. สมาคมส่งเสริมความดีสากล
8. วัดทุ่งลานนา เขตประเวศ กทม.
9. วัดพรหมวงศาราม เขตดินแดง
10. วัดเทพลีลา เขตบางกะปิ
11. วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน
12. วัดเจริญธรรมาราม เขตสายไหม
13. วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร เขตดุสิต
14. วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร
15. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร
16. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร
17. วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์
18. วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์
19. วัดบางเตย เขตบึงกุ่ม
20. วัดชัยชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร
21. วัดมหรรณพารามวรวิหาร เขตดุสิต
22. วัดพิชัยญาติการามวรวิหาร เขตบางกอกน้อย
23. วัดอุดมรังสี เขตหนองแขม
24. วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก เขตห้วยขวาง
25. วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบฯ ฯ
26. วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต เขตบางเขน
27. วัดราชสิงขร บางคอแหลม
28. วัดดาวดึงษ์ เขตบางพลัด
29. วัดมหาพฤฒารามวรวิหาร เขตบางรัก
30. วัดธรรมมงคล เขตพระโขนง
31. วัดหัวลำโพง เขตบางรัก
32. วัดบางโพโอมาวาส เขตบางซื่อ
33. วัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ
34. วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร
35. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร
36. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เขตดุสิต
37. วัดประยุรวงศาวาส เขตธนบุรี
38. วัดกัลยาณมิตร เขตธนบุรี
39. วัดราชคฤห์ เขตธนบุรี
40. วัดจันทร์ประดิษฐาราม เขตตลิ่งชัน
41. วัดราชสิทธาราม เขตบางกอกใหญ่
42. วัดนาคกลาง เขตบางกอกใหญ่
43. วัดใหม่พิเรนท์ เขตบางกอกใหญ่
44. วัดสุวรรณคีรี เขตบางกอกน้อย
45. วัดเทพนารี เขตบางพลัด
46. วัดดอนเมือง เขตดอนเมือง
47. วัดเวฬุวนาราม เขตดอนเมือง
48. วัดเวฬุวนาราม เขตดอนเมือง
49. วัดราชโอรสาราม เขตจอมทอง
50. วัดนางนอง เขตจอมทอง
51. วัดทองนพคุณ เขตคลองสาน
52. วัดอัปสรสวรรค์ เขตภาษีเจริญ
53. วัดอุดมรังสี เขตหนองแขม
54. วัดคู้บอน เขตคลองสามวา
55. วัดบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ
56. วัดบุณยประดิษฐ์ เขตบางแค
57. วัดหนองจอก เขตหนองจอก


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://doodoung-2556.blogspot.com/
board.palungjit.com/f17/สถานที่จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี-2556-a-397270.html
http://inter.tourismthailand.org/,http://www.buriramtime.com/,http://img.kapook.com/
19683  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / วธ.ชวนสวดมนต์ข้ามปี 9 วัดดัง สักการะ 9 พระปฏิมา รับมงคลปีใหม่ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2012, 12:12:00 pm


วธ.ชวนสวดมนต์ข้ามปี 9 วัดดัง สักการะ 9 พระปฏิมา รับมงคลปีใหม่

วธ.จัดสวดมนต์ข้ามปี 9 วัดดัง ชวนคนไทยพร้อมใจถวายในหลวง กรมศิลป์อัญเชิญพระพุทธรูปโบราณ เปิดให้คนไทยสักการะ 9 พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน รับมงคลปีใหม่ ด้าน ขสมก.ขยายเวลาเดินรถผ่าน 9 วัดสำคัญ จนถึง 02.00 น. ...


เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่ห้องประชุมดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จัดแถลงข่าวเปิดตัวกิจกรรม ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธและวิถีธรรม 4 ศาสนา และงานฤกษ์ดีปีใหม่ไหว้พระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน ประจำปี 2556 นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2556 วธ.ได้จัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่า
    เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา รวม 3 กิจกรรม โดยกรมการศาสนา (ศน.) จัดโครงการวิถีธรรม ส่งเสริมให้ศาสนิกแต่ละศาสนาปฏิบัติธรรมตามหลักของแต่ละศาสนามาใช้ในชีวิต


     ทั้งนี้ ศาสนาพุทธ จะมีการจัดสวดมนต์ข้ามปี ในวัดสำคัญ 9 แห่งในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่
     วัดบวรนิเวศวิหาร วัดสุทัศเทพวราราม วัดยานนาวา วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ วัดไตรมิตรวิทยาราม
     วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัดราชาธิวาสวิหาร วัดอรุณราชวราราม และวัดชนะสงคราม
     และจะมีการจัดพิธีดังกล่าวในอีก 5,000 วัดทั่วประเทศ ส่วนอีก 3 ศาสนา ได้แก่ คริสต์ ซิกข์ และพราหมณ์-ฮินดู จะมีการปฏิบัติศาสนากิจตามหลักศาสนา หรือสวดมนต์ข้ามปี ตามศาสนาสถานต่างๆ ด้วย



นายสนธยา กล่าวต่อว่า สำหรับกรมศิลปากร ได้จัดกิจกรรมฤกษ์ดีปีใหม่ไหว้พระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน โดยในปีนี้ได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญที่ได้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติพระนคร มาให้ประชาชนได้สักการะ บริเวณพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ จำนวน 9 องค์ ได้แก่
     1.พระพุทธสิหิงค์ เป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย-ล้านนา สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.700 ซึ่งมีความเชื่อว่าหากได้กราบสักการะจะเกิดสิริมงคลทั้งปวง
     2.พระเจ้า 5 พระองค์นาคปรก ศิลปะรัตนโกสินทร์ มีความเชื่อว่า จะปกป้องสิ่งไม่ดีทั้งปวง
     3.พระแก้วมรกตหยกรัสเซีย ศิลปะรัตนโกสินทร์ เชื่อว่าจะประสิทธิโชคและโภคทรัพย์
     4.พระไภษัชยคุรุ ศิลปะลพบุรี เชื่อว่าจะดลบันดาลให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
     5.พระหายโศก ศิลปะล้านนา เชื่อว่าจะไม่มีทุกข์โศก   
     6.พระชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ เชื่อว่าจะอำนวยฤทธิ์อำนาจแห่งชัยชนะ
     7.พระทองคำปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยา เชื่อว่าผู้สักการะจะได้มีความปราดเปรื่องทางปัญญา
     8.พระแก้วขาว ศิลปะรัตนโกสินทร์ เชื่อว่าผู้บูชาจะประสบความเจริญรุ่งเรือง และ
     9.หลวงพ่อนาก ศิลปะล้านนา มีความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านแคล้วคลาดเภทภัยทั้งปวง



     “กรมศิลปากร ได้อัญเชิญพระพุทธรูปองค์ใหม่รับปี 2556 มาให้ประชาขนสักการะ 5 องค์ ได้แก่
     พระเจ้าห้าพระองค์นาคปรก พระแก้วมรกต พระชัย พระทองคำปางมารวิชัย พระแก้วขาว
     และส่วนอีก 4 องค์เป็นพระคู่บ้านคู่เมืององค์สำคัญมาให้ประชาชนได้สักการะทุกปี ได้แก่ พระพุทธสิหิงค์ พระไภษัชยคุรุ พระหายโศก หลวงพ่อนาก รวมเป็น 9 องค์
     ซึ่งเลข 9 เป็นเลขแห่งความมงคลของความก้าวหน้า โดยกรมศิลปากร ได้เปิดให้ประชาชนได้มาสักการะตั้งแต่วันที่ 1-31 ม.ค. 2556 ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น.”
รมว.วัฒนธรรม กล่าว

นายสนธยา กล่าวอีกว่า ขณะที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ได้จัดทำบัตรอวยพรออนไลน์ โดยได้คัดเลือกภาพจากศิลปินแห่งชาติ จำนวน 12 ภาพ อาทิ นายกมล ทัศนาญชลี นายประเทือง เอมเจริญ นายพิชัย นิรันดร์ มาเป็น อี-การ์ด เพื่อส่งอวยพรปีให้แก่บุคคลที่รักและเคารพ ผ่านเว็บไซต์ www.culture.go.th และที่เว็บไซต์ kapook.com ได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค. 2555-31 ม.ค. 2556

ทางด้าน นายสุริยะ สาเอี่ยม ผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 3 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กล่าวว่า
     ในวันสวดมนต์ข้ามปี 9 วัดดังในกรุงเทพฯ ในคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2555 ถึงวันที่ 1 ม.ค. 2556
     ทาง ขสมก.ได้มีการขยายเวลาการเดินรถจากปกติออกไปอีก 3 ชั่วโมง หรือประมาณตี 2
     รวมทั้งจะปล่อยรถให้มีความถี่มากขึ้น

     ดังนั้น ประชาชนที่ไปร่วมพิธีสวดมนต์ข้ามปีวัดดังกล่าว หมดความกังวลไปเลยว่าจะไม่มีรถกลับบ้าน ตนขอยืนยันว่ามีรถกลับบ้านอย่างแน่นอน.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/313888
http://ed.files-media.com/
19684  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / อริยบุคคลระดับใด...จำเป็นต้องบวช.? เมื่อ: ธันวาคม 18, 2012, 11:57:59 am


อริยบุคคลที่ต้องรีบบวช

ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้

คำถาม : อยากทราบว่าในพระไตรปิฎกมีกล่าวไว้หรือไม่ว่า อริยบุคคลระดับใด ที่จะอยู่ในเพศฆราวาสไม่ได้ จะต้องบวชทันที หรือภายใน 7 วัน มิฉะนั้นจะต้องละจากโลกนี้ไปทันที จะต้องเป็นระดับ อรหัตตมรรคขึ้นไปใช่หรือไม่

ได้ลองตั้งกระทู้ผ่านบาง web มีผู้ให้คำตอบว่า................
    " เท่าที่ทราบ ก็บอกว่า ระดับพระอเสกขะเท่านั้น ที่ต้อง ห่มจีวร เป็นภิกษุ เพราะ ในความเห็นของผมนะ เนื่องจากการเพ่งโทษ พระอรหันต์ นั้น ผลคือบาปหนัก ท่านจึงเมตตา ท่านจึงต้องเปลี่ยนเป็นห่มจีวร คนทั่วไปจะได้ไม่บาป ว่ากันว่า กายปุถุชนไม่บริสุทธิ์พอ ท่านจึง ห่มจีวร หรือไม่ก็ ละสังขาร ไป "

แต่เท่าที่ทราบ ระดับพระอเสกขะ ก็คือผู้ที่อยู่ในระดับพระอรหันต์ขึ้นไป แสดงว่า คำตอบของคำถามที่ถามมาก็คือ ถ้าผู้ใดสำเร็จอรหัตตมรรค หรือ อรหัตตผล จะต้องบวชทันที ตามที่เข้าใจใช่หรือไม่ เพราะตอนนี้กำลังถกปัญหานี้กับเพื่อนอยู่ เพราะเพื่อนเข้าใจว่า ต้องเป็นระดับอนาคามีขึ้นไป ที่จะครองเพศฆราวาสไม่ได้ มิฉะนั้น จะต้องละสังขารจากโลกนี้ทันที
     ช่วยตอบข้อสงสัยนี้ให้ด้วยนะคะ



ตอบ : ผู้ที่ต้องรีบบวชทันทีนั้นก็มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นครับ สำหรับอรหัตตมรรคบุคคลนั้นยังจัดเป็นเสกขบุคคลอยู่ และเนื่องจากว่าเป็นอยู่เพียงแค่ขณะจิตเดียวก็เข้าสู่อรหัตตผล คือเป็นพระอรหันต์
     ดังนั้น ในทางปฏิบัติแล้ว คงกล่าวไม่ได้ว่าอรหัตตมรรคบุคคลต้องรีบบวชนะครับ
     เพราะเวลาเพียงแค่ขณะจิตเดียวนั้นบวชไม่ทันอยู่แล้ว


ในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็เช่น เมื่อภัททชิกุมารบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามบิดาของภัททชิกุมารว่า วันนี้บุตรของท่านควรจะบรรพชา หรือควรจะปรินิพพาน (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ด้านล่างของเรื่องนี้ครับ)

ส่วนอนาคามีบุคคลนั้นไม่จำเป็นต้องบวชครับ ตัวอย่างในพระไตรปิฎกเช่น จิตตคฤหบดี ก็เป็นอนาคามีบุคคล แต่ก็ยังถือเพศเป็นคฤหัสถ์ ไม่ได้บวชเป็นภิกษุนะครับ (มีรายละเอียดอยู่ในอรรถกถานิคัณฐสูตรที่ ๘ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ ว่า "จิตตคฤหบดี เป็นอริยสาวกชั้นอนาคามีบุคคล" ครับ)

     ส่วนเหตุผลที่พระอรหันต์ต้องรีบบวชนั้น ตามความเห็นส่วนตัวแล้ว
     ผมคิดว่าเป็นเพราะท่านไม่มีความยึดมั่นสิ่งใดแล้ว จึงไม่มีแรงกระตุ้นอะไรให้ท่านอยู่ในทางโลกอีกต่อไป
     ไม่ว่าจะเป็น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือญาติพี่น้อง ครอบครัว ทรัพย์สมบัติ ฯลฯ
     ท่านมองเห็นแต่ทุกข์โทษ ที่เกิดจากการครอบครองสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ และจากการแสวงหาสิ่งใหม่ๆ



ดังนั้น ชีวิตทางโลกซึ่งท่านมองไม่เห็นประโยชน์สำหรับตัวท่านเอง และทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น (เผยแพร่ศาสนา) ได้น้อย จึงเป็นสิ่งที่คับแคบสำหรับท่านมาก ดังนั้น การปรินิพพานจึงประเสริฐกว่า ดังนั้น พระอรหันต์ที่ไม่ได้บวชจึงปรินิพพาน อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ

รายละเอียดเรื่องที่พระอรหันต์ครองเพศฆราวาสไม่ได้ ต้องรีบบวชมีดังนี้ครับ

อรรถกถามหาปนาทชาดกที่ ๔ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 115 (ข้อความจากหน้าที่ 117)
..... ชาวพระนครทั้งสิ้นพากันสดับพระธรรมกถาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น. ภัททชิกุมารนั้นกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงมา แม้เราก็จักฟังธรรม แล้วประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวงเข้าไปพร้อมด้วยบริวารใหญ่ ยืนฟังพระธรรมกถาอยู่ท้ายบริษัท ยังสรรพกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไป. บรรลุพระอรหัต (เป็นพระอรหันต์ - ธัมมโชติ) อันเป็นผลชั้นเลิศ.


     พระศาสดาตรัสเรียกภัททิยเศรษฐีมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนมหาเศรษฐี บุตรของท่านประดับประดาตกแต่งแล้วฟังธรรมกถาได้ดำรงอยู่ในพระอรหัต เพราะฉะนั้น วันนี้ บุตรของท่านควรจะบรรพชา หรือควรจะปรินิพพาน.

     ภัททิยเศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กิจด้วยการปรินิพพานแห่งบุตรของข้าพระองค์ย่อมไม่มี ขอพระองค์จงให้บุตรของข้าพระองค์นั้นบรรพชาเถิด พระเจ้าข้า .....


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.dhammathai.org/treatment/nivorn/nivorn31.php
http://upload.wikimedia.org/,http://dou.us/,http://1.bp.blogspot.com/
19685  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา.! เปิดตัวสะพานแขวนสูงสุดของโลก สัมผัส "ความสุดเสียว-เย็นยะเยือก" (ชมคลิป) เมื่อ: ธันวาคม 18, 2012, 11:37:29 am


ฮือฮา เปิดตัวสะพานแขวนสูงสุดของโลก
สัมผัส"ความสุดเสียว-เย็นยะเยือก"เหนือยอดเขาดัง (ชมคลิป)

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สวิตเซอร์แลนด์ได้ทำการเปิดสะพาน"The Titlis CliffWalk"แขวนเดินเท้าเหนือเทือกเขาแอลป์ ที่ถือเป็นสะพานแขวนสูงที่สุดของโลก โดยอยู่เหนือแผ่นน้ำแข็งเหนือเทือกเขาแอลป์ราว 15,000 ฟุต นอกจากนี้ สะพานแห่งนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นสะพานที่น่ากลัวที่สุดในโลก เนื่องจากเป็นสะพานที่ชวนให้ต้องขนลุกเมื่่อต้องข้ามเพราะความสูงมาก และสภาพอากาศที่หนาวเย็น

    รายงานระบุว่า สะพานแห่งนี้ใช้เวลา 5 เดือนในการสร้าง และยังเป็นสะพานแขวนที่สูงที่สุดของยุโรป
    โดยอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 9,000 ฟุต ยาว 330 ฟุต แต่กว้างเพียง 3 ฟุต และใช้งบประมาณสร้าง 1 ล้านยูโร
    โดยถูกสร้างเพื่อฉลองครบรอบ 100 ปี การเปิดการเชื่อมเคเบิลระหว่างเมืองเอ็นเกลเบิร์กและเกอร์ชาเนียบ
    อย่างไรก็ตาม ขณะที่มีพิธีเปิดสะพาน เกิดพายุหิมะใหญ่ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นทัศนะวิสัยเบื้องล่างใด ๆ ได้


ด้านเจ้าหน้าที่รายหนึ่งบอกว่า ทุกคนรู้สึกประทับมากกับสะพานแห่งนี้ และขณะมีพิธีเปิด มีพายหิมะ ทำให้การเดินบนสะพานดังกล่าวกลายเป็นเรื่องผจญภัยสำหรับทุกคนโดยปริยาย









ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355731097&grpid=01&catid=&subcatid=




เผยแพร่เมื่อ 17 ธ.ค. 2012 โดย nathaponson
19686  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 100 อันดับโรงเรียนที่ "ดีที่สุดในประเทศไทย"...ล่าสุดปี 2012 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2012, 11:18:28 am


100 อันดับโรงเรียนที่ "ดีที่สุดในประเทศไทย"...ล่าสุดปี 2012
ที่มา : เว็บไซต์ dek-d.com

100 อันดับโรงเรียนที่ดีที่สุดในประเทศไทย
ลำดับโรงเรียนในประเทศไทยที่ดีที่สุดโดยวัดจากผลเอนทรานซ์ โควตารับตรงโอลิมปิกวิชาการ

      1. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
      2. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
      3. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
      4. โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนีย์)
      5. โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย
      6. โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง
      7. โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา
      8. โรงเรียนสาธิต มศว. ปทุมวัน
      9. โรงเรียนอัสสัมชัญ
    10. โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่


    11.โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
    12.โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จ.อุดรธานี
    13.โรงเรียนสตรีวิทยา
    14.โรงเรียนเทพศิรินทร์
    15.โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี
    16.โรงเรียนสาธิต ม.เชียงใหม่
    17.โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่
    18.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช
    19.โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย
    20.โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



   21.โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
    22.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
    23.โรงเรียนนครสวรรค์
    24.โรงเรียนหอวัง
    25.โรงเรียนวัดสุทธิวราราม
    26.โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
    27.โรงเรียนสุราษฎร์ธานี
    28.โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จ.ขอนแก่น
    29.โรงเรียนสตรีวิทยา2
    30.โรงเรียนพิริยาลัย จ.แพร่


    31.โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย
    32.โรงเรียนสาธิต ม.ขอนแก่น
    33.โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จ.เพชรบุรี
    34.โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย
    35.โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.ตรัง
    36.โรงเรียนสาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ.ปัตตานี
    37.โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว
    38.โรงเรียนโยธินบูรณะ
    39.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี
    40.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย



    41.โรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน
    42.โรงเรียนนารีรัตน์ จ.แพร่
    43.โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
    44.โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จ.นนทบุรี
    45.โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย
    46.โรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา
    47.โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จ.ยะลา
    48.โรงเรียนศึกษานารี
    49.โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จ.พิษณุโลก
    50.โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร


    51.โรงเรียนสตรีศรีน่าน จ.น่าน
    52.โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย
    53.โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี
    54.โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนด์
    55.โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา
    56.โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม
    57.โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการ
    58.โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์
    59.โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.สตูล
    60.โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์



  61.โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล
    62.โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนีย์)2
    63.โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
    64.โรงเรียนชลราษฎรอำรุง
    65.โรงเรียนดาราวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
    66.โรงเรียนพัทลุง
    67.โรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคม
    68.โรงเรียนลำปางกัลยาณี
    69.โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย
    70.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ บดินทรเดชา


    71.โรงเรียนสุรวิทยาคาร จ.สุรินทร์
    72.โรงเรียนเซนต์โยเชฟคอนแวนด์
    73.โรงเรียนบูรณะรำลึก จ.ตรัง
    74.โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม
    75.โรงเรียนสารคามวิทยาคม จ.มหาสารคาม
    76.โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี
    77.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
    78.โรงเรียนระยองวิทยาคม
    79.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทรบุรี
    80.โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม




เผยแพร่เมื่อ 13 เม.ย. 2012 โดย NoMoneyNoGirlfriend


    81.โรงเรียนทวีธาภิเศก
    82.โรงเรียนชลกันยานุกูล
    83.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎนครปฐม
    84.โรงเรียนมารีย์วิทยา จ.นครราชสีมา
    85.โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย
    86.โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.มุกดาหาร
    87.โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม
    88.โรงเรียนสายน้ำผึ้ง
    89.โรงเรียนเบญจมราชาลัย
    90.โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช

    91.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎพระนครศรีอยุธยา
    92.โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ จ.เพชรบุรี
    93.โรงเรียนศรียาภัย จ.ชุมพร
    94.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ หอวัง นนทบุรี
    95.โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ.อุดรธานี
    96.โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี
    97.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช
    98.โรงเรียนสาธิต(พิบูลย์บำเพ็ญ) ม.บูรพา
    99.โรงเรียนวิสุทธังษี จ.กาญจนบุรี
  100.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355738179&grpid=01&catid=&subcatid=
http://www.enn.co.th/,http://i110.photobucket.com/,http://www.foobarsystem.com/
19687  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตามรอยพุทธศาสนา..สู่เนปาล "สมโภชพระพุทธเจ้าน้อย" เมื่อ: ธันวาคม 18, 2012, 10:46:45 am


ตามรอยพุทธศาสนา..สู่เนปาล "สมโภชพระพุทธเจ้าน้อย"

รายงานพิเศษ
เมื่อประมาณปี พ.ศ.236 (416 ปี นับจากวันประสูติของพระพุทธเจ้า) พระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จมายังลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล ตามคำแนะนำของพระอุปคุตเถระว่า สถานที่แห่งนี้คือที่ประสูติจากพระครรภ์มารดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นหนึ่งในสังเวชนียสถานสี่แห่งที่พระพุทธองค์รับสั่งกับพระอานนท์ก่อนจะปรินิพพานว่า ให้เป็นสถานที่แทนตัวพระพุทธองค์ภายหลังเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว เพื่อให้พุทธบริษัทมาสักการะและปลงธรรมสังเวช


พระเจ้าอโศกมหาราชจึงทรงให้สร้างเสาหินอโศกและพระสถูปไว้เป็นสัญลักษณ์ เพื่อให้พุทธ ศาสนิกชนรุ่น หลังได้รับรู้และมาสักการบูชาสังเวชนียสถานแห่งนี้ได้อย่างถูกต้อง แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ร้อยปี ลุมพินีสถาน กลับถูกปล่อยให้รกร้างมาเกือบ 20 ศตวรรษ โดยไม่มีผู้ใดเข้าไปบำรุงรักษา ซ้ำเสาหินอโศกที่สร้างขึ้น ได้หายลับไปกับกาลเวลา ก่อนจะมีผู้ขุดพบอีกครั้ง เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. พ.ศ.2438

กระทั่งเมื่อปีพ.ศ.2513 อูถั่น ชาวพม่า เลขาธิการองค์การสหประชาชาติในขณะนั้น ผลักดันโครงการพัฒนาลุมพินีให้เป็นโครงการขององค์การสหประชาชาติเป็นผลสำเร็จ และตั้งคณะกรรมการระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาลุมพินีขึ้น ประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศที่นับถือพุทธศาสนา 13 ประเทศ ร่วมเป็นกรรมการ โดยทำแผนแม่บทพัฒนาลุมพินีสถานให้เป็นพุทธอุทยานขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่นับหมื่นเอเคอร์

อย่างไรก็ตามเมื่อกาลเวลาผ่านไปแล้วกว่า 40 ปี จนถึงทุกวันนี้การพัฒนาลุมพินีตามแผนแม่บทที่วางไว้ก็ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก จนเมื่อคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย มีโอกาสไปสักการบูชาลุมพินีสถานเมื่อปีพ.ศ.2553 ได้เห็นความ ทรุดโทรมของสังเวชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

จึงทำเรื่องขออนุญาตบูรณปฏิสังขรณ์บริเวณ "สวนอันศักดิ์สิทธิ์" ของลุมพินี ในนามประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย
แผนงานดังกล่าวได้รับการตอบอนุญาตจากกองทุนพัฒนาลุมพินี ให้ดำเนินการบูรณะปรับปรุงบริเวณ "สวนอันศักดิ์สิทธิ์" และได้รับอนุมัติแบบจากคณะกรรมการมรดกโลก

โดยแบ่งโครงการก่อสร้างเป็น 3 ระยะด้วยกัน คือระยะที่ 1 และระยะที่ 2 บูรณะเสาหินอโศก ก่อสร้างทางเดินรอบสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก่อสร้างทางเดินรอบวิหารมายาเทวี และก่อสร้างลานปฏิบัติธรรม 5 ลาน


                                                                    1.ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน
                                                                    2.คณะจากประเทศไทย
                                                                    3.เสาหินอโศก
                                                                    4.พระสงฆ์ที่มาปฏิบัติธรรมในสวนลุมพินี
                                                                    5.พระพุทธเจ้าน้อยจำลอง
                                                                    6.เจ้าคุณราชรัตนรังสี เทศนาธรรมใต้ต้นมหาโพธิ์
                                                                    7.รอยพระพุทธบาทในวิหารมายาเทวี
                                                                    8.ภายในวิหารมายาเทวี
                                                                    9.แห่พระพุทธเจ้าน้อยรอบเจดีย์โพธินาถ

โครงการระยะที่ 1 และระยะที่ 2 นั้น ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้วด้วยพลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวไทย

ส่วนโครงการระยะที่ 3 เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปีพ.ศ.2555 ประกอบด้วย การก่อสร้างพระพุทธรูปปางประสูติ "พระพุทธ เจ้าน้อย" สร้างถนนจากบริเวณลานจอดรถเข้าสู่ "สวนศักดิ์สิทธิ์" จุดที่สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าประสูติ ความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร พร้อมทางเดินทั้ง 2 ข้าง สร้างลานประดิษฐานพระพุทธเจ้าน้อย และสร้างอาคารอเนกประสงค์ พร้อมห้องพยาบาลและห้องสุขา

เมื่อวันที่ 23-25 พ.ย.2555 คุณหญิง สุดารัตน์ ในฐานะประธานโครงการ นำคณะ ผู้แสวงบุญและสื่อมวลชน กว่า 200 คน เดินทางสู่สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า เพื่อร่วมวางศิลาฤกษ์ฐาน "พระพุทธเจ้าน้อย" ณ ลุมพินีสถาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการบูรณปฏิสังขรณ์ และร่วมพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดไทยลุมพินี

โดยจุดแรกที่ประเทศเนปาล คณะพุทธศาสนิกชนจากประเทศไทย เดินทางไปยังพระมหาเจดีย์โพธินาถ พระมหาเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเนปาล มีอายุกว่า 1,500 ปี ที่องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อ พ.ศ.2522

เพื่อร่วมพิธีสมโภชพระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) องค์จำลอง ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการบูรณปฏิสังขรณ์ ลุมพินีสถาน ครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ โดยมีขบวนแห่พระพุทธเจ้าน้อยองค์จำลอง อย่างยิ่งใหญ่ รอบมหาเจดีย์โพธินาถ ท่ามกลางพระสงฆ์จากประเทศไทยและประเทศเนปาล และพุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวพื้นเมืองเนปาลกว่า 500 ท่าน ร่วมในขบวนแห่

จากนั้นในวันที่ 24 พ.ย. คณะพุทธ ศาสนิกชนจากประเทศไทยได้เดินทางสู่ลุมพินีสถาน เพื่อชมสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ประกอบด้วย วิหารมายาเทวี สระโบกขรณี เสาหินอโศก ที่สร้างขึ้นโดยพระเจ้าอโศกมหาราช ลานปฏิบัติธรรมใต้ต้นมหาโพธิ์ ซึ่งยังอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์และศรัทธาแห่งองค์ศาสดาของพุทธศาสนา

โดยเฉพาะวิหารมายาเทวี ซึ่งภายในมีแผ่นศิลาที่มีรอยคล้ายรอยเท้าเด็กประทับอยู่ และจากการตรวจสอบพบว่ารอยเท้าดังกล่าว มี อายุราวๆ 2,000 กว่าปี จึงเป็นไปได้ว่า แท่นศิลานี้ อาจจะเป็นพื้นดินแต่เดิมสมัยพุทธกาล และรอยประทับที่คล้ายรอยเท้าเด็ก น่าจะเป็นรอยพระบาทของพระกุมารสิทธัตถะ เมื่อคราวแรกประสูติ


                                                                    1.วางศิลาฤกษ์ฐานพระพุทธเจ้าน้อย
                                                                    2.ทางเดินที่ปรับปรุงแล้ว
                                                                    3.เส้นทางที่ได้รับการบูรณะ

กระทั่งช่วงเย็นท่านเจ้าคุณราชรัตนรังสี ประธานสงฆ์วัดไทยลุมพินี นำคณะร่วมประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ เจริญจิตตภาวนา และเวียนเทียน รอบวิหารมายาเทวี เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและร่วมถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และร่วมถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะอัครศาสนูปถัมภกของปวงชนชาวไทย

ต่อมาในวันที่ 25 พ.ย. คณะกรรมการโครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติพระพุทธเจ้า นำโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นำคณะร่วมประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ฐาน ที่จะประดิษฐานองค์พระโพธิสัตว์ สิทธัตถะราชกุมาร ขนาดความสูง 3.55 เมตร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโครงการบูรณปฏิสังขรณ์ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ในระยะที่ 3 ณ สวนอันศักดิ์สิทธิ์ ลุมพินีสถาน

การดำเนินการในครั้งนี้เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในวโรกาสที่พระพุทธศาสนามีอายุครบ 2,600 ปี ในปีพ.ศ.2555 และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสมหามงคล 60 ปี ราชาภิเษก และ 84 พรรษามหาราชาโดยมีท่านเจ้าคุณราชรัตนรังสี เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในการประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ถือเป็นโชคดีของชาวไทยเพราะการบูรณปฏิสังขรณ์ในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่การดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งแรกโดย พระเจ้าอโศกมหาราชเมื่อประมาณ 2,300 ปีก่อน และการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งที่ 2 โดยท่านอูถั่น ในนามขององค์กรสหประชาชาติเมื่อ 40 ปีก่อน และในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 2554 ปีที่ชาวไทยมีโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติ

คุณหญิงสุดารัตน์ขยายความด้วยว่า ที่สำคัญที่สุดของการเดินทางมาครั้งนี้คือพิธีวางศิลาฤกษ์ฐานพระโพธิสัตว์ สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) ที่หล่อด้วยสำริด ซึ่งจะมีความคงทนนานนับพันปี

โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างครั้งนี้เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของการบูรณะสถานที่ประสูติของพระพุทธ เจ้า ครั้งที่ 3 นับจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน เช่นเดียวกับเสาหินอโศกที่พระเจ้าอโศกมหาราช จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์การบูรณะครั้งที่ 1

"การบูรณะครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้เกิดขึ้นจากพลังศรัทธาของ พุทธศาสนิกชนชาวไทย เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนาและถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยจะเชิญพระปรมาภิไธยขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระนามาภิไธยของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถที่ฐานพระพุทธเจ้าน้อย เป็นการประกาศให้ชาวโลกได้รับทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก"



     ประธานโครงการยังกล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการระยะที่ 3 ด้วยว่า มีความราบรื่นและรุดหน้าอย่างรวดเร็ว
     ขณะนี้ได้ก่อสร้างถนนทางเข้ามหาวิหารมายาเทวีเสร็จแล้วเกือบ 90%
     ปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในการดำเนินงานทั้งการขนส่งอุปกรณ์และการก่อสร้าง ได้รับการแก้ไขไปในทางที่ดี

     คาดว่าโครงการระยะที่ 3 จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในช่วงต้นปีหน้า
     และเมื่อแล้วเสร็จทั้ง 3 เฟส ก็จะทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยและทั่วโลกที่เดินทางไปสถานที่ประสูติ ได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น


     ในส่วนของการหล่อองค์พระพุทธเจ้าน้อยนั้น คาดว่าจะเเล้วเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2556
     โดยจะเชิญชวนพุทธศาสนิกชนชาวไทยทุกท่านมาร่วมกันหล่อองค์พระพุทธเจ้าน้อย
     ก่อนที่จะนำองค์พระพุทธเจ้าน้อยมาประดิษฐานยังประเทศเนปาล

หลังพิธีวางศิลาฤกษ์ฐานแล้วเสร็จคณะผู้แสวงบุญจากประเทศไทยได้ร่วมริ้วขบวนแห่ ผ้าพระกฐินพระราชทาน ในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินให้คณะกรรมการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติพระพุทธเจ้า โดยส.ส. สมพล เกยุราพันธุ์ อัญเชิญมาทอดถวายแด่พระสงฆ์ผู้อยู่ จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดไทยลุมพินี

ในโอกาสนี้ คณะกรรมการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติพระพุทธเจ้า ได้ถวายองค์พระโพธิสัตว์ สิทธัตถะราชกุมาร ขนาดความสูง 0.88 เมตร เพื่อประดิษฐาน ณ วัดไทยลุมพินี เพื่อเป็นที่สักการะของพุทธศาสนิกชนอีกด้วย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU5UY3lORFExTWc9PQ==&sectionid=
http://www.amuletat7.com/
19688  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา.! เผาสรีระ 'หลวงพ่อประสิทธิ์' 3 ครั้ง..ไม่ไหม้ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2012, 10:26:13 am


เผาสรีระ 'หลวงพ่อประสิทธิ์' 3 ครั้งไม่ไหม้

ฮือฮา! เผาสรีระ 'หลวงพ่อประสิทธิ์' 3 ครั้ง ไม่ไหม้ ชาวบ้านเชื่อเป็นปาฏิหาริย์ ลูกศิษย์มีมติใส่โลงแก้วเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้นมัสการ


17 ธ.ค.55 ที่ศาลาการเปรียญวัดทับปรูพัฒนาราม ตำบลทับหมัน อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ได้มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากเดินทางไปนมัสการสรีระสังขารของหลวงพ่อประสิทธิ์ อุฎฐายี อดีตเจ้าคณะตำบลวังสำโรง และอดีตเจ้าอาวาสวัดทับปรูพัฒนาราม ซึ่งมรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา สิริอายุรวม 80 ปี

ซึ่งคณะศิษยานุศิษย์ได้เก็บรักษาสรีระสังขารไว้เป็นเวลานานกว่า 3 ปี และในได้เคลื่อนสรีระสังขารของหลวงพ่อประสิทธิ์ ไปประกอบพิธีฌาปนกิจที่บริเวณ ฌาปณสถานของวัดทับปรูเมื่อเวลา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2555 ท่ามกลางพุทธศาสนิกชนจากหลายจังหวัดทั่วประเทศจำนวนหลายพันคนเดินทางมาร่วมประกอบพิธี

      แต่หลังจากประกอบพิธีประชุมเพลิงแล้ว ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของวัดได้พยายามจุดไฟ
       แต่จุดเท่าไหร่ไฟก็ไม่ยอมลุกไหม้โลงที่บรรจุสรีระสังขารของหลวงพ่อแต่อย่างใด
       แต่ไฟกลับลุกไหม้ดอกไม้จันท์ที่มีพุทธศาสนิกชนนำไปวางบนเชิงตะกอนไปจนหมด
       ทั้งๆ ที่สัปเหร่อของวัดประกอบพิธีครบทุกขั้นตอนแล้ว แต่ก็ไฟก็ไม่ยอมลุกไหม้โลงเหมือนกับการฌาปนกิจศพทั่วไป


       ทำให้คณะสงฆ์ของทางวัดรวมถึงคณะศิษยานุศิษย์ จึงมีความเห็นร่วมกันให้เคลื่อนย้ายโลงที่บรรจุสรีระสังขารของหลวงพ่อออกจากเชิงตะกอน แล้วนำขึ้นไปยังบนศาลาการเปรียญ พร้อมกับเคลื่อนย้ายสรีระสังขารของหลวงพ่อไปบรรจุในโลงแก้วใส เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบนมัสการ



      ทางด้านนายต่อศักดิ์ กุลนานันท์ สจ. ตะพานหิน จังหวัดพิจิตร กล่าวว่า เป็นปฎิหารย์ยิ่งนัก ซึ่งตนก็มาร่วมในการเผาสรีระหลวงพ่อประสิทธิ์ ซึ่งมีการจุดไฟเผาถึง 3 ครั้ง แต่ไฟนั้นเผาแต่ดอกไม้จันส่วนโรงและสรีระหลวงพ่อประสิทธิ์นั้นไม่ยอมไหม้ ซึ่งน่าแปลกใจมาก ไม่ใช่แต่ตน แต่ประชาชนที่มาร่วมเผาสรีระหลวงพ่อประสิทธิ์ ก็ แปลกใจไปตามกันทุกคนเชื่อว่าเป็นปฎิหารของหลวงพ่อ

       สำหรับหลวงพ่อประสิทธิ์ อุฎฐายี อดีตเจ้าคณะตำบลวังสำโรงทับปรู เป็นพระนักปฏิบัติธรรม ที่เคร่งครัดในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ครั้งแรกตั้งแต่ตอนอายุ 20 ปี และศึกษาธรรมะเรื่อยมาจนสามารถสอบเลื่อนชั้นเป็นเจ้าคณะตำบล อีกทั้งยังมีลูกศิษย์หลากหลายอาชีพให้ความเคารพเลื่อมใสนับถือศรัทธา การมรณภาพของหลวงพ่อประสิทธิ์ นำซึ่งความโศกเศร้าเสียใจของพุทธศาสนิกชน เพราะเป็นการสูญเสียของวงการพระสงฆ์ครั้งสำคัญ

       และเมื่อนำไปประกอบพิธีฌาปนกิจแล้ว แต่ไฟที่จุดกลับไม่ยอมลุกไหม้โลงที่บรรจุสรีระสังขารของหลวงพ่อประสิทธิ์ ทำให้เจ้าอาวาสวัดทับปรูพัฒนารามและคณะศิษยานุศิษย์ จึงมีความเห็นร่วมกันว่าจะไม่ประกอบพิธีฌาปนกิจอีกแล้ว แต่จะเก็บรักษาสรีระสังขารของหลวงพ่อประสิทธิ์ตลอดไป เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้มานมัสการขอพรตลอดไป



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121217/147401/เผาสรีระหลวงพ่อประสิทธิ์3ครั้งไม่ไหม้.html#.UM_ghazjrRd
19689  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / "ปล่อยกู้โหด ขูดรีดดอกเบี้ย"...ได้รับวิบากกรรมเช่นไร.? เมื่อ: ธันวาคม 17, 2012, 11:23:15 am


กฎแห่งกรรม : ขูดรีดขูดเนื้อ

มีพุทธศาสนสุภาษิตกล่าวไว้ว่า “ปจฺฉา ตปฺปติ ทุกฺกฏํ” แปลว่า ความชั่วย่อมเผาผลาญในภายหลัง
   
     เพราะขึ้นชื่อว่าความชั่วนั้น เมื่อทำแล้ว ย่อมต้องให้ผลชั่วตอบแทนแก่ผู้ทำแน่นอน อย่าคิดว่าทำกรรมชั่วเล็กๆน้อยๆเลย เพราะถ้าทำบ่อยๆ ก็จะสั่งสมมากขึ้นได้ และเมื่อนั้นกรรมชั่วก็จะได้โอกาสสนองแก่ผู้กระทำให้ประสบภัยพิบัติเคราะห์กรรมนานาประการ เพราะฉะนั้นจงอย่าเข้าใจว่ากรรมชั่วนั้นไม่ให้ผล ทำแล้วก็แล้วกันไป กรรมชั่วจะต้องให้ผลแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่งในภายหลัง
       
     ดังเรื่องราวของครูวันชัย ครูใหญ่โรงเรียนแห่งหนึ่งในโคราช ที่ต้องรับผลแห่งการกระทำชั่วของตัวเอง       
     วันชัยจัดอยู่ในฐานะมีอันจะกิน เพราะพ่อแม่ทิ้งสมบัติไว้ให้จำนวนหนึ่ง ดังนั้น นอกเหนือจากอาชีพเป็นครูสอนหนังสือแล้ว เขายังทำมาหากินด้วยการปล่อยเงินกู้ให้กับชาวบ้านด้วย ถือเป็นอาชีพที่ทำรายได้ดีทีเดียว เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับในแต่ละเดือนนั้น มากกว่าเงินเดือนครูเกือบสองเท่า
       
     ทำให้วันชัยมีเงินจับจ่ายใช้สอยอย่างคล่องมือ และเข้าสังคมกับคนรวยๆได้อย่างสบาย ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจแต่งงานกับ “โสภา” สาวคนรักที่ทำงานบัญชีในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเธอก็ได้เข้ามาช่วยสามีทำบัญชีกู้ยืมเงิน
       
     ไม่นานทั้งสองก็มีทายาทคนโตเป็นเด็กผู้ชายอ้วนจ้ำม่ำ กินจุ วันชัยเห็นว่าเมื่อมีลูก ก็มีค่าใช้จ่ายตามมามาก ประกอบกับภรรยาก็ต้องออกจากงานมาเลี้ยงลูก ความรับผิดชอบทั้งหมดจึงตกอยู่กับเขาเพียงผู้เดียว

       

     วันหนึ่งวันชัยนำเอกสารการกู้ยืมทั้งหมดมานั่งดูในห้องรับแขก แล้วก็พูดคุยกับ “โสภา” ผู้เป็นภรรยาว่า     
     “ช่วงนี้ดอกเบี้ยจากเงินกู้ลดลง เพราะคนไม่ค่อยมากู้ ถ้าหากคนที่กู้ชุดนี้ใช้ต้นใช้ดอกหมด เราก็จะแย่ เพราะลูกโตขึ้นทุกวัน ค่าใช้จ่ายในบ้านก็เยอะขึ้น”
       
     “ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงบ้างก็ได้นะคุณ อย่างการไปกินอาหารนอกบ้าน หรือซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆที่ซื้อให้ตัวเอง ให้ฉัน ให้ลูกทุกเดือนจนเต็มตู้ไปหมด แล้วก็เล่นกอล์ฟ เข้าสังคมกับคนรวยๆน่ะ ลดลงหน่อยก็พอช่วยได้”
       
     วันชัยได้ยินภรรยาเสนอเช่นนั้น ก็รู้สึกไม่พอใจ     
     “โอ๊ย..จะลดได้ไง พวกนี้เป็นหน้าตาศักดิ์ศรีของผม ไม่งั้นคนเขาจะนินทาว่า สงสัยครูวันชัยย่ำแย่ คงหมดเงินแล้วล่ะซิ...ไม่ได้ๆ เดี๋ยวจะไม่มีใครมากู้เงินเรา”
       
     โสภาได้ยินสามีพูดดังนั้น เธอก็เงียบไป ขณะที่วันชัยก็นั่งมองเอกสารเงินกู้ เริ่มครุ่นคิดถึงวิธีที่จะหาเงินมาให้ได้มากขึ้น แล้วในที่สุดเขาก็มองเห็นช่องทาง
       
     “ผมรู้แล้วว่าทำยังไง ที่จะได้เงินมากขึ้น” แล้วเขาก็อธิบายให้ภรรยาฟังถึงวิธีการที่ตัวเองคิดขึ้นมา
       
     โสภาฟังแล้วไม่เห็นด้วยกับสามี เพราะเธอเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จึงเตือนสติสามีว่า       
     “ฉันว่าอย่าทำเลย มันไม่ดีหรอกแล้วฉันก็ไม่อยากทำด้วย เพราะมันบาป”     
     “โอ๊ย..มันจะบาปตรงไหนกัน ฉันไม่ได้ไปฆ่าใครสักหน่อย เธอนี่โง่ไปได้ ถ้าเธอกลัวบาปมากนัก ก็ไม่ต้องทำ ฉันจะทำเอง”

       

     แล้ววันชัยก็ลุกขึ้นหอบเอกสารทั้งหมดไปที่โต๊ะทำงาน เขาค่อยๆเลือกเอกสารที่ต้องการแยกออกมาไว้กองหนึ่ง จากนั้นก็ลงมือปรับเปลี่ยนแก้ไขบางสิ่งบางอย่างจนเสร็จทั้งหมด วันชัยตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะเก็บเอกสารใส่ลิ้นชัก
       
     เช้าวันรุ่งขึ้น นายเด่น พ่อค้าขายผักในตลาด ได้มาที่บ้านครูวันชัย     
     “สวัสดีครับครู ผมเอาดอกเบี้ยงวดแรกมาจ่าย นี่ครับ 275 บาท”       
     “คุณกู้ผมไป 8,500 บาท ดอกเบี้ย 5% ต่อเดือน มันก็ต้อง 425 บาท”       
      “อะไรกันครู ผมกู้ไปแค่ 5,500 บาทเท่านั้นนะครับ”       
     “แน่ใจนะ”       
     “แน่ซิครับ”
       
     วันชัยจึงเดินไปหยิบเอกสารกู้ยืมมายื่นให้ดู “เอ้า..ดูซะ นี่ไง เงินกู้ 8,500 บาท วันที่คุณมากู้น่ะ คุณรีบร้อนมาก แล้วดูเบลอๆชอบกล เหมือนคนคิดหนัก ผมบอกให้นับเงิน คุณก็บอกไม่เป็นไร แล้วก็รีบไป”
       
    เด่นนั่งทบทวนเหตุการณ์ที่ครูวันชัยบอก แต่เขาก็ยังยืนยันว่ากู้ไปเพียง 5,000 บาท วันชัยจึงย้ำว่า     
    “คุณก็ลงลายมือไว้เป็นหลักฐานกู้ยืมแล้วนี่ ถ้าไม่ใช่ 8,500 บาท คุณจะเซ็นทำไม ผมเป็นครู ไม่เคยโกงใคร คุณเคยได้ยินว่าผมโกงใครรึเปล่า ไปถามคนที่ตลาดดูก็ได้ มีคนกู้ผมหลายคน เพราะถ้าผมโกงใคร คุณคงไม่มาขอกู้ผมหรอก ใช่มั้ย”
       
    คำพูดของวันชัย ทำให้เด่นนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วก็บอกว่า       
    “ไม่เป็นไรครับครู ผมจะจ่ายดอกเบี้ยให้ตามที่ครูบอก เอาเป็นว่าผมผิดเองก็แล้วกัน” เด่นพูดจบก็ควักเงินเพิ่มให้กับวันชัย แล้วเดินจากไป
       
    วันชัยยิ้มด้วยความดีใจที่วิธีการของเขาเป็นผลสำเร็จ และไม่ใช่เพียงนายเด่น พ่อค้าผักเท่านั้นที่มีปัญหาเช่นนี้ คนอื่นๆอีกนับสิบคนก็เป็นเหมือนกัน และทุกคนก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะไม่มีใครอยากเป็นคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล

       

     ด้วยกลโกงในการแก้ไขปรับเปลี่ยนตัวเลขเงินกู้อย่างแนบเนียน ทำให้วันชัยเริ่มมีรายได้เป็นกอบเป็นกำเข้ามาเหมือนเดิม และเขาก็ใช้วิธีการนี้กับคนใหม่ๆที่หลงมากู้เงิน และหากเขารู้ว่าคนไหนที่อ่านหนังสือไม่ออก เขาก็จะทำสัญญาฉบับพิเศษด้วยการยึดที่ยึดบ้าน หากไม่ใช้เงินต้นคืนตามกำหนด ซึ่งมีหลายรายที่ต้องสูญเสียที่ดินไป
       
     วันชัยมีความสุขได้ไม่นาน กรรมก็ติดจรวดมาถึงบ้าน ช่วงนั้นเป็นปลายฝนต้นหนาว แต่อากาศกลับหนาวๆร้อนๆผิดปกติ วันชัยรู้สึกคันทั่วร่างกาย และจามอยู่ตลอด หมอบอกว่าเขาเป็นโรคภูมิแพ้ จึงให้ยากินและยาทา แต่อาการไม่ทุเลาลงเลย ตรงข้ามกลับเป็นหนักกว่าเก่า
       
     ทั่วตัวของวันชัยเต็มไปด้วยรอยผื่นคัน เขาเกาๆๆๆจนเลือกออกซิบๆ
     แต่ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน คันจนกระทั่งบางครั้งต้องใช้ฝาจุกน้ำอัดลมมาช่วยเกา
     ซึ่งก็ยิ่งทำให้ทั่วร่างเต็มไปด้วยแผลถลอก เลือดไหลซึม อยู่ตลอดเวลา

       
     แม้ภรรยาจะพาไปหาหมอหลายแห่ง ใครบอกว่าหมอคนไหนเก่งก็พาสามีไป ทั้งกินยาและทายาหลายขนาน หมดเงินค่ารักษาไปมากมาย แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย เนื้อตัวของวันชัยตกอยู่ในสภาพเน่าเฟะจากเลือดและน้ำเหลืองที่ไหลออกมาจากแผลที่เกา และติดเชื้อ จนกระทั่งต้องส่งโรงพยาบาล

       
   
     วันชัยใช้เวลารักษาตัวในโรงพยาบาลราว 2 สัปดาห์ก็สิ้นใจ
     เพราะติดเชื้ออย่างหนักจากแผลถลอก ซึ่งเขาไม่ยอมหยุดเกา
     เพราะรู้สึกว่าคันจนทนไม่ได้ หากได้เกาก็จะรู้สึกดีขึ้นบ้าง
     แม้กระทั่งนาทีสุดท้ายก่อนตายเขาก็ยังเกาไม่หยุด
     และตายในสภาพที่มือยังเกาหน้าอก ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดทรมาน

       
     ในงานศพของวันชัย มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เหตุที่เขาเป็นเช่นนี้ เพราะกรรมที่เกิดจากการขูดรีดขูดเนื้อคนอื่น ทำให้ต้องมาขูดรีดขูดเนื้อตัวเองจนกระทั่งตาย
       
     ขณะเดียวกัน โสภากับลูกซึ่งมีส่วนในการใช้เงินบาปที่ได้มาจากการคดโกงขูดรีดคนอื่น ก็ต้องพลอยรับกรรม ตกระกำลำบากในที่สุด
       
     ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่มีประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม เขียนเล่ามาเป็นธรรมทานในการเตือนสติแก่เพื่อนร่วมโลกให้ตระหนักถึงบาปบุญคุณโทษ และตั้งอยู่ในความดีงามตลอดไป

       
จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 144 ธันวาคม 2555 โดย บัว บุษรา
http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9550000149029
http://www.dmc.tv/
19690  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "พระบรมเกศาธาตุ..จากศรีลังกา" ประดิษฐาน ณ สนามหลวง ๒๘ ธ.ค.๕๕ - ๑๑ ม.ค.๕๖ เมื่อ: ธันวาคม 17, 2012, 10:30:52 am

พระบรมเกศาธาตุ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากศรีลังกา มาสู่ประเทศไทยแล้ว

เมื่อวานนี้ วันอาทิตย์ที่ 9 ธค. เวลา 11.00 น. ณ ห้องรับรองพิเศษสนามบินสุวรรณภูมิ ได้มีพิธี รับเสด็จองค์พระบรมเกศาธาตุ และเส้นพระบรมเกศา และพระบรมทันตธาตุ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระสังฆนายก สยามวงศ์นิกาย ฝ่ายมัลลวตะ สถิตย์ ณวัดบุปผาราม กรุงเเคนดี้ ประเทศศรีลังกา ได้ประทานมอบให้ สภาศิลปินส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ในอุปถัมภ์สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชฯ และโครงการ 26 พุทธศตวรรษ

     เพื่อนำมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวในประเทศไทย เป็นเวลา 60 วัน 
     เพื่อน้อมถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และฉลอง 26พุทธศตวรรษ
     โดยในส่วนกลางจะประดิษฐาน ณ มณทลพิธีท้องสนามหลวง
     ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2555 ถึง วันที่ 11 มกราคม 2556

     และมีพิธีสวดมนต์ข้ามปี ในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ด้วย


โดยมีคณะสงฆ์ผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและ ดร.ศุภาชัย ไพจิตร ผ่องสวัสดิ์เลขาธิการสภาศิลปินส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยฯ เป็น ผู้แทนชาวพุทธไทยร่วมรับเสด็จพระบรมเกศาธาตุฯ และได้จัดขบวนต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ ฯ อัญเชิญไปประดิษฐานเก็บไว้ ณ วัดเทพนารี กทม. ก่อน (โดยยังไม่เปิดให้พุทธศาสนิกชนร่วมสักากระ )

   หน่วยงานองค์กร ในกทม.หรือภูมิภาค ที่มีจิตศรัทธา
   จะร่วมอัญเชิญองค์พระบรมเกศาธาตุฯ ที่ประดิษฐาน ณ ท้องสนามหลวงแล้ว ไปประดิษฐานในที่เหมาะสม สมพระเกียรติ
   และมีวัตถุประสงค์ชัดเจนในการนำรายได้ทำบุญ สมทบทุนด้านพระพุทธศาสนาใดๆ
   ขอให้แจ้งความจำนงมาได้ที่ฝ่ายเลขานุการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โทร 0827919461 0891742345


    ก่อนที่จะอัญเชิญพระบรมเกศาธาตุ กลับสู่ประเทศศรีลังกา ในหลังวันมาฆบูชาประจำปี 2556


ขอบคุณภาพข่าวจาก
board.palungjit.com/f36/พระบรมเกศาธาตุ-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากศรีลังกา-มาสู่ประเทศไทยแล้ว-396488.html โพสต์โดย คุณกุลวัชร
19691  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กฐินหลวง...ณ เมืองเซียงขวง สปป.ลาว (ชมภาพ) เมื่อ: ธันวาคม 17, 2012, 10:03:23 am
เชียงขวางในสายหมอก


กฐินหลวง...ณ เมืองเซียงขวง สปป.ลาว
Delight Moment 68 / สุมิตรา จันทร์เงา

เซียงขวง ดินแดนวิมาน
หนาวกายสะท้าน หนาวสั่นสะเทือน
ภูจงเป็นวงแสงเดือน (..ซ้ำ..)
เมฆน้อยลอยเลื่อน ยามเมื่อคืนเดือนเพ็ญ


หมู่นางมักลอยวารี
ลอยกลางนที เปล่งราศีสวยเด่น
น้ำลิ่วไหลรินบ่เว้น(..ซ้ำ..)
ยามค่ำแลเห็น สาวเนื้อเย็นลงลอย...


...โอ..เซียงขวงนี่เอย
อ้ายนี่บ่เคยเห็นไผงามหยาดย้อย
เดี๋ยวนี้ธรรมชาติจอมดอย (..ซ้ำ..)
เซ้าค่ำนั่งคอย ภูจองวองงามตระการ


...ไหหิน มิ่งขวัญเซียงขวง
สายลมไหลล่วง ป่วงให้อ้ายสุดฝัน
ภูเวียงเป็นลอนก่ายกัน(..ซ้ำ..)
ให้อ้ายสุขสันต์กับความงามเซียงขวง...



อัปโหลดเมื่อ 7 ก.พ. 2012 โดย อ้อยใจ มาไลคำ


เสียงเพลง “เชียงขวางแดนงาม” ที่ประพันธ์เนื้อร้องทำนองโดย ส.บัวละพัน แว่วขึ้นในครุ่นคำนึง ระหว่างเราโยนตัวเอียงขวาซ้ายไปตามแรงเหวี่ยงของรถ บนเส้นทางล้านโค้งไต่ภูเขาระหว่างกรุงเวียงจันทน์-เมืองโพนสะหวัน แขวงเชียงขวาง สปป.ลาว

เป็นช่วงที่ชีพจรลงเท้าแถวเมืองลาวหลายครั้งหลายหนในปีเดียว ครั้งล่าสุดวันที่ 22-26 พฤศจิกายน ได้รับเชิญจากคุณพิษณุ จันทร์วิทัน เอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ ให้ไปร่วมงานกฐินหลวงกับสมาคมไทย-ลาวเพื่อมิตรภาพ ที่มี ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นนายกสมาคมฯ และคุณสุวิทย์ สิมะสกุล อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว เป็นเลขาธิการสมาคมไทย-ลาว เพื่อมิตรภาพ ได้นำกฐินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปถวายวัดสำคัญในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว)อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2538 จนถึงปัจจุบัน ปีนี้เป็นกฐินพระราชทาน ครั้งที่ 17 แล้ว จัดทอดถวาย ณ วัดสีพม เมืองคูน แขวงเชียงขวาง สปป.ลาว


ท่านทูตพิษณุ จันทร์วิทัน กับคณะสื่อมวลชนจากเมืองไทย

เป็นกฐินหลวงที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกปีเพราะมีผู้เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง นอกจากข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ สำนักพระราชวัง สถานเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ กงสุลใหญ่ ณ แขวงสะหวันนะเขตแล้ว ยังมีคณะแรลลี่โตโยต้าไฮลักซ์ ฯลฯ และชมรมไทยพวนแห่งประเทศไทยซึ่งมีบรรพบุรุษอยู่แถบถิ่นเมืองคูณ แขวงเชียงขวางนำการแสดงทางวัฒนธรรมไปเชื่อมประสานความสัมพันธ์ไทยพวนอย่างคึกคัก

ทางด้าน สปป.ลาวก็มีสมาคมลาว-ไทย เพื่อมิตรภาพ ที่มี ศ.ดร.บ่อแสงคำ วงดาลา เป็นประธานสมาคมและยังเป็น ร.ม.ต.กระทรวงแถลงข่าววัฒนธรรมและการท่องเที่ยวด้วย พร้อมหน้ากับคณะเอกอัครราชทูต สปป.ลาว ประจำประเทศไทย และชาวลาวที่แขวงเชียงขวางต่างมาร่วมต้อนรับกฐินพระราชทานครั้งนี้อย่างอบอุ่น
 
เรียกว่าเป็นงานใหญ่ในรอบปีของแขวงเชียงขวางเลยทีเดียว กลางคืนก่อนพิธีทอดกฐินมีการจัดงานสมโภชองค์พระกฐินที่สวนพูคำ โดยสมาคมไทย-ลาวฯจัดการแสดงของนักร้องไทย คือ โจนัส กับแคทลียา มารศรี ไปแจมกับนักร้องลาว สุดทะลิด กีตาร์ซ้าย เรียกเสียงกรี๊ดสะใจขาโจ๋ตลอดเวลา และมีชาวบ้านมาร่วมงานกันล้นทะลักแทบจะหมดทั้งแขวง

ระยะทางจากเมืองหลวงเวียงจันทน์ไปถึงเชียงขวางประมาณ 400 กิโลเมตรเท่านั้นเอง แต่เราต้องใช้เวลาเดินทางไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมงบนเส้นทางคดเคี้ยววกวนไต่ผ่านเทือกภูสลับซับซ้อน ดังนั้นเพื่อจะได้ไม่สะบักสะบอมมาก เราจึงแวะแรมคืนกลางทางริมน้ำซองที่เมืองวังเวียงหนึ่งคืน แล้วค่อยออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น


จุดชมวิวพูคูนสวยสุดใจระหว่างทางไปเชียงขวาง

แขวงเชียงขวางอยู่ตอนกลางค่อนไปทางเหนือของสปป.ลาว มีพื้นที่ทางทิศตะวันออกติดกับประเทศเวียดนามส่วนทิศตะวันตกนั้นติดกับแขวงหลวงพระบาง การเดินทางที่สะดวกที่สุดคือทางเครื่องบิน ซึ่งมีเที่ยวบินจากเวียงจันทน์ทุกวัน แต่คณะของท่านทูตพิษณุประสงค์ที่จะได้เห็นสภาพความเป็นอยู่รายทางของชาวลาวตลอดจนวิวทิวทัศน์ระหว่างทางที่ร่ำลือว่ามีธรรมชาติสวยงามเหลือแสน คณะของเราก็เลยเดินทางโดยรถบัสเล็ก และได้นั่งโยกเยกกันอยู่บนรถอย่างสนุกสนาน
 
เราไปถึงวังเวียงบ่ายคล้อย มีเวลานิดหน่อยให้ได้เดินเที่ยวเล่นชมเมืองที่โอบล้อมรอบด้วยเทือกเขาน้อยใหญ่ มีลำน้ำซองใสสะอาดไหลพาดผ่านกลางเมือง มองเห็นสายน้ำทอดตัวยาวเหยียดขนาบไปกับบ้านเรือน มีหาดทรายชายน้ำตลอดแนวโดยมีเทือกเขาหินปูนเป็นฉากหลัง ทัศนียภาพอันงดงามตระการตาของเทือกเขาหินปูนสลับสล้างนี่เองทำให้วังเวียงได้ชื่อว่าเป็น “กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว”

ปัจจุบันแม้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติแวะเวียนไปเที่ยวกันอย่างไม่ขาดสายแต่วิถีพื้นถิ่นของชาวบ้านยังดำรงอยู่ได้อย่างเรียบง่ายท่ามสายธารการเปลี่ยนแปลงที่ไหลบ่าราวกระแสน้ำหลาก


บรรยากาศเมืองวังเวียงยามเย็น


อากาศที่วังเวียงกำลังเย็นสบาย ไม่ถึงกับหนาวตามที่คาดการณ์เอาไว้ ส่วนที่เชียงขวางซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลขึ้นไปอีก(1,200 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล) อากาศเย็นกว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง ถือว่าปีนี้ความหนาวเย็นมาเยือนเมืองลาวอย่างล่ากว่าทุกครั้ง ...อุณหภูมิดาวโลกคงผิดเพี้ยนไปจากที่เคยเป็นจริงแน่แท้

ในพิธีทอดกฐินนั้น ทางสมาคมไทย-ลาวเพื่อมิตรภาพได้สร้างหอกลองสวยงามมากถวายแก่วัดสีพม รวมทั้งได้ถวายหลังคาโรงเรียนสงฆ์วัดสันติพาบ ทาสีอุโบสถวัดบ้านยวน ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นดินสองฝั่งโขงว่าว่าเรามาจากรากเหง้าเดียวกัน

รวมแล้วได้เงินทำบุญกว่า 4.5 ล้านบาท เงินกีบอีก 120 ล้านกีบ (7 แสนบาทเศษ) เอาไปทำนุบำรุงศาสนสถานและอุดหนุนเรื่องการศึกษาของคณะสงฆ์ลาวได้อีกพอสมควร ที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดคือ กฐินหลวงนั้นได้กลายเป็นสัญลักษณ์ความผูกพันเชื่อมั่นในมิตรไมตรีต่อกันระหว่างคน 2 ชาติ


การตั้งแถว ยืนสวัสดีผู้มาเยือนเป็นธรรมเนียมต้อนรับของชาวเมืองคูน

สาวๆชาวบ้านแต่งตัวสดใสมาต้อนรับกฐินหลวง

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของกฐินหลวงปี 2555 คือ กลุ่มไทยเบฟฯของเสี่ยเจริญ ศิริวัฒนภักดี ได้ส่งทีมโค้ชฟุตบอล นำโดยโค้ชใหญ่ระดับทีมชาติ “ชาญวิทย์ ผลชีวิน” ไปทำโครงการฝึกสอนฟุตบอลให้เยาวชนเชียงขวางด้วย มีการเข้าค่ายฝึกเทคนิคต่างๆ และมอบลูกฟุตบอลให้เยาวชนได้ใช้ฝึกซ้อมจำนวนมาก เป็นที่ขานรับด้วยเสียงชื่นชมและคงจะเป็นก้าวย่างการเริ่มต้นที่ดีของไทยเบฟฯที่จะทำกิจกรรมด้านสนับสนุนกีฬาให้แก่เยาวชนลาวอย่างต่อเนื่องทุกปีต่อไป
 
เมืองเชียงขวางนี้ ในสมัยโบราณรู้จักกันในชื่อ “เมืองพวน” ผู้ที่อาศัยอยู่แถบถิ่นนี้แต่เดิมรวมทั้งที่อพยพไปอยู่ที่อื่นจึงเรียกว่า ชาวไทพวน ดังนั้นชาวไทพวนในบ้านเราจึงมีบรรพบุรุษร่วมกับลาวพวนอยู่ที่เชียงขวางนี่เอง ซึ่งแต่เดิมเมืองเอกของแขวงคือเมืองคูน แต่ด้วยสภาพความเสียหายอย่างรุนแรงจากสงครามเวียดนาม จึงย้ายเมืองเอกมาเป็นเมืองโพนสะหวันในปัจจุบัน


ท่านทูตพิษณุ-ภริยา และคณะกินข้าวกล่องเป็นอาหารกลางวันง่ายๆระหว่างทางอันยาวไกล

ชีวิตที่ชาวลาวที่เมืองคูนและเมืองโพนสะหวันมิได้อยู่ในสภาพชนบทล้าหลังแต่อย่างใด โรงแรมที่พักทุกแห่งมีอินเทอร์เน็ตเครือข่าย 3G พร้อมไวไฟ บ้านเมืองสวยงาม สะอาดสะอ้านน่าอยู่ มีทั้งที่ปลูกแบบบ้านจัดสรรสมัยใหม่และบ้านไม้ใต้ถุนสูงพื้นถิ่นเดิมที่ยังคงเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมเอาไว้อย่างดี


เช้าวันที่ 25 พฤศจิกายนที่จะทอดกฐินมีพิธีทำบุญตักบาตรที่วัดสันติพาบ บ้านโพนสวรรค์ เมืองแปก เราได้เห็นศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระพุทธศาสนาของชาวเมืองที่แห่แหนกันมาร่วมทำบุญอย่างล้นหลามแต่เช้าตรู่ เวลาใส่บาตรถวายพระชาวบ้านจะถอดรองเท้ากันทุกคน โดยไม่สนใจว่าพื้นที่เหยียบนั้นจะโรยกรวดหรือซีเมนต์ หรือแม้แต่เปียกแฉะด้วยโคลนตมก็ตามที


พระอุโบสถวัดสันติพาบ ที่ตั้งคบงันองค์กฐิน

คณะไทยพวนจากเมืองไทย นำนาฏศิลป์ไปเชื่อมความสัมพันธ์

คณะบุคคลสำคัญของไทยและลาวในงานกฐินหลวง

นอกจากอากาศดีเป็นที่เลื่องลือแล้ว แขวงเชียงขวางยังมี “ทุ่งไหหิน” เป็นโบราณสถานสำคัญด้วย ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภทสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่ดึงดูดคนจากทั่วโลกให้มาเที่ยวชม ไหหินที่ว่านี้เป็นภาชนะทำด้วยหินทรายรูปทรงคล้ายไห มีทั้งขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีน้ำหนักมากถึง 6 ตันเลยทีเดียว

และที่น่าตื่นตลึงก็คือปริมาณไหหินนี้มีเป็นพันๆใบกระจายอยู่ตามทุ่งหลายแหล่ง ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังขุดค้นไม่แล้วเสร็จเพราะพื้นดินเชียงขวางสุดแสนจะอันตราย เนื่องจากเคยเป็นสมรภูมิสู้รบอย่างหนักระหว่างสงครามอินโดจีน เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สหรัฐอเมริกาเอาลูกระเบิดมาหย่อนทิ้งไว้เต็มเมือง และทุกวันนี้ก็ยังมีลูกระเบิดหลงเหลือฝังอยู่ตามพื้นดินที่พร้อมจะระเบิดตลอดเวลา


ทิวทัศน์สองข้างทางงดงามแบบนี้


เวลาเดินเที่ยวในเชียงขวางจึงต้องคอยสังเกตป้ายเตือนอันตรายลูกระเบิดให้ดี ซึ่งชาวลาวจะเรียกว่า “บอมบี” และเปลือกหรือฝักระเบิดที่ทิ้งลงมาจากเครื่องบิน บี 52 ที่ไม่ระเบิดแล้วนี่เองก็กลายมาเป็นอนุสรณ์แห่งความอัปยศของการเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกัน

ชาวบ้านจะเอาลูกระเบิดใหญ่ยักษ์ที่ยังหลงเหลือนี้มาตกแต่งร้านค้าบ้านเรือน บ้างก็ทำเสาบ้าน บ้างเอาไปทำรางข้าวหมู ทำเตาบาร์บีคิวย่างไก่ หรือแม้แต่ทำเรือก็มี

กฐินหลวงปีนี้นอกจากได้ทำบุญใหญ่กันแล้ว คณะผู้ร่วมทางยังสนุกกันจริงๆ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355480594&grpid=&catid=02&subcatid=0200
19692  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เชียงใหม่ สมภารเฮง.! ถูกรางวัลที่ 1 รับ 16 ล้าน เชื่อเพราะ "บารมีครูบาศรีวิชัย" เมื่อ: ธันวาคม 16, 2012, 11:31:31 am


ถูก 16 ล้าน - พระบุญศรี อภิปุญโญ เจ้าอาวาสวัดใหม่พนัง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่
ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 งวดวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา จำนวน 4 คู่
ได้เงินรางวัล 16 ล้านบาท และจะนำเงินจำนวนนี้ไปบูรณะวัด เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.

ถูกหวยที่ 1 สมภารเชียงใหม่เฮง

ตั้งแต่งวด1ธค.-รับ16ล. เตรียมนำไปบูรณะวัด หลวงตาเชื่อเป็นเพราะ บารมี"ครูบาศรีวิชัย"[/color]
ฮือฮาหลวงปู่วัย 72 ปี วัดในสันป่าตอง เชียงใหม่ ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 มูลค่า 16 ล้านบาท งวดวันที่ 1 ธ.ค.55 เลข 110443 รวม 4 คู่
    หลวงปู่เผยก่อนหวยออก 1 สัปดาห์ไปร่วมพิธีปลุกเสกเหรียญและรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย
    ที่วัดดับภัยในเมืองเชียงใหม่ แล้วได้รับแจกเหรียญ ขากลับเลยให้ลูกศิษย์ลงไปซื้อลอตเตอรี่
    ก่อนตั้งจิตอธิษฐานหากถูกรางวัลจะนำเงินไปบำรุงบูรณะวัด
    กระทั่งมีลูกศิษย์มาบอกว่าถูกหวยที่ซื้อไว้ จึงนำไปขึ้นเงินและฝากธนาคารแล้ว


เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่ถูกลอตเตอรี่เป็นเงิน 16 ล้านบาท อยู่วัดใหม่พนัง หมู่ 3 ต.ทุ่งสะโตก อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ จึงรุดตรวจสอบพบหลวงปู่บุญศรี อภิปุญโญ อายุ 72 ปี เจ้าอาวาสวัดใหม่พนัง

    โดยหลวงปู่บุญศรีเล่าถึงที่มาที่ไปของ การถูกลอตเตอรี่ครั้งนี้ว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ วันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา
    ได้เดินทางไปร่วมงานพิธีพุทธาภิเษกเหรียญและรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย ที่วัดดับภัย อ.เมืองเชียงใหม่
    ในพิธีมีพระสงฆ์ 129 รูป จากวัดต่างๆ มานั่งอธิษฐานจิตปลุกเสก โดยมีพล.อ.เจน คีรีทวีป เป็นประธานฝ่ายฆราวาส
     จนกระทั่งเริ่มพิธีในช่วงค่ำ ขณะพระเกจิอาจารย์นั่งปลุกเสกอยู่นั้น ก็เกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ขึ้น
     โดยมีฝนฟ้าคะนองและไฟฟ้าดับทั่วเมืองเชียงใหม่ ซึ่ง เป็นนิมิตที่ดี จากนั้นเวลาต่อมาเหตุการณ์ก็เป็นปกติ


      หลวงปู่บุญศรีกล่าวอีกว่า ต่อมาในวันรุ่งขึ้นก็เสร็จพิธีปลุกเสกและได้รับแจกเหรียญครูบาศรีวิชัยเป็นของขวัญจากทางวัด ก่อนเดินทางกลับวัดและช่วงเวลานั้นเองได้แวะตลาดสันป่าตอง โดยให้ลูกศิษย์ลงไปซื้อลอตเตอรี่ 1 ชุด รวม 4 คู่ ได้เลข 110443
      หลังจากที่ลูกศิษย์ซื้อมาแล้วยื่นให้ก็อธิษฐาน นึกถึงครูบาศรีวิชัย ขอให้ถูกลอตเตอรี่ ชุดนี้
      ถ้าถูกจะนำเงินรางวัลไปทำบุญบูรณะ วัดให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
      กระทั่งวันที่ 1 ธ.ค. เป็นวันหวยออก ได้มีลูกศิษย์มาบอกว่าลอตเตอรี่ที่ซื้อมาถูกรางวัลที่ 1 จึงดีใจมาก ที่คำอธิษฐานสำเร็จ ก่อนนำลอตเตอรี่ทั้ง 4 คู่ ไปขึ้นเงินและฝากเงินกับธนาคารทั้งหมดรวม 16 ล้านบาท ถือเป็นบุญญาธิการของพระคุณเจ้าครูบาศรีวิชัยที่ประทานให้กับพระบุญศรี


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOVEUyTVRJMU5RPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1pMHhNaTB4Tmc9PQ==
19693  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หญิงจีนอัจฉริยะ!! เขียนหนังสือ 2 มือ 2 ภาษา ได้พร้อมกัน เมื่อ: ธันวาคม 16, 2012, 11:10:52 am


หญิงจีนอัจฉริยะ!! เขียนหนังสือ 2 มือ 2 ภาษา ได้พร้อมกัน

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เฉินซื่อหยวน หญิงจีนวัย 24 ปี ชาวเมืองหานตัน มณฑลเหอเป่ยของจีน ได้โชว์ความสามารถพิเศษอันน่าทึ่งด้วยการเขียนหนังสือทั้ง 2 มือไปพร้อม ๆ กัน และที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้น
    นอกจากการเขียนด้วยมือทั้งสองข้างได้พร้อมกันแล้ว
    เฉินซื่อหยวนยังมีความสามารถในการเขียนหนังสือเป็นคนละภาษาในเวลาเดียวกัน
    และยังสามารถเขียนแบบแนวตั้ง แนวนอนได้อีกด้วย ซึ่งเธอยังได้เขียนภาษาจีนและภาษาอังกฤษด้วยมือคนละข้างโชว์ให้สื่อได้ดูเป็นขวัญตาอีกด้วย


    โดย เฉินซื่อหยวน ค้นพบพรสวรรค์ซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะตัวนี้โดยบังเอิญระหว่างที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เมื่อครูให้การบ้านภาษาอังกฤษมากมายจนล้นมือ เธอจึงทำการบ้านโดยใช้สองมือเขียนไปพร้อมกัน และพบว่าช่วยทำการบ้านให้เสร็จเร็วขึ้น
    เธอยังเล่าด้วยว่า ที่จริงเธอเป็นคนถนัดมือขวา
    แต่การที่เธอมีประสาทที่สามารถแยกสิ่งสองสิ่งได้ในเวลาเดียวกัน
    ช่วยให้เธอสามารถเขียนหนังสือได้สองมือพร้อม ๆ กัน




เผยแพร่เมื่อ 12 ธ.ค. 2012 โดย itnnews


อย่างไรก็ตาม ในชีวิตประจำวันของเธอมักจะใช้การเขียนหนังสือด้วยมือข้างขวามากกว่า และเนื่องด้วยมีอาชีพเป็นนักแปลภาษา เธอจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้ฝึกฝนหรือใช้พรสวรรค์นี้ให้เป็นประโยชน์เท่าใดนัก แต่เธอก็ยังหวังว่าอาจจะมีองค์กรใดที่สนใจในพรสวรรค์ของเธอ เพื่อช่วยพัฒนาให้ความสามารถนี้ดีมากขึ้นไปอีกได้ในอนาคต

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355500897&grpid=01&catid=&subcatid=
19694  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตะลึง.! จู่ๆ "พ.ต.ท." เป็นร่างทรงคนแก่ทั้งเครื่องแบบ ขณะพิธีย้ายศาลหลักเมือง เมื่อ: ธันวาคม 16, 2012, 11:01:35 am


ชาวบ้านตะลึง!! จู่ๆ "พ.ต.ท."
เป็นร่างทรงคนแก่ทั้งเครื่องแบบ ขณะพิธีย้ายศาลหลักเมือง(ชมภาพ)

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ขณะที่ชาวบ้าน อ.นาแก ร่วมกันประกอบพิธีบวงสรวงศาลเจ้าปู่หลักเมืองโบราณของ อ.นาแก จ.นครพนม ตั้งอยู่เยื้องกับหน้าที่ว่าการอำเภอนาแก ซึ่งก่อตั้งมานานกว่า 100 ปี เพื่อทำพิธีทางศาสนา และความเชื่อในการถอดถอนเสาหลักเมือง จากศาลหลังเก่า ย้ายไปอยู่ที่แห่งใหม่

ภายหลังจากทางอำเภอนาแก  ร่วมกับประชาชน ที่มีจิตศรัทธา ร่วมกันบริจาคสมทบทุนก่อสร้างขึ้นเป็นแห่งใหม่ ในงบประมาณ เป็นเงิน จำนวน 8,848,000  บาท  เพื่อเป็นที่สักการบูชาของพี่น้องชาวอำเภอนาแก รวมถึงผู้เลื่อมใสศรัทธาได้กราบไหว้บูชา และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน เสริมสร้างพลังความสามัคคีของชาวอำเภอนาแกสืบไปนั้น




ปรากฏว่าได้เกิดเหตุการณ์แปลกขึ้นขณะทำพิธีบวงสรวงศาลเจ้าปู่หลักเมืองโบราณ จนเป็นที่ฮือฮาของผู้เข้าร่วมพิธี เนื่องจาก พ.ต.ท.สันต์ติภาพ มีผลสาสะโม  รอง ผกก.(ป) สภ.นาแก  ที่มาร่วมในพิธี
     ได้เกิดอาการผิดปกติมีลักษณะตัวสั่นเหมือนประทับร่างทรง ขณะแต่งเครื่องแบบเต็มยศ 
     และมีท่าทางคล้ายคนแก่หลังค่อม พร้อมเรียกหาไม้เท้า ก่อนเดินรอบศาลหลักเมืองแห่งใหม่ ไม่พูดจา   
     ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเจ้าปู่ศาลหลักเมืองลงมาประทับร่างทรง  เพื่อสื่อถึงชาวบ้านว่ารับรู้ และพอใจในการที่ย้ายศาลหลักเมืองมาแห่งใหม่  ทำให้ชาวบ้านที่พบเห็นต่างพากันกาบไหว้ พร้อมนำเครื่องเส้นไหว้หมากพลู มาถวาย  และต่างพากันแย่งเอาขี้หมากพลูไปเป็นวัตถุมลคล  เป็นเวลานานประมาณ 30นาที 



ด้าน พ.ต.ท.สันต์ติภาพ มีผลสาสะโม  รอง ผกก.(ป) สภ.นาแก  กล่าวภายหลังเกิดเหตุการณ์ว่า  ตนพึ่งย้ายมารับตำแหน่งได้ไม่กี่วันเท่านั้น  แต่เป็นโอกาสดีที่ได้ร่วมพิธีย้ายศาลหลักเมือง  โดยได้เกิดเหตุการณ์แปลกขึ้นกับตนเอง ตอนนั้นไม่รู้ตัว   

ซึ่งชาวบ้านที่พบเห็นบอกว่า มีอาการสั่นเหมือนเข้าร่างทรง และมีท่าทางเหมือนคนแก่  ตนเชื่อว่าเป็นเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ ที่เจ้าปู่ศาลหลักเมือง มาประทับร่างทรง เพื่อสื่อถึงชาวบ้าน ว่าได้รับทราบถึงการทำพิธีถอดถอนย้ายศาลหลักเมือง

ส่วนจะเกิดขึ้นกับใครก็แล้วแต่จิตสัมผัส และความเชื่อถือเป็นเรื่องของความเชื่อที่อธิบายยาก และตนก็เคยสัมผัสลักษณะแบบนี้มาก่อน  เพราะปกติจะชอบเข้าวัดทำบุญ อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าปู่ศาลหลักเมืองนั้นมีจริง ส่วนใครจะมีความเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่บุคคล 


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355556009&grpid=01&catid=&subcatid=
19695  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / จิตแต่ละดวง.."ผ่านเหตุผ่านปัจจัยมาต่างกัน" แต่ละคนจึงต่างกัน.!! เมื่อ: ธันวาคม 16, 2012, 09:26:54 am

กิเลส เกิดจากอะไร.?

เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่า ทั้งความโลภและความโกรธ ล้วนมีสาเหตุมาจากความยึดมั่นถือมั่นด้วยกันทั้งสิ้น กล่าวคือ ถ้ายึดมั่นพร้อมกับความรู้สึกยินดีพอใจ ก็จะทำให้เกิดแรงดูดคือความโลภ แต่ถ้ายึดมั่นพร้อมกับความรู้สึกยินร้ายไม่พอใจ ก็จะทำให้เกิดแรงผลักคือความโกรธ ความขัดเคืองใจ

แล้วความยึดมั่นถือมั่นมีสาเหตุมาจากอะไร ?
ความยึดมั่นถือมั่นนั้นเกิดจากการที่ไม่รู้ถึงธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง (โมหะ,อวิชชา,ความหลง,วิปัลลาส) คือ
    ไม่รู้ว่าสิ่งทั้งปวงล้วนไม่ควรค่าแก่การยึดมั่นถือมั่น
    เพราะสิ่งทั้งปวงล้วนเป็นเพียงผลของเหตุของปัจจัย เกิดจากการประชุมปรุงแต่งของเหตุปัจจัย
    ไม่มีสิ่งใดที่มีอำนาจเฉพาะตน ไม่มีสิ่งใดที่มีอำนาจเหนือตนหรือเหนือสิ่งที่อื่นจากตน
    สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่การสร้างเหตุสร้างปัจจัยได้บ้างเท่านั้น


     ซึ่งเหตุปัจจัยที่สร้างได้นั้น ก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของเหตุปัจจัยอันมากมาย
     ที่คอยกลุ้มรุมห้อมล้อม คอยปรุงแต่งสิ่งต่าง ๆ ให้แปรปรวนไปตลอดเวลา
     ถ้าร่างกายหรือจิตใจนี้อยู่ในอำนาจของเราแล้ว ในโลกนี้ก็คงจะไม่มีใครเลยที่เป็นทุกข์
     เพราะทุกชีวิตก็คงจะบังคับตนเองให้เป็นสุขตลอดเวลา แต่ที่โลกนี้เต็มไปด้วยทุกข์
     ก็เพราะร่างกายและจิตใจนี้ ทั้งภายในและภายนอก ล้วนไม่อยู่ในอำนาจของใครทั้งสิ้น
     ถ้าใครขืนไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่อยู่ในอำนาจแล้ว ก็มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่หวังได้



คนดีหรือไม่ดีเกิดจากการสั่งสมเหตุปัจจัยอย่างต่อเนื่อง
ถ้ามองอย่างผิวเผินแล้วจะเห็นว่า คนที่เป็นคนดีมีคุณธรรมก็เพราะจิตใจของเขานั้นดี คนที่เป็นคนไม่ดีขาดศีลธรรมก็เพราะจิตใจของเขาไม่ดี ความจริงแล้วนั่นเป็นเพียงปลายเหตุ
     เพราะแท้จริงแล้วคนที่เป็นคนดีนั้นไม่ใช่เพราะเขาอยากเป็นคนดี
     และคนที่ไม่ดีก็ไม่ใช่เพราะเขาอยากเป็นคนไม่ดี

     แต่เป็นเพราะจิตแต่ละดวงนั้นผ่านเหตุผ่านปัจจัยมาต่างกัน ทำให้จิตทั้งหลายมีสภาพมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน
     และมีความจำได้หมายรู้(สัญญา) ในสิ่งต่างๆแตกต่างกันไป คือ มีทัศนคติหรือโลกทัศน์ที่ต่างกันไป
     จึงทำให้มีการปรุงแต่ง คือ มีความรู้สึกนึกคิดที่ต่างกันไป มีความต้องการที่แตกต่างกันไป
     จึงทำกรรมแตกต่างกันไป นั่นคือ การที่คนเป็นคนดีหรือไม่ดีนั้น แท้จริงแล้วล้วนเป็นผลของเหตุของปัจจัยด้วยกันทั้งสิ้น


     ถ้าลองคนที่คนนิยมกันว่าเป็นคนดีนั้นไปผ่านเหตุผ่านปัจจัยที่ไม่ดีเข้าอย่างมากพอและต่อเนื่อง เขาก็จะกลายเป็นคนไม่ดี ( ยกเว้นอริยบุคคล เพราะเชื้อแห่งความไม่ดีได้ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ) และคนที่ถูกมองว่าเป็นคนไม่ดีนั้น ถ้าได้ผ่านเหตุปัจจัยที่ดีอย่างมากพอและต่อเนื่อง เขาก็จะกลายเป็นคนดีเช่นกัน ตัวอย่างเช่น องคุลีมาลย์

     เมื่อผ่านเหตุปัจจัยต่าง ๆ เข้าก็เป็นลูกศิษย์ที่ครูอาจารย์รักใคร่ เพราะความมีนิสัยดี ขยันหมั่นเพียร และเฉลียวฉลาด แต่พอผ่านเหตุปัจจัยที่ไม่ดีเข้าก็กลายเป็นมหาโจรที่น่ากลัว และเมื่อผ่านเหตุปัจจัยที่ดีอีกครั้ง ก็กลายเป็นพระอรหันต์ที่น่าเคารพนับถือ น่าบูชา
     ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพียงผลของเหตุของปัจจัยเท่านั้นเอง
     ถ้าจะโทษ ก็ควรโทษเหตุโทษปัจจัยถึงจะถูก จะไปโทษจิตซึ่งเป็นเพียงผลของเหตุของปัจจัยจะสมควรหรือ ?



นิพพานเป็นอนัตตา
ดังนั้น เว้นนิพพานแล้ว สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจึงล้วนไม่เที่ยง (อนิจจัง) ถูกสิ่งต่างๆบีบคั้นให้แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา
    จึงทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้นาน ไม่มีสิ่งใดเลยที่ยึดมั่นถือมั่นแล้วจะไม่นำทุกข์มาให้ (ทุกขัง)
    เพราะสิ่งทั้งปวงรวมทั้งนิพพาน ล้วนไม่อยู่ในอำนาจของใครทั้งสิ้น เป็นเพียงผลของเหตุปัจจัย (อนัตตา)
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้ รวมเรียกว่าไตรลักษณ์ หรือสามัญลักษณะ คือ เป็นธรรมชาติที่แท้จริง และเป็นลักษณะอันเป็นพื้นฐานของสรรพสิ่งทั่วไปในอนันตจักรวาล


     เพราะความไม่รู้ในธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ ดังที่กล่าวมานี้(โมหะ)นั่นเอง
     ความยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) จึงเกิดขึ้น
     เมื่ออุปาทานเกิดขึ้นแล้วความโลภและความโกรธ (โทสะ) ก็เกิดขึ้น
     ความทุกข์ทั้งหลายจึงเกิดตามมาเป็นทอด ๆ ดังนี้


หมายเหตุ
     ตามหลักอภิธรรมแล้ว อุปาทานก็คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก,โลภะ) ที่มีกำลังมากนั่นเอง
     และตามหลักปฏิจจสมุปบาทแล้ว ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน คือ เมื่อปล่อยให้ความทะยานอยากหรือความเพลิดเพลินยินดี เกิดขึ้นบ่อยๆ แล้วอุปาทานย่อมเกิดตามมา
     ส่วนในที่นี้กล่าวว่า อุปาทานเป็นสาเหตุของความโลภนั้น หมายความว่า
     ตัณหาในเบื้องต้นเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานในเบื้องกลาง
     และอุปาทานในเบื้องกลางเป็นปัจจัยให้เกิดความโลภในลำดับต่อไป
     และความโลภที่เกิดขึ้นนี้ก็จะทำให้เกิดอุปาทานต่อไปอีกในอนาคต
     ทับถมซับซ้อนกันต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น ในที่นี้จึงไม่ขัดแย้งกับหลักอภิธรรมและปฏิจจสมุปบาทแต่อย่างใด


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.dhammathai.org/treatment/nivorn/nivorn02.php
http://www.oknation.net/, http://i748.photobucket.com/,http://images.thaiza.com/
19696  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระไทยบุกถิ่น 'มาราโดนา' สร้าง 3 หลวงพ่อใหญ่ยึดใจ เมื่อ: ธันวาคม 16, 2012, 08:15:02 am

พระไทยบุกถิ่น 'มาราโดนา' สร้าง 3 หลวงพ่อใหญ่ยึดจิตใจ : สำราญ สมพงษ์รายงาน

    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลกเพื่อประโยชน์เกื้อกูล (สันติภาพ) เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายฯลฯ"

    ประเทศอาร์เจนตินา คนไทยจะรู้จักจากการแข่งขันฟุตบอลโลก เพราะเป็นมหาอำนาจลูกหนังจากทวีปอเมริกาใต้ขับเขี้ยวกับประเทศบราซิล โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีราชาลูกหนังอย่าง ดีเอโก้ มาราโดนา   หรือไม่ก็เมื่อประมาณ 20 ปีก่อนที่ต้องทำสงครามกับประเทศอังกฤษเพราะข้อพิพาทหมู่เกาะฟอล์กแลนด์

    ประเทศอาร์เจนตินากับประเทศไทยแม้นจะมีความสัมพันธ์กันทางการทูต โดยมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบัวโนสไอเรส และมีการจัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ให้คนในท้องถิ่นได้ทราบวัฒนธรรมไทย แต่สำหรับคนไทยที่เข้าไปอาศัยอยู่ถือว่าน้อยมาก
    ประเทศอาร์เจนตินามีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกร้อยละ 92
    โปรแตสแตนท์ ร้อยละ 2 ยิวร้อยละ 2 และอื่นๆ ร้อยละ 4 เท่านั้น





 
    แม้นว่าคนไทยจะอาศัยอยู่น้อยและมีชาวพุทธน้อยเช่นกัน ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค
    สำหรับพระธรรมทูตรุ่นที่ 9 นามพระมหาชัยพิชิต ฐานุตฺตโร (ใสสะอาด) ชาวอุดรธานี
    พุทธศาสตรบัณฑิต รุ่นที่ 45-46  มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยา (มจร)
    ขณะจำพรรษาอยู่วัดนาคปรก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
    ได้เข้าไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศอาร์เจนตินา จนกระทั้งตั้งเป็นสำนักสงฆ์และพัฒนามาเป็นวัดหลวงอาร์เจนตินา ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสในปัจจุบัน


    พระมหาชัยพิชิตนั้นมีประสบการณ์เป็นครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน พระธรรมทูตสายต่างประเทศรุ่นที่ 9  ประจำวัดพุทธสามัคคี ประเทศ New Zealand ประจำวัด พุทธโสธร รัฐนิวแม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา และช่วยปฏิบัติศาสนกิจชั่วคราวที่วัดพรหมคุณาราม รัฐอริโซน่า, วัดพุทธมหามุนี รัฐเท็กซัส, วัดไทยมินีโซต้า รัฐมินิโซต้า, วัดมงคลเทพมุนี รัฐเพ็นซิลวาเนีย, วัดนวมินทรราชูทิศ นครเคมบิส-บอสตัน รัฐแม็ตชาซูเซต

     เนื่องจากปัจจุบันนี้มีวัดในประเทศอาร์เจนตินาที่กำลังสร้างใหม่เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแดนอเมริกาใต้ 2 ​ วัด
     คือ วัดหลวงอาร์เจนติน่า เมืองบูโนสไอเรส และวัดรัตนรังษิยาราม เมืองโปสาดาส
     โดยชาวพุทธไทย ลาว และชาวอาร์เจนติน่า เพราะอยู่ในช่วงเริ่มต้นก่อสร้างจึงยังไม่มีพระประธานประจำวัด






   
     ดังนั้น ทางวัดนาคปรกซึ่งเป็นวัดเดิมของพระมหาชัยพิชิต
     จึงได้เชิญชวนพุทธศาสนิกชนได้ร่วมกันสร้างพระประธานเพื่อประดิษฐานในต่างประเทศ
     โดยจะประกอบพิธีเททองหล่อในวันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ.2555 เวลา 16.00 น.


     นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จะมีการหล่อพระประธานไปทวีปอเมริกาใต้ จำนวนถึง 3 องค์ (หลวงพ่อเศรษฐีอุปถัมภ์) ครั้งหนึ่งในชีวิต คิดสักนิด....เพื่อชีวิตที่ดีงาม....... 
     ดังนั้น พุทธศาสนิกชนสามารถร่วมงานบุญใหญ่หล่อพระประธานวัดหลวงอาร์เจนติน่า ต้อนรับปีใหม่ 2556 หายทุกข์ หายโศก หายโรค หายภัย สุขกาย สบายใจทำบุญทอดผ้าป่ากระเบื้องมุงหลังคาศาลาเฉลิมพระเกียรติ 84  พรรษา มหาราชาได้


     สามารถติดต่อได้ที่พระครูวรกิตติโสภณ เจ้าอาวาสวัดนาคปรก ประธานสร้างวัดฝ่ายสงฆ์                     
     โทร.081-857-7293, 02-4672380 
     หรือเจ้าอาวาสวัดหลวงอาร์เจนติน่า โทร...(+54) 2241-463524, (+54) 2241-425821
     E-Mail: Changnoi999@hotmail.com, watagn2010@gmail.com 
     โดยสามารถเข้าไปติดตามข้อมูลได้ที่เฟซบุ๊ก Argentina Wat Luang Argentina


     จึงถือได้ว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของการสนับสนุนเผยแพร่พระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ยึดมั่นในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นให้โลกที่กำลังแตกอยู่ขณะนี้ ให้มั่นคงสืบไป


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121215/147267/พระไทยบุกถิ่นมาราโดนาสร้าง3หลวงพ่อใหญ่ยึดใจ.html#source_video
19697  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ผ้าคลุมล่องหน' วางขายแล้ว.?!?! เมื่อ: ธันวาคม 16, 2012, 07:58:30 am

เวิลด์วาไรตี้ : 'ผ้าคลุมล่องหน' วางขายแล้ว

     เมื่อพูดถึง ผ้าคลุมล่องหน เชื่อว่าคนทุกเพศ ทุกวัย คงนึกถึงหนึ่งในของวิเศษจากเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ณ วันนี้มีข่าวดีว่า นักวิทยาศาสตร์ได้แปลงของวิเศษในจินตนาการ ให้กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
      แต่น่าเสียดายว่าจากบทบาทแนวแฟนตาซี สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ กลายเป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์ของกองทัพไปแล้ว โดยบริษัท ไฮเปอร์สตีลธ์ ไบโอเทคโนโลยี ในแคนาดา ผู้เป็นเจ้าของสิทธิบัตรได้เสนอขายของวิเศษชิ้นนี้ให้กองทัพของสหรัฐ และแคนาดาแล้ว


      บริษัทดังกล่าว ตั้งชื่อผ้าคลุมพรางตัวนี้ว่า "ควอนตัม สตีลธ์"
      ซึ่งจะช่วยพรางตัวของผู้สวมใส่ไม่ให้ใครเห็น โดยปล่อยคลื่นอ่อนๆ รอบๆ ตัวคนใส่
      การทำงานคล้ายกับผ้าคลุมล่องหนของแฮร์รี่ พอตเตอร์

      นอกจากนี้ ยังไม่ต้องใช้อุปกรณ์สนับสนุนใดๆ ไม่ว่าจะเป็น กล้อง แบตเตอรี่ แสงไฟ หรือกระจก ทำให้ผ้าคลุมมหัศจรรย์นี้ มีน้ำหนักเบา ราคาไม่แพง (ตามความเห็นของผู้ผลิต)
      รวมทั้งป้องกันการมองเห็นจากกล้องอินฟราเรดและกล้องจับความร้อนได้อีกด้วย




     
     นอกจากนี้ เขายังบอกว่า
     ผ้าวิเศษนี้จะช่วยให้นักบินรบสามารถดีดตัวออกจากเครื่องโดยไม่ถูกจับกุม
      และช่วยให้กองกำลังพิเศษจู่โจมในเวลากลางวันได้โดยไม่ถูกตรวจพบ

     ซึ่งอนาคต ยังต่อยอดไปสู่การสร้างเครื่องบินล่องหนซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหรือเรดาร์
     รวมถึงปกปิดเรือดำน้ำซึ่งโผล่ขึ้นมาใกล้ๆ กองเรือรบของศัตรูอีกด้วย


     ผู้บริหารของบริษัทปฏิเสธที่จะเปิดเผยเทคโนโลยีการผลิตสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์จากโลกจินตนาการชิ้นนี้ เพียงยอมนำเสนอผลงานผ่านภาพจำลองบนเว็บไซต์เท่านั้น





ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121215/147199/ผ้าคลุมล่องหนวางขายแล้ว.html#.UM0acKzjrRd
19698  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตะลึง.! นักเร๊ยนหญิงนับสิบ..ส่งเสียงกรีดร้องลั่น..!! (ชมภาพ) เมื่อ: ธันวาคม 16, 2012, 07:47:52 am



ตะลึง.! นักเร๊ยนหญิงนับสิบ..ส่งเสียงกรีดร้องลั่น..!!

ตะลึง!นร.มัธยมซ้อมเต้นบริเวณลานต้นไทร ภายในสวนสาธารณะป้อมปีกา จ.สมุทรปราการ เกิดอาการประหลาดคล้ายผีเข้าส่งเสียงกรีดร้องลั่น

15 ธ.ค.55 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ใกล้สวนสาธารณะป้อมปีกา ถนนท้ายบ้าน ต.ปากน้ำ อ.เมือง สมุทรปราการ เมื่อเวลา 19.30 น.วันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่ามีเด็กนักเรียนชั้นมัธยมกว่า 10 ราย มีอาการคล้ายผีเข้าส่งเสียงกรีดร้องดังไปทั่วบริเวณ หลังรับแจ้งผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

ได้พบนักเรียนชั้นมัธยมของโรงเรียนหาดอัมราอักษรลักษณ์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหาดอัมรา ต.ท้ายบ้าน อ.เมืองสมุทรปราการ ซึ่งอยู่ห่างจากสวนสาธารณะที่เกิดเหตุประมาณ 5 กิโลเมตร จำนวนมากกำลังช่วยกันปฐมพยาบาลเพื่อนนักเรียนซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนหญิงอายุประมาณ 14-15 ปี นับสิบราย
     ที่ลงไปกองอยู่กับพื้นส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน คล้ายคนกำลังถูกเชือดคอโดยไม่ทราบสาเหตุ
     บางรายมีอาการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ไม่มีเรี่ยวแรง ส่วนบางรายถึงกับหมดสติ


    จึงได้ประสานขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ชีพโรงพยาบาลสมุทรปราการ เข้าให้การช่วยเหลือลำเลียงส่งรักษาที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ
     เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุถึงกับงงทำอะไรไม่ถูก
     เนื่องจากนักเรียนที่ล้มป่วยกะทันหัน โดยไม่ทราบสาเหตุ
    ได้ส่งเสียงตะคอกออกมาพร้อมกันว่า กูไม่ไป
     และพยายามดิ้นรนขัดขืนเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพและเพื่อนนักเรียนต้องช่วยกันอุ้มนักเรียนที่ล้มป่วยขึ้นรถส่งรักษาที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ





 
      จากการสอบถามทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นักเรียนชั้นมัธยมทั้งหมดเกือบร้อยคน ได้พากันมาซ้อมเต้นเชียร์ลีดเดอร์ ที่บริเวณลานต้นไทรซึ่งมีต้นไทรขนาดใหญ่อายุกว่า 200 ปี ขึ้นอยู่ติดกับลานดังกล่าว ในระหว่างที่ซ้อมเต้นกันอยู่นั้นมีนักเรียนหญิงกว่า 10 คน ได้ส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาพร้อมกับมีอาการตัวสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุ

      เพื่อน ๆ ที่เห็นเหตุการณ์จึงได้เข้ามาประคองพร้อมกับแจ้งให้อาจารย์ที่ควบคุมดูแลการซ้อมทราบ
      ซึ่งนักเรียนทั้งหมดเชื่อว่า กลุ่มนักเรียนหญิงทั้งหมด ถูกผีเข้า
      อาจารย์และเพื่อน ๆ จึงให้กลุ่มนักเรียนหญิงทั้ง 10 คน ทำการรำถวายเพื่อเป็นการขอขมา
      แต่อาการของนักเรียนกลุ่มดังกล่าวก็ยังไม่หายและมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้นอีก ทางอาจารย์จึงได้นำนักเรียนทั้งหมดทำการจุดธูปกราบไหว้ขอขมาที่ใต้ต้นไทรดังกล่าว
      หลังจากกล่าวคำขอขมาเสร็จ กลุ่มนักเรียนกลับส่งเสียงกรีดร้องเสียงดังเพิ่มขึ้น


    โดยนักเรียนหญิงคนหนึ่งร้องบอกกับอาจารย์พี่เลี้ยงว่า มีหญิงสาวแต่งกายด้วยชุดสีขาวยืนจ้องพวกเธออยู่ พร้อมกับบอกว่า ต้องการให้พวกเธอนำชุดไทยเกาะอกสีเขียว และชุดไทยสีแดงมาให้ แต่ทางโรงเรียนไม่มีชุดลักษณะดังกล่าวทางอาจารย์พี่เลี้ยง จึงให้เด็กนักเรียนพนมมือพร้อมกับกล่าวขอขมาและผ่อนผันว่าจะนำชุดไทยลักษณะดังกล่าวมาให้วันหลัง
      หลังพูดจบนักเรียนหญิงที่ล้มป่วยทั้งหมด กลับมีอาการตกใจมากขึ้นพร้อมกับกรีดร้อง
      และตะโกนออกมาตลอดเวลาว่า เขาไม่ออก
ทางอาจารย์จึงโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลมานำตัวนักเรียนทั้งหมดส่งโรงพยาบาล






 นอกจากนี้ยังได้ทราบอีกว่า นักเรียนกลุ่มดังกล่าวได้เกิดอาการลักษณะเดียวกันนี้แล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวานในเวลาเดียวกันขณะที่ซ้อมเต้นอยู่ที่เดียวกันนี้ แต่มีอาการเพียงแค่ 2 คน เท่านั้น หลังจากที่ทางอาจารย์ได้ให้จุดธูปและรำถวายเป็นการขอขมา นักเรียนทั้ง 2 ก็หายจากอาการดังกล่าวทันที
       ซึ่งทางอาจารย์บอกว่า นักเรียนทั้ง 2 คน ที่เกิดอาการลักษณะนี้เป็นหลังจากที่กลุ่มนักเรียนได้ถอดชุดไทยที่ไปเช่ามาซ้อมเต้นไว้กับพื้น คล้ายกับว่าเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์


      ส่วนชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุกลุ่มนักเรียนกลุ่มนี้ได้ซ้อมเต้นอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้กับส่วนลานต้นไทรจะมีชาวบ้านมาใช้เต้นแอร์โรบิกกระทั่ง 19.00 น.ชาวบ้านที่มาเต้นแอโรบิก แยกย้ายกันกลับแล้ว กลุ่มนักเรียนจึงมาใช้ลานต้นไทรกิจกรรมต่อ เพราะเป็นที่ที่มีไฟสว่างที่สุด

      หลังจากที่นักเรียนกลุ่มนี้ย้ายมาก็มีการหยอกล้อและใช้คำหยาบคายตะโกนด่า ทอ กัน ตามประสาเด็กวัยรุ่น กันบริเวณใกล้กับต้นไทรที่มีอายุกว่า 200 ปี ซึ่งอยู่ภายในสวนสาธารณะแห่งนี้ซึ่งเชื่อว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ตั้งหลุมหลบภัย มาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเชื่อว่าต้นไทรต้นนี้น่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 200 ปี ซึ่งชาวบ้านละแวกนี้เชื่อกันว่านักเรียนเหล่านี้น่าจะถูกเจ้าแม่ต้นไทรลงโทษจึงทำให้เกิดอาการในลักษณะดังกล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121215/147247/ตะลึง!นร.หญิงนับสิบส่งเสียงกรีดร้อง.html#.UM0U3qzjrRd
19699  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุดทึ่ง.! "ภูเขาน้ำแข็ง" ถล่มแตกตัวครั้งใหญ่สุด..เท่าที่โลกเคยเห็น(ชมภาพและคลิป) เมื่อ: ธันวาคม 16, 2012, 07:22:15 am



สุดทึ่ง "ภูเขาน้ำแข็ง" ถล่มแตกตัวครั้งใหญ่สุดเท่าที่โลกเคยเห็น
ชี้ราว "แมนฮัตตัน" แยกเป็นเสี่ยง(ชมคลิป)

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ว่า นายเจมส์ บาล็อก ผู้กำกับหนังสารคดีและนักบันทึกภาพธรรมชาติโลก ได้เปิดเผยวีดีโอบันทึกภาพเหตุการณ์สุดหายาก
    เป็นเหตุการณ์ภูเขาน้ำแข็งแตกตัวนอกบริเวณกรีนแลนด์ ของขั้วโลกเหนือ
     แสดงให้เห็นภาพภูเขาน้ำแข็งใหญ่ที่มีความสูงราว 400 ฟุต แตกตัวจากแผ่นน้ำแข็งของกรีนแลนด์

     โดยเขาระบุว่า เหมือนกับเขตแมนฮัตตันแยกเป็นเสี่ยงต่อหน้าเรา
     นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่า เหตุการณ์ชี้เป็นเครื่องยืนยันว่า ภาวะโลกร้อนมีผลกระทบต่อโลกอย่างชัดเจน และปรากฎการณ์ที่เขานำมาแสดงให้เห็นครั้งนี้


รายงานระบุว่า เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า กรีนแลนด์ กำลังเกิดน้ำแข็งละลายในปริมาณ 140,000 ตันต่อปี ขณะที่วารสาร"Science"ระบุว่า มีน้ำแข็งเป็นปริมาณกว่า 4 ล้านล้านตันจากกรีนแลนด์ และพื้นที่แอนตาร์ติก้าได้ละลายตัวในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และทำให้ระดับน้ำทะเลของโลกเพิ่มขึ้นอย่างสูง










ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355462334&grpid=01&catid=&subcatid=




เผยแพร่เมื่อ 15 ธ.ค. 2012 โดย nathaponson
19700  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รำลึกรัตนโกสินทร์ ๒๓๐ ปี ย้อนรอยวิถีชีวิตชาวสยาม..สืบสานศิลปวัฒนธรรมฯ(ชมภาพ) เมื่อ: ธันวาคม 16, 2012, 07:01:40 am


รำลึกรัตนโกสินทร์ ๒๓๐ ปี ย้อนรอยวิถีชีวิตชาวสยาม...สืบสานศิลปวัฒนธรรมราชธานี

ร่วมสืบสานตำนานความรุ่งเรืองของกรุงรัตนโกสินทร์ ในฐานะราชธานีเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองมาถึง 230 ปี กระทรวงการคลัง ภายใต้การ นำของ “รองนายกรัฐมนตรีกิตติรัตน์ ณ ระนอง” ร่วมกับชุมชนท้องถิ่นรอบเกาะรัตนโกสินทร์ จัดงาน
    “รำลึกรัตนโกสินทร์ ๒๓๐ ปี” ทุกเย็นวันเสาร์อาทิตย์
    ต่อเนื่องตลอดเดือนธันวาคมนี้ ถึงต้นเดือนมกราคม 2556

    เพื่อพาย้อนรอยวิถีชีวิตชาวสยาม และสัมผัสศิลปวัฒนธรรมเก่าแก่ ที่ยังคงอนุรักษ์คู่ชุมชนรอบเกาะรัตนโกสินทร์
    อันถือเป็นต้นแบบการพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมเข้มแข็งที่ภาคภูมิใจในภูมิปัญญาไทย





     ภายในงานแบ่งพื้นที่จัดกิจกรรมเป็น 5 โซน ประกอบด้วย
     “โซนรัตน์ รักษ์ศิลป์” เปิดให้ชมศิลปวัฒนธรรมทรงคุณค่าแห่งเกาะรัตนโกสินทร์ ณ บริเวณกรมศิลปากร ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าพ่อหอเชือกศาลเจ้าพ่อที่อยู่คู่กรมศิลปากร และหอประติมากรรมต้นแบบ สถานที่รวบรวมต้นแบบประติมากรรมชิ้นสำคัญของเมืองไทย

    ถัดมาในโซนที่สองคือ “โซนรำลึก รักษ์ รัตนโกสินทร์” ร่วมย้อนยุคไปกับวิถีชีวิตโบราณของชาวสยาม อาทิ ปั่นจักรยานรอบกรุงรัตนโกสินทร์, ชมหนังกลางแปลงย้อนยุค ที่บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และร่วมสักการบูชาพระพุทธสิหิงค์ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร พร้อมชม การแสดงนาฏศิลป์ไทยจากศูนย์สังคีตศิลป์

    ส่วน “โซนนิทรรศการรัตนโกสินทร์” จัดนิทรรศการรำลึกรัตนโกสินทร์ ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ ความเป็นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1-9 ผ่านนิทรรศการมีชีวิต บริเวณหน้าธรรมศาสตร์





     สำหรับกิจกรรมไฮไลต์ที่สร้างสีสันประจำงานต้องยกให้ “โซนบางลำพู คู่พระอาทิตย์” ซึ่งเป็นการปิดถนนพระอาทิตย์ ตั้งแต่ใต้สะพานพระปิ่นเกล้า จนถึงโรงพิมพ์คุรุสภา ให้เป็นถนนคนเดิน โดยมีการออกร้านจากชุมชนบางลำพูกว่า 200 ร้าน, จัดซุ้มเกมงานวัด  และนำมรดกวัฒนธรรมเก่าแก่คู่ชุมชนรอบเกาะรัตนโกสินทร์มาสาธิตให้ชมกันสดๆ โดยมีป้อมพระสุเมรุเป็นฉากหลัง

      ขณะที่บริเวณสวนสันติชัยปราการเป็นพื้นที่ของ  “โซนสวน ชวน ดู”  รวบรวมมหกรรมศิลปวัฒนธรรม และการแสดงทุกยุคทุกสมัยของกรุงรัตนโกสินทร์มาจัดแสดงคึกคัก ขนมาครบทั้งดนตรีจากวงสุนทราภรณ์, การแสดงลิเกจากศิษย์หอมหวล คณะบัณฑูรย์, การแสดงงิ้ว, โขน, การแสดงสื่อผสมจากมหาวิทยาลัยศิลปากร และดนตรีเพราะๆจากวงดนตรี TU BAND มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

      พิเศษสุดๆคือ กรมธนารักษ์ได้อัญเชิญพระคลังในพระคลังมหาสมบัติ มาให้ประชาชนทั่วไปได้สักการบูชาด้วย
      รวมทั้งสามารถสั่งจอง “พระคลัง ในพระคลังมหาสมบัติลอยองค์” เพื่อความเป็นสิริมงคลรับปีใหม่ โดยรายได้นำไปสร้างส่วนขยายศาลาเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญกษาปณ์ เพื่อเป็นสถานที่จัดแสดงทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน.








ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/313371
19701  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กรรมออนไลน์..."World Wide Web" เมื่อ: ธันวาคม 15, 2012, 12:03:29 pm


คำถาม - คำตอบวิปัสสนากรรมฐาน โดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร
โครงการอบรมวิปัสสนากรรมฐานหลักสูตรระยะสั้น ระหว่างวันที่ ๒๒ -๒๔ มีนาคม ๒๕๕๒

    ถาม อำนาจกรรม..กว้างขวางขนาดไหน.?
    ตอบ เรื่องของกรรมถ้าจัดเป็นเครือข่ายก็เป็นชนิด World Wide Web เลยค่ะ และจิตของเราประเมินไม่ได้ว่ากี่กิ๊กกะไบท์ เพราะสามารถเก็บข้อมูลได้หมดเลย และก็ไม่ต้องไปถึงชาติที่แล้ว เอาแค่ชาตินี้ก็พอที่เราจำสิ่งต่างได้มากมายมาตั้งแต่เล็ก เราสามารถจำได้ว่ามีปลาชื่ออะไรบ้าง เช่น ปลาทู ปลาบู่ ปลาหมอ ปลาสลิด ภาษาอังกฤษหมวด a มีอะไรบ้าง หมวด b มีอะไรบ้าง นี่เป็นการแสดงว่า memory ของเรามีเยอะ ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่ามันจะล้นหรือจะโหลด CPU จะพัง

    กรรมคือการกระทำ เมื่อมีการกระทำออกไปทางกาย วาจา และใจ เช่นที่พูดนี่เป็นกรรมทางวาจา แต่กายกับวาจาต้องมีใจสั่ง มีจิตคิดจะพูด มีจิตคิดจะทำ ฉะนั้นการกระทำกรรมจึงมีทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเกิดขึ้นอยู่เสมอ และกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมนี้ก็มีทั้งเป็นกุศลและอกุศล เป็นอกุศลก็เรียกว่าอกุศลกายกรรม อกุศลวจีกรรม อกุศลมโนกรรม ถ้าเป็นกุศลก็เรียกว่า กุศลกายกรรม กุศลวจีกรรม กุศลมโนกรรม

    กรรมคือการกระทำ ย่อมต้องมีผลของกรรม เช่นจะเปรียบว่า มือสองข้างที่ตีลงไปนี้เปรียบเสมือนการกระทำกรรม เป็นการกระทำ เมื่อตั้งใจเอามือตีกัน ซึ่งดิฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้เสียงเกิดเลย แต่ผลจากการที่มือมากระทบกันเกิดเสียงเองเป็นผล ..การตีเป็นเหตุ เสียงเป็นผล แล้วมีทันที ไม่ใช่พอตีมือปุ๊บ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมีเสียงดัง ก็เป็นไปไม่ได้ ..เมื่อตีปุ๊บเสียงก็ดังทันที แต่ถ้าตีค่อย.. เสียงก็ค่อยลง ถ้าตีแรง..เสียงก็ดังมาก เป็นการกระทำกรรมหนักกรรมเบาแต่มีผลทั้งสิ้น



    อำนาจของกรรมนั้นวิจิตรมาก สามารถเก็บและสะสมอำนาจไว้ไม่หายไปไหน
    เพราะจิตมีอำนาจที่จะเก็บสะสมกรรมและให้ผลของกรรมเกิดขึ้นไป
    นอกจากนี้อำนาจกรรมยังแบ่งออกเป็นชนกกรรม เป็นอำนาจที่ทำให้เกิด เช่น ครุกรรม เป็นต้น

    คำว่าครุกรรม คือ กรรมหนักให้ผลทันที ไม่มีอะไรมาแซงให้ผลได้ เช่น
    ในฝ่ายดี คือ ผู้ทำฌาน หรือบางท่านทำฌานแล้วคือเพิกรูปทิ้ง เพราะคิดว่ามีรูปธรรมจึงเป็นทุกข์
    แต่บางลัทธิบอกว่าก็เพราะมีจิตนี่แหละ รูปมันไม่รู้อะไรเลย แต่จิตนี่นามนี่ มันเป็นตัวรับรู้ก็เพิกนามทิ้ง ..ผู้ที่ทำฌานได้ ถือเป็นกรรมและเป็นมหัคคตกุศลด้วย เป็นกุศลที่ประณีตขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งจากกามาวจรกุศล ..จัดเป็นครุกรรม


    เมื่อเขาตายปุ๊บครุกรรมก็ส่งผลทันที ไม่มีแรงกรรมอย่างอื่นเลยที่จะมาแทรกแซงได้
    เขาต้องเกิดเป็นอรูปพรหม เป็นรูปพรหม เป็นอสัญญสัตตาพรหมหรือที่เรียกว่าพรหมลูกฟัก
    เวียนว่ายตายเกิดอยู่ ๕๐๐ มหากัป และเมื่อสิ้นอายุแล้วก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่อไปอีก

    ส่วนครุกรรมฝ่ายไม่ดี คือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายสงฆ์ให้แตกคณะ และทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต บุคคลที่ทำกรรมเช่นนี้ต่อให้ทำกุศลมากขนาดไหน
    และมีใครมาบอกก่อนตายว่า ..อรหัง พุทโธ ธัมโม พุทธายะ..ก็ไม่มีทางหนีแรงครุกรรมพ้น
    เมื่อตายแล้วก็อบายภูมิ คือ นรกเป็นที่ไปอย่างแน่นอน


    ก็เหมือนกับการที่เราขว้างปาข้าวของ ถ้าเรายืนอยู่บนตึกคอนโดมีเนียมสูงสัก ๓ ชั้น แล้วมือข้างหนึ่งถือสำลีกับอีกข้างหนึ่งถือก้อนหินไว้ เมื่อทิ้งของลงมาแล้วก้อนหินก็จะตกถึงพื้นก่อนเพราะมีน้ำหนักมากกว่า ก็เช่นเดียวกันกับกรรมที่ฝ่ายไหนมีอำนาจที่มีน้ำหนักมากก็ต้องให้ผลก่อนแน่นอน



  กรรมเป็นเรื่องสากล.. จะนับถือศาสนาพุทธหรือไม่นับถือศาสนาพุทธย่อมต้องได้ผลทั้งสิ้นเหมือนกัน มีการเวียนว่ายตายเกิดใน แหล่งกำเนิดมี ๔ ที่ คือเกิดในครรภ์มารดา เกิดในฟองใข่ เกิดในของโสโครก และเกิดเป็นโอปปาติกะโดยไม่ต้องอาศัย ๓ แหล่งข้างต้นแต่อาศัยบาปและบุญ อย่างพวกเรานั้นจัดเป็นผู้ที่เกิดในครรภ์มารดา และ การเกิดอยู่ในครรภ์มารดา ก็ไม่ใช่จะมีมนุษย์อย่างเดียว เพราะปลาวาฬก็เกิดได้ งูก็เกิดได้

    พวกที่เกิดในครรภ์มารดาก็มีทั่วโลก แต่แบ่งแยกชนเผ่าพันธุ์เท่านั้นเอง แต่ก็มีรูปนามขันธ์ ๕ เหมือนกัน คือ มีรูป มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    อย่างดิฉันนั่งอยู่นี่มีรูป และถ่ายรูปได้ และ ถ้าตรงนี้มีสุนัขอยู่ตัวหนึ่ง ดิฉันก็ไม่ต่างไปจากสุนัขเลย ที่พอช่างกล้องถ่ายปุ๊บก็มีรูปติดปั๊บ เพียงแต่มีชื่อต่างกันไปตามสมมุติเท่านั้น หรืออย่างดิฉันก็มีความสุขทุกข์ พออากาศร้อนมากๆ ก็เกิดทุกขเวทนา และถ้าเอาน้ำร้อนไปลวกสุนัข สุนัขก็มีทุกขเวทนาได้เหมือนกัน หรือพอดิฉันได้กินดีสุขเวทนาก็เกิดได้ สุนัขก็เกิดสุขเวทนาจากการดินได้เหมือนกัน

    หรืออย่างดิฉันเรียกสุนัขว่าเจ้าแต้มมานี่ สุนัขก็เข้ามาหาเพราะจำได้ นั่นก็คือ ดิฉันก็จำเขาได้ เขาก็จำดิฉันได้ ซึ่งก็มีความจำเหมือนกัน มีความรู้สึกสุขทุกข์พอใจไม่พอใจเหมือนกัน แล้วที่รู้ได้ จำได้ก็ต้องมีวิญญาณเหมือนกัน ฉะนั้น ดิฉันกับสุนัขและทุกคนที่มีขันธ์ ๕ ไม่ต่างกันเลย แต่ต่างกันด้วยอำนาจกรรมที่จำแนกคนให้มีสูงต่ำดำขาว เป็นสัตว์ชนิดใดเท่านั้นเอง

    กรรมจำแนกสัตว์ให้เป็นไปด้วยอำนาจของกรรม ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครนับถือศาสนาใดหนีไม่พ้นกรรม คนเราอาจจะเก่งเกินกัน คือทุกคนมีความสามารถเก่งไม่เท่ากัน แต่คนเก่งในโลกนี้ ก็ไม่เก่งเกินกรรม ..เมื่อถึงเวลาตายก็ต้องตาย แล้วคนเราทำไมถึงต้องตาย ก็เพราะอำนาจกรรม



    ทุกท่านนั่งอยู่ที่นี่ท่านต่างก็ต้องตาย และความตายก็มีเหตุที่จะทำให้อยู่ ๔ อย่างเท่านั้น คือ
      ๑. หมดกรรม
      ๒. หมดอายุขัย
      ๓. หมดทั้งกรรมหมดทั้งอายุขัย
      ๔. มีกรรมมาตัดรอน อุปเฉทกรรม ..ก็ขอเอาชีวิตท่านมาเป็นตะเกียงน้ำมันเพื่อที่จะอธิบาย


    ตะเกียงน้ำมันที่กำลังติดไฟอยู่ซึ่งต้องประกอบไปด้วยตัวตะเกียง มีน้ำมัน มีไส้ และมีไฟ

  ไฟที่กำลังติดอยู่ในตะเกียงนี้ ถ้าน้ำมันหมดไฟก็ดับ เรียกว่า หมดกรรม เพราะน้ำมันเปรียบเสมือนกรรมที่หล่อเลี้ยงอยู่
  ไฟที่กำลังติดอยู่ในตะเกียงนี้ ถ้าไส้ตะเกียงหมดไฟก็ดับ เรียกว่า หมดอายุขัย เพราะไส้ตะเกียงเปรียบเสมือนอายุขัย
  ไฟที่กำลังติดอยู่ในตะเกียงนี้ ถ้าน้ำมันหมดและไส้ตะเกียงก็หมดไฟก็ดับ เรียกว่า หมดทั้งกรรมหมดทั้งอายุขัย
  ไฟที่กำลังติดอยู่ในตะเกียงนี้ น้ำมันก็ยังอยู่ ไส้ก็ยังอยู่ แต่มีลมพัดกรรมโชกมาไฟก็ดับ เรียกว่า มีกรรมมาตัดรอน อุปเฉทกรรมหรืออุปฆาตกรรมนั่นเอง



ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=12142
โพสต์โดย น้องกิ๊ฟ [8 มิ.ย. 2552 , 08:36:36 น.] ( IP = 58.9.102.186 : : )
19702  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "ถ้ำอชันตา" ภาพสะท้อน..ของพุทธศาสนาในอินเดีย เมื่อ: ธันวาคม 15, 2012, 11:27:03 am


ธรรมาภิวัตน์ : "อชันตา" ภาพสะท้อนของพุทธศาสนาในอินเดีย

มีท่านหนึ่งโทรศัทพ์มาถามเรื่องโปรแกรมท่องเที่ยว ท่องธรรม ณ อินเดีย-เนปาล ซึ่งโครงการธรรมาภิวัตน์ จัดเป็นประจำทุกปี ถามเรื่องถ้ำอชันตา-ถ้ำเอลโลร่า ตามที่ได้ยินในโฆษณา ว่าเป็นอย่างไร ผมจึงได้อธิบายให้ฟัง ปลายสายแสดงน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย เมื่อบอกว่า "เที่ยวกันถ้ำละวันเต็มๆ!!”
       
       จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรครับ เพราะภายในถ้ำอชันตา ซึ่งที่ถูกต้องเรียกว่า "กลุ่มถ้ำ" (Ajanta Caves) มีถ้ำเรียงกันรวม 30 ถ้ำ ล้วนมีความใหญ่โต อลังการ มีงานประติมากรรม จิตรกรรม อันล้ำค่า เชื่อมโยงกับศาสนา และมีมาตั้งแต่สมัยต้นพุทธกาล เดินชมกันทั้งวันก็ยังเกรงว่าจะไปได้ไม่ครบทุกถ้ำ
       
       อชันตาเป็นชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองออรังคบาด รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย
       ส่วนกลุ่มถ้ำอชันตาตั้งอยู่คุ้งแม่น้ำวโกระ สูงจากระดับแม่น้ำประมาณ 75 เมตร
       สมัยอดีตต้องใช้เรือจากถ้ำหนึ่งไปอีกถ้ำหนึ่ง ไม่ได้เดินทางสะดวกเหมือนปัจจุบัน

       
       สันนิษฐานว่าพระสงฆ์เลือกถ้ำแห่งนี้เป็นที่พำนัก เนื่องจากเป็นสถานที่ที่สงบเงียบ จนกระทั่งกองทัพมุสลิมเข้ามายึดอินเดีย ถ้ำอชันตาก็หายไปจากความทรงจำของผู้คน ถูกทิ้งร้างกลายเป็นป่ารกชัฏปกคลุมถึง 800 ปี!! ต่อมาในปี พ.ศ.2362 ได้มีทหารอังกฤษ ชื่อจอห์น สมิธ ออกล่าสัตว์ในเขตนั้น และได้วิ่งตามกวางที่หนีเข้าไปในถ้ำ จึงได้พบถ้ำอชันตา ซึ่งได้กลายมาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ และต่อมาได้รับการประกาศจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ.2526

    กลุ่มถ้ำอชันตาสันนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงก่อนคริสตศักราชประมาณ 200ปี คือระหว่างปีพ.ศ.350-400 มาสิ้นสุดปีพ.ศ.1200 รวมเวลาการก่อสร้างราว 850 ปี เมื่อพุทธศาสนาได้แผ่ขยายครอบคลุมอินเดียทั้งเหนือและใต้ คณะสงฆ์อินเดียภาคตะวันตกเฉียงใต้ก็เริ่มสร้างวัดคูหาขึ้น เรียกว่า ถ้ำอชันตา โดยการเจาะภูเขาไปสร้างเป็นวัดและวิหาร เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและปฏิบัติธรรม บางถ้ำมีถึงสามชั้น มีทางเดินเชื่อมถึงกันตลอด

       
            
     การอยู่อาศัยในถ้ำของพระ เป็นไปตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติเพิ่มเติมไว้
     คือ เสนาสนะที่พระจะอาศัยอยู่ได้ เป็นส่วนอดิเรกหรือส่วนพิเศษเพิ่มเติมนั้น
     ได้แก่ วิหาโร(กุฏิ), อฑฺฒโยโค(เรือนมุงครึ่งเดียว), ปาสาโท(เรือนชั้น), หมฺมิยํ(เรือนโล้น) และคุหา(ถ้ำ)

 
     ซึ่งถ้ำนี่แหละครับ ที่สามารถนำไปเชื่อมโยงเข้ากับการเกิดขึ้น และมีอยู่ของถ้ำอชันตากับพุทธศาสนาได้
     เนื่องจากผู้คนและพระภิกษุในย่านนั้นบางคนเป็นช่างแกะสลักมาก่อน เมื่อมีความคิดสร้างสรรค์ มีกำลัง มีความสามารถ และที่สำคัญคือมีศรัทธา จึงรังสรรค์ถ้ำที่มีความวิจิตรงดงามและทรงคุณค่าขึ้นมา
       
    ความจริงการเจาะภูเขาสร้างเป็นวัดนั้น มิใช่มีเฉพาะกลุ่มถ้ำอชันตาเท่านั้น ใกล้ๆกัน
    ยังมีกลุ่มถ้ำเอลโลร่า ซึ่งมีความน่าสนใจที่แตกต่างจากอชันตา คือ มีถ้ำถึง 3 ศาสนา ทั้งพุทธ ฮินดู และเชน
    ในขณะที่อชันตาเป็นถ้ำพุทธศาสนาล้วนๆ แบ่งเป็นถ้ำหินยาน 6 ถ้ำ อีก 24 ถ้ำเป็นฝ่ายมหายาน

       
    บันทึกในหนังสือชื่อ Ajanta & Ellora : Cave of Ancient India โดย Abdul Nasir Almohammadi กล่าวไว้ว่า
      “อชันตามีถ้ำที่เป็นเจดีย์เป็นวิหารหรือวัดห้าแห่ง ได้แก่ถ้ำหมายเลข 8-9-10-12-13 ซึ่งเป็นถ้ำในยุคแรกๆ ของพระพุทธศาสนาในฝ่ายหินยาน หากดูตามแผนผัง ถ้ำเหล่านี้จะอยู่ช่วงกลางภูเขา ต่อมาในยุคหลังเมื่อพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเข้ามา จึงได้สร้างขยายออกทั้งสองข้าง จนกลายเป็นถ้ำที่สำคัญของพระพุทธศาสนาจำนวน 30 ถ้ำ แต่บางตำราบอกว่ามีเพียง 29 ถ้ำ"
       
      สอดคล้องกับข้อมูลในหนังสือ "จาริกบุญ จารึกธรรม" โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ที่กล่าวถึงถ้ำฝ่ายหินยานหมายเลข 30 ซึ่งเป็นถ้ำที่เก่าแก่ที่สุด แต่ไม่อาจไปถึงได้ เนื่องจากไม่มีทางขึ้นไป
       
       พระพรหมคุณาภรณ์ยังได้เขียนต่อมาอีกเล็กน้อยถึงประวัติศาสตร์ของอินเดียภายใต้การค้นพบของอังกฤษในช่วงที่อินเดียตกเป็นเมืองขึ้น สะท้อนความอ่อนด้อยเชิงวิชาการในการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม มานุษยวิทยา และโบราณคดีของอินเดีย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา

       
     
    การค้นพบหมู่ถ้ำอชันตาในครั้งนั้น ทำให้โลกต้องตื่นตะลึงกับความมหัศจรรย์ของศิลปะวัดถ้ำ
    ขณะเดียวกันก็ทำให้นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวของพุทธศาสนาในอินเดียได้อย่างชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ด้วยการศึกษาจากภาพวาดและรูปแกะสลักหินที่สลักขึ้นจากภูเขาทั้งลูกและยังคงสภาพดีอยู่

       
     ในจำนวน 30 ถ้ำนั้น 5 ถ้ำเป็นการแกะสลักองค์เจดีย์และอีก 25 ถ้ำจะเป็นวิหารและที่พักสงฆ์
     ภายในถ้ำจะมีลักษณะคล้ายกัน คือ เจาะถ้ำเป็นห้องและมีแท่นหินแกะเป็นรูปพระพุทธเจ้าในปางต่างๆ เด่นสง่าอยู่ภายใน และรอบห้องมีเสาเรียงราย
     บริเวณฝาผนังแกะสลักเป็นพระพุทธรูปในปางต่างๆ เช่นกัน หรือเล่าเรื่องตามพระไตรปิฎก
     ส่วนลักษณะเพดานมีการแกะหินเหมือนท้องเรือ เสาทุกต้นจะมีการแกะสลักเทวดานางฟ้า
     ส่วนรอบห้องแกะสักหินเป็นพระพุทธรูปปางต่างๆ


     ส่วนถ้ำอีกแบบคือ มีการเจาะเข้าไปเป็นห้องโถงใหญ่ และตรงกลางห้องในสุดมีการเจาะห้องเข้าไปอีกเป็นห้องเล็กๆ ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ตรงโถงด้านนอกมีภาพวาดสี ซึ่งค่อนข้างเลือนลางมากแล้ว (การถ่ายรูปภายในถ้ำไม่อนุญาตให้ใช้แสงแฟลช นัยว่าจะสร้างความเสียหายให้กับภาพได้) และมีการเจาะแบ่งห้องเข้าไปในผนังอีกเป็นห้องเล็กๆ เข้าใจว่าสำหรับพระภิกษุเพื่อเจริญสมาธิ หรือเป็นเสนาสนะของพระภิกษุ
       
      มีการตั้งข้อสังเกตจากนักวิชาการด้านศิลปะว่า หลังจากการเจาะถ้ำและสลักให้แผ่นหินทั้งถ้ำเรียบได้ฉากเสมอกัน ไม่มีรอยนูน ความขุระแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็เป็นงานจิตรกรรม ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ สันนิษฐานว่าเหตุที่ภาพวาดยังคงงดงามจนถึงปัจจุบัน เพราะเทคนิคที่ใช้คือการเอาขี้วัวขี้ควายผสมยาไม้และเส้นฟางสับให้ละเอียดผสมกัน และยาทับหนาประมาณ 1 นิ้วลงบนผนังหิน หรือเสาหินภายในถ้ำก่อนวาดสี หลังจากแห้งแล้วจึงค่อยลงสี ซึ่งทำให้สีอยู่คงทนกว่าการวาดลงไปบนแผ่นหินโดยไม่อะไรเชื่อมระหว่างเม็ดสีกับเนื้อหิน

       

       หากดูตามประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาที่ค้นพบจากถ้ำอชันตานั้น อธิบายได้ว่า
       ในยุคแรกพุทธศาสนานิกายเถรวาทเจริญรุ่งเรืองมากในอินเดีย สังเกตได้จากถ้ำทั้ง 6 ที่ดำเนินการสร้างเป็นระยะเวลาประมาณ 200 ปีเท่านั้นแล้วก็ขาดช่วงไป ต่อมาพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเข้ามามีอำนาจ จึงได้สร้างต่ออีก 24 ถ้ำ

       
       แสดงว่าพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเจริญรุ่งเรืองได้ประมาณ 700 ร้อยปี ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากอินเดีย
       พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็เฉกเช่นเดียวกัน เจริญในอินเดียได้ราว 1,000-1,200 ปี
       และในที่สุดก็หายสาบสูญไป ซึ่งเป็นยุคที่พุทธศาสนาในอินเดียเริ่มเสื่อมลง

       
       คงเหลือไว้แต่ถ้ำที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้ภูเขา และยังคงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาค้นคว้ากันต่อไปถึงการกำหนดความสัมพันธ์ต่อกันของหินยาน (เถรวาท) อันนำไปสู่การศึกษาเรื่องการมีอยู่ของหินยานกับมหายานในอินเดีย ซึ่งจะได้เขียนถึงในโอกาสต่อไป
       
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 144 ธันวาคม 2555 โดย กานต์ จอมอินตา ผู้อำนวยการโครงการธรรมาภิวัตน์ สถานีโทรทัศน์ ASTV)


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9550000149046
19703  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิปัสสนาฯ เมียนมาร์-ไทย เชื่อมใจชาวพุทธสู่อาเซียน เมื่อ: ธันวาคม 15, 2012, 11:01:05 am



วิปัสสนาฯ เมียนมาร์-ไทย เชื่อมใจชาวพุทธสู่อาเซียน

มีโอกาสได้กลับไปเยือน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ประเทศพม่า อีกครั้ง ครั้งนี้ได้ไปร่วมงานบุญใหญ่ทอดกฐินนำมาพัฒนาศูนย์วิปัสสนามหาสี ณ นครย่างกุ้ง โดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) พร้อมทั้งได้ร่วมพิธีถวายปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาวิปัสสนา แด่พระภัททันตะ ชฏิละ ประธานวิปัสสนาศูนย์วิปัสสนามหาสี

โดยมีสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ในฐานะรองอธิการบดี มจร. วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส จ.นครปฐม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมจร. พร้อม คณะสงฆ์ไทย-พม่าหลายร้อยรูป เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้
    การเชื่อมความสัมพันธ์กับคณะสงฆ์และชาวพุทธเมียนมาร์ ถือเป็นเรื่องที่ มจร. ได้ทำต่อเนื่องมานานพอสมควร
    ซึ่งพระครูปลัดสุวัฒนวชิรคุณ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มจร. เล่าให้ฟังว่า

    จากการที่ มจร. ได้มาถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิปัสสนา แด่พระภัททันตะ ชฏิละ ประธานพระวิปัสสนาจารย์ ศูนย์วิปัสสนามหาสี นับเป็นการสานสัมพันธ์ที่ดีด้านพระพุทธศาสนากับพุทธศาสนิกชนชาวเมียนมาร์ และจากนี้ไปคณะสงฆ์ไทยและ มจร. จะส่งเสริมความสัมพันธ์กับคณะสงฆ์และหน่วยงานด้านพระพุทธศาสนาในประเทศกลุ่มอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการศึกษา เพื่อรองรับการเปิดประชาคมอาเซียนในพ.ศ. 2558

    “ที่ผ่านมา มจร. รวมทั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ได้มีการทำงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับนานาชาติไว้แล้ว ซึ่งในกรณีของเมียนมาร์ ทาง มจร. ได้เชื่อมสัมพันธ์กันในด้านวิปัสสนากรรมฐาน โดยมีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันไม่ว่าจะเป็นพระวิปัสสนาจารย์ และนิสิต รวมทั้งมีการประชุมวิชาการร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยสงฆ์ในเมียนมาร์ด้วย” พระครูปลัดสุวัฒนวชิรคุณ กล่าว



รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ ยังบอกอีกว่า ในปีงบประมาณ 2556 ในช่วงระหว่างประมาณเดือนเม.ย. ถึง พ.ค. 2556 มจร.จะมีการจัดประชุมผู้นำชาวพุทธอาเซียนขึ้น
    เพื่อประชุมร่วมกันหาความต้องการในการพัฒนาบุคลากรด้านศาสนทายาทว่า
    จะมีอะไรทำร่วมกันได้บ้าง เราจะมีการวางแผนร่วมกันก่อนที่จะเปิดประชาคมอาเซียน
    ซึ่งเราพบปัญหาว่า ในแต่ละประเทศยังมีการฝึกบุคลากรให้เป็นผู้ที่ทำงานระหว่างประเทศได้น้อยอยู่


    มจร.จึงอาศัยการประชุมนี้หรือกลุ่มเล็กทำงานร่วมกันแล้ว
    ค่อยขยายการพัฒนาบุคลากรระหว่างประเทศไปยังกลุ่มใหญ่
    เช่น มหายานกับเถรวาท มีแนวปฏิบัติต่างกัน
    แต่ก็สามารถทำงานร่วมกันได้เพราะเข้าใจในความต่าง
    เพราะใช้หลักธรรมและนับถือพระพุทธองค์องค์เดียวกัน เป็นต้น 


    ทั้งนี้ในการประชุมดังกล่าว จะหารือใน 2 ประเด็นหลัก คือ
    1. แนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาว่าควรมีทิศทางอย่างไร และ
    2. แนวทางการส่งเสริมพระพุทธศาสนาในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน ซึ่งหลังจากหารือแล้ว มจร.จะจัดทำแผนออกมาเพื่อใช้เป็นแนวทางสู่การปฏิบัติร่วมกันในการสร้างความเข้มแข็งด้านการศึกษาพระพุทธศาสนาของประชาคมอาเซียนต่อไป



     ในขณะที่พระภัททันตะ ชฏิละ ประธานวิปัสสนาศูนย์วิปัสสนามหาสี กล่าวว่า
     การที่ มจร. ให้เกียรติในการมาถวายปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาวิปัสสนา รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทาง มจร. และคณะสงฆ์ไทย เห็นความสำคัญของวิปัสสนากรรมฐาน
     นอกจากนี้ยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคณะสงฆ์เมียนมาร์และคณะสงฆ์ไทย รวมถึงพุทธศาสนิกชนชาวเมียนมาร์และชาวไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
     และนับจากนี้ไปก็เชื่อว่า ทาง มจร. และศูนย์วิปัสสนามหาสี
     จะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางด้านวิชาการและบุคลากรด้านวิปัสสนากรรมฐานกันเพิ่มมากขึ้น


    นั่นเป็นความรู้สึกของพระอาจารย์ภัททันตะ ชฏิละ ประธานวิปัสสนาศูนย์วิปัสสนามหาสี
    ซึ่งการตั้งศูนย์วิปัสสนากรรมฐานในเมียนมาร์นั้น ส่วนใหญ่แล้วฆราวาสจะเป็นผู้จัดตั้ง
    ไม่เหมือนกับประเทศไทยที่มีพระสงฆ์เป็นผู้จัดตั้ง
    ส่วนพระของเมียนมาร์ก็จะทำหน้าที่เป็นพระวิปัสสนาจารย์เท่านั้น ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารศูนย์แต่อย่างใด
    โดยการบริหารศูนย์จะมีฆราวาสเป็นประธาน และมีการตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมาบริหาร



    นาย อู วิน เทียน ประธานองค์กรพุทธศาสนานุกกะ กล่าวถึงการจัดตั้งศูนย์วิปัสสนามหาสีว่า กลุ่มพุทธศาสนานุกกะก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ผู้ก่อตั้งคือ ประธานาธิบดีเจ้าส่วยไต้ มีจุดประสงค์เพื่อให้การศึกษาพุทธศาสนาตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารุ่งเรืองไปทั่วโลก

    โดยวิธีการสอนมหาสติปัฏฐานของศูนย์วิปัสสนามหาสี สามารถเข้าใจได้ง่ายสำหรับผู้มาปฏิบัติธรรม
    จึงมีชื่อเสียงไปทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย
    โดยเมื่อ พ.ศ. 2551 ทางมจร. ได้ส่งนิสิตมหาบัณฑิตสาขาวิปัสสนาภาวนา
    เป็นพระสงฆ์ 18 รูป และฆราวาส 3 คน มาศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐานเป็นเวลา 7 เดือน
    เพราะเห็นว่าเป็นสถานที่ต้นกำเนิดวิปัสสนาที่เข้าไปเผยแผ่ในประเทศไทย


    นาย อู วิน เทียน กล่าวต่อไปว่า ต่อมา พ.ศ. 2553 ได้มีการทำความร่วมมือขอพระวิปัสสนาจารย์ไปสอนยัง มจร. ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และด้วยเหตุผลดังกล่าวทั้งหมด
     ทาง มจร.จึงมีมติถวายปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาวิปัสสนา แด่พระภัททันตะ ชฏิละ ประธานวิปัสสนาศูนย์วิปัสสนามหาสี
     ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นับได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในประเทศเมียนมาร์
     ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้แนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกด้วย


     ไม่เพียงจะได้ไปร่วมงานบุญครั้งนี้แล้ว เรายังได้เห็นว่า สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่พุทธศาสนิกชนสร้างขึ้นด้วยความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา คนที่นี่ตั้งแต่เด็กจนถึงคนชรา ต่างเวียนเข้ามาฝึกจิตฝึกใจกันอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ชาวต่างชาติก็มีให้เห็น



นางปภัสรา เตชะไพบูลย์ ดารานักแสดง ในฐานะนักศึกษาปริญญาเอก มจร. บอกว่า ได้มาเรียนรู้การฝึกวิปัสสนากรรมฐานที่นี่ 3 วันได้เห็นถึงการฝึกที่มีความเข้มข้น ที่สำคัญหากเรารู้ภาษาพม่าและภาษาอังกฤษจะช่วยได้มากในการฝึก
      ซึ่งแนวทางก็คล้ายคลึงกับประเทศไทยมาก ถึงแม้เครื่องอำนวยความสะดวกจะไม่มากเหมือนบ้านเรา
      แต่ก็จะทำให้เราได้ฝึกความอดทน ฝึกความเป็นอยู่แบบเรียบง่ายได้อีกทางหนึ่ง
      ทั้งนี้เชื่อว่าการฝึกวิปัสสนากรรมฐานจะช่วยพัฒนาจิตใจของเราได้มากขึ้น และอยากให้คนรุ่นใหม่เข้ามาศึกษากันให้มาก ๆ


นี่เป็นเพียงเสียงสะท้อนหนึ่งของผู้ได้มีโอกาสฝึกวิปัสสนากรรมฐาน หากใครอยากรู้สึกถึงความพิเศษของหลักปฏิบัติของพระพุทธองค์ต้องมาลองด้วยตนเอง การใช้หลักธรรมในการเชื่อมใจชาวพุทธในกลุ่มอาเชียนก็ถือเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะชาวพุทธยึดหลักธรรมเดียวกัน ไม่แบ่งด้วยเชื้อชาติ และเส้นเขตประเทศมาขวางกั้น ก็จะไม่เกิดความแปลกแยก
      อย่างไรก็ตาม หากคนไทย และรัฐบาลไทย ใช้ยุทธศาสตร์ด้านศาสนาและวัฒนธรรม เชื่อมใจถึงใจ
      เชื่อว่า ความเข้มแข็งในหมู่ประชาคมอาเซียนคงจะเกิดได้จริง.


      มนตรี ประทุม


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/education/172127
19704  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 อันดับ สถานที่ท่องเที่ยว.."ถูกใจคนไทย" เมื่อ: ธันวาคม 15, 2012, 10:40:17 am


5 อันดับ สถานที่ท่องเที่ยว.."ถูกใจคนไทย"

แนะนำ 5 อันดับจังหวัดท่องเที่ยวภายในปรเทศไทยที่คนไทยอยากไปเยือนมากที่สุด

สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆภายในประเทศไทย นอกจากจะได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกแล้ว คนไทยเองก็หลงรักหลากหลายเสน่ห์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยเช่นกัน วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ ยกผลสำรวจความคิดเห็นจาก นิด้าโพล ที่นำเสนอถึง 5 อันดับจังหวัดท่องเที่ยวภายในประเทศ ที่คนไทยอยากไปมากที่สุดมาให้ได้รับรู้

เริ่มจาก อันดับ 1 จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเสน่ห์ที่มีมายาวนานของเชียงใหม่ ดินแดนล้านนาที่ยังคงความงดงามทั้งด้านธรรมชาติ วัฒนธรรมไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม และการพูดทักทายต้อนรับด้วยเสียงพูดหวานไพเราะเสนาะหูของคนพื้นถิ่น ทำให้นักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนต่างติดใจ ส่งผลให้เชียงใหม่ครองใจนักท่องเที่ยวชาวไทยมาอย่างยาวนาน

 อีกทั้งในช่วงฤดูหนาวที่เชียงใหม่ยังมียอดดอยต่างๆให้คนชอบท้าลมหนาวมาพักผ่อนได้อย่างสบายใจ เช่น ดอยอินทนนท์ ดอยอ่างขาง ดอยม่อนแจ่ม ฯลฯ หลากหลายสีสันที่รวมกันเป็นเสน่ห์ของเชียงใหม่ ทำให้ไม่แปลกใจเลยที่เมืองล้านนาแห่งนี้เป็นสถานที่แรกๆที่นักท่องเที่ยวชาวไทยคิดถึงเสมอมา

อันดับที่ 2 จังหวัดภูเก็ต เกาะภูเก็ต คือ สวรรค์ของคนรักทะเลขนานแท้ เพราะเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่โอบล้อมด้วยน้ำทะเลสีเขียวมรกตกับหาดทรายขาว มีให้เลือกเล่นน้ำได้หลากหลายหาด ซึ่งแต่ละหาดก็มีความงดงามและเสน่ห์แตกต่างกันไป อีกทั้งยังมีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มากมาย ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่รวมเอาความเป็นธรรมชาติและความสะดวกสบายเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว โดยสถานที่ท่องเที่ยวในภูเก็ตที่น่าสนใจ คือ หาดป่าตอง หาดกะรน แหลมพรหมเทพ หาดกมลา ฯลฯ สำหรับคนที่หลงไหลและชื่นชอบในการรับลมเย็นและไอแดดจากทะเล ภูเก็ตยังเป็นสวรรค์แห่งแรกที่ทุกคนต้องนึกถึงเสมอ

อันดับที่ 3 จังหวัดกระบี่ ดินแดนแห่งขุนเขา หาดทราย ชายทะเล กลุ่มเกาะ น้ำตก และสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ครองใจชาวไทยมาอย่างาวนานเช่นกัน และด้วยความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเที่ยวที่จังหวัดกระบี่ได้ตลอดทั้งปี ซึ่งสิ่งที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบที่สุดคงต้องยกให้การได้ลงไปดำน้ำแหวกว่ายในผืนน้ำอันสวยงามตามจุดดำน้ำต่างๆ มีหมู่เกาะ และชายหาดมากมาย ให้ได้เลือกพักผ่อน เช่น  อ่าวมาหยา อ่าวนาง เกาะพีพี ทะเลแหวก ฯลฯ ใครที่ชื่นชอบการดำน้ำต้องคิดถึงจังหวัดกระบี่เป็นอันดับต้นๆแน่นอน

อันดับที่ 4 จังหวัดเชียงราย จังหวัดที่อยู่เหนือที่สุดของประเทศไทย เป็นจังหวัดที่ยังคงวิถีดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องวัฒนธรรม การดำเนินชีวิต ศิลปะวัฒนธรรม เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยมิตรภาพและรอยยิ้ม และยังเป็นเมืองเก่าแก่เมืองสำคัญในประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยเชียงแสน ด้วยความดงามของธรรมชาติและองค์ประกอบด้านการท่องเที่ยวต่างๆที่ลงตัว ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มหันมาให้ความสนใจในการเข้ามาเยือนเชียงรายมากขึ้นทุกปี ทำให้แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งแน่นขนัดไปด้วยผู้คนในช่วงฤดูท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น  วัดร่องขุ่น ดอยแม่สลอง พระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง พระธาตุดอยตุง ภูชี้ฟ้า ฯลฯ

ปิดท้ายด้วย อันดับที่ 5 จังหวัดชลบุรี เมืองท่องเที่ยวติดทะเลอ่าวไทยที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครมากนัก ชลบุรีถูกยกให้เป็นเมืองตากอากาศที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนไปพักผ่อนตลอดทั้งปี มีสถานที่ท่องเที่ยให้เข้ามาพิสูจน์ความงดงามากมาย เช่น เกาะล้าน พัทยา บางแสน อ่างศิลา เขาสามมุข เกาะสีชัง ฐานทัพเรือสัตหีบ ฯลฯ และยังมีส่วนของการแสดงและแสงสียามค่ำคืน ซึ่งนับเป็นเสน่ห์สำคัญที่ทำให้ชลบุรีไม่เคยขาดแคลนนักท่องเที่ยวพร้อมฉายาเมืองแห่งแสงสีที่ไม่เคยหลับไหล


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/article/821/172271
19705  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขึ้นทะเบียน "น้ำพริก ส้มตำ ปลาร้า วิ่งควาย" มรดกภูมิปัญญาฯ ปี 55 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2012, 10:34:34 am


ขึ้นทะเบียน "ส้มตำ ปลาร้า วิ่งควาย" มรดกภูมิปัญญาฯ ปี 55

ขึ้นทะเบียน "น้ำพริก ส้มตำ ปลาร้า วิ่งควาย ลูกประคบ" มรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรม ปี 55 หวังอนุรักษ์มรดกชาติ ห่วงช่างฝีมือขันลงหินห่วงสูญใน 5 ปี...

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ที่หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม แถลงข่าวการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ปี 2555 ว่า กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ ปี 2542 รวม 80 รายการ

เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ยกย่องภูมิปัญญาของบรรพบุรุษและอัตลักษณ์ของกลุ่มชนที่มีอยู่ทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจและยอมรับในความแตกต่างทางวัฒนธรรม และยังเตรียมการเพื่อรองรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวน รักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโกในอนาคต



นายสนธยา กล่าวว่า ในปี 2555 ได้ประกาศขึ้นมรดกภูมิปัญญา จำนวน 70 รายการ แบ่งเป็น 7 สาขา ดังนี้
   
    1.สาขาศิลปะการแสดง 13 รายการ 2 ประเภท คือ ประเภทดนตรี 5 รายการ ได้แก่ ดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู, ซอสามสาย, เพลงหน้าพาทย์, กันตรึม, เจรียง และกาหลอ และประเภทการแสดง 7 รายการ ได้แก่ ก้านกกิงกะหร่า, ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา, รำฝรั่งคู่, ละครดึกดำบรรพ์, โนราโรง ครู, มะโย่ง และรองเง็ง

    2. สาขางานช่างฝีมือดั้งเดิม 11 รายการ 4 ประเภท คือ ประเภทผ้าและผลิตภัณฑ์จากผ้า 5 รายการ ได้แก่ ผ้าทอไทครั่ง, ผ้าทอไทลื้อ, ผ้าทอกะเหรี่ยง, ผ้าทอไทยวน และผ้าทอผู้ไทย ประเภทเครื่องรัก 2 รายการ ได้แก่ เครื่องมุกไทย และเครื่องรัก ประเภทเครื่องโลหะ 2 รายการ ได้แก่ ขันลงหินบ้านบุและบาตรบ้านบาตร ประเภทงานศิลปกรรมพื้นบ้าน 2 รายการ ได้แก่ สัตตภัณฑ์ล้านนาและโคมล้านนา

    รมว.วัฒนธรรม กล่าวต่อว่า
    3.สาขาวรรณกรรมพื้นบ้าน 14 รายการ 2 ประเภท คือ ประเภทนิทานพื้นบ้าน 12 รายการ ได้แก่ นิทานพระร่วง, นิทานตาม่องล่าย, พระสุธนมโนห์ราภาคใต้, วันคาร, ตำนานเจ้าหลวงคำแดง, ตำนานพระธาตุดอยตุง, ตำนานเจ้าแม่สองนาง, ตำนานอุรังคธาตุ, ตำนานหลวงปู่ทวด, ตำนานนางโภควดี, ตำนานสร้างโลกของภาคใต้และวรวงศ์ประเภทตำรา 2 รายการ ได้แก่ ปักขะทึนล้านนา และตำราศาสตรา

    4.สาขากีฬาภูมิปัญญาไทย 8 รายการ 3 ประเภท คือ ประเภทการเล่นพื้นบ้าน 3 รายการ ได้แก่ ไม้หึ่ม, หมากเก็บ และเสือกินวัว ประเภทกีฬาพื้นบ้าน 4 รายการ ได้แก่ หมากรุกไทย, ตะกร้อลอดห่วง, วิ่งวัว และวิ่งควาย และประเภทศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว ได้แก่ เจิง   

    5.สาขาแนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม สาขาแนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม 7 รายการ 2 ประเภท คือ ประเภทขนบธรรมเนียมประเพณี 5 รายการ ได้แก่ การผูกเกลอ, การผูกเสี่ยว, เทศน์มหาชาติ,พิธีทำบุญต่ออายุ และการแต่งกายบาบ๋า เพอนารากัน ประเภทงานเทศกาล 2 รายการ ได้แก่ สารทเดือนสิบ และประเพณีรับบัว



    นายสนธยา กล่าวอีกว่า
    6.สาขาความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล 11 รายการ 4 ประเภท คือ ประเภทอาหารและโภชนาการ 6 รายการ ได้แก่ สำรับอาหารไทย, แกงเผ็ด, แกงเขียวหวาน, ส้มตำ, น้ำพริก และปลาร้า ประเภทการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้าน 3 รายการ ได้แก่ ลูกประคบ, ยาหอมและหมอพื้นบ้านรักษากระดูกหัก ประเภทโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ และไสยศาสตร์ ได้แก่ คชศาสตร์ชาวกูย และประเภทชัยภูมิและการตั้งถิ่นฐาน ได้แก่ ดอนปู่ตา และ

    7.สาขาภาษา 6 รายการ 2 ประเภท คือ ประเภทภาษาไทยถิ่น 3 รายการ ได้แก่ อักษรธรรมล้านนา, อักษรไทยน้อย และอักษรธรรมอีสาน ประเภทภาษากลุ่มชาติพันธุ์ 3 รายการ ได้แก่ ภาษาชอง,ภาษาญัฮกุร และภาษาก๋อง

นายสนธยา กล่าวว่า การประกาศครั้งนี้ถือเป็นหัวใจในการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมสู่รุ่นลูกหลาน เพราะสิ่งที่เป็นมรดกวัฒนธรรม ชื่อบ้านนามเมือง ภาษา การแสดงพื้นบ้านค่อยๆ จากหายไป เนื่องจากเทคโนโลยี วัฒนธรรมสมัยใหม่เข้ามาพอกังนัมสไตล์เข้ามาเด็กเต้นได้ เราต้องหันมาคิดว่าจะสร้างภูมิคุ้มกันเด็กอย่างไร

วธ.จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ การสืบสาน การรักษาไว้เนื้อแท้ดั้งเดิม สร้างสรรค์ นำสิ่งดั้งเดิมเสนอในรูปแบบทันสมัย บูรณาการ คือ ความร่วมมือทุกหน่วยงาน ไปสู่เรื่องการนำวัฒนธรรมไปต่อยอดทางเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว สร้างรายได้ ดังนั้น การปกป้องภูมิปัญญา ถือว่า เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

นางสำรวย วาจาเสนาะ ช่างฝีมือดั้งเดิมขันลงหินบ้านบุ กล่าวว่า
     การได้ประกาศขึ้นทะเบียนสร้างความภูมิใจให้กับช่างฝีมือ
     เพราะขันลงหินบ้านบุเป็นงานฝีมือดั้งเดิมที่อยู่คู่กับชุมชนมาตลอด
     ปัจจุบันมีช่างฝีมือหลงเหลืออยู่เพียง 9 คน จากที่เคยเป็นหมู่บ้านทำขันลงหิน
     ซึ่งพวกเรายินดีถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้สนใจเพื่อเป็นการสืบสานภูมิปัญญานี้ต่อไป
     โดยเฉพาะในเยาวชน แต่น่าเสียดายที่ลูกหลานในชุมชนไม่สนใจสืบทอดงานช่างขันลงหินของบ้านบุ
     หากไม่ช่วยกันอนุรักษ์อาจจะสูญหายภายใน 5 ปี.
 


 
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/313337
ภาพจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม
19706  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ระวังภัย.! แม่ค้าผวา "แบงค์พันปลอมระบาด" เมื่อ: ธันวาคม 14, 2012, 03:03:18 pm



ระวังภัย.! แม่ค้าผวา "แบงค์พันปลอมระบาด"

ระวังภัย! แม่ค้าในตลาดสด อ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ เจอดีหลังมีแก๊งมิจฉาชีพนำธนบัตรปลอมฉบับละ 1,000 บาท มาซื้อของในตลาดเพื่อหวังเงินทอน

13 ธ.ค.55 พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด อ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ ต่างผวาแบงค์ปลอมระบาด หลังมีชายรูปร่างสูงแต่งกายภูมิฐานอายุประมาณ 40 ปี กับพวกทั้งชายและหญิงอีกราว 5 - 6 คน มารุมเลือกซื้อผัก ที่แผงขายผักของ นางสุชาดา พรมทา อายุ 36 ปี แม่ค้าขายผักในตลาดสดเทศบาลหนองหงส์จากนั้นชายคนดังกล่าวได้ยื่นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท เพื่อจ่ายค่าผักและเห็ดที่ซื้อรวม จำนวน 40 บาท
     จากนั้นนางสุชาดา ก็ได้หยิบธนบัตรดังกล่าวใส่เอี้ยมแล้วทอนเงินกลับคืนไป จำนวน 960 บาท
     โดยที่ไม่ได้เอะใจว่า ธนบัตรดังกล่าวเป็นธนบัตรปลอม เพราะรูปลักษณ์และขนาดเท่ากับฉบับจริงจนแยกไม่ออก


    ทั้งนี้ จนกระทั่งชายคนดังกล่าวและเพื่อนที่เดินมาด้วยกันได้เดินแยกย้ายไปจากแผง นางสุชาดา
    จึงได้ล้วงเงินในเอี้ยมออกมาดู ซึ่งเผอิญว่าขณะนั้นมือเปียกน้ำไปจับถูกธนบัตรฉบับดังกล่าว
    ทำให้ธนบัตรเกิดเปื่อยยุ้ย จึงตกใจแล้วนำไปให้แม่ค้าข้างเคียงตรวจสอบและเทียบกับธนบัตรฉบับจริงดู
    ก็พบว่าเป็นธนบัตรปลอม จึงได้นำธนบัตรปลอมดังกล่าวเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองหงส์
    เพื่อให้ช่วยติดตามจับกุมตัวแก๊งดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว


     นางสุชาดา กล่าวว่า อย่าฉวยโอกาสหากินบนหลังคนอื่น โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพหาเช้ากินค่ำ เพราะกำไรที่ได้จากการขายผักก็ได้เพียงไม่กี่บาท พร้อมกันนี้ยังได้แจ้งเตือนพ่อค้าแม่ค้าให้ระมัดระวังกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพ ที่จะฉวยโอกาสช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้จะถึงนี้ ซึ่งจะมีผู้คนพลุกพล่าน นำธนบัตรปลอมมาซื้อของ สร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อค้าแม่ค้าได้
     ดังนั้นหากพบบุคคลที่มีพิรุธนำเงินมาซื้อของควรตรวจสอบเป็นพิเศษ
     หรือถ้าเป็นแบงค์พันควรจะพยายามตรวจสอบทุกครั้งเป็นการระมัดระวังในอันดับต้นๆ ไว้ก่อน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121213/147066/ระวังภัย!แม่ค้าผวาแบงค์พันปลอมระบาด.html#.UMrcKqzjrRd
19707  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ยักษ์' ปักหลั่นกลางพงไพร กับ ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก.! เมื่อ: ธันวาคม 14, 2012, 02:57:33 pm


'ยักษ์' ปักหลั่นกลางพงไพร กับ ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก!

สารคดีไทยรัฐออนไลน์สัปดาห์นี้ พบกับเรื่องราวต้นไม้ใหญ่ที่สุดในโลก เรื่องราวที่คุณต้องทึ่งแน่นอน...

บนเนินที่ลาดเอียงเล็กน้อยในอุทยานแห่งชาติซีคัวยา ณ ความสูงราว 2,100 เมตรเหนือระดับทะเลในเทือกเขาเซียร์ราเนวาดาตอนใต้ ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ต้นหนึ่งยืนต้นตระหง่านอยู่ ลำต้นของมันเป็นสีแดงสนิม อวบหนาด้วยชั้นเปลือกไม้เป็นร่อง และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 เมตรที่โคนต้น หากจะมองให้เห็นยอดคงไม่วายต้องแหงนหน้ามองจนปวดคอ พูดง่ายๆก็คือ

ต้นไม้ต้นนี้สูงใหญ่เสียจนสายตาเราเก็บภาพได้ไม่หมดทั้งต้นยักษ์ใหญ่แห่งพงไพรเจ้าของสมญานามว่า เดอะเพรสซิเดนต์ (The President) หรือ “ท่านประธานาธิบดี” ต้นนี้คือ สนซีคัวยายักษ์ (Giant Sequoia) ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sequoiadendron giganteum

กระนั้น นี่ก็ยังไม่ใช่ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ในแง่ปริมาตรเนื้อไม้) หากเป็นลำดับที่สอง การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ของ สตีฟ ซิลเลตต์ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮัมโบลต์สเตต และทีมงานยืนยันว่า เดอะเพรสซิเดนต์จัดอยู่ในอันดับสองของกลุ่มต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เคยมีการวัดขนาด และทีมงานของซิลเลตต์ก็วัดมาแล้วพอสมควร แม้จะไม่ยืนต้นสูงเท่าต้นเรดวูดชายฝั่งที่สูงที่สุดหรือต้นยูคาลิปตัสในออสเตรเลีย

แต่ความสูงไม่ใช่คำตอบสุดท้าย สนซีคัวยายักษ์คือต้นไม้ที่ใหญ่กว่าต้นเรดวูดชายฝั่งหรือต้นยูคาลิปตัสมาก ยอดที่ตายซากเนื่องจากฟ้าผ่าสูงตระหง่านถึง 75 เมตรเหนือพื้นดิน ส่วนกิ่งก้านขนาดใหญ่ทั้งสี่ซึ่งแต่ละกิ่งใหญ่โตราวต้นไม้ต้นเขื่องยื่นหักศอกออกจากกลางลำต้นสูงจากพื้นดินขึ้นมาตั้งแต่ 35 ถึง 50 เมตร แม้ว่าลำต้นจะไม่ใหญ่โตเท่า “นายพลเชอร์แมน” (General Sherman) สนซีคัวยายักษ์เจ้าของสถิติต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เรือนยอดของเดอะเพรสซิเดนต์นั้นดกหนากว่ามาก



การที่ต้นไม้เติบโตจนสูงใหญ่และแผ่เรือนยอดกว้างนั้นเป็นการแข่งขันกับต้นไม้อื่น ทั้งทะยานขึ้นและแผ่กิ่งก้านออกไปเพื่อหาแสงอาทิตย์และน้ำ ต้นไม้ไม่เคยหยุดเติบโต และเสริมความแข็งแกร่งให้โครงสร้างด้วยการสร้างเนื้อไม้อย่างต่อเนื่อง ด้วยความจำเป็นที่ต้องแสวงหาทรัพยากรในการดำรงชีวิตจากท้องฟ้าและผืนดิน และด้วยเวลาที่เพียงพอ ต้นไม้สามารถเติบใหญ่ได้มากและยังคงเติบโตต่อไป การที่สนซีคัวยายักษ์มีขนาดมหึมาได้ถึงเพียงนี้ก็เพราะพวกมันมีอายุเก่าแก่มากนั่นเอง

สนเหล่านี้มีอายุมากก็เพราะพวกมันเอาตัวรอดจากภัยคุกคามทั้งปวงที่อาจทำให้ล้มตายมาได้ พวกมันแข็งแกร่งเกินกว่ากระแสลมจะพัดจนหักโค่น ส่วนแก่นและเปลือกไม้ก็อุดมไปด้วยน้ำฝาด (tannic acid) และสารเคมีอื่นๆ ที่ช่วยป้องกันการเน่าเปื่อยจากเชื้อรา แมลงปีกแข็งที่ชอบเจาะและกัดกินเนื้อไม้ยังไม่ระคายผิว อีกทั้งเปลือกไม้หนาๆ ยังทนไฟอีกด้วย

อันที่จริง ไฟพื้นดิน (ground fire) กลับเป็นประโยชน์สำหรับประชากรสนซีคัวยาเสียด้วยซ้ำ เพราะช่วยกำจัดคู่แข่ง ทำให้ลูกสนแตกตัว เปิดโอกาสให้ต้นกล้าซีคัวยาได้เติบโตท่ามกลางแสงอาทิตย์ และเถ้าถ่านที่อุดมด้วยสารอาหาร ฟ้าผ่าอาจทำร้ายต้นไม้เต็มวัยบ้าง แต่โดยมากก็ไม่ถึงกับทำให้หักโค่นล้มตาย ดังนั้นพวกมันจึงแก่ตัวขึ้นและเติบใหญ่ข้ามสหัสวรรษ

ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่สามารถจบชีวิตของไม้ใหญ่ได้อย่างไม่ต้องสงสัยคือการทำไม้ สนซีคัวยายักษ์จำนวนมากต้องสังเวยให้กับคมขวานในช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้าและต้นศตวรรษที่ยี่สิบ แต่เนื้อไม้ของยักษ์แก่เหล่านี้เปราะหักง่ายเสียจนไม่มีมูลค่านักในฐานะไม้ซุง

จึงมักนำไปใช้เป็นแผ่นไม้มุงหลังคา รั้วไม้ปลูกองุ่น และชิ้นงานจากเศษไม้ อุทยานแห่งชาติซีคัวยา (Sequoia National Park) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1890 และในไม่ช้าความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมก็แสดงให้เห็นว่า สนซีคัวยายักษ์ที่ยืนต้นตระหง่านมีค่ามากกว่ามากนัก



ในบรรดาการค้นพบอันน่าทึ่งหลายประการของทีมงานซิลเลตต์ เรื่องหนึ่งคืออัตราการเจริญเติบโตของต้นไม้ใหญ่ซึ่งไม่ใช่แค่ความสูงและปริมาตร สามารถเพิ่มขึ้นได้แม้จะมีอายุมาก อันที่จริงยักษ์ใหญ่วัยชราอย่างเดอะเพรสซิเดนต์สร้างเนื้อไม้ใหม่ในแต่ละปีได้มากกว่าต้นไม้รุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งกว่าเสียอีก โดยสร้างเนื้อไม้รอบลำต้นให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและพอกพูนกิ่งก้านให้อวบใหญ่ขึ้น

การค้นพบนี้แย้งกับสมมุติฐานทางนิเวศวิทยาป่าไม้ที่เชื่อกันมานานว่า เมื่อต้นไม้อายุมากขึ้น การสร้างเนื้อไม้จะลดลง สมมุติฐานดังกล่าวซึ่งมีส่วนในการตัดสินใจเชิงบริหารที่สนับสนุนการปลูกไม้โตเร็วและการทำไม้วงจรสั้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน อาจเหมาะหรือสอดคล้องกับต้นไม้บางประเภทในบางพื้นที่

แต่ไม่ใช่สำหรับสนซีคัวยายักษ์ ซิลเลตต์และทีมงานหักล้างสมมุติฐานนี้ด้วยการทำในสิ่งที่นักนิเวศวิทยาป่าไม้รุ่นก่อนๆ ไม่ทำกัน คือการปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ตั้งแต่โคนต้นจรดปลายยอด และวัดขนาดโดยละเอียดทุกตารางนิ้ว


ทีมงานของซิลเลตต์ขึงเชือกเหนือยอดของเดอะเพรสซิเดนต์ และตอกหมุดโยงเชือกตามจุดที่กำหนด สวมสายรัดโรยตัวและหมวกนิรภัย ก่อนจะปีนขึ้นไป พวกเขาวัดขนาดลำต้นที่ระดับความสูงต่างกัน ทั้งยังวัดขนาดกิ่ง ก้าน และปุ่มไม้ ตลอดจน นับจำนวนลูกสน เก็บตัวอย่างเนื้อไม้ด้วยเครื่องเจาะปลอดเชื้อ

จากนั้นจึงป้อนตัวเลขที่ได้ผ่านแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ร่วมกับข้อมูลเสริมจากสนซีคัวยายักษ์ต้นอื่นๆ กระบวนการทั้งหมด ทำให้พวกเขาทราบว่า เดอะเพรสซิเดนต์มีปริมาตรเนื้อไม้และเปลือกไม้รวมกันอย่างน้อย 1,530 ลูกบาศก์เมตร และยังทำให้ตรวจพบด้วยว่ายักษ์ชราอายุร่วม 3,200 ปี

ต้นนี้ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งยังดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฮือกใหญ่และกักเก็บคาร์บอนไว้ในเซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน ในช่วงฤดูเติบโตที่สะดุดลงในช่วงหกเดือน อันหนาวเหน็บและหิมะตก นับว่าไม่เลวทีเดียวสำหรับต้นไม้ในวัยสนธยาเช่นนี้



ซิลเลตต์บอกผมว่า นั่นเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก “ครึ่งปีเชียวนะครับที่พวกมันไม่มีการเจริญเติบโตเหนือพื้นดิน [ไม่รวมถึงระบบราก] แต่จมอยู่ในกองหิมะ”

ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีที่ไมเคิล (นิค) นิโคลส์ จะเก็บภาพของเดอะเพรสซิเดนต์ท่ามกลางหิมะ นิคและจิม เคมป์เบลล์ สปิกเคลอร์ นักปีนเขาและนักตอกหมุดชั้นเซียน คิดแผนงานร่วมกัน ทีมงานเดินทางมาถึงที่นี่ตอนกลางเดือนกุมภาพันธ์ ในช่วงที่กองหิมะข้างถนนสูงถึง 3.5 เมตร พวกเขาโยงเชือกเข้ากับหมุดบนเดอะเพรสซิเดนต์และต้นไม้สูงอีกต้นที่อยู่ติดกัน

เพื่อให้ทีมงานปีนขึ้นไปและชักรอกกล้อง พวกเขาเฝ้ารอตั้งแต่ช่วงที่ท้องฟ้าสดใส หิมะเริ่มละลาย และหมอกโรยตัวปกคลุม จนกระทั่งสภาพอากาศเปลี่ยน และหิมะตกอีกครั้ง แล้วจังหวะเวลาที่เหมาะสมก็มาถึง พวกเขาจึงได้ภาพที่ต้องการ

แต่ก่อนที่เชือกเส้นสุดท้ายจะถูกปลดลง นิคซึ่งคอยควบคุมงานอยู่บนพื้นดินนานกว่าสองสัปดาห์ ต้องการปีนขึ้นไปด้วยตนเอง เขาอธิบายว่าไม่ใช่เพื่อถ่ายภาพ “แค่ไปบอกลาน่ะครับ” เขาจัดแจงสวมสายรัดโรยตัวและหมวกนิรภัย เกี่ยวตัวเองเข้ากับเชือก แล้วไต่ขึ้นไป

บ่ายวันรุ่งขึ้น เมื่อนิคและคนอื่นๆ กลับไปแล้ว ผมสวมรองเท้าหิมะเดินทอดน่องกลับไปหาเดอะเพรสซิเดนต์โดยลำพัง มีอะไรให้ผมซึมซับมากมายเหลือเกิน และผมอยากกลับไปดูอีกสักครั้ง ผมตะลึงกับต้นไม้เบื้องหน้าอยู่ครู่ใหญ่ ภาพที่เห็นช่างอัศจรรย์เหลือเกิน เจ้ายักษ์ปักหลั่นยืนสงบนิ่งไม่ไหวติงในสายลมยืนหยัดมั่นคงเกินกว่าจะโอนเอน

ผมครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของมัน ใคร่ครวญถึงความทรหดทนทายาดของมัน วันนี้อากาศค่อนข้างอบอุ่น และขณะที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ เดอะเพรสซิเดนต์ก็สลัดก้อนหิมะที่กำลังละลายจากกิ่งเบื้องบนลงมา หิมะแตกกระจายร่วงพรู เกล็ดและผลึกน้ำแข็งชิ้นเล็กชิ้นน้อยต้องแสงแดดเป็นประกายขณะร่วงหล่นลงใส่ผม

“ขอให้อายุมั่นขวัญยืนนะ” ผมบอกลาเจ้ายักษ์ใหญ่

เรื่อง เดวิด ควาเมน ภาพถ่าย ไมเคิล นิโคลส์ ข้อมูลจากนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย http://www.ngthai.com/ngm/1212/default.asp


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/312316
19708  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "แฟนเก่าของเขา เป็นเพื่อนเราเอง" รู้แล้วมันปวดใจ..ทำไงดี.? เมื่อ: ธันวาคม 14, 2012, 02:42:52 pm


รู้แล้วมันปวดใจทำไงดี? : ปุจฉา -วิสัชนากับพระไพศาล วิสาโล

ปุจฉา :  กราบนมัสการค่ะพระอาจารย์ ดิฉันอิจฉาคนคนหนึ่งและทุกคนที่เคยคบ หรือพูดคุยกับแฟนของดิฉันค่ะ ที่ผ่านมาทุกคนดิฉันปล่อยวางแล้ว แต่พอมารู้เรื่องใหม่ที่ปิดมายาวนานถึงสองปี แฟนเคยบอกว่า หากแฟนเก่าเขาไม่กลับมา เขาจะมามาคบกับดิฉัน

      ผ่านไปสองปี ดิฉันมารู้ว่าคนคนนั้น คือ เพื่อนของดิฉัน เป็นเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกัน ตัวเขาก็รู้แต่ไม่ยอมบอกดิฉันจนล่วงเลยมา ดิฉันคบกับแฟนแล้ว ทุกวันนี้จากที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับเพื่อนคนนี้มากนัก ก็มักจะไปเปิดดูเฟซบุ๊กของเธอ ดูแล้วก็คิดอิจฉา คิดน้อยใจตัวเองว่าเราคงไม่ดีพอ แฟนถึงไม่อยากคบกับเราในตอนแรก แต่อยากคบกับเพื่อนเรา

      เมื่อได้คุยกับเพื่อนคนนี้ เขาบอกว่าในช่วงที่แฟนดิฉันไปหาเธอ คือตอนนั้นเรายังไม่คบกันเป็นแฟนค่ะ แต่ดิฉันรักเขา แฟนบอกกับเพื่อนว่าเขาอยู่กับเพื่อนดิฉันแล้วสบายใจกว่า ไม่ชอบดิฉัน ดิฉันได้ฟังยิ่งเสียใจ ปวดใจมากค่ะ ถึงขั้นโมโห ปาข้าวของ เป็นกรรมอะไรกันที่ดิฉันต้องมาชดใช้แทนที่จะเป็นเพื่อนคนนั้น ดิฉันไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจอด้วยตัวเองค่ะ

      ตอนนี้เวลาดูรูปเพื่อนที่ไรรู้สึกอิจฉาลึกๆ คิดเองเออเอง ว่าตัวเองไม่ดีเธอดูดี ทุกอย่างเธอมีพร้อมทุกอย่าง สวย เป็นผู้ใหญ่ดี ดิฉันก็อยากเป็นเหมือนเธอ อยากมีดีเหมือนเธอบ้าง เวลาที่ดิฉันเอารูปตัวเองกับแฟนลงเฟซบุ๊ก จะมีความรู้สึกลึกๆ ว่า อยากให้เพื่อนคนนี้เห็น อยากอวด แต่ทุกครั้งที่มีอาการแบบนี้ก็พยายามดูใจตัวเองค่ะ พยายามดูเวลาใจมันอิจฉา แต่ไม่รู้ว่าทำถูกต้องไหม ดูแล้วดูอีก มันก็หายไป หลายวันผ่านไปมันก็กลับมา ก็ดูอีก ไม่อยากเก็บกด ควรทำอย่างไร
 
      ดิฉันบอกใจเสมอเวลามีอาการแบบนี้ ว่าอโหสิหนอ บ้างก็คิดในแง่ดี แต่มันเหมือนหลอกใจตัวเองมากกว่าว่าเพื่อนก็ดีกับเราน่ะ เพื่อนเสียสละให้กับเรา แต่สิ่งที่ผูกใจคือ แล้วทำไมไม่ยอมบอกความจริงกับเรา ไม่งั้นเราคงไม่ทุกข์ทรมานแบบนี้ ควรจะทำอย่างไรคะ ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ

 

วิสัชนา : อาตมาคิดว่า ในความสัมพันธ์กับใครก็ตามโดยเฉพาะคนรัก คุณควรให้ความสำคัญกับปัจจุบันมากกว่าอดีต ในอดีตเขาจะเคยรักใครก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าตอนนี้เขารักคุณหรือเปล่า ถึงแม้สองปีก่อนเขาจะไม่ได้สนใจคุณมากนัก แต่วันนี้คุณเป็นคนสำคัญสำหรับเขาหรือไม่ ถ้าตอบว่าใช่ คุณก็น่าจะพอใจแล้ว ถ้าจะสาวหาอดีต คุณย่อมค้นพบสิ่งที่ไม่ดีของเขาหรือสิ่งที่ไม่ถูกใจคุณอย่างแน่นอน จะมีประโยชน์อะไรหากว่าทุกวันนี้เขาไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว

     สาเหตุสำคัญที่คุณมีความทุกข์มาก ก็เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง ซึ่งเกิดจากการเปรียบเทียบกับเพื่อนของคุณ ยิ่งเปรียบเทียบก็ยิ่งทุกข์

     หลายคนหน้าตาดี สะสวยแต่ก็เป็นทุกข์ ก็เพราะชอบเปรียบตัวเองกับคนอื่นที่สวยกว่า หลายคนมีแฟนที่ดีแต่ก็เป็นทุกข์ เพราะมองว่าแฟนคนอื่นนั้นดีกว่าแฟนตน หลายคนได้โบนัสนับแสนแต่ก็เป็นทุกข์ เมื่อรู้ว่าเพื่อนร่วมงานได้โบนัสมากกว่าตน เวลาคุณซื้อได้ของดีราคาถูก แทนที่คุณจะดีใจ กลับเสียใจเมื่อพบว่าเพื่อนซื้อของอย่างเดียวกันนั้นได้ถูกกว่าคุณ

      เห็นไหมว่าไม่ว่าจะได้หรือมีของดีเพียงใด เราก็ยังเป็นทุกข์อยู่นั่นเอง สาเหตุก็เพราะไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คุณควรหันมามองตัวเองในมุมใหม่แล้วสำรวจว่าคุณเองมีสิ่งดีๆ ที่ควรแก่ความภาคภูมิใจอย่างไรบ้าง อย่ามัวแต่มองตนเองแบบติดลบ

      คุณเสียใจที่เพื่อนไม่บอกความจริง แต่ลองมองในอีกแง่หนึ่งว่า สาเหตุที่เธอไม่บอกคุณอาจเป็นเพราะเธอไม่อยากให้คุณเสียใจ หรือเธออาจไม่รู้ว่าเขาคนนั้นหันมาเป็นแฟนกับคุณ ความเป็นจริงอาจไม่เป็นอย่างที่คุณคิดก็ได้

      อย่างไรก็ตาม อาตมาคิดว่าคุณทำถูกแล้ว ที่พยายามดูใจของตน โดยเฉพาะเวลามีความอิจฉาหรือเป็นทุกข์ เมื่อความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้น อย่ากดข่มมัน และก็อย่าทำตามมัน แต่ให้ดูหรือรู้เฉยๆ ว่ามันเกิดขึ้นในใจ ถ้ารู้เฉยๆ มันก็จะหายไปเอง แต่ที่มันกลับมาอีก ก็เพราะคุณยังชอบเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนของคุณ หรือยังคิดปรุงแต่งไม่เลิก
 
      ถ้าหยุดปรุงแต่งเมื่อไหร่ความอิจฉาหรือความเร่าร้อนใจก็จะหายไปเอง


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121213/147042/รู้แล้วมันปวดใจทำไงดี.html#.UMrUnqzjrRd
http://i.kapook.com/,http://www.sfcinemacity.com/
19709  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เตรียมบันทึกสถิติโลก "ธุดงค์ธรรมชัย 450 ก.ม."...ผ่าน 7 จังหวัด เมื่อ: ธันวาคม 14, 2012, 02:25:06 pm


ปลื้ม!'มส.'เห็นชอบจัดธุดงค์ยาวสุด

กินเนสส์บุ๊กเตรียมบันทึกสถิติโลก ธุดงค์ธรรมชัยเดินบนดอกไม้ 450 ก.ม.ยาวที่สุดในโลก ผ่าน 7 จังหวัด ต้นมกราคมปี56 เผยมส.เห็นชอบพระธรรมกายและคณะสงฆ์จัด พศ.หนุน

    เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2555 ที่หอประชุมพิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย กรุงเทพฯ คณะสงฆ์ คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ องค์กรทางพระพุทธศาสนา จัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการเดินธุดงค์ธรรมชัย เส้นทางมหาปูชะนียาจารย์(สด จนฺทสโร) ปีที่ 2 ถวายเป็นพุทธบูชา สืบสานวัฒนธรรมชาวพุทธ ฟื้นฟูจิตใจ สร้างบุญใหญ่ให้แผ่นดิน

     ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-27 มกราคม 2556 โดยมีนายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสันตศักดิ์ จรูญ งามพิเชษฐ์ ประธานกมธ.ศาสนาฯ นายกนก แสนประเสริฐ รองผอ.พศ. และนพ.พรชัย พิญญพงษ์ ประธานองค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกร่วมแถลงในครั้งนี้

     พระสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวังโส ฝ่ายประชาสัมพันธ์โครงการเดินธุดงค์ธรรมชัยฯ วัดพระธรรมกาย กล่าวว่า โครงการนี้ได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 โดยครั้งนี้พระสงจำนวน 1,128 รูปจะเดินธุดงค์ผ่านพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร จะใช้ระยะเวลาร่วม 23 วัน รวมเป็นระยะทาง 450 กิโลเมตร

     ซึ่งการเดินธุดงค์ถือเป็นพุทธประเพณี ตั้งแต่สมัยพุทธกาล หลังออกพรรษาก็จะออกเดินธุดงค์ไปปฏิบัติหาที่วิเวก แต่ว่าสมัยปัจจุบันหลังจากออกพรรษาแล้ว เราก็จะให้พระสงฆ์ที่ฝึกปฏิบัติมาแล้วออกเดินธุดงค์ไปตามป่า และในวัดร้าง ให้เกิดแรงบันดาลใจที่อยากบวชต่อเพื่อพัฒนาวัด และในปีที่แล้วเกิดอุทกภัยในจังหวัดต่างๆและกรุงเทพฯ เราก็จัดกิจกรรมเดินธุดงค์ธรรมชัยขึ้นในเมือง ครั้งนี้ก็ยังจัดธุดงค์ในเมืองไปให้กำลังใจญาติโยม

    “การที่ต้องธุดงค์ในเมือง ก็เพื่อเป็นการฝึกตนของพระสงฆ์และได้แสดงธรรมไปด้วย ให้เห็นว่า ยังมีผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ให้เห็นว่ายังมีผู้อยากฝึกตนในพระพุทธศาสนาอยู่ ปัจจุบันมีข่าวที่พระทำผิดไป จนทำให้คนเสื่อมศรัทธาในพระสงฆ์ หันมานับถือพระพุทธและพระธรรมเท่านั้น เราจึงได้นำพระที่ได้ฝึกตนมา 4-5 เดือน และเดือนที่สุดท้ายก่อนจะธุดงค์ธรรมชัย ก็จะให้ฝึกนั่งสมาธิ ฝึกเดินเป็นระยะทาง 4 กิโลเมตรแบกกลด

      ซึ่งการธุดงค์จริงจะเดินวันละประมาณ 15 กิโลเมตร เพื่อมาโปรดญาติโยมในเมืองให้เกิดความศรัทธาต่อพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ส่วนเรื่องของการจราจรนั้น ได้ประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการดูแลระบบจราจร”พระสนิทวงศ์ กล่าว



     นายสมเกียรติ กล่าวว่า หลายคนบอกว่าทำไมไม่ไปธุดงค์ในป่า ถือว่าง่ายร่มเย็น แต่การเดินในเมืองข้างถนน ถือว่า ยากมาก ต้องใช้ขันติบารมี เดินเพื่อเป็นต้นแบบของผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาโปรดญาติโยม หากทำต่อเนื่องทุกปีบ้านเมืองของเราจะสงบขึ้นมาก อยากให้สิ่งดีๆเกิดขึ้น และปลาบปลื้มใจว่า พระพุทธศาสนาที่อยู่ในประเทศไทยเข้มแข็งเจริญรุ่งเรืองที่สุด

      ด้านนายกนก กล่าวว่า มหาเถรสมาคม(มส.)ได้เห็นชอบวัดพระธรรมกาย และคณะสงฆ์จัดโครงการดังกล่าว และพศ.ก็ได้ให้การสนับสนุน ซึ่งพบว่า การเดินธุดงค์ธรรมชัย สร้างประชาสัมพันธ์พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก เป็นการเสริมสร้างสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก ถือเป็นกิจกรรมใหญ่ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน

      ขณะที่นพ.พรชัย กล่าวว่า ปีนี้เราจะเชิญกินเนสส์บุ๊กมาบันทึกสถิติโลกในการเดินธุดงค์ธรรมชัย ที่มีระยะทางยาวที่สุดในโลก 450 กิโลเมตร ถือว่าทำลายสถิติครั้งที่แล้ว ที่ 427.8 กิโลเมตร ซึ่งการเดินธุดงค์ครั้งนี้จะใช้ดอกดาวเรืองหรือดอกดาวรวยโปรยแทนดอกกุหลาบจะได้เหลืองอร่ามและจะทำให้เกิดความเป็นสิริมงคลต่อประเทศ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121213/147120/ปลื้ม!มส.เห็นชอบจัดธุดงค์ยาวสุด.html#.UMrS9qzjrRd
http://www.dailynews.co.th/education/172244
19710  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตามติดศิษย์ตถาคต 'ปั่นเพื่อโลก' เมื่อ: ธันวาคม 14, 2012, 02:17:07 pm

ตามติดศิษย์ตถาคต 'ปั่นเพื่อโลก'

'สังคมต้องการคนรับผิดชอบร่วมกันในทุกส่วน' ตามติดศิษย์ตถาคต'ปั่นเพื่อโลก' : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพระชาย วรธัมโม เรื่อง เสือออย และนนลนีย์ อึ้งวิวัฒน์กุล

       หากใครสัญจรบนถนนราชดำเนินในบ่ายวันอังคารที่ ๔ ธันวาคมที่ผ่านมาคงต้องประหลาดใจที่เห็นพระภิกษุ ๒ รูปกับแม่ชีอีก ๑ ท่าน กำลังปั่นและนำขบวนจักรยานอีกประมาณ ๓๐๐ คัน ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ข้ามสะพานพระปิ่นเกล้าไปยังโรงพยาบาลศิริราชอย่างช้าๆ

       ขบวนจักรยานมากมายเกือบ ๓๐๐ คัน โดยมีพระภิกษุและแม่ชีนำขบวนครั้งนี้เป็นการรวมตัวกันของนักปั่นจักรยานที่มาจาก ๔ ทิศ คือ เหนือ ใต้ อีสาน และกลาง เพื่อรณรงค์ให้คนหันมาใช้จักรยานแทนการใช้น้ำมันและก๊าซ ภายใต้โครงการ '๔ ทิศรวมใจไทยเป็นหนึ่งเดียว' เป็นการนัดพบกันของนักปั่นจาก ๔ ภาค ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าก่อนจะมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลศิริราชเพื่อถวายพระพรแด่ในหลวงเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวา ซึ่งปีนี้จัดเป็นครั้งที่ ๓ แล้ว แต่ที่พิเศษกว่าปีอื่นๆ เพราะขบวนจักรยานนำโดยพระภิกษุและแม่ชี

        เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นหากไม่มี คุณสัจจา ขุทรานนท์ ประธานเครือข่ายชุมชนคนใช้จักรยานแห่งชาติเป็นผู้ประสานงานและเป็นผู้คิดโครงการนี้ขึ้นมา



        สำหรับ พระอาจารย์สมบูรณ์ สุมังคโล อายุ ๕๔ พรรษา ๒๗ แห่งวัดป่าลานหินตัด จ.บุรีรัมย์ เราทราบกันดีว่าท่านหันมาใช้จักรยานได้ ๙ ปีแล้ว เนื่องจากต้องไปสอนธรรมะในโรงเรียนที่ห่างไกล ท่านไม่มีรถยนต์และไม่ได้ร่ำรวยเหมือนวัดอื่นๆ ทางเดียวที่สะดวกคือต้องพึ่งตนเอง จักรยานจึงเป็นคำตอบ

      พระอาจารย์สมบูรณ์ให้สัมภาษณ์ว่า “ใช้เวลา ๕ วันกว่าจะมาถึงกรุงเทพฯ จริงๆ แล้วไม่อยากเข้ามาเพราะเสี่ยงกับวิธีคิดที่ไม่เปิดกว้างของญาติโยมที่นี่ เคยมีโยมนิมนต์เหมือนกันแต่ก็ปฏิเสธไป แต่คราวนี้เห็นว่าเป็นการรวมตัวกันของนักปั่นจาก ๔ ภาคซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ หากเราไม่มาก็คงพลาดโอกาสในการพบเจอนักปั่นที่มีอุดมการณ์ต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน รวมทั้งเป็นการปั่นเพื่อถวายพระพรแด่ในหลวงก็เลยยอมเสี่ยงเข้ามา ถึงจะเสี่ยงแต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี ถ้าเราไม่มาก็คงไม่มีวันนี้”

      ท่านเผยถึงความรู้สึกขณะปั่นจักรยานในกรุงให้ฟังว่า รู้สึกดี การปั่นเข้ามาในกรุงเทพฯ ต้องมีสติเต็มร้อย ตอนแรกวิตกกังวล กลัวโน่น กลัวนี่ กลัวคนประท้วงไม่ยอมรับ

      "พอเอาเข้าจริงก็ไม่มีอะไร เราตีตนไปก่อนไข้เอง บางคนก็ตาค้าง บางคนพนมมือไหว้ก็มี”


       พระสงฆ์รูปถัดมา หลวงพี่หมู หรือ พระศุภชัย สิริปัญโญ อายุ ๔๐ ปี พรรษา ๑๔ แห่งวัดเชิงผา จ.สุโขทัย หลวงพี่หมูรู้จักพระอาจารย์สมบูรณ์จากการเข้าไปเป็นนักเรียนของกลุ่มเสขิยธรรม รุ่นปี ๒๕๔๐ ท่านกล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อพระอาจารย์สมบูรณ์ว่า “ผมศรัทธาพระที่ทำจริง ท่านจับแล้วไม่ปล่อย พระที่ลงมือทำเพื่อสังคมแล้วมีคำตอบให้สังคมชัดเจนแบบนี้หายาก ผมศรัทธา”

      กับคำถามว่าเหนื่อยไหมกับระยะทาง ๔๕๐ กิโลเมตรกว่าจะมาถึงกรุงเทพฯ หลวงพี่หมูตอบว่า “ทรมานมากกว่า โดนแดดเผาทั้งวัน ผมไม่ได้สวมหมวกกันน็อกเพราะเห็นว่าหมวกมันป้องกันผิวทำให้เกิดความสบาย เราออกธุดงค์ด้วยจักรยานควรจะเรียนรู้ความทุกข์ เราควรเผชิญกับความทุกข์ ไม่หวั่นไหวไปกับความทุกข์ แต่ในที่สุดก็ต้องใส่หมวกเพราะมันทุกข์จนเกินจะทน”

      เมื่อถามถึงความรู้สึกเมื่อตอนปั่นจากลานพระบรมรูปทรงม้าไปยังโรงพยาบาลศิริราช หลวงพี่หมูตอบว่า รู้สึกกดดัน ในเมืองใหญ่ๆ ไม่เคยมีวัฒนธรรมให้พระปั่นจักรยาน มันเสี่ยงกับความเข้าใจของชาวพุทธที่นี่

      "ผมรู้สึกกดดันถึง ๓ ครั้งทีเดียว คือ วัดที่เราเข้าไปพัก ลานพระบรมรูป และโรงพยาบาลศิริราช ผมได้ยินเสียงพูดว่า ‘เฮ้ย นั่นพระรึเปล่า ?’ และมีเสียงตอบว่า ‘ไม่ใช่ ๆ’ บางคนก็มองตาค้างด้วยความงง ทำให้ผู้คนมีแต่ความสงสัยไม่ได้คำตอบ ผมอยากสื่อสารว่าสังคมต้องการคนรับผิดชอบร่วมกันในทุกส่วน เช่น การพึ่งตนเอง

      "ทุกวันนี้คนติดเทคโนโลยีกันมากติดสบายกัน การปั่นจักรยานเป็นการทำให้ชาวพุทธหันกลับมาพึ่งตนเอง เราควรพึ่งตนเองในทุกมิติของชีวิต การที่พระออกมาปั่นจักรยานก็เพื่อกระตุกสังคมให้หันกลับมาทบทวนหลักธรรมเรื่องการพึ่งตนเอง ผมจำคำพูดของพระพรหมคุณาภรณ์ได้ว่า

       ชาวพุทธสูญเสียความสามารถในการพึ่งตนเอง จักรยานเป็นเครื่องมือหนึ่งในการกลับมาพึ่งตนเอง มันคือจิตสำนึก ทุกฝ่ายต้องหันมาดูแลโลก หากพระสงฆ์เราหันมารณรงค์เรื่องจักรยานจะช่วยสังคมได้มาก พระสงฆ์ยังเป็นหนี้บุญคุณโลก หากมีคำถามว่านี่ใช่กิจสงฆ์หรือไม่ ผมตอบได้ทันทีว่านี่แหละเป็นหน้าที่ของสงฆ์โดยตรงเลย”


       นักบวชท่านสุดท้ายเป็นนักบวชหญิงและเป็นสุภาพสตรีคนเดียวในกลุ่มที่ปั่นมาจากภาคอีสาน เธอชื่อ แม่ชีต้อย หรือ แม่ชีสมสวัสดิ์ มหาโคตร อายุ ๓๖ ปี พรรษา ๕ แม่ชีรู้จักพระอาจารย์สมบูรณ์เมื่อปี ๒๕๕๒ โดยเพื่อนแม่ชีแนะนำให้มาจำพรรษาที่วัดป่าลานหินตัด ครั้งแรกที่รู้จักพระอาจารย์สมบูรณ์แม่ชีรู้สึกแปลกใจ ที่มีพระทำกิจกรรมกับเยาวชน เพราะปกติเคยเห็นแต่พระประกอบพิธีกรรม สวดมนต์ แล้วก็เทศน์
 

         “เมื่อตัดสินใจว่าไม่กลัวลำบากเป็นไงเป็นกัน ไปธุดงค์อยู่ป่าอยู่เขาก็เคยมาแล้ว ปั่นจักรยานธุดงค์คงไม่ยากเท่าไหร่ ปกติปั่น ๒๐ กม.ต่อชั่วโมง พอปั่นเข้ากลุ่มใหญ่ช่วงถึงชานเมืองก่อนเข้ากรุงเทพฯ ต้องเร่งเป็น ๓๐ กม.ต่อชั่วโมงเพราะกลุ่มใหญ่เขาปั่นกันเร็วมากเลยปวดขาบ้างแต่ก็อยู่ตัว โดยเฉพาะเส้นทางในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยคุ้นเหมือนในชนบท”

         กับคำถามว่ารู้สึกอย่างไรกับการปั่นที่พระบรมรูปทรงม้าไปยังโรงพยาบาลศิริราชในวันนั้น แม่ชีตอบว่า ไม่ได้รู้สึกกดดันเหมือนกับพระอาจารย์ทั้งสอง คงเพราะไม่ได้ถูกคาดหวังอะไรจากสังคม เป็นแค่นักบวชชั้นสองคล้ายๆ กับพลเมืองชั้นสอง เหมือนบางคนบอกว่าเป็นไส้ติ่งของศาสนาก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไรมาก

      "แต่ถามว่าเป็นพระเป็นชีปั่นจักรยานผิดหรือไม่ ตอบได้ว่ามันไม่ผิด ขอให้มองย้อนกลับไปในสมัยพุทธกาล นักบวชอาจมีการขี่ช้างขี่ม้าเป็นพาหนะ ถ้าสมัยพุทธกาลมีจักรยานก็น่าจะขี่ได้เพราะใช้พลังงานจากกายเราเอง ถ้าเราไปขี่หลังสัตว์ก็ทำให้สัตว์ต้องทรมานอีก



     "วันนั้นกลับรู้สึกตื่นเต้น สนุกดี ใครๆ ก็เห็นเราชัดเจน มีแต่คนมองมาที่พระและแม่ชีเป็นจุดเดียวแถมมีจักรยานตามมาอีกเป็นฝูงมีรถตำรวจนำอีกต่างหาก เลยกลายเป็นจุดสนใจ รู้สึกภูมิใจและเป็นวาระพิเศษที่ได้ปั่นจักรยานถวายพระพรแด่ในหลวง น่าจะเป็นตัวอย่างให้แม่ชีในชนบทได้หันมาใช้จักรยานกัน มีเพื่อนที่สุรินทร์เห็นพระอาจารย์สมบูรณ์ขี่จักรยาน

     ก็เลยกลับไปสร้างความเข้าใจกับญาติโยมในหมู่บ้านว่าแม่ชีจะขี่จักรยานกลับไปดูแลแม่ชราภาพที่บ้านทุกวัน แม่ชีไม่มีรายได้ไม่มีกิจนิมนต์การสัญจรในชนบทก็ลำบาก จึงขอให้ญาติโยมเข้าใจในกิจอันนี้ญาติโยมก็เข้าใจยอมรับได้ เพื่อนแม่ชีจึงขี่จักรยานกลับไปดูแลแม่ทุกวัน”


       นั่นเป็นประสบการณ์ของนักบวชทั้งสามท่าน แต่ภารกิจยังไม่จบเท่านี้ พวกท่านยังมีสถิติ ๒,๖๐๐ กิโลเมตรรอสะสมให้ครบเนื่องในโอกาสโคตมะพุทธเจ้าตรัสรู้ครบ ๒,๖๐๐ ปี พวกเขาวางเส้นทางไปสู่ภาคตะวันออกแล้ววกขึ้นสู่ภาคอีสานเพื่อกลับถึงวัดในที่สุด

       เราขอให้คณะธุดงค์จักรยาตราคณะนี้เดินทางโดยสะดวกปลอดภัย และกลับถึงวัดโดยสวัสดิภาพ


ขอบคุณภาพบทความจาก
www.komchadluek.net/detail/20121213/147040/ตามติดศิษย์ตถาคตปั่นเพื่อโลก.html#.UMrPEazjrRd
http://www.pixgang.com/,http://www.oknation.net/,http://www.phitsanulokhotnews.com/,http://p.s1sf.com/
19711  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล วัดปากน้ำภาษีเจริญ "แลนด์มาร์คแห่งใหม่..ของชาวพุทธ" เมื่อ: ธันวาคม 14, 2012, 02:01:24 pm



พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล : คอลัมน์ หัวใจไทย

      พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล ตั้งสูงเด่นเป็นสง่าในวัดปากน้ำภาษีเจริญ กำลังจะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของชาวพุทธทั่วโลก สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เล่าถึงที่มาว่า พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล โดยมีวัตถุประสงค์แห่งการสร้าง เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ บูชาพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงพ่อวัดปากน้ำ และเป็นอนุสรณ์สถาน เจริญศรัทธาของพุทธศาสนิกชน เชิดชูศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน
 
      เริ่มจัดสร้างพระมหาเจดีย์มหารัชมงคล ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2547 จึงแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2555 เป็นเวลา 9 ปี เป็นเจดีย์ประยุกต์ศิลปะรัตนโกสินทร์และล้านนาเข้าด้วยกัน
      โดยตอนล่างตั้งแต่ส่วนกลางลงมาถึงฐานพระมหาเจดีย์เป็นศิลปะยุครัตนโกสินทร์
      ตอนบนตั้งแต่ส่วนกลางขึ้นไปถึงยอดพระมหาเจดีย์ เป็นศิลปะยุคล้านนา
      ได้รูปแบบฐานมาจากเจดีย์ของวัดโลกโมฬี ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 700 ปี
      มีความสูงจากฐานถึงยอด 80 เมตร กว้าง 52 เมตร มี 5 ชั้น
      บริเวณปลียอดของพระมหาเจดีย์ฯ หุ้มด้วยทองคำน้ำหนัก 7,185.55 บาท
      ทั้งยังมีแผ่นทองคำกว้าง 9.9 เซนติเมตร ยาว 4.9 เมตร
      สลักคำว่า “สติ มตฺตญฺญุตา ชาตา” หมายความว่า สติเป็นเหตุให้เกิดเศรษฐกิจพอเพียง และ
      “ปญฺจสีลํ สุรกฺขิตํ โลกสฺสตฺถิ สนฺติสุขํ” หมายความว่า ศีล 5 ที่รักษาดีแล้ว สันติสุขย่อมมีแก่ชาวโลก

 
      พระมหาเจดีย์ฯ มีพื้นที่ใช้ประโยชน์ 5 ชั้น ประกอบด้วย
          ชั้นที่ 1 พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน
          ชั้นที่ 2 ปฏิบัติธรรมรองรับได้ 1,000 คน
          ชั้นที่ 3 พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ จัดแสดงสิ่งของส่วนตัว
          ชั้นที่ 4 ประดิษฐานหลวงพ่อทองคำ และห้องบูรพาจารย์ในอดีต
          ชั้นที่ 5 เป็นชั้นสูงสุดทำเป็นโดมมีเจดีย์แก้วตั้งอยู่ตรงกลาง สูง 8 เมตร กว้าง 7 เมตร สร้างจากแก้วทั้งหลัง

 
     จุดเด่นอยู่ตรงบริเวณชั้น 5 เป็นที่ประดิษฐานของเจดีย์แก้วที่จำลองมาจากพระมหาเจดีย์ฯ โดยสร้างจากกระจกที่มีความหนา 1 ซม. นำมาวางซ้อนกันจำนวน 800 ชั้น และแกะสลักด้วยมือ มีความสูงจากฐานถึงยอด 8 เมตร ด้านยอดของเจดีย์แก้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมทั้งจะมีการสร้างเจดีย์ทองคำครอบบนยอดของเจดีย์แก้ว

    ขณะที่ฐานของเจดีย์แก้วจะใช้กระจกแกะสลักเป็นรูปพญานาคจำนวน 80 ตัว เท่ากับอายุของพระพุทธเจ้า ซึ่งเจดีย์แก้วนี้ถือว่าเป็นเจดีย์แก้วแห่งเดียวในไทยที่มีแก้วเป็นส่วนประกอบ ใช้งบประมาณทั้งสิ้นกว่า 500 ล้านบาท


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121213/146981/พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล.html#.UMrNC6zjrRd
19712  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / การปฏิบัติธรรม "ด้วยการปฏิเสธฌานสมาธิ" จะสำเร็จได้อย่างไร.? เมื่อ: ธันวาคม 13, 2012, 01:15:52 pm



การปฏิบัติธรรม "ด้วยการปฏิเสธฌานสมาธิ" จะสำเร็จได้อย่างไร.?


ปฐมฌาน ฌานที่ ๑
ปฐมฌาน เป็นฌานที่หนึ่ง ในรูปฌาน ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
(พระธรรมปิฎก (ป.อ.อยุตโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์  ฉบับประมวลธรรม,  หน้า ๘๑.)

วิตก  มีลักษณะ การคิด การหมายรู้อารมณ์ ความเป็นผู้ตั้งมั่น การนึกตามและการปรารถนาที่ถูกต้อง  แม้ปราศจากความเข้าใจ เปรียบได้กับการท่องจำบทสวดมนต์
     เช่น ผู้ที่กำลังเจริญปถวีกสิณ ท่องคำว่า ปฐวีๆๆ หรือ ดินๆๆ อยู่ตลอดในขณะที่คิดถึงด้วยความตั้งมั่น     
     ขณะนั้นชื่อว่า วิตก ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ผู้ปฏิบัติ


วิจาร  มีลักษณะ การพิจารณา การไตร่ตรอง การผูกพันจิตไว้ในอารมณ์ โดยไม่ให้เกิดความยินดียินร้าย ในอารมณ์ที่เกิดในระหว่างที่พิจารณาอยู่นั้น ทำใจให้เป็นอุเบกขาในอารมณ์ ผู้เจริญปถวีกสิณ ใส่ใจอยู่ในอาการหลายอย่างที่จิตหยั่งเห็นในขณะที่เพ่งปถวีนิมิตอยู่  นี้เรียกว่า วิจารได้เกิดแก่ผู้ปฏิบัติอยู่

เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างวิตกกับวิจาร  อุปมาเหมือนการตีระฆัง เสียงที่เกิดขึ้นครั้งแรก เปรียบได้กับวิตก เสียงสะท้อนที่เกิดตามมา เปรียบได้กับวิจาร
     อนึ่งเปรียบเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับอารมณ์ของจิต(ธรรมารมณ์)
     ตอนเริ่มต้นเป็นวิตก ตอนที่เหลือเป็นวิจาร
     ความประสงค์ที่จะได้ฌานเป็นวิตก การรักษาฌานไว้เป็นวิจาร     
     สภาพจิตที่หยาบเป็นวิตก สภาพจิตที่ละเอียดเป็นวิจาร 
     ที่ใดมีวิตกที่นั่นมีวิจาร  ที่ใดมีวิจารไม่จำเป็นต้องมีวิตก

     (พระอุปติสสเถระ,  วิมุตติมรรค.  หน้า ๘๖.)




ปีติ ในขณะที่จิตมีความอิ่มเอิบสบายอย่างเหลือเกิน ประกอบด้วยความเย็นสนิท นี้เรียกว่า “ปีติ” เกิดได้จากสาเหตุ ๖ ประการ คือ
     ๑. เกิดจากราคะ  เพราะความชอบ   ความหลงและความอิ่มใจที่เกิดจากกิเลส
     ๒. เกิดจากศรัทธา  เพราะความอิ่มใจของบุคคลที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้า ต่อสิ่งที่ตนเคารพเชื่อถือ เช่น การได้เห็นพระพุทธเจ้า เป็นต้น
     ๓. เกิดจากความไม่ดื้อด้าน เพราะเป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ต่อสิ่งต่าง ๆ จนเกิดความอิ่มอกอิ่มใจ
     ๔. เกิดจากวิเวก ได้แก่ความอิ่มใจของบุคคลผู้ได้ปฐมฌาน
     ๕. เกิดจากสมาธิ  ได้แก่ความอิ่มใจของบุคคลผู้เข้าทุติยฌาน
     ๖. เกิดจากโพชฌงค์   ได้แก่ความอิ่มใจที่เกิดจากการดำเนินตามโลกุตรมรรคในทุติยฌาน


ปีติ ๕ แสดงถึงปริมาณของปีติที่เกิด ดังนี้
    ๑. ขุททกาปีติ  ปีติทำให้ขนชูชันเล็กน้อย  แล้วก็หายไป
    ๒. ขณิกาปีติ  ปีติที่เกิดขึ้นชั่วขณะเหมือนฟ้าแลบแปลบปลาบ
    ๓. โอกกันติกาปีติ  ปีติที่กระทบกายเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง   คือ  เกิดขึ้นแล้วก็หายไปเกิดขึ้นแล้วก็หายไปอยู่อย่างนั้น
    ๔. อฺพเพงคาปีติ  ปีติที่ซาบซ่านแผ่ไปทั่วร่างกาย  เหมือนก้อนเมฆหนาทึบที่เต็มไป
    ๕. ผรณาปีติ  ปิติที่ซาบซ่านแผ่ไปทั่วร่างกาย  เหมือนก้อนเมฆหนาทึบที่เต็มไปด้วยฝน


    ขุททกาปีติและขณิกาปีติ  สามารถเข้าถึงได้ด้วยศรัทธา 
    โอกกันติกาปีติที่มีมากย่อมทำอุปจารสมาธิให้เกิดขึ้นได้ 
    อุพเพงคาปีติที่ยึดดวงกสิณทำให้เกิดกุศลและอกุศลได้ และขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้เพ่ง 
    ส่วนผรณาปีติอันบุคคลทำให้เกิดขึ้นในสภาวะแห่งอัปปนาสมาธิเท่านั้น





สุข การประสบกับสิ่งที่ชอบใจคือความสุข  มีความสงบเยือกเย็นเป็นปทัฏฐาน
(พระอุปติสสเถระ,  วิมุตติมรรค.  หน้า ๘๖.)

สุข  แปลว่า ความสุข หมายถึงความสำราญ ชื่นฉ่ำ คล่องใจ ปราศจากการบีบคั้นหรือรบกวนใด ๆ
(พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโต) พุทธธรรม. หน้า ๘๗๓.

เอกัคคตา หมายถึง การที่จิตมีอารมณ์เดียว คือ จิตที่ยึดอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยไม่คิดส่ายไปในอารมณ์อื่นๆเลย แม้ช่วงขณะจิต เช่น จิตอยู่กับปฐวีนิมิต หรืออยู่กับลมหายใจ เป็นต้น เรียกจิต เช่นนั้นว่า จิตเตกัคคตา

     ก็เมื่อองค์ ๕ เหล่านี้เกิดขึ้นแล้วย่อมเชื่อว่า ปฐมฌานได้เกิดขึ้นแล้ว
     เมื่อสามารถทำปฐมฌานให้เกิดขึ้นได้แล้ว อย่างเพิ่งรีบร้อนทำทุติยฌาน เพราะอาจจะทำให้ปฐมฌานนั้นเสื่อม และก็ไม่อาจทำทุติฌานให้เกิดได้อีกด้วย จะต้องสร้างความชำนาญในปฐมฌานที่ท่านเรียกว่า


     วสี ๕ ประการ ให้ชำนาญเสียก่อน ดังนี้
     ๑. อาวัชชนวสี ความสามารถในการพิจารณาองค์ฌาน   ด้วยมโนทวาราวัชชนจิต
     ๒. สมปัชวสี ความสามารถในการเข้าฌาน
     ๓. อธิฏฐานวสี    ความสามารถในการให้ฌานดำรงอยู่ตามกำหนด
     ๔. วุฏฐานวสี ความสามารถในการออกฌานตามกำหนด
     ๕. ปัจจเวกขณวสี ความสามารถในการพิจารณาองค์ฌานด้วยชวนจิต


เมื่อฝึกวสีทั้ง ๕ ประการในปฐมฌานดีแล้วจึงค่อยเริ่มการฝึกเข้าสู่ทุติยฌานต่อไป  ดังนี้





ทุติยฌาน  ฌานที่ ๒ 
ทุติยฌาน มีองค์ ๓  คือ  ปีติ  สุข  เอกัคคตา
(พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโต) พจนานุกรมพุทธศาสตร์  ฉบับประมวลธรรม.  หน้า ๗๑.)

    เธอบรรลุทุติยฌานซึ่งมีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
    ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารระงับไป  มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่

    (ที.ม. ๑๐/๔๐๒/๒๖๗ มหาจุฬาเตปิกํ ๒๕๐๐.)

    จากคำอธิบายข้างต้นที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ทุติยฌานเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อวิตกและวิจารระงับไป
    คงเหลือแต่ปีติ สุข และเอกัคคตา

การเข้าทุติยฌาน ทั้งก่อนและหลังอาหาร ทั้งปฐมยามและปัจฉิมยาม ภิกษุฝึกน้อมนึกการเข้า ความตั้งมั่นการออก และการพิจารณา  ตามความปรารถนาของเธอ(ฝึกวสี ๕ ประการนั่นเอง) ถ้าเธอเข้าปฐมฌานและออกปฐมฌานบ่อย ๆ  และได้รับความสะดวกในการบำเพ็ญปฐมฌาน เธอย่อมได้รับสุข และทำทุติยฌานให้เกิดขึ้นได้ และก้าวพ้นปฐมฌาน   

    อนึ่งภิกษุนั้นพึงคิดอย่างนี้ว่า “ปฐมฌานนี้ยังหยาบ ทุติยฌานละเอียด 
    เธอมองเห็นโทษของปฐมฌานและอานิสงส์ของทุติฌาน 
    เมื่อน้อมนึกอยู่อย่างนี้ย่อมเห็นโทษของปฐมฌานและอานิสงส์ของทุติยฌาน   
    ในที่สุดก็จะเข้าสู่ทุติยฌานได้ตามความปรารถนา

    (พระอุปติสสเถระ  วิมุตติมรรค,  หน้า ๙๘-๙๙.)




ตติยฌาน ฌานที่ ๓
ตติยฌาน มีองค์  ๒ คือ  สุข  เอกัคคตา

การเข้าตติยฌาน การเข้าคติยฌานก็ปฏิบัติในทำนองเดียวกับการเข้าทุติยฌาน คือ เมื่อเข้าสู่ทุติยฌานได้แล้วก็ ทำวสี ให้เกิดขึ้นคล่องแคล่วแล้ว จิตก็จะยกขึ้นสู่ตติยฌานได้เอง เมื่อปีติจางหายไปดังพระบาลีว่า

     เธอมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย
     เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า 
     ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข

    (ที.ม. ๑๐/๔๐๒/๒๖๗ มหาจุฬาเตปิกํ ๒๕๐๐.)




จตุตถฌาน ฌานที่ ๔
จตุตถฌาน มีองค์ฌานเดียว คือ เอกัคคตา

การเข้าจตุตถฌาน การเข้าจตุตถฌานก็ปฏิบัติในทำนองเดียวกับการเข้าตติยฌาน คือ เมื่อเข้าสู่ตติยฌานได้แล้วก็ทำวสีให้เกิดขึ้นจนคล่องแคล่วแล้ว  จิตก็จะยกขึ้นสู่จตุตถฌานได้เอง เพราะจิตที่ปฏิบัติไป ๆก็จะเห็นความหยาบกระด้างของฌานเก่าที่ได้อยู่ ใคร่จะได้ฌานที่ละเอียดประณีตยิ่งๆขึ้นไป  ก็จะปล่อยอารมณ์ที่หยาบ(สุข) ไปจับอยู่ในอารมณ์ที่ประณีตยิ่งขึ้น(อุเบกขา) ผู้เข้าสู่จตุตตถฌานจะเป็นดังพระบาลีว่า

      เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
      เพราะละสุขและทุกข์ และดับโสมนัส และโทมนัสก่อนๆได้ 
      มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่

      (ที.ม. ๑๐/๔๐๒/๒๖๗ มหาจุฬาเตปิกํ ๒๕๐๐.)

ฌานทั้ง ๔ เรียกว่า รูปฌาน  เพราะยังต้องอาศัยอารมณ์หยาบที่เป็นรูปธรรมเป็นเครื่องเพ่งเพื่อให้เกิดนิมิต โดยเริ่มตั้งแต่ ขณิกสมาธิ จนถึงอัปปนาสมาธิ

เมื่อผู้ปฏิบัติบรรลุฌาน ๔ และเกิดวสีในฌานเหล่านั้น พร้อมทั้งอนุโลมปฏิบัติในฌานทั้ง ๔ จนเกิดความชำนาญ  จิตก็อ่อนโยนควรแก่การงานทางจิต  พร้อมที่จะนำจิตนั้นไปกระทำกิจต่างๆ เช่น 
     ทำฌานให้ยิ่งๆขึ้นไป แสดงฤทธิ์ต่างๆ
     จนถึงการเจริญวิปัสสนาจนสามารถทำตนให้หลุดพ้นจากอาสวกิเลส
     บรรลุอรหัตตผล ซึ่งเป็นเป็นหมายอันสูงสุดในพระพุทธศาสนาได้


    (ยังมีต่อ)


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.thammatipo.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&Category=thammatipocom&thispage=5&No=1195557
ผู้แสดงความคิดเห็น Copy เค้ามาอีกทีครับ (Jack-dot-John1234-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-07-21 09:48:43 IP : 61.19.88.226
http://gallery.palungjit.com/,http://www.thairath.co.th/,http://www.bloggang.com/,http://upic.me/,http://www.sati99.com/
19713  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ญาณเทียม..เกิดขึ้นได้อย่างไร.? เมื่อ: ธันวาคม 13, 2012, 08:22:47 am




ทำไม..ไม่พูดถึง "วิปัสสนาญาณ"

วิปัสสนาญาณ คือ ปัญญา ความรู้ ความเห็นแจ้งด้วยตนเองถึงธรรมชาติที่แท้จริงของรูปนาม (ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจของใคร ไม่เป็นไปตามใจปรารถนา ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ฯลฯ) อันเป็นผลจากการเจริญวิปัสสนา

ซึ่งเมื่อความรู้ ความเห็นแจ้งนี้พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนการมองโลก ของผู้ปฏิบัติ เปลี่ยนแปลงไปตามลำดับขั้นของปัญญานั้น ทีละมากบ้างน้อยบ้าง จนในที่สุดก็จะทำลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ อันเป็นต้นเหตุแห่งกิเลส และความทุกข์ทั้งปวง ลงไปอย่างถาวรในขณะแห่งมรรคญาณ และจะเห็นผลของการทำลายนั้นได้อย่างชัดเจน ในขณะแห่งผลญาณ

ลำดับขั้นของพัฒนาการเหล่านี้ ได้รับการแบ่งเป็นขั้นย่อยๆ เอาไว้หลายแนวทาง เช่น
     - แบ่งตามแนวของวิสุทธิคุณ 7 ได้เป็น 7 ขั้น
     - แบ่งตามแนวโสฬสญาณ หรือ ญาณ 16 ได้เป็น 16 ขั้น
     แต่ถ้าสังเกตให้ดีแล้ว จะเห็นว่าผู้ดำเนินการไม่เคยเขียนรายละเอียดของเรื่องเหล่านี้เอาไว้เลย
     ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ขออธิบายถึงข้อดีข้อเสียของเรื่องเหล่านี้ ดังนี้ :


     ถึงแม้ผู้ปฏิบัติจะไม่รู้เกี่ยวกับลำดับขั้นของวิปัสสนาญาณเลย แต่ถ้าปฏิบัติถูกทางแล้ว วิปัสสนาญาณก็ย่อมจะเกิดขึ้นมาเองโดยลำดับอยู่แล้ว และแน่นอนว่าผลอันสืบเนื่องจากวิปัสสนาญาณนั้น
     ก็ย่อมจะเกิดตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย และพัฒนาการต่างๆ ก็ย่อมจะเป็นไปตามขั้นตอน
     ตามวาสนา บารมี และอุปนิสัย อันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล

     เพราะต้นเหตุที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ก็คือความรู้ ความเข้าใจ ความเห็นแจ้งในธรรมชาติของรูปนามด้วยปัญญาของตนเอง อันเกิดจากการเจริญวิปัสสนานั่นเอง ไม่ใช่เกิดจากระเบียบกฎเกณฑ์ที่ใครวางเอาไว้เลย จะมีก็แต่กฎเกณฑ์ของธรรมชาติเท่านั้น



    แต่ถ้าผู้ปฏิบัติรู้เรื่องรายละเอียดของวิปัสสนาญาณขั้นต่างๆ ล่วงหน้า ก่อนที่ความเห็นแจ้งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นด้วยปัญญาของตนเองจริงๆ แล้ว ผลเสียที่อาจจะเกิดตามมา ก็คือ

     1. การปฏิบัติจะก้าวหน้าได้ช้า เพราะผู้ปฏิบัติมัวแต่คอยเปรียบเทียบผลการปฏิบัติของตน กับทฤษฎีอยู่ และอาจถึงขั้นทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน ไม่อยู่กับสภาวะอันเป็นปัจจุบันเฉพาะหน้า จนปัญญาไม่เกิดเลยก็ได้
     2. ผู้ปฏิบัติอาจเกิดอติมานะ คือความเย่อหยิ่งถือตนว่าปฏิบัติได้สูงกว่าคนอื่น ซึ่งเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง และอาจมีผลสืบเนื่องให้กิเลสตัวอื่นๆ เกิดตามมา
     3. อาจเกิดญาณเทียมขึ้นมาได้ เพราะผู้ปฏิบัติรู้ล่วงหน้าแล้วว่าต่อไปควรเกิดความรู้ และความรู้สึกอย่างไรขึ้นมาบ้าง และด้วยความที่อยากจะก้าวหน้าไปเร็วๆ จึงเกิดการน้อมใจไปสู่ความรู้สึกเช่นนั้น หรือเกิดการสะกดจิตตนเองโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ปัญญาเหล่านั้นยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่อาศัยสัญญาคือการจำมาจากตำรา หรือจากผู้อื่น
(ซึ่งสัญญาจะทำได้ก็เพียงข่มกิเลสเอาไว้เท่านั้น ไม่สามารถทำลายความยึดมั่นถือมั่น และกิเลสต่างๆ ได้อย่างแท้จริง เมื่อมีเหตุปัจจัยที่เหมาะสมกิเลสก็จะแสดงตัวออกมาใหม่)
     จนทำให้เข้าใจผิดได้ว่า ตนเองก้าวหน้าไปถึงขั้นนั้นแล้วจริงๆ และอาจเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ต่อเนื่องไปจนถึงขั้นเกิดมรรคผลเทียมขึ้นมาเลยก็ได้


    ในสมัยโบราณ(ถ้าจำไม่ผิด ผู้ดำเนินการเคยอ่านเรื่องนี้ในอรรถกถาของพระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ ที่มี 91 เล่ม) มีภิกษุ 2 รูป เข้าใจผิดว่าท่านได้เป็นพระอรหันต์แล้ว
     มีผู้ที่รู้ว่าท่านทั้งสองยังเป็นปุถุชนอยู่ ปรารถนาจะช่วย จึงใช้วิธีให้ทำเป็นช้างวิ่งตรงเข้าไป
     จนจะชนภิกษุรูปหนึ่ง ภิกษุรูปนั้นตกใจ กลัวตาย จึงรู้ตัวว่าตนยังเป็นปุถุชนอยู่
     ส่วนภิกษุอีกรูปหนึ่งใช้วิธีให้นั่งเพ่งนางอัปสร ไม่นานกามราคะของภิกษุรูปนั้นก็แสดงตัวออกมา
     จึงรู้ตัวว่ายังเป็นปุถุชนอยู่เช่นกัน ต่อมาท่านทั้งสองจึงทำความเพียร เจริญวิปัสสนาต่อไป จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งสองรูป


     
      การเข้าใจผิดเรื่องผลของการเจริญวิปัสสนานั้นเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะธรรมดากิเลสนั้นนอกจากจะถูกทำลายอย่างถาวรด้วยวิปัสสนาปัญญาแล้ว
      ยังอาจถูกกด หรือข่มเอาไว้ได้หลายวิธี เช่น
      ด้วยอำนาจของสมาธิ การพิจารณาแล้วข่มเอาไว้
      การข่มด้วยสติ การน้อมใจแล้วข่มเอาไว้
ฯลฯ
      ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะซ่อนกิเลสเอาไว้ได้ชั่วคราวเท่านั้น
      เมื่อสบโอกาสที่เหมาะสมกิเลสเหล่านั้นก็จะแผลงฤทธิ์ออกมาได้ใหม่


      ดังนั้น ผู้ปฏิบัติจึงต้องระวังให้ดี ไม่เช่นนั้นแล้วญาณเทียมจะเกิดขึ้นได้
      การปฏิบัติโดยการรับรู้สภาวะที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ไม่ต้องสนใจผลที่จะเกิดในอนาคต
      และไม่ต้องไปเทียบชั้นญาณกับทฤษฎีจะปลอดภัยกว่า
      ขอให้ศึกษาวิธีการปฏิบัติให้เข้าใจอย่างชัดเจนเป็นใช้ได้
      หลังจากนั้นก็คอยดู คอยสังเกตสภาวะที่ปรากฏให้เห็นจริงๆ ในขณะนั้น แล้ววิปัสสนาญาณก็จะเกิดขึ้นเอง อย่าใจร้อน ถ้ามีกัลยาณมิตรคอยแนะนำตามสมควรก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.dhammathai.org/treatment/nivorn/nivorn13.php
http://4.bp.blogspot.com/,http://1.bp.blogspot.com/,http://detonator.exteen.com/
19714  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “ควงกล้องท่องโลก” ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์..สะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรม เมื่อ: ธันวาคม 13, 2012, 07:51:05 am



“ควงกล้องท่องโลก”
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์..สะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรม

       ด้วยพระอัจฉริยภาพและความสนพระทัยการถ่ายภาพใน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงเห็นภาพเวลาเสด็จฯ ทรงงานทั้งในประเทศและต่างจังหวัด ทรงมีกล้องติดพระองค์และทรงบันทึกสิ่งที่ทอดพระเนตร อาทิ ศิลปวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยว วิถีชีวิตของผู้คน  สิ่งของ ขนม สัตว์ชนิดต่าง ๆ เป็นต้น
       และตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานภาพถ่ายฝีพระหัตถ์เพื่อนำมาจัดแสดงอย่างต่อเนื่องที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นความรู้แก่นิสิต นักศึกษาและประชาชนทั่วไป


       สำหรับปีนี้ สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) สร้างความประทับใจให้แก่ประชาชนคนไทยอีกครั้งด้วยการนำภาพถ่ายฝีพระหัตถ์มาจัดนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ “ควงกล้องท่องโลก”

      ซึ่งเป็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระราชทานที่ทรงบันทึกไว้ระหว่างการเสด็จฯ ไปยังสถานที่ต่าง ๆ
       ทั้งในและต่างประเทศ ระหว่างปี พ.ศ.2554-2555 จำนวน 181 ภาพ
       ซึ่งจัดแสดงระหว่างนี้ถึงวันที่ 3 ก.พ. 2556 เวลา 10.00-21.00 น. (หยุดวันจันทร์) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย






     ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงเปิดนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา ภายในห้องนิทรรศการ ชั้น 9 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พร้อมทอดพระเนตรและทรงบรรยายถึงที่มาและเรื่องราวของภาพถ่ายฝีพระหัตถ์บางส่วนที่นำมาจัดแสดงว่า

     เวลาเดินทางไปไหนมาไหนพกกล้องมีลักษณะแขวนพะรุงพะรัง แต่ถ้าต้องไปงานหรูหราต้องเก็บกล้องไว้ในกระเป๋า จนเดี๋ยวนี้ต้องออกแบบเสื้อใหม่คล้ายเสื้อช็อปของเด็กนักเรียนอาชีวะ เพื่อประกอบอาชีพให้เหมาะสม เรื่องการถ่ายภาพทำให้นึกถึงสมัยก่อนที่มีการสื่อข่าวด้วยภาพ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน มีเทคโนโลยีเข้ามาทำให้ถ่ายภาพง่ายขึ้น ซึ่งกล้องถ่ายรูปนั้นดีอยู่แล้วแต่ต้องขึ้นอยู่กับคนถ่ายด้วย


ภาพ ได้ประโยชน์สองสถาน ได้พลังจากแดดและหลบแดด

     ระหว่างทรงบรรยายทรงยกตัวอย่างความเป็นมาของภาพถ่ายฝีพระหัตถ์หลาย ๆ ภาพ อาทิ
     ภาพถ่ายชื่อ “ชาวประมงจับปู” เป็นชายสองคนยืนถือปูที่จับได้ซึ่งอยู่ในเขตป่าชายเลนระหว่างประเทศบังกลาเทศและเบงกอลตะวันตก มีรับสั่งว่าที่นี่มีชื่อเสียงอีกอย่างหนึ่งคือ เสือเบงกอล ตอนที่ไปไม่ได้เจอเสือ หลายคนบอกว่าเป็นความโชคดี จึงได้เจอแต่นก ลิง และสัตว์อื่น ๆ


ภาพ ศาลพระภูมิหลังน้ำท่วม


    ภาพ “พระภูมิหลังน้ำท่วม” เป็นภาพศาลพระภูมิที่ จ.น่าน ซึ่งประสบอุทกภัยแต่ผ่านการฟื้นฟูแล้ว รับสั่งว่าตอนนี้จึงมีความคิดใหม่ๆ ว่า ควรทำเป็นศาลพระภูมิไฮดรอลิกแบบลอยน้ำได้

ภาพ ตึกสูง บ้านเตี้ย

    ขณะที่ภาพ “ตึกสูง บ้านเตี้ย” รับสั่งว่าทอดพระเนตรจากการล่องเรือที่มีบ้านเตี้ยและตึกสูงอยู่ริมฝั่ง แสดงให้เห็นความแตกต่างถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในสังคมไทยที่มีความหลากหลายในความเป็นอยู่ทั้งเรื่องวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ แม้มีความแตกต่างก็อยู่กันได้อย่างกลมกลืนและมีความสุข

ภาพ ปู่โสม (ปู่เมธ) เฝ้าแปลงผัก


     ส่วนภาพ “ปู่โสม (ปู่เมธ)เฝ้าแปลงผัก” เป็นภาพแปลงผักที่มีรูปถ่าย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เสียบไม้ปักอยู่  ทรงบรรยายว่า ผักถือเป็นทรัพย์ได้เหมือนกัน เพราะเวลาอยากได้อะไรก็ต้องทำต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่เมื่อปลูกผักเองสามารถแน่ใจได้ว่าปลอดสารพิษ ปู่เลยต้องเฝ้าไว้ พอกินเหลือก็ได้เพาะพันธุ์ต่อไปเอาไปให้ประชาชนก็สามารถช่วยเหลือให้มีชีวิตที่มีความสุข สามารถปลูกผักกินเองและยังนำไปขายได้ คุณปู่ก็คงดีใจ

ภาพ สี แสง และเงาลึกลับ

     นอกจากร่วมชื่นชมพระอัจฉริยภาพด้านการถ่ายภาพผ่านนิทรรศการ ผู้สนใจสามารถเก็บภาพความประทับใจในรูปแบบหนังสือภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ “ควงกล้องท่องโลก” ราคาเล่มละ 900 บาท มีจำหน่ายที่หอศิลปวัฒนธรรมฯ และศูนย์หนังสือแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/society/171788
19715  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮาคนไต้หวัน-สิงคโปร์แห่เข้า "วัดป้อมรามัญเมืองกรุงเก่า" ลงนะ..วันราหูย้ายราศี เมื่อ: ธันวาคม 13, 2012, 07:28:46 am



ฮือฮาคนไต้หวัน-สิงคโปร์แห่เข้าวัดป้อมรามัญเมืองกรุงเก่า-ลงนะวันราหู 12-12-12 ย้ายราศี

เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่วัดป้อมรามัญ ต.สวนพริก  อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มีประชาชนชาวไทยชาวต่างชาติจากประเทศสิงคโปร์และไต้หวันต่างเดินทางมาให้พระครูเกษมจันทวิมล หรือพระอาจารย์แดง พระเกจิอาจารย์เจ้าของฉายานิ้วมหามงคล เจิมหน้าลงนะหน้าทองเพื่อเสริมดวง เป็นเสริมสิริมงคล และเช่าวัตถุมงคล
     เนื่องจากผู้ที่มากราบไหว้ขอพร ต่างมีความเชื่อว่าวันที่ 12 เดือน12 ปี 2012
     เป็นเลขกำลังวันของพระราหูของเดือนไทยและสากล การที่พระราหูโยกย้ายราศี มีส่วนที่ให้ทั้งดีและร้าย


พระครูเกษมกล่าวว่า การที่ประชาชนเดินทางมากันมากในวันนี้เพื่อมากราบไหว้ขอพรจากพระถือว่าเป็นความคิดที่ถูกต้อง ส่วนตามตำราที่ว่าพระราหูโยกย้ายราศี เป็นเรื่องที่ดีและร้ายนั้นหากประชาชนได้มีสติ และคิดสักหน่อย จะทำให้ชีวิต เจริญขึ้น เช่น
     การทำปัจจุบันให้ดีรักษาศีล ความเจริญรุ่งเรืองก็จะดีไปเอง
     คนเราต้องรู้จักยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธศาสนาลูกต้องเชื่อฟังพ่อแม่ 
     ครอบครัวสามีภรรยาต้องรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกันชีวิตจะอยู่กันอย่างยาวนาน
     ต้องอดทนอดกลั่น อย่าขาดสติ การลงนะหน้าทองวันนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่เสริมบารมีให้กับตัวเอง





นางเพชรแพรวพราว เพชรทองมหาศาล อายุ 48 ปี เจ้าของธุรกิจแห่งหนึ่งในกรุงเทพ กล่าวว่าที่เดินทางมาวันนี้เพื่อต้องการเสริมบารมีให้กับตนเองและธุรกิจที่ทำอยู่ให้มีความเจริญรุ่งเรืองเคยมาให้พระอาจารย์แดงลงนะ ไปแล้ว
    ปรากฏว่าสิ่งต่างที่ทำธุรกิจอยู่มีแต่ความรุ่งเรืองที่เลือกมาวันที่ 12 ธ.ค.
    คงเพราะเห็นว่าเป็นวันที่ราหูโยกย้ายราศี ซึ่งจะมีทั้งดีและร้ายตนมีความเชื่อว่า
    เมื่อลงนะแล้วความชั่วร้ายต่างๆ จะหมดไปและจะดีขึ้นตลอดเวลา


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU5USTVPVGcyTlE9PQ==&subcatid=
19716  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตื่นสดชื่น-พร้อมสร้างสมาธิ..ก่อนออกจากบ้าน เมื่อ: ธันวาคม 13, 2012, 07:17:31 am




ตื่นสดชื่น-พร้อมสร้างสมาธิ..ก่อนออกจากบ้าน

ด้วยการใช้กิจวัตรยามเช้า ช่วยปลุกร่างกาย เตรียมสติ!

จะสังเกตว่า การออกจากบ้านเพื่อไปเรียน หรือ ทำงาน ด้วยร่างกาย และจิตใจที่สดชื่นยามเช้า มักทำให้ระหว่างวันนั้นรู้สึกไม่อ่อนเพลีย หรือ หมดพลังได้ง่ายนัก อีกทั้ง ยังส่งผลดีต่อประสิทธิภาพความจำ ตลอดจนการใช้ความคิด ซึ่ง Look Life มีเทคนิคเรียกความกระปรี้กระเปร่าของร่างกายมาฝาก รวมทั้งการเตรียมสมาธิยามเช้าให้พร้อมสำหรับภารกิจที่รออยู่

      ปัจจัยสำคัญ คือ การนอนหลับอย่างเพียงพอ ประมาณ 7-8 ชั่วโมง
      สำหรับผู้ที่มักจะตื่นกลางดึกแล้วหลับต่อได้ยาก หลายคนแนะนำให้ฟังเพลงบรรเลงเสียงธรรมชาติ
      เปิดคลอไปเบา ๆ แล้วสร้างจินตนาการถึงภาพ สถานที่ หรือ เรื่องราวตาม
      ช่วยสร้างบรรยากาศสงบ เตรียมเข้าสู่ภวังค์แห่งการหลับอีกครั้ง


นอกจากนั้น การอาบน้ำอุ่นก่อนนอน ก็ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย สบายตัว หลับได้ง่ายขึ้น ส่วนตอนเช้าเหมาะที่จะอาบด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง หรือ ความเย็นปานกลาง มอบความสดชื่น กระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัว

    เมื่อตื่นนอนตอนเช้าทิ้งระยะเวลาสักครู่ แล้วค่อย ๆ ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว
    ทั้งนี้ ลองแบ่งเวลาราว 20-30 นาที ในการวิ่งเหยาะ ๆ ช้า ๆ สบาย ๆ ท่ามกลางอากาศเย็นแสงแดดอ่อน ช่วยสลัดความเนิบนาบ เสร็จแล้วอย่าลืมวอร์มดาวน์พร้อมสร้างสมาธิ ด้วยการลดความเร็วในการวิ่งจนอยู่ในลักษณะเดิน ให้จิตใจจดจ่ออยู่กับการก้าว สลับกับพิจารณาสิ่งแวดล้อมรอบตัว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต สามารถประยุกต์ใช้เมื่อเดินเล่น เดินไปเรียน และทำงานได้


ถึงเวลารับประทาน ก็ค่อย ๆ ตักอาหาร และเคี้ยวให้ละเอียด ไม่เพียงลดอาการท้องอืด และลดการทำงานหนักของกระเพาะอาหาร ยังเป็นการฝึกรวบรวมสมาธิให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำด้วย ลองประยุกต์ใช้กันดู.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/article/15176/171911
19717  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พิจารณาแล้ว...ไม่เกิดปัญญาเสียที เมื่อ: ธันวาคม 12, 2012, 11:56:17 am



พิจารณาแล้ว...ไม่เกิดปัญญาเสียที

ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้

คำถาม : ผมพยายามที่ทำวิปัสสนา โดยการพิจารณา อนัตตา ทุกขัง อนิจจัง แต่พิจารณาทีไรก็ไม่เกิดปัญญาเสียที เป็นเพราะอะไรครับ ต้องมีอะไรเพิ่มเติมหรือป่าว แม้ผมพยายามจะใช้สมาธิเป็นกำลังก็ได้แค่อุปจารสมาธิ ไม่ทราบว่าจะต้องทำอะไรอย่างไรบ้างครับ
    สงสัยมาก รบกวนให้ความกระจ่างด้วยครับ


ตอบ
   1. เนื่องจากไม่ทราบว่าคุณ ..... ได้เคยปรารถนาพุทธภูมิเอาไว้หรือไม่ (ในอดีตชาติ) ถ้าคิดว่าตอนนี้อยากจะก้าวหน้าให้ได้มากที่สุด ก็ควรอธิษฐานยกเลิกคำอธิษฐานเก่าๆ ทั้งหมด ที่เป็นตัวขวางมรรคผล แล้วอธิษฐานจิตใหม่ ปรารถนามรรคผลโดยเร็วที่สุดแทน
   2. การตั้งใจพิจารณาให้เกิดปัญญานั้นปัญญามักจะไม่ค่อยเกิดหรอกครับ นอกจากจะมีพื้นฐานเก่าอยู่มากพอ



  ที่ควรทำก็คือ ตามรู้ตามสังเกตรูปนาม หรือร่างกายจิตใจไปเรื่อยๆ เพื่อศึกษาธรรมชาติของมัน (ใจเย็นๆ ต้องใช้เวลาครับ) เมื่อเห็นความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วปัญญาก็จะเกิดขึ้นมาเอง คือจะเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของมันด้วยปัญญาของเราเอง (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) แล้วความคลายจากความยึดมั่นถือมั่นก็จะตามมาโดยอัตโนมัติ

   เหมือนกับมีคนบอกเราว่าอย่าไปโดนไฟ เพราะไฟมันร้อน แล้วเรามานั่งคิดพิจารณาเอาว่าไฟมันร้อน เราก็ไม่รู้จริงๆ หรอกครับว่าไฟมันร้อน เมื่อไม่รู้ด้วยปัญญาของเราเอง ความระมัดระวังก็ไม่เกิดขึ้น

    แต่ถ้าเราได้มีโอกาสไปสัมผัสไฟด้วยตัวของเราเองเมื่อไหร่ ก็จะรู้ด้วยปัญญาของเราเองว่าไฟมันร้อนจริงๆ คือ จะเกิดปัญญาขึ้นมาว่าไฟมันร้อน แล้วความระมัดระวังก็จะตามมาโดยอัตโนมัติครับ (ดูในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) เรื่องที่ 1 ถึงเรื่องที่ 6 ประกอบ โดยเฉพาะในเรื่องวิปัสสนาคืออะไร และเรื่องการเจริญวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน)




      สรุป ก็คือ ตามดูตามสังเกตรูปนามไปเรื่อยๆ ใจเย็นๆ ทำใจให้ผ่อนคลาย สบายๆ
     ไม่ต้องไปคาดหวังว่าปัญญาจะเกิดหรือไม่ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว จิตก็จะแล่นไปเองครับ
     คือ เมื่อสั่งสมข้อมูลจากการสังเกตมากขึ้นเรื่อยๆ จนมากพอแล้ว และในขณะนั้นจิตอยู่ในสภาวะที่ประณีตมากพอ
     ก็จะเกิดอาการปิ๊ง คือปัญญาเกิดขึ้นมาเองครับ
     แต่ถ้าพยายามไปเร่งอยากให้ปัญญาเกิดขึ้นเร็วๆ จิตจะดิ้นรน แข็งกระด้าง
     ทำให้ปัญญาเกิดได้ยากขึ้นไปโดยไม่รู้ตัวครับ


เรื่องการทำสมาธิแล้วได้ถึงขั้นอุปจารสมาธินั้น ขอตอบดังนี้ครับ
     1. สมาธิขั้นนี้ก็มากพอสำหรับการทำวิปัสสนาแล้วครับ
     2. การที่ใช้ชีวิตประจำวันอย่างฆราวาสทั่วไปนั้น ได้สมาธิขั้นอุปจาระก็นับว่าสูงมากแล้วครับ ถ้าจะให้ได้ถึงขั้นฌานก็ควรจะต้องหาที่สงบๆ แล้วให้เวลาอย่างจริงจังมากกว่านี้ ฌานนั้นไม่ใช่ได้ง่ายๆ เลยนะครับ
     ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหม่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.dhammathai.org/treatment/nivorn/nivorn27.php
http://j5.tagstat.com/,http://board.palungjit.com/
19718  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไนท์มิวเซียมโชว์...'พระพุทธรูปคันธารราฐ' เมื่อ: ธันวาคม 12, 2012, 11:24:28 am

ไนท์มิวเซียมโชว์ 'พระพุทธรูปคันธารราฐ'

กรมศิลปากรนำพระพุทธรูปคันธารราฐสมัยรัตนโกสินทร์ จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในงาน 'รำลึกรัตนโกสินทร์ 230 ปี' แบบไนท์มิวเซียมครั้งแรก

     เมื่อวันที่ 10  ธ.ค. นางสุรีย์รัตน์ วงศ์เสงี่ยม รองอธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า เนื่องในปี 2555 เป็นปีแห่ง การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบ 230 ปี กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ ได้ร่วมกับ กรมศิลปากร  สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กรุงเทพมหานคร และประชาคมชาวบางลำพู จัดงาน “รำลึกรัตนโกสินทร์ 230 ปี”

    ปิดถนนท่าพระอาทิตย์ย้อนรอยวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรมชาวกรุงเก่าและจัดกิจกรรมรอบเกาะรัตนโกสินทร์
     ในวันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่วันที่ 8-10 , 15-16,  22-23 ธ.ค. และวันที่ 12-13 ม.ค. 2556 
     โดยมีกิจกรรมที่หลากหลาย  ได้แก่ การเปิดอาคารที่ทำการของกรมศิลปากร ถนนหน้าพระธาตุ หอประติมากรรมต้นแบบ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ ซึ่งเป็นบริเวณของวังเก่าในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ให้ประชาชนเข้าชมโบราณวัตถุ และสิ่งของอันล้ำค่าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

                 
     รองอธิบดีกรมศิลปากร กล่าวต่อไปว่า กรมศิลปากรยังได้จัดกิจกรรมพิเศษด้วยการเปิด พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และ  หมู่พระที่นั่งต่างๆ ภายในบริเวณพิพิธภัณฑ์ในยามค่ำคืนจนถึงเวลา 20.00 น. หรือ ไนท์มิวเซียมเป็นครั้งแรก  อาทิ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ กราบไหว้พระพุทธสิหิงค์ พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พระตำหนักแดง พร้อมทั้งมีการสาธิตและการจัดแสดงผลงานฝีมือช่าง จากสำนักช่างสิบหมู่ สินค้าต้นแบบจากโครงการ Creative Finearts
      ตลอดจนการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีสำหรับประชาชนจากสำนักการสังคีต ณ สังคีตศาลา บริเวณสนามหญ้า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร



      นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการรำลึกรัตนโกสินทร์  บริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  รวมทั้งจะปิดถนนพระอาทิตย์  ตั้งแต่โรงพิมพ์คุรุสภา ป้อมพระสุเมรุ  ไปจนถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ให้เป็นถนนคนเดิน มีการออกร้าน และการแสดงจากชุมชนบางลำพู และการจัดกิจกรรมการแสดงที่บริเวณสวนสันติชัยปราการ
   
     “กรมศิลปากร ขอเชิญชวนให้ประชาชนได้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว เพื่อจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาติ และยังทำให้เกิดความรักและความภาคภูมิใจ ในการที่เราได้เกิดมาเป็นคนไทย ตลอดจน ได้ตระหนักในการร่วมกันอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ” นางสุรีย์รัตน์ กล่าว
 
       ด้านนายอนันต์ ชูโชติ ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เปิดเผยว่า สำหรับโบราณวัตถุชิ้นสำคัญที่จัดแสดงในโอกาสพิเศษเปิดไนท์มิวเซียมครั้งแรกนี้ คือ
       พระพุทธรูปคันธารราฐ สมัยรัตนโกสินทร์ แบบศิลปะคันธารราฐ สร้างจากสำริด กะไหล่ทอง
       สูงพร้อมฐาน 73.5 ซ.ม. ฐานกว้าง 23.5x23.5 ซ.ม.
       พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้นายอัลฟอนโซ ทอร์นาเรลลี ช่างชาวอิตาเลียนปั้น โดยอนุโลมตามพระพุทธรูปคันธารราฐในประเทศอินเดีย เมื่อ พ.ศ. 2453



      พระพุทธรูปคันธารราฐ เป็นพระพุทธรูปอำนวยความอุดมสมบูรณ์ สร้างขึ้นเป็นพระขอฝน
       สำหรับใช้ในพระราชพิธีพิรุณศาสตร์ และงานพระราชพิธีพืชมงคล เพื่อความเป็นมงคลในการพระราชพิธีอำนวยให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พื้นดินอุดม พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์


       "นอกจากนี้ในไนท์มิวเซียมยังมีการจัดแสดงศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ 1 เป็นของจริง เครื่องทองจากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ ศิลปะสมัยอยุธยา พุทธศตวรรษที่ 22-24  พระแท่นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กลองวินิฉัยเภรี เป็นกลองสำหรับราษฎรตีร้องทุกข์ถวายฎีกาโดยไม่ต้องรอเวลาเสด็จออกนอกพระบรมมหาราชวัง มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาล 1 จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3   หัวหุ่นหลวงพระราม พระลักษณ์ เป็นต้น" ผอ.สำนักพิพธภัณฑ์ฯ กล่าว

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
      ศิลปะคันธารราฐนับเป็นต้นกำเนิดในการสร้างพระพุทธรูปมาจนถึงทุกวันนี้
      โดยช่างกรีกในแคว้นคันธารราฐตอนเหนือของอินเดีย หรือในพื้นที่ประเทศปากีสถานและอัฟกานิสถานปัจจุบัน
     โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ก็อยู่ในพื้นที่คอบครองของตาลิบันก็เป็นศิลปะคันธารราฐ


   
     ขณะเดียวกันพระพุทธรูปและพุทธสถานที่เมืองเมืองเมส อาแน็ค ประเทศอัฟกานิสถาน 
     ซึ่งมีอายุถึงกว่า 2,000 ปี  ที่เป็นมรดกล้ำค่าของชาวพุทธและมนุษยชาติ รวมถึงเป็นสถานที่เก็บรักษาสิ่งมีค่าทางพระพุทธศาสนาอย่างประเมินค่ามิได้ กำลังจะถูกทำลายลง


     ส่งผลให้องค์กรชาวพุทธทั่วโลก ร่วมกับนางสาวนาเดีย ทาร์ซี (Nadia Tarzi) ประธานสมาคมคุ้มครองโบราณสถานของอัฟกานิสถาน ลูกสาวนักโบราณคดีเอกของโลก ศ.ดร.ทาร์ซี (Prof.Zermayalai Tarzi) ได้ระดมรายชื่อชาวพุทธจากทั่วโลก ที่สนับสนุนและลงชื่อคัดค้านการปรับเปลี่ยนโบราณสถานอันเก่าแก่ดั้งเดิมของชาวพุทธที่มีชื่อเรียกว่า เมส อาแน็ค ในประเทศอัฟกานิสถาน ให้เป็นเหมืองทองแดงภายในเดือนธันวาคมนี้ตามที่รัฐบาลอัฟกานิสถานให้สัมปทานแก่บริษัทเหมืองแร่ประเทศจีนเข้ามาดำเนินการ
             
      "ขั้นต้นนางสาวนาเดีย ทาร์ซี  ได้ตั้งเป้าการลงชื่อคัดค้านทั้ง 2 เว็บไซต์ที่ 100,000 รายชื่อ แต่จำนวนการลงชื่อคัดค้านเพิ่มขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว จึงได้ขยายเป็น 200,000 รายชื่อภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2555       
      โดยเว็บไซต์แรกสามารถลงชื่อคัดค้านได้ที่
      http://chn.ge/TstjEm เพื่อเสนอต่อองค์การยูเนสโก ให้คุ้มครองโบราณสถาน “เมส อาแน็ค” ส่วนเว็บไซต์ที่ 2 สามารถลงชื่อคัดค้านได้ที่ http://chn.ge/Pux8Nr เพื่อเสนอต่อประธานาธิบดีของประเทศอัฟกานิสถาน ให้ชะลอแผนการทำเหมืองทองแดง"  นายแพทย์พรชัย พิญญพงษ์ ประธานองค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก กล่าวก่อนหน้านี้

     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้นว่าล่าสุดทางรัฐบาลอัฟกานิสถานจะรับปากจะกันพื้นที่ดังกล่าวไว้ แต่องค์กรชาวพุทธทั่วโลกก็ยังไม่นิ่งนอนใจ หากต้องการติดตามเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพุทธสถานที่เมส อาแน็ค สามารถเข้าไปศึกษาได้ที่เฟซบุ๊กกลุ่มMes Aynak awareness working group 
     (http://www.facebook.com/groups/mes.aynak
     หรือหากต้องการศึกษาเกี่ยวกับศิลปะคันธารราฐที่อัฟกานิสถานและปากีสถานสามารถติดตามเฟซบุ๊กของ Rangsi Suthon 
     (http://www.facebook.com/arjarn.rangsi )
     ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121210/146854/ไนท์มิวเซียมโชว์พุทธรูปคันธารราฐ.html#.UMgDJ6xyW9x
http://www.oknation.net/,http://board.postjung.com/
19719  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / วิธีทำบุญง่ายๆ..และได้ "บารมี 10 ทัศ" เมื่อ: ธันวาคม 12, 2012, 11:00:39 am

วิธีทำบุญง่ายๆและได้บารมี 10 ทัศ โดยหลวงพ่อจรัญ

วิธีทำบุญง่ายๆ สำหรับคนไม่มีเวลา สามารถทำได้ทุกวัน โดยได้บารมี 10 ทัศ ครบถ้วนบริสุทธิ์ บริบูรณ์ พูดถึงเวลาถ้าเราทำบุญ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการ ตักบาตรหรือเข้าวัดทำบุญ เป็นส่วนมาก ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่มีเวลา ก็เลยเสียโอกาสในการสั่งสมบุญ บารมี วันนี้จึงมีเรื่องมาเล่าให้ทุกๆท่านได้อ่านและพิจารณา เผื่อจะได้แง่มุมใหม่ๆในการสร้างบุญกุศล สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา เพื่อจะได้นำมาปฏิบัติอย่างง่ายๆ เพื่อสั่งสมบุญบารมี มีดังนี้

   1. หากระปุกออมสิน หรือ บาตรพลาสติก (ร้านสังฆทานต่างๆจะมีขาย) หรือภาชนะที่สะดวก ในการหยอดเงิน นำมาวางไว้ที่ในห้องพระ หรือหิ้งพระ สำหรับคนที่อยู่คอนโด หรืออพาร์ทเม้นต์ ถ้าไม่มีห้องพระ ให้หารูปพระ มาติดที่ฝาผนังก็ได้




   2. ทุกวันให้เราสละเวลา เพียงวันละประมาณ 20-30 นาที สวดมนต์ไหว้พระ เวลาไหนก็ได้ที่เราว่าง เราสบายใจ เช้า สาย บ่าย เย็น หรือก่อนนอน โดยเริ่มจากบท

คำบูชาพระ
    อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ (ข้าพเจ้าขอบูชาอย่างยิ่งต่อพระพุทธเจ้า ด้วยเครื่องสักการะนี้)
     อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อะภิปูชะยามิ (ข้าพเจ้าขอบูชาอย่างยิ่งต่อพระธรรม ด้วยเครื่องสักการะนี้)
     อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อะภิปูชะยามิ (ข้าพเจ้าขอบูชาอย่างยิ่งต่อพระสงฆ์ ด้วยเครื่องสักการะนี้)


คำบูชาพระรัตนตรัย
     อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ(กราบ)
     สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ(กราบ)
     สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ(กราบ)


นมัสการพระพุทธเจ้า
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ


   *ระหว่างที่ตั้งนะโม ก็ให้เรานำเงินมา จบเอาไว้ในมือ จะกี่บาทก็ได้ 5 บาท 10 บาท หรือ 20 บาท หรือจะมากกว่านั้นตามแต่ศรัทธา จากนั้นก็เริ่มสวด

คำกล่าวบูชาไตรสรณคมน์
     พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
     ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
     สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
     ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
     ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
     ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
     ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
     ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
     ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

 

บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ
    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
     วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
     อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.


บทสรรเสริญ พระธรรมคุณ
      สวากขาโต ภะคะวา ธัมโม
      สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก
      ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ.


บทสรรเสริญ พระสังฆคุณ
     สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
     อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
     ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
     สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
     ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา
     เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
     อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย
     อัญชะลีกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสา


พาหุงมหากา หรือ พุทธชัยมงคลคาถา (ถวายพรพระ)
     ๑. พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
         ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
     ๒. มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
         ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
     ๓. นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
         เมตตัมพุเสกะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
     ๔. อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโย ชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
         อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
     ๕. กัตตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
         สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
     ๖. สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
         ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
     ๗. นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
         อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
     ๘. ทุคคาหะ ทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
         ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
         เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถาโย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
         หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะ

     สวดจบแล้วให้กลับมาสวด พระพุทธคุณ บทเดียวหรือ 9 จบ หรือเท่าอายุบวกหนึ่ง
     *** ถ้าไม่มีเวลา ให้กลับมาสวด บทพระพุทธคุณบทหรือเดียว 9 จบ หรือเท่าอายุบวกหนึ่ง





  3. ต่อจากนั้น ตั้งสมาธิจิตสักระยะหนึ่ง แล้วอธิษฐานจิตจนเสร็จ จากนั้น เอาเงินที่จบไว้ในมือ ใส่เข้าไปในภาชนะที่เตรียมไว้ที่หิ้งพระหรือโต๊ะหมู่บูชา หรือหน้ารูปพระ เสร็จแล้วอย่าลืม แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลทุกครั้งให้เจ้ากรรมนายเวร ทำอย่างนี้ทุกวันอย่าให้ขาด

คาถาแผ่เมตตา (แผ่ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย)
     สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ
     อัพพะยาปัชฌา โหนตุ
     อะนีฆา โหนตุ
     สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
     สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น
     จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
     จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
     จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
     จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ





  4. หลังจากนั้น เราก็จะได้บารมีครบถ้วน เพียงแค่สวดมนต์ไม่กี่นาที และสิ่งเหล่านี้ก็จะสะสมในใจเราทีละน้อย เหมือนกับเราเก็บเงินวันละ บาท 10 วันก็ได้ 10 บาท แต่ถ้าเราไม่ทำอะไร เราก็จะไม่ได้อะไรเลย แล้วเงินที่เราหยอดทุกวัน ที่ได้จากการสวดมนต์ ก็เหมือนเราตักบาตรทุกวัน โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เมื่อมีโอกาศเข้าวัด หรือจะไปทำบุญตามสถานที่ต่างๆ เราก็นำเงินนั้นแหละไปทำบุญ หยอดตู้ ใส่ซอง ทำให้จิตของเราติดอยู่กับบุญกุศล ทุกวัน

บารมีครบถ้วน 10 ประการ มีดังนี้

    1. ทานบารมี = ขณะที่เราสวดมนต์เสร็จ เราทำทานคือเอาเงินที่จบใส่ใน กระปุกออมสิน หรืออื่นๆ เป็น ทานบารมี
    2. ศีลบารมี = ขณะที่เราสวดมนต์อยู่ในขณะนั้นเราไม่ได้ทำบาปกรรมกับใคร มีศีลอยู่ในขณะที่สวดมี ศีลบารมี
    3. เนกขัมมบารมี = ขณะที่เราสวดมนต์อยู่ จิตของเราปราศจาก นิวรณ์มารบกวนจิตใจ ถือว่าเป็นการบวชใจ ถือว่าเป็น เนกขัมมบารมี

    4. ปัญญาบารมี = การสวดมนต์ทำด้วยความศรัทธา ทำด้วยปัญญาที่เห็นว่ามันเป็นประโยชน์ช่วยฝึกฝนให้เกิดสติ มีสมาธิเป็น ปัญญาบารมี
    5. วิริยะบารมี = ถ้าเราไม่มีความเพียร เราก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นความเพียรเป็น วิริยะบารมี
    6. ขันติบารมี= มีความเพียรแล้ว ไม่มีความอดทน ความเพียรก็ตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องมีความอดทน ความอดทนเป็น ขันติบารมี

    7. สัจจะบารมี = มีความเพียร มีความอดทนแล้ว และมีความจริงใจในการประพฤติปฏิบัติ ซึ่งความจริงใจคือ สัจจะบารมี
    8. อธิษฐานบารมี = เมื่อเราสวดมนต์เสร็จ ทำสมาธิ ตั้งจิตอธิฐาน การอธิฐานเป็น อธิษฐานบารมี
    9. เมตตาบารมี = ใส่บาตร สวดมนต์เสร็จ ก็ต้องแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล การแผ่เมตตาเป็น เมตตาบารมี

  10. อุเบกขาบารมี = ขณะที่แผ่เมตตา เราต้องทำใจของเราให้มีเมตตา ต่อสัตว์ทั้งหลาย ทำใจให้เป็นพรหมวิหาร 4 อุเบกขา วางเฉย อโหสิกรรม กับบุคคลที่เราเคยล่วงเกินกันมา ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่ชอบใคร ไม่ชังใคร ทำใจให้นิ่ง ทำจิตให้สงบ วางใจให้เป็นอุเบกขา เป็น อุเบกขาบารมี



ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.med-kku.com/index.php?topic=8654249.0  โพสต์โดย YONG69MED30
http://www.mettajetovimuti.org/,http://2.bp.blogspot.com/,http://news.tlcthai.com/
19720  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา.! บันทึกภาพสุดหายาก วินาทีระทึก "ฟ้าผ่า..อาคารระฟ้าสูงสุดของโลก" เมืองดูไบ เมื่อ: ธันวาคม 12, 2012, 05:05:21 am




ฮือฮา บันทึกภาพสุดหายาก วินาทีระทึก"ฟ้าผ่า"
อาคารระฟ้าสูงสุดของโลก "เหนือฟ้า" เมืองดูไบ(ชมภาพ)

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ว่า นายเอียน พาวเวลล์ ได้บันทึกภาพสุดระทึกหายาก เป็นภาพตึกระฟ้า "บูรัจ คาลิฟา"ในเมืองดูไบ ซึ่งเป็นตึกระฟ้าสูงที่สุดของโลก ถูกฟ้าผ่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยเขาสามารถบันทึกภาพหายากดังกล่าวได้ในช่วงกลางคืน นายเอียนกล่าวว่า ภาพดังกล่าวเหมือนตึกที่สูงมากกำลังถูกผ่าจากสวรรค์ และว่า ปรากฎการณ์อากาศแปรปรวนที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่หายากสำหรับเมืองดูไบ



ภาพเมื่อครั้งถูกภาวะหมอกปกคลุม


รายงานระบุว่า เหตุฟ้าผ่าดังกล่าวไม่ได้สร้างความเสียหายใด ๆ ให้แก่ตึกบูรัจ คาลิฟา เนื่องจากมันถูกออกแบบพิเศษให้ป้องกันการถูกฟ้าผ่า ทั้งนี้ สำหรับตึกระฟ้าแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2010 ด้วยงบประมาณมหาศาล 1,000 ล้านดอลลาร์


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355210617&grpid=01&catid=&subcatid=
หน้า: 1 ... 491 492 [493] 494 495 ... 556