ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - raponsan
หน้า: 1 ... 494 495 [496] 497 498 ... 556
19801  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บทเพลง : 4G....ธรรมะประพันธ์ เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 11:28:05 am
!
อัปโหลดโดย sbbtv999 เมื่อ 29 พ.ย. 2011


ธรรมะประพันธ์ : สยามเมืองยิ้ม
บทเพลง : "4G"   
ขับร้อง : น้ำค้าง เดือนเพ็ญ

สามารถติดตามรับชมและรับฟังบทเพลงธรรมประพันธ์อื่นๆได้ที่
http://www.sbbtv999.tv/sbbtv999/mv.html


19802  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โสมขาวลด "การเสพติด..โทรศัพท์มือถือ" เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 11:20:37 am


โสมขาวลด "การเสพติด..โทรศัพท์มือถือ"

เด็กนักเรียนเกาหลีใต้ เข้าร่วมโครงการลดการเสพติดโทรศัพท์มือถือกับโรงเรียน โดยนำเอาโทรศัพท์มือถือมาใส่ไว้ในตะกร้าหน้าห้องเรียนตั้งแต่เข้าเรียน

     28 พ.ย. 55  เด็กนักเรียนโรงเรียนประถมชิลโบในเมืองซูวอน ประเทศเกาหลีใต้
     เข้าร่วมโครงการลดการเสพติดโทรศัพท์มือถือกับโรงเรียน
     โดยนำเอาโทรศัพท์มือถือมาใส่ไว้ในตะกร้าหน้าห้องเรียนตั้งแต่เข้าเรียน


     ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการ
     ลดการเสพติดโทรศัพท์มือถือของชาวโสมขาวกว่า 2.55 ล้านคน
      ที่ใช้โทรศัพท์มือถือกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน
      จนถือเป็นอาการเสพติดอย่างหนึ่ง



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121128/145946/โสมขาวลดการเสพติดโทรศัพท์มือถือ.html#.ULbh_Gfvolh
19803  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ห่มผ้า.."เจดีย์หลวง 700 ปี" วันลอยกระทง เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 11:15:20 am

ห่มผ้า.."เจดีย์หลวง 700 ปี" วันลอยกระทง

สมเด็จพระญาณสังวรฯประทานห่มผ้าเจดีย์หลวง 700 ปี วันลอยกระทง

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระกรุณาประทานผ้าพระกฐิน ทอดถวายแด่พระสงฆ์ผู้จำพรรษา
     พร้อมประทานผ้าห่มพระประธานในพระอุโบสถ และผ้าห่มพระเจดีย์หลวงอายุกว่า 700 ปี
     ที่วัดราชบูรณะ อ.เมือง จ.พิษณุโลก
เป็นพระเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
     และสูงที่สุดในจังหวัดพิษณุโลก  ในช่วงวันลอยกระทง และเป็นวันพระ


ทั้งนี้ มีนายธงชัย  ศศิวิมล เป็นประธานในพิธีและประชาชนพร้อมในนุ่งขาวห่มขาวประกอบพิธีแห่ผ้าไปห่มพระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย  ศิลปะสมัยสุโขทัย
     จากนั้นได้ร่วมกันแห่ผ้าไปห่มบนเจดีย์หลวง เป็นพระเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
     และสูงที่สุดในจังหวัดพิษณุโลก อายุกว่า 700 ปี  เพื่อความเป็นสิริมงคลในการร่วมกันทำบุญในวันนี้
     หลังจากห่มผ้าเสร็จเรียบร้อย ปรากฏว่า ฝนได้โปรยปรายสร้างความชุ่มฉ่ำเป็นอย่างมาก



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/กทม.-ภูมิภาค/ภาคเหนือ/190713/ห่มผ้าเจดีย์หลวง-700ปีวันลอยกระทง
19804  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 4 ชาติเอเชียติด "ท็อปไฟว์" ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก...ไทยอยู่อันดับ 36 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 11:07:26 am

4 ชาติเอเชียติด "ท็อปไฟว์" ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก...ไทยอยู่อันดับ 36

ฟินแลนด์และเกาหลีใต้ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก เป็นอันดับหนึ่งและสองตามลำดับ ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จากการจัดอันดับโดยบริษัทด้านการศึกษาชื่อดังจากสหรัฐฯ "เพียร์สัน"

การจัดอันดับ ใช้การรวบรวมข้อมูลจากผลการสอบในระดับนานาชาติและข้อมูลเช่นอัตราการศึกษาในระหว่างปี 2006 และ 2010  เซอร์ไมเคิล บาร์เบอร์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านการศึกษาของเพียร์สัน เปิดเผยว่า ประเทศที่ติดในอันดับที่ดีส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับครูผู้สอน รวมถึงการมีวัฒนธรรมด้านการศึกษาที่ดี

    ตามหลังฟินแลนด์และเกาหลีใต้ ประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในอันดับที่ 3-5 นั้น ล้วนมาจากเอเชียทั้งสิ้น ได้แก่
      ฮ่องกง (จีน) อันดับ 3, ญี่ปุ่น อันดับ 4 และ สิงคโปร์ ในอันดับ 5
      ขณะที่อันดับ 6 ตกเป็นของอังกฤษ ตามมาด้วยเนเธอร์แลนด์ ในอันดับที่ 7
      และ นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และแคนาดาในอันดับที่ 8-10 ตามลำดับ
      ขณะที่ประเทศมหาอำนาจอื่นๆอย่างสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และเยอรมนี อยู่ในอันดับรองลงไป


      โดยในการจัดอันดับที่มีจำนวน 40 ประเทศนั้น อินโดนีเซีย บราซิล และเม็กซิโกมีคะแนนต่ำสุด
      ในอันดับที่ 40, 39 และ 38 ตามลำดับ ขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 37

 

รายงานระบุว่า ความสำเร็จของประเทศในเอเชีย ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากประเทศดังกล่าวให้ความสำคัญกับการศึกษามากเป็นพิเศษ อีกทั้งผู้ปกครองต่างก็พร้อมจะทุ่มเทให้บุตรหลานของตนได้รับการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ เพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิต
 
     แต่สิ่งที่สำคัญนอกจากการทุ่มเทให้บุตรหลานได้รับการศึกษาที่ดีนั้น
     สะท้อนให้เห็นค่านิยมที่ให้คุณค่าต่อการศึกษาในระดับสูง
     รวมถึงการคาดหวังของผู้ปกครอง ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญแม้ครอบครัวจะย้ายไปยังประเทศอื่น

     ขณะที่อันดับหนึ่งและสองอย่างฟินแลนด์และเกาหลีใต้
     ค่อนข้างมีความแตกต่างกันหลายประการ
     แต่มีปัจจัยร่วมกัน คือ ความเชื่อทางสังคมที่ให้ความสำคัญต่อการศึกษา
     และจุดประสงค์ด้านศีลธรรมที่แอบแฝงอยู่

 
   
     รายงานดังกล่าวยังเน้นเรื่องคุณภาพของครูผู้สอน และความจำเป็นต่อการจ้างครูที่ดีที่สุด
     ซึ่งอาจรวมถึงการได้รับความเคารพในทางวิชาชีพและสถานะทางสังคม เช่นเดียวกับรายได้ที่ได้รับ
     อย่างไรก็ดี การจัดอันดับไม่ได้แสดงจุดเชื่อมโยงที่แน่ชัดระหว่างรายได้สูงและการสอนที่มีคุณภาพ
     รายงานระบุว่า ระบบการศึกษาที่สูงและต่ำยังมีผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจโดยตรง
     โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พึ่งพาแรงงานที่ใช้ทักษะ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354077710&grpid=01&catid=&subcatid=
http://blog.eduzones.com/,http://stanglibrary.files.wordpress.com/
19805  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา.! 'ทะเลสีเลือด' ในออสเตรเลีย เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 10:50:58 am



ฮือฮา.! 'ทะเลสีเลือด' ในออสเตรเลีย

ฮือฮา! นักท่องเที่ยวแห่ชมปรากฏการณ์ 'ทะเลสีเลือด' บริเวณชายหาดบอนได รัฐนิวเซาธ์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เจ้าหน้าที่ออสซี่ประกาศปิดชายหาด-สั่งห้ามเล่นน้ำ

       28 พ.ย.55 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียประกาศปิดชายหาดบอนไดและชายหาดโคลเวลลี รัฐนิวเซาธ์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย หลังจากเกิดปรากฎการณ์ประหลาดน้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ายสีเลือด พร้อมออกคำเตือนนักท่องเที่ยวให้อยู่ห่างจากพื้นที่ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำทะเล เนื่องจากมีปริมาณแอมโมเนียระดับสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองผิวหนังได้

       ทั้งนี้เจ้าหน้าที่รัฐนิวเซาธ์เวลส์ กล่าวว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการลอยตัวของน้ำเย็น ประกอบกับการเจริญเติบโตของสาหร่ายสีแดงอย่างเต็มที่ จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ "สายน้ำสีแดง" และมักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิและถฤูใบไม้ร่วง








ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121128/145903/ฮือฮา!ทะเลสีเลือดในออสเตรเลีย.html#.ULbajmfvoli
19806  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สักการะ "รูปปั้นต้นแบบเจ้าแม่กวนอิม" องค์ใหญ่ที่สุดในโลก (ชมภาพและคลิป) เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 10:36:03 am


สักการะ "รูปปั้นต้นแบบเจ้าแม่กวนอิม" องค์ใหญ่ที่สุดในโลก

ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ นำองค์รูปปั้นสร้างเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลกมาให้ประชาชนได้ร่วมสักการบูชา

วันนี้ ( 28 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี สมาคมวัฒนธรรมวิถีพุทธไทยจีน 2008 ได้นำรูปปั้นและหล่อองค์ต้นแบบของเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมทั้งนำส่วนพระหัตถ์ขององค์จริง มาให้ประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธาได้สักการบูชา

ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ นายกสมาคมวัฒนธรรมวิถีพุทธไทยจีน 2008 และประธานโครงการสร้างเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่า
    สืบเนื่องจากเมื่อปีพ.ศ.2548 สหประชาชาติได้มีมติให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนา
    ได้รับการปรึกษาจากมหาเถรสมาคมว่าจะทำอย่างไรถึงจะเป็นศูนย์กลางได้
    จึงคิดว่าจะต้องสร้างสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เสนอที่จะสร้างเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลก

    ซึ่งทางพระมหาเถระเห็นด้วย และเมื่อการจัดสร้างเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลกได้รับความเห็นด้วย
    จึงเริ่มลงมือที่จะทำ แต่ติดตรงที่ว่าเวลานั้นเป็นส.ส. จึงติดขัดในส่วนของกฎหมาย ห้ามมิให้ส.ส.รับบริจาคเกิน 3,000 บาท
    จนกระทั่งปี2554 ไม่ได้เป็นส.ส.แล้ว จึงเริ่มทำโรงการดังกล่าว โดยเริ่มให้ช่างมาออกแบบและสร้างรูปปั้นและหล่อองค์ต้นแบบของเจ้าแม่กวมอิม







    ร.ต.ท.เชาวรินธร์ กล่าวต่ออีกว่า
    หลังจากได้สร้างองค์จำลองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำไปขยายให้ได้ขนาดความสูง 84 เมตร
    ก่อนเริ่มทำแม่พิมพ์ หลังจากได้แม่พิมพ์เสร็จสิ้น ก็ทำหนังสือกราบทูล ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เพื่อให้ท่านเสด็จเป็นองค์ประธานเททอง เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2555 โดยวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างก็เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในคราวเดียวกัน จึงอยากให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางและแพร่หลาย

     
    จึงจัดอัญเชิญองค์ต้นแบบไปยังจังหวัดต่างๆทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัด รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอีก 7 ประเทศ ได้แก่ เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์และจีน






   
    นายกสมาคมฯ เปิดเผยอีกว่า คาดการณ์ว่าน่าจะตระเวนทั่วทั้งประเทศ
    รวมทั้งในต่างประเทศแล้วเสร็จประมาณปี 2557
    ในส่วนของการก่อสร้างก็จะดำเนินไปเรื่อยๆ หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2559
    พระโพธิสัตว์กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดความสูง 84 เมตร
    จะนำไปประดิษฐานที่ อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี

    สำหรับชาวกรุงเทพมหานคร สามารถไปสักการะและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงออกถึงความจงรักภักดี
    ได้ที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จนกระทั่งถึงวันที่ 3 ธ.ค.
    ก่อนขบวนพิธีจะดำเนินต่อไปยัง จ.นครราชสีมา




เผยแพร่เมื่อ 28 พ.ย. 2012 โดย clipwebsite


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/169536
19807  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ระยองจัดงาน "ทอดผ้าป่ากลางน้ำ"...หนึ่งเดียวในประเทศ (ชมภาพและคลิป) เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 10:20:29 am




ระยองจัดงาน "ทอดผ้าป่ากลางน้ำ"...หนึ่งเดียวในประเทศ

จังหวัดระยองจัดงานประเพณีทอดผ้าป่ากลางน้ำหนึ่งเดียวในประเทศไทย

วันนี้ ( 28 พ.ย.) ที่อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส ต.ปากน้ำ อ.แกลง จ.ระยอง นายพิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ให้เกียรติมาเป็นประธานประเพณีทอดผ้าป่ากลางน้ำ และการแข่งขันเรือพายชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ

โดยมีนายไชยรัตน์ เอื้อตระกูล นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลปากน้ำประแส ให้การต้อนรับ และยังมีนายสุรพล เทียนสุวรรณ นายอำเภอแกลง พร้อมด้วยนายวิทิต ลาวัณย์เสถียร ประธานมูลนิธิช่วยเหลือเด็กนักเรียนยากจน อ.แกลง นางประชิด ชินราช ประธานคณะกรรมการกองทุนบทบาทสตรีจังหวัดระยอง นางดวงพร เทียนสุวรรณ นายกกิ่งกาชาดอำเภอแกลง นางกนกวรรณ เบญจาทิกุล ส.อบจ.ระยอง เขตแกลง นายบรรพต เอื้อตระกูล ส.อบจ.เขตแกลง เข้าร่วมงานด้วย

โดยมีชาวบ้านเข้ามาร่วมงานอย่างคับคั่ง และยังได้รับเกียรติจากนายสมจิตร จงจอหอ อดีตนักชกมวยสากลสมัครเล่นเหรียญทองโอลิมปิกมาร่วมงานด้วย

ซึ่งในช่วงเช้าได้มีพิธีทางสงฆ์ โดยมีพระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นนายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ได้ทำพิธีสักการะพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นายไชยรัตน์ เอื้อตระกูล นายกเทศมนตรีเทศบาลปากน้ำประแส ได้กล่าวรายงานประวัติความเป็นมาของการทอดผ้าป่ากลางน้ำ






   
    เสร็จจากพิธี นายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พร้อมด้วยผู้มีเกียรติได้ลงเรือพายเพื่อทอดผ้าป่าที่มีเสาปักอยู่กลางคลองปากน้ำประแส โดยนำผ้าเหลืองมาวางไว้บนไม้เพื่อให้พระสงฆ์ได้ทอดผ้า จนเสร็จสิ้นพิธีของการทอดผ้าป่ากลางน้ำ

    จากนั้นได้มีการแข่งขันเรือพายชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ ได้มีชาวบ้านร่วมร้องรำทำเพลงอยู่สองฝั่งแม่น้ำสร้างความสนุกสนานในบรรยากาศการแข่งขันเรือพายด้านนายไชยรัตน์ เอื้อตระกูล นายกเทศมนตรีเทศบาลปากน้ำประแส ได้กล่าวว่า

    ประเพณีทอดผ้าป่ากลางน้ำเป็นประเพณีที่ชาวปากน้ำประแสสืบทอดกันมายาวนานกว่าร้อยปี
    เป็นงานประเพณีที่สำคัญของจังหวัดระยองอีกงานหนึ่ง ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาวประมงบริเวณลุ่มแม่น้ำประแส จากพื้นเพดังกล่าว ชาวบ้านปากน้ำประแสนั้นทำการประมง


    จึงได้จัดงานทอดผ้ากลางน้ำโดยได้นิมนต์พระมาทอดผ้ากลางน้ำ ซึ่งเป็นประเพณีสืบทอดมาทุกวันนี้
    และในงานยังได้มีการจัดการแข่งขันเรือพายชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ อีกด้วย
    และในการจัดประเพณีทอดผ้าป่ากลางน้ำนั้น ทางเทศบาลปากน้ำประแสได้กำหนดไว้ 2 วัน คือในวันที่ 27 และวันที่ 28 พ.ย. 2555 ในวันที่ 28 นั้นยังเป็นวันลอยกระทง


    ทำให้มีชาวบ้านออกมาร่วมงานลอยกระทงยังท่าเรือบริเวณอนุสรณ์เรือรบหลวงประแสแห่งนี้เป็นจำนวนมาก และในเวลากลางคืนยังมีมหรสพ การแสดงต่างๆ และมีการประกวดนางนพมาศ และคาราวานสินค้าโอทอปมาจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย




เผยแพร่เมื่อ 28 พ.ย. 2012 โดย Amontep nongyai

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/169496
19808  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มุกดาหาร.ฮือฮา.! "พญานาค..โผล่กลางแม่น้ำโขง" วันลอยกระทง (ชมภาพ) เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 10:09:25 am


ฮือฮา.! พญานาค..โผล่กลางแม่น้ำโขง

มุกดาหาร ฮือฮา เกิดปรากฏการของพญานาคขึ้นกลางแม่น้ำโขงขณะทำพิธีบุญกฐินน้ำลอยกระทง เพื่อบูชาพญานาค

วันนี้ ( 28 พ.ย.) นายอาชว์  ตั้งประกิจ ประธานที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดมุกดาหาร   เป็นเจ้าภาพจัดงานบุญกฐินโดยมี นายสกลสฤษฏ์ บุญประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร  เป็นประธานนำพุทธศาสนิกชน ตลอดจนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมทำบุญกฐินน้ำมุกดาหาร  พร้อมร่วมลอยกระทงประชาชนชาวจังหวัดมุกดาหาร ได้มาร่วมทำบุญ กฐินน้ำ ลอยกระทงในแม่น้ำโขง เพื่อสักการบูชาพญานาค สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้าน คู่เมือง

การทำบุญทอดกฐินน้ำ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ของชาวพุทธและตรงกับวันลอยกระทง ทั้งนี้ตามความเชื่อของชาวมุกดาหาร  ที่ว่าการได้ร่วมกันทำบุญบูชาพญานาค  และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง เป็นเสมือนการได้อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร   สัมภเวสีทั้งหลายทั้งปวง  อีกทั้งยังได้ร่วมกันลอยกระทงเพื่อขอขมาต่อพระแม่คงคา อีกด้วย

       



นายอาชว์  ตั้งประกิจ ประธานที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่า  การจัดการทำบุญกฐินน้ำมุกดาหาร ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยเชื่อว่าการได้มาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เป็นแม่น้ำโขง  ควรจะได้ร่วมกันสักการบูชาพญานาค  ซึ่งอยู่ใต้บาดาล

อีกทั้งยังได้ร่วมกันสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ให้คงอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน  เพื่อให้พญานาคและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ  ได้ปกปักรักษาบ้านเมืองให้มีความร่มเย็นเป็นสุข  ทุกคนมีความรัก ความสามัคคีต่อกัน และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดมุกดาหาร อีกทางหนึ่งด้วย

       
โดยหลังเสร็จทำพิธีพระสงฆ์ 9 รูป ร่วมกันสวดเมตตาหลวง  เพื่อความเป็นสิริมงคล  และเมื่อผู้มาร่วมงานได้ร่วมกันส่งพญานาคและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงสู่บาดาล  ผู้ร่วมทำบุญกฐินน้ำได้ร่วมนำข้าวตอก ดอกไม้ เงิน ทอง ลงแม่น้ำโขง พร้อมลอยกระทงพญานาค เพื่ออัญเชิญพญานาคและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ออกมารับเครื่องสักการะ  ซึ่งขณะที่เรือกฐินขากลับผู้คนที่อยู่บนเรือก็พบสิ่งที่แปลกกระทงพญานาคที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร  เป็นผู้ลอยได้หยุดกลางแม่น้ำโขงโดยไม่ยอมไหลลงตามกระแสน้ำ





    โดยหลังจากพระสงฆ์ทำพิธี เพื่อสักการบูชาพญานาคทันได
    ก็เกิดปรากฏการของพญานาคขึ้นกลางแม่น้ำโขงผู้คนพุทธศาสนิกชน
    ตลอดจนผู้มีจิตศรัทธาลงเรือกฐินน้ำร่วม100คน  ร่วมทำบุญอยู่บนเรือ
    จู่ๆ ก็มีเสียงโห่ร้องพร้อมกันเนื่องจากผู้คนที่อยู่บนเรือบุญกฐิน 
    เห็นปรากฎการณ์พญานาค ชูหัวลอยเป็นเกลียวคลื่นลอยทวนน้ำขึ้นทิศเหนือกลางแม่น้ำโขง





ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/169495
19809  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ปีติ..ในหลวง' เสด็จฯลอยพระประทีป พร้อมด้วย ‘สมเด็จพระเทพฯ’ ในเทศกาลลอยกระทง เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2012, 09:56:38 am


ปีติ‘ในหลวง’เสด็จฯลอยพระประทีป พร้อมด้วย‘สมเด็จพระเทพฯ’ เนื่องในเทศกาลลอยกระทง

เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 28 พ.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ไปทรงลอยพระประทีปเป็นการส่วนพระองค์ เนื่องในเทศกาลลอยกระทง ที่ท่าน้ำบริเวณพลับพลาที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5

 ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์สูทสีเขียวอ่อน ทับฉลองพระองค์เชิ้ต สีขาวลายเขียว พระสนับเพลาสีดำ ฉลองพระบาทสีดำ พระหัตถ์ขวาทรงจูงคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ศ.คลินิก นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีนิน ผอ.โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ เป็นผู้ถวายการเข็นรถเข็นพระที่นั่ง จากนั้นประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จฯ ไปยังพลับพลาที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 โดยตลอดเส้นทางเสด็จฯ มีพสกนิกร เฝ้าฯ รับเสด็จเป็นจำนวนมาก พร้อมเปล่งเสียงทรงพระเจริญอย่างพร้อมเพรียงกัน

     เมื่อเสด็จฯ ถึงพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ทรงวางพวงมาลัยถวายราชสักการะ
     จากนั้น ทรงเลือกพระประทีปที่ประดิษฐ์จากขนมปังสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำวันพระบรมราชสมภพ
     ตัวพระประทีปเป็นรูปกลีบบัวซ้อน ภายในมีเครื่องทองน้อย ประกอบด้วยพุ่มสีเหลือง 3 พุ่ม ธูปเงิน 1 ดอก
     เทียนทอง 1 ดอก ธูปและเทียนทำมาจากไม้ระกำเคลือบสีเงิน สีทอง
     สำหรับพระประทีปดังกล่าวเป็นฝีมือการประดิษฐ์ของวิทยาลัยในวังหญิง



สำหรับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงลอยพระประทีปขนมปังสีม่วง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยที่พระประทีปส่วนพระองค์ และพระประทีปในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยที่พระประทีปส่วนพระองค์ จากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทหารเรืออัญเชิญไปลอยกลางแม่น้ำเจ้าพระยา

 โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรขบวนเรือประดับไฟ ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-28 พ.ย. เป็นส่วนหนึ่งของงานสีสันแห่งสายน้ำมหกรรมลอยกระทง 2555 ภายใต้แนวคิด สว่างไสวสายน้ำแห่งเจ้าพระยาŽ ซึ่งมีขบวนเรือทั้งสิ้นจำนวน 10 ลำ ล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยาจากสะพานพุทธยอดฟ้าฯ ถึงสะพานพระราม 8 พร้อมทอดพระเนตรการแสดงรำกลองยาวของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลศิริราช


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะที่เรือประดับไฟทั้ง 10 ลำล่องผ่านที่ประทับ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงใช้กล้องถ่ายภาพส่วนพระองค์ บันทึกภาพเรือทุกลำที่ล่องผ่านด้วยความสนพระทัย กระทั่งเวลา 19.18 น. ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ กลับยังชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU5ERXdPVGc1TkE9PQ==&subcatid=
http://1.bp.blogspot.com/
19810  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / เปิดให้จองบูชา "ท้าวเวสสุวรรณ ,พระพิฆเนควร์ ,สุนทรีวาณี" ที่วัดสุทัศน์ฯ กรุงเทพฯ เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 07:24:24 pm


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/banner/aj-ram.jpg
19811  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / สิ่งเลวร้าย.! บน 'Social Media' เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 09:53:42 am


สิ่งเลวร้าย.! บน 'Social Media'
สิ่งเลวร้ายบน Social Media : คอลัมน์ ดิจิตอลเลนส์ โดย... นิวัฒน์ ชาตะวิทยากูล

  ถึงแม้หลายบทความของผมหรือคอลัมนิสต์ท่านอื่นๆ จะบอกว่า Social Media มันน่าสนใจและวิเศษอย่างไรแต่เหรียญต้องมีสองด้าน อีกด้านนอกจากความวิเศษความสนุกสนานความคิดสร้างสรรค์ มีแง่มุมอันเลวร้ายแฝงอยู่เสมอๆ มีข่าวไม่ดีที่มีให้เห็นตามสื่อและอีกมากมายที่ไม่ได้เป็นที่สนใจ

   สิ่งที่พูดกันอย่างมากและบ่อยไม่ว่าจะในบ้านเราหรือต่างประเทศ ก็คือ เรื่องของความเป็นส่วนตัวมีเคมเปญในต่างประเทศหลายตัวรณรงค์ในเรื่องนี้ เพราะยอดอาชญากรรมที่เกิดจาก Social Media ในเยาวชนพุ่งสูงขึ้น

    คำแนะนำในเรื่องนี้มีข้อสำคัญๆ อยู่ไม่กี่ข้อ
    - เรื่องแรก ก็คือ การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวที่สามารถกำหนดได้ตั้งวิธีการรักษาความปลอดภัยเป็นการวางความปลอดภัยให้กับตัวเองง่ายๆ
    - และอีกเรื่องคือ การจะเป็นเพื่อนกับใครก็ได้บน Social Media แต่จำเป็นต้องเป็นคนที่รู้จักในชีวิตจริงๆ หรือเป็นเพื่อนของคนที่คุณรู้จักในชีวิตจริงมีตัวตนจริง
    - และสุดท้ายอย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไปโดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นความลับหรือข้อมูลส่วนตัว เพราะข้อมูลเหล่าสำหรับคนที่ไม่หวังดีแล้วอาจเกิดเรื่องที่ไม่ปลอดภัยขึ้นได้


    พฤติกรรมการเสพติด Social Media กลายเป็นอีกเรื่องเลวร้ายที่น่ากังวลในคนรุ่นใหม่
    เยาวชนจำนวนมาก ใช้เวลาไปกับการแชทเล่นเกมใน Facebook
    และส่วนใหญ่ก็มักจะลืมไปว่า ถึงเวลาต้องพักและไปทำอย่างอื่น



    ข้อมูลที่ไม่ได้คัดกรองจำนวนมาก
    ข้อมูลบน Social Network ส่วนมากเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจากการสนทนากัน
    แน่นอนว่าเรื่องที่แท้จริง อาจถูกบิดเบือนความเป็นจริงไปได้
    อย่าเชื่อสิ่งที่ส่งต่อกันมาทั้งหมด เพราะอาจเป็นความจริงเพียงด้านเดียว


    ภาษาวิบัติเกิดขึ้น "มร้วกกก จุงเบย" ไม่รู้เป็นสิ่งเลวร้ายระดับชาติรึเปล่า แต่หลายคนมองว่ามันน่าวิตก
    แต่สำหรับผมแล้ว เรื่องภาษาวิบัติในวัยรุ่นมันเป็นเรื่องธรรมดามากครับ
    เพราะมันเกิดขึ้นแล้วก็หายไปตามเวลา มันคือแฟชั่น แฟชั่นมันมีเกิดขึ้นมา และดับไปตามความนิยม
    ผมว่าเรื่องนี้มันเลวร้ายน้อยกว่า ต้องเปลี่ยนมากใช้ คอมพิวเตอร์ ซะอีกนะครับ

    มิจฉาชีพ และคนที่ไม่หวังดีใช้ประโยชน์จาก Social Media เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
    เรื่องเพศเป็นเรื่องอีกเรื่องเลวร้ายที่น่าวิตก เพราะวัยรุ่นยังไม่มีวิจารณญาณที่ดีพอในตัดสินใจ
    มีตัวเลขงานวิจัยหลายๆ ชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าวัยรุ่นยุคใหม่ใช้ Social Media ในเชิงชู้สาวมากขึ้น
    แต่สำคัญสำหรับผู้ปกครองคงต้องหันมาสนใจ สิ่งที่เราอาจจะไม่เคยสนใจ
    เพราะมันคือการป้องกันอันตรายให้กับเด็กๆ ได้ทางหนึ่ง ความจริงของเหรียญต้องมีสองด้านเสมอ



(หมายเหตุ สิ่งเลวร้ายบน Social Media : คอลัมน์ ดิจิตอลเลนส์ โดย... นิวัฒน์ ชาตะวิทยากูล)
ขอบคุณภาพข่าวจาก www.komchadluek.net/detail/20121127/145793/สิ่งเลวร้ายบนSocialMedia.html#.ULV5VGfvolh
http://www.bangkok-today.com/
19812  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หลวงปู่ทวด 'องค์แพงที่สุดใลก'..๑๕ ล้าน.! เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 09:35:15 am


หลวงปู่ทวด 'องค์แพงที่สุดใลก'..๑๕ ล้าน!
หลวงปู่ทวดองค์แพงที่สุดใลก'๑๕ ล้าน!'กับ...๑๐ อันดับค่านิยมและความนิยมพระหลวงปู่ทวด
เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู

    “พระหลวงปู่ทวด” วัดช้างให้ จ.ปัตตานี ถือเป็นพระประเภทนิรันตราย ถือว่าประสบการณ์ชัดเจน มีประสบการณ์ด้านแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุเป็นเลิศ ผู้ที่นับถือต่างพบเห็นประสบการณ์มากมาย จนมีคำพูดว่า “แขวนพระหลวงปู่ทวดแล้วไม่ตายโหง”

     นอกจากนี้แล้วแม้พระหลวงปู่ทวดที่สร้างจากวัดอื่นหรือพระที่พวกมือผีจงใจปลอมแปลงขึ้นมา หากผู้บูชามีศรัทธาในหลวงปู่ทวดอย่างแท้จริงก็สามารถก่อให้เกิดปาฏิหาริย์เป็นอัศจรรย์ได้เช่นเดียวกัน และคติความเชื่อนี้เองทำให้มีการสร้างหลวงปู่ทวดออกมาจำนวนมาก จนมีคำพูดในวงการสร้างพระเครื่องว่า “สร้างพระหลวงปู่ทวดอย่างไรก็ขายได้และไม่ขาดทุน”
 
    ไม่น่าเชื่อว่าพระหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ซึ่งสร้างโดยพระครูวิสัยโสภณ หรือพระอาจารย์ทิม ธมมธโร อดีตเจ้าอาวาสวัดช้างให้ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ หรือเมื่อ ๕๗ ปีที่แล้ว จะโด่งดังสูงล้ำด้วยค่านิยม ชนิดไล่หลังพระสมเด็จวัดระฆังเลยทีเดียว ทุกวันนี้กลับกลายเป็นค่านิยมที่มีการแสวงหากันทั่วประเทศ
 
      ส่วนรุ่นและองค์ที่ขึ้นชื่อว่าแพงสุดๆ และแพงกว่าพระสมเด็จ คือ "พระหลวงปู่ทวด รุ่นเลขใต้ฐาน ปี ๐๕" หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า "เบตง ๑" โดยเฉพาะหมาย "เลข 999" ทั้งนี้ มีการตั้งประเมินค่านิยมไว้ว่า "หากใครอยากได้พระหลวงปู่ทวด รุ่นเลขใต้ฐาน ปี ๐๕ หมายเลข 999 ต้องใช้เงินเช่าอย่างน้อย ๑๕ ล้านบาท

    ส่วนเหตุผลที่ทำให้พระหลวงปู่ทวด รุ่นเลขใต้ฐาน ปี ๐๕ หมายเลข 999 มีคาราสูงมานั้น
    มีเหตุปัจจัยอยู่ ๓ ประการ คือ
       ๑.ผู้สร้างมีชื่อเสียง เป็นยอมรับ
       ๒.จำนวนการสร้างชัดเจน ๙๙๙ องค์ มีการตอกเลขกำกับ ซึ่งใช้เป็นข้อศึกษา และ
       ๓.เนื้อนวโลหะเทได้ดีมาก เลขตัวเดียวแพงกว่า ๒ ตัว เลข ๒ แพงกว่า ๓ ตัว

    นอกจากจากนี้ถ้าเป็นเลขมงคลก็จะเแพงขึ้นไปอีก

 



    สำหรับประวัติในการจัดสร้าง พระเครื่อง หลวงปู่ทวด รุ่นเลขใต้ฐานเกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ ทางวัดพุทธาธิวาสยังขาดทุนทรัพย์ในการก่อสร้างวิหารหลวงปู่ทวด คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยคุณสวัสดิ์ โชติพานิช อดีตประธานศาลฎีกาซึ่งสมัยนั้น ท่านดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาศาล อ.เบตง จ.ยะลา คุณชะลอ คุณเริ่ม คุณเรียง จึงจัดสร้างหลวงปู่ทวดรุ่นเลขใต้ฐานขึ้น
     โดยคุณสวัสดิ์เป็นผู้เดินทางไปจุดธูปขออนุญาตต่อหน้าสถูปหลวงปู่ทวด ที่วัดช้างให้
     โดยท่านอาจารย์ทิมเป็นผู้เห็นชอบด้วย

 
     การสร้างครั้งนี้ถือว่า เป็นการสร้างรูปหล่อโลหะหลวงปู่ทวดเป็นครั้งแรก
     โดยพิธีเททองหล่อในครั้งนั้นกระทำขึ้นที่บ้านนายช่างจรัสพัฒนางกูล บ้านช่างหล่อ กรุงเทพฯ
     โดยมีพระราชสังวราภิมณฑ์ หรือหลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ วัดประดู่ฉิมพลี
     เมตตาไปเป็นประธานนั่งปรกในพิธีเททองหล่อในครั้งนั้นด้วย
     ท่านอาจารย์ทิมยังได้มอบผงหลวงปู่ทวดเนื้อว่านรุ่นแรก
     เพื่อนำไปบรรจุในองค์พระหลวงปู่ทวดรุ่นนี้ด้วย
     อีกทั้งยังเดินทางไปเป็นผู้อุดผงด้วยตนเองในพิธีครั้งนั้นด้วย
     ซึ่งในการหล่อครั้งนั้นได้รูปหล่อที่ตัดจากชนวนแล้ว จำนวน ๙๙๙ องค์ มีอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ตัดออกจากชนวน องค์พระติดอยู่เป็นช่อ มีทั้งช่อละ ๙ องค์และช่อละ ๑๓ องค์ มีประมาณไม่เกิน ๑๐๐ ช่อ

 
    พระเครื่องหลวงปู่ทวดรุ่นเลขใต้ฐานนี้ลักษณะเป็นองค์หลวงปู่ทวดนั่งขัดสมาธิโดยไม่มีบัวคว่ำ บัวหงาย องค์พระเครื่องสูงประมาณ ๑ นิ้ว ฐานสูงประมาณ ๑/๒ ซม.กระแสเนื้อบนพื้นผิวจะออกกระแสแดง เมื่อได้สัมผัสการใช้ผิวจะออกดำ ใต้ฐานจะตอกหมายเลข ๑-๙๙๙ เป็นเลขอารบิคคมชัดทุกองค์ หากพลิกแล้วสังเกตที่ใต้ฐานให้ดีจะเห็นรอยปิดก้นซึ่งบรรจุผงเนื้อว่านเอาไว้ ด้วยโลหะชนิดเดียวกันอย่างแนบเนียน
 
     หลังจากที่บรรจุผงเนื้อว่านและตอกหมายเลขเรียบร้อยแล้วทางคณะกรรมการ จึงได้นำกลับมาเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดช้างให้โดยท่านอาจารย์ทิมได้เมตตาปลุกเสกให้เป็นกรณีพิเศษหลังจากนั้นจึงนำไปที่วัดพุทธาธิวาสเพื่อออกให้เช่าบูชาในราคาองค์ละ ๑๐๐ บาท เท่านั้น


ขอบคุณบทความและภาพจาก
www.komchadluek.net/detail/20121127/145779/หลวงปู่ทวดองค์แพงที่สุดใลก๑๕ล้าน!.html#.ULV1NWfvolh
19813  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ถือฤกษ์ 'วันที่ 12 เดือน 12 ปี 12'...เชื่อมไทย-ลาว เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 09:10:38 am

สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ถือฤกษ์วันที่ 12 เดือน 12 ปี 12 เชื่อมไทย-ลาว

นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน  ว่า  ตนได้ร่วมกับนายคะซึโอะ ชืบาตะ กงสุลใหญ่ประเทศญี่ปุ่นประจำ จ.เชียงใหม่ เดินทางไปดูความคืบหน้าการก่อสร้าง
    สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ จ.เชียงราย กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว
    กับถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้
    โดยมีคณะหอการค้า เช่น นายธนิสร กระฎุมพร รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน นายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย ฝ่ายพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ฯลฯ เข้าร่วมเยี่ยมชม


นายพัฒนากล่าวว่า ในอนาคตสะพานแห่งนี้จะผลักดันการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างไทย สปป.ลาว และจีน ให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
     โดยปัจจุบันการค้าตามด่านชายแดนของ จ.เชียงราย ทั้ง 3 ด่านคือ
     อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ มีมูลค่าปีละกว่า 16,000 ล้านบาท
     หากสะพานแล้วเสร็จและมีการเปิดใช้จะทำให้มูลค่าการค้าในเบื้อตจ้นจะต้องขยับไปมากกว่าปีละ 20,000 ล้านบาท


ซึ่งไม่รวมด้านการท่องเที่ยว ซึ่งผู้ประกอบการไทยก็ควรที่จะเตรียมความพร้อมต้องรับและเปิดธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่อง ที่สำคัญสะพานแห่งที่ 4 จะเป็นผลดีต่อระบบลอจิสติกส์ที่จะถูกลงกว่าการส่งสินค้าออกทางท่าเรือทางทะเล สินค้าของไทยก็จะมีโอกาสส่งออกมาขึ้นเกษตรกรก็จะมีตลาดใหญ่รองรับผลผลิตที่จะมีราคาขยับขึ้นกว่าที่เป็นอยู่



    ด้านนายวิรัตน์ แสนอุดุม ผอ.แขวงการทางเชียงรายที่ 2 กล่าวว่า
     ในปัจจุบันโครงการก่อสร้างคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่องกว่า 90% แล้ว
     โดยตัวสะพานก่อสร้างโครงสร้างหลักเกือบแล้วเสร็จแล้วเหลือเพียงส่วนประกอบ
     และเอกชนจีนซึ่งสร้างสะพานได้เริ่มขนย้ายอุปกรณ์บางอย่างออกไปแล้ว
     ขณะที่การก่อสร้างถนนและอาคารด่านพรมแดนทั้ง 2 ฝั่งประเทศพบว่า ทางเอกชนไทยได้เร่งก่อสร้าง
     โดยมีการลาดยางสร้างถนนไปถึงอาคารสถานที่ และมีถนนสับเปลี่ยนช่องจราจรก่อนถึงสะพานด้วย


     รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เกิดขึ้นจากรัฐบาลไทย จีน และ สปป.ลาว ได้ทำสัญญาว่าจ้างกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มทุนร่วมระหว่างบริษัทไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัทกรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย
     ด้วยงบประมาณรวมทั้งสิ้นจำนวน 1,486.5 ล้านบาท
     เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 และเดิมสิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555
     รวมระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน
     แต่ช่วงกลางปี 2554 มีปัญหาเรื่องการใช้ค่าเงินจ้างเอกชนทำให้ล่าช้าออกไปถึงกลางปี 2556



     ล่าสุดมีรายงานด้วยว่า จะมีการทำพิธีเชื่อมสะพานอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ธันวาคมนี้
     หรือตรงกับตัวเลขวันที่ 12 เดือน 12 ปี ค.ศ.2012
     โดยจะมีระดับรองนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคาดว่า คือนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปทำพิธีเชื่อมแผ่นดินระหว่างกลางสะพานกับรองนายกรัฐมนตรีของ สปป.ลาว ในวันดังกล่าว


     หลังการเชื่อมสะพานคงจะมีการปรับปรุงพัฒนาไปอีกระยะหนึ่ง
     จากนั้นเมื่อเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการก็จะทำให้การค้าชายแดนไทยและกลุ่มจีเอ็มเอสและจีน รวมทั้งการเข้าออกแดนด้านการท่องเที่ยวและอื่นๆ มีความคึกคักขึ้นอย่างมาก.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354008056&grpid=&catid=19&subcatid=1906
http://www.oknation.net/
19814  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แจก“น้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์”ปลุกเสกเฉลิมพระเกียรติฯ ณ พุทธมณฑล เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 08:52:19 am


แจก“น้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์”ปลุกเสกเฉลิมพระเกียรติฯ ณ พุทธมณฑล

พศ.อัญเชิญ “น้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์” ทั่วประเทศ มาปลุกเสกเฉลิมพระเกียรติในหลวง แจกประชาชนครั้งแรกในประวัติศาสตร์

วันนี้ (27 พ.ย.) ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.พศ. กล่าวว่า ตามที่พุทธมณฑลได้รับความไว้วางใจจากชาวพุทธทั่วโลกให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาโลก

ดังนั้น ตนจึงเห็นว่าควรจะมีการนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในประเทศมารวมไว้ที่พุทธมณฑล เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพุทธศาสนิกชนที่ต้องการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆไม่ต้องเดินทางไปไกล โดยจะเริ่มจากการนำน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากจังหวัดต่างๆมารวมไว้ที่พุทธมณฑล

เพื่อให้พุทธศานิกชนที่เดินทางมาปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัววันที่ 3-5 ธ.ค. ที่พุทธมณฑล ได้นำไปบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งทางพศ.ได้มีคำสั่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.) ทั่วประเทศ อัญเชิญน้ำพระพุทธมนต์จากสถานที่สำคัญในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศมารวมไว้ที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จะมีการรวบรวมน้ำพระพุทธมนต์จากทั่วประเทศ

 

นายวรเดช ช่างบุ ผอ.สำนักงานพุทธมณฑล พศ. กล่าว่า น้ำพระพุทธมนต์ที่จะอัญเชิญจากจังหวัดต่างๆนั้นจะผ่่านการปลุกเสกมาแล้วจากคณะสงฆ์แต่ละจังหวัด และจากนั้นจะนำมารวมกันแล้วมีพิธีปลุกเสกพร้อมกันอีกครั้งในวันที่ 5 ธ.ค. ที่พุทธมณฑล เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ซึ่งหากพุทธศาสนิกชนที่สนใจจะรับน้ำพระพุทมนต์ดังกล่าวไปบูชาทางสำนักงานพุทธมนฑลก็จะเตรียมบรรจุใส่ขวดให้พุทธศาสนิกชนสามารถมาขอรับได้ ทั้งนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดต่างๆได้ทยอยอัญเชิญน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์เข้ามายังพุทธมณฑลแล้ว เหลือเพียงไม่กี่จังหวัดเท่านั้น

 

นายวรเดช กล่าวต่อไปว่า สำหรับน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากสถานที่ต่างๆทั่วประเทศที่ได้อัญเชิญมายังพุทธมณฑลแล้ว เช่น
     วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์) วัดบวรนิเวศวิหาร 
     วัดชนะสงคราม วัดอินทรวิหาร วัดสุทัศนเทพวราราม วัดสระเกศ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
     วัดไตรมิตร วัดอรุณราชวราราม วัดระฆังโฆสิตาราม วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
     วัดไชยชุมพลชนะสงคราม วัดเทวสังฆาราม จ.กาญจนบุรี
     วัดธาตุ จ.ขอนแก่น
     วัดโสธรวราราม จ.ฉะเชิงเทรา
     วัดเขาบางทราย จ.ชลบุรี
     วัดไพรีพินาศ จ.ชัยภูมิ
     วัดธรรมามูลวรวิหาร จ.ชัยนาท
     วัดลอยเคราะห์ วัดเชียงยืน วัดสวนดอก วัดเจ็ดยอด วัดบุพพาราม วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร วัดเชียงมั่น วัดพระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่
     วัดกะพังสุรินทร์ จ.ตรัง
     วัดพราหมณี(วัดหลวงพ่อปากแดง) จ.นครนายก
     วัดพระปฐมเจดีย์ วัดไร่ขิง จ.นครปฐม
     วัดพระธาตุพนม จ.นครพนม


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/education/169280
http://i214.photobucket.com/,http://www.igetweb.com/
19815  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพ "อัศจรรย์ทะเลหมอก"...กลางเมืองดูไบ เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 08:40:41 am


อัศจรรย์ทะเลหมอกกลางเมืองดูไบ

ภาพปรากฏการณ์ที่หายากที่มีในเมืองกัลฟ์ประเทศดูไบ โดยในภาพเป็นรูปชั้นของเมฆสีขาวหนาทึบลอยต่ำกว่าตึกระฟ้า

วันนี้ (27 พ.ย.) เว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ "เดอะซัน" ประเทศอังกฤษ นำเสนอภาพที่น่าอัศจรรย์ปรากฏการณ์สภาพอากาศที่หายากที่มีในเมืองกัลฟ์ประเทศดูไบ โดยในภาพเป็นรูปชั้นของเมฆสีขาวหนาทึบลอยต่ำกว่าตึกระฟ้า


ทั้งนี้หมอกดังกล่าวเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างฤดูกาลที่มีอุณหภูมิสูงในระหว่างวันและตกกลางคืนมีความเย็นมากขึ้นในช่วงฤดูหนาว ซึ่งหมอกนี้ลอยอยู่ประมาณ 30 เมตรเหนือพื้นดินแต่จะลงหนามากไม่กี่วันในแต่ละปี ปกติจะอยู่ระหว่างเดือนกันยายนและพฤศจิกายน.









ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/world/169171
19816  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อยุธยา.หล่อเทียนชัยใหญ่ที่สุดในโลก สูงเกือบ 4 เมตร ถวายพ่อหลวง 5 ธันวามหาราช เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 08:35:02 am


หล่อเทียนใหญ่ที่สุดในโลกถวายในหลวง

อยุธยาหล่อเทียนชัยใหญ่ที่สุดในโลกสูงเกือบ 4 เมตรถวายพ่อหลวง 5 ธันวามหาราช

พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วย นายวิทยา บุรณศิริ อดีตรมว.สาธารณสุข  นางสมทรง พันธ์เจริญวรกุล นายก อบจ.พระนครศรีอยุธยา และ ว่าที่ ร.ต.สมทรง สรรพโกศลกุล นายกเทศมนตรีนครพระนครศรีอยุธยา ได้ร่วมกับทุกภาคส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ สถานศึกษา ภาคประชาชน ผู้แทนชุมชน 61 แห่งในเขตเทศบาลนคร กว่า 1,000 คน ประกบพิธีบวงสรวงเบิกเนตรพระพุทธไตรรัตนนายก  หรือหลวงพ่อโต องค์จำลอง ที่หอพระหน้าเทศบาลนคร ฯ โดยมีพระสงฆ์ชั้นราชาคณะที่เป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังมาเจริญพระพุทธมนต์และร่วมปลุกเสก

     จากนั้นได้ร่วมกันหล่อเทียนชัยพระพรชัยมงคลที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลก
     เป็นเทียนสูง 3.99 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 99 เซนติเมตร น้ำหนักเทียน 499 กิโลกรัม
     ที่มีชนวนเทียนจากต้นเทียนจำนำพรรษาวัดต่าง ๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่เคยจุดใช้ในพระอุโบสถช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา


    โดยเทียนชัยพระพรชัยมงคลนี้กำใช้จุดในเย็นวันที่ 5 ธันวามหาราชที่มณฑลพิธีหน้าเทศบาล จัดงานจุดเทียนชัยพระพรชัยมงคล ในกิจกรรมแสดงความจงรักภัคดี งานวัน 5 ธันวามหาราช เพื่อร่วมสำนึกในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาและสำนึกพระมหากรุณาธิคุณ ในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

   อย่างไรก็ตามในงานมีการขึ้นป้ายขนาดใหญ่ยาวกว่า 5 เมตร เป็นภาพถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยด้านล่างระบุข้อความ ขอน้อมเกล้าฯเฉลิมพระเกียรติ โดย ฯพณฯ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร และพสกนิการชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/กทม.-ภูมิภาค/ภาคกลาง/190431/หล่อเทียนใหญ่ที่สุดในโลกถวายในหลวง
19817  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กาญจน์ฉลองพุทธชยันตี อุปสมบทพระภิกษุสามเณร 2,600 ปี วันที่ 1-9 ธันวาคม 2555 เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 08:29:40 am


กาญจน์ฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี อุปสมบทพระภิกษุสมเณร 2,600 ปียิ่งใหญ่

นายชัยวัฒน์  ลิมป์วรรณธะ ผวจ.กาญจนบุรี กล่าวว่า ได้ร่วมกับมูลนิธิวัดป่าหลวงมหาตาบัว ญาณสัมปันโน ร่วมสร้างประวัติศาสตร์และตำนานแห่งการสืบทอดรวมทั้งเผยแผ่พระพุทธศาสนาพร้อมรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนกำหนดจัดงาน  “โครงการเปิดกาญจน์ ชาติภูมิ 99 ปี (9 สู่ 100 ปี) สมเด็จพระสังฆราชฯ 2,600 ปี พุทธชยันตีไทย บรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณร 2,600 รูป”

เพื่อร่วมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉลองพระชันษา 99 พระชันษา ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 85 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถครบ 80 พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ครบ 60 พรรษา

ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-9 ธันวาคม 2555 ณ บริเวณหน้าศาลหลักเมือง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี



ทั้งนี้จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนและประชาชนผู้สนใจทั่วไปร่วมงานพิธีบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณร 2,600 รูป เพื่อร่วมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปีและเฉลิมพระเกียรติ ผู้ที่มีจิตศรัทธาจะร่วมการบรรพชาอุปสมบทและบริจาคเงินทำบุญสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
     สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี โทร.0-3451-8799
     มูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน เลขที่ 77 หมู่ 5 ตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี โทร.0-3435-1557
    หรือที่นายสัตวแพทย์สมชัย วิเศษมงคลชัย รองประธาน  มูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน โทร.09-0986-1278
     หรือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารออมสิน สาขากาญจนบุรี ชื่อบัญชี “เมืองกาญจน์ ชาติภูมิ 99 ปี (9 สู่ 100 ปี) สมเด็จพระสังฆราชฯ 2,600 ปีพุทธชยันตีไทย”


ขอบคุณภาพข่วจาก
www.posttoday.com/กทม.-ภูมิภาค/ภาคกลาง/190106/กาญจน์ฉลองพุทธชยันตียิงใหญ่
http://www.thairath.co.th/
19818  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สืบชะตานพเคราะห์ล้านนา สวดมนต์ข้ามปี-วัดพิพัฒน์ฯ สุโขทัย เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 08:20:45 am

สืบชะตานพเคราะห์ล้านนา สวดมนต์ข้ามปี-วัดพิพัฒน์ฯ

วัดพิพัฒน์มงคล ตั้งอยู่เลขที่ 464 หมู่ 9 บ้านท่าชุม ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ห่างจากที่ว่าการอำเภอทุ่งเสลี่ยม ประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง สร้างขึ้นบนพื้นที่วัดร้างกลางทุ่งบ้านท่าชุม
     อาคารเสนาสนะประกอบด้วย รัตนอุโบสถ พุทธวิหารลายคำ เจดีย์ อาคารสุวรรณหอคำหลวง กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ศาลาอบรมธรรม ศาลาอเนกประสงค์ อาคารเรียนพระปริยัติธรรม ศาลาราย โรงครัว พุทธมณฑจำลอง และสวนปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ปูชนียวัตถุมีพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย พระพุทธรัตนมณี หลายสิบองค์ ซึ่งขุดพบได้บริเวณสร้างวัด และพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา


    วัดพิพัฒน์มงคล เดิมทีเป็นป่ารกร้างกลางทุ่ง มีซากฐานพระเจดีย์ ฐานพระอุโบสถ และโบราณวัตถุต่างๆ ซึ่งบรรจุอยู่ในกรุพระเจดีย์ สันนิษฐานว่าเคยเป็นอารามหลวงมาก่อน คาดสร้างขึ้นในสมัยเวียงมอก พ.ศ.1672 ปัจจุบันมี "พระครู วรคุณประยุต" ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส

    ขณะจาริกธุดงค์ผ่านมาได้พักปักกลดบริเวณนี้เริ่มบูรณะก่อสร้างขึ้นมาใหม่ ได้รับการตั้งชื่อวัดว่า วัดพิพัฒน์มงคล เมื่อวันที่ 17 ม.ค.2528 และเมื่อวันที่ 28 ม.ย.2548 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้วัดพิพัฒน์มงคลได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ซึ่งมีกำหนดเขตกว้าง 7 เมตร ยาว 35 เมตร

    "พระครูวรคุณ ประยุต" เจ้าอาวาส วัดพิพัฒน์มงคลกล่าวว่า วัดแห่งนี้เป็นแหล่งธรรมเก่าแก่ จะมีพุทธ ศาสนิกชนเดินทางมาเที่ยวชมตลอด และทุกปีทางวัดได้จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีเสริมบารมีก้าวหน้า (ข้ามชาติ) 2 ปี 2 เดือน 2 วัน
     คืนวันที่ 31 ธ.ค.2555 พิธีสืบชะตาหลวงสะเดาะนพเคราะห์ 12 ราศี ปีที่ 30 ในแต่ละปีจะมีสาธุชนร่วมพิธีเกือบหนึ่งหมื่นคน ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน ประกอบพิธีสืบชะตาหลวง
     วันอังคารที่ 1 ม.ค.2556 วันขึ้นปีใหม่ รอบเช้าเวลา 09.59 น. รอบบ่ายเวลา 13.39 น. ณ วัดพิพัฒน์มงคล


"พระเถราจารย์ผู้ทรงเวทแห่งล้านนาไทย 99 รูป เป็นผู้ประกอบพิธี โดยมี พระเดชพระคุณ พระอาจารย์พิพัฒน์มงคล (ครูบาญาณทิพย์) เป็นประธานพิธี พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นล้านนาไทยนี้หาทำได้ยากยิ่ง พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงเวทใน 9 จังหวัดภาคเหนือ เรียนรู้บทพุทธมนต์พระคาถาเสริมดวงชะตาได้ปลุกเสกเป่าแผ่นดวงชะตาของท่าน"



    สำหรับท่านที่เกิดใน 12 ราศี จะเป็นเดือนอะไรก็ตาม หากอายุของท่านลงท้ายด้วยเลข 3-7-1-9
หรือปี ชวด-ฉลู-มะโรง-มะเมีย-มะแม-วอก โบราณาจารย์ล้านนาถือว่าดวงชะตามีอุปสรรคติดขัดอยู่บ้าง

     โดยเฉพาะท่านที่เกิดวันอาทิตย์ตามโหราศาสตร์ไทยจักรราศีลัคนาชงกับวันอังคาร วันจันทร์ชงกับวันพฤหัสบดี วันอังคารชงกับวันอาทิตย์ วันพุธชงกับวันราหู วันพฤหัสบดีชงกับวันจันทร์ วันศุกร์ชงกับวันเสาร์ วันเสาร์ชงกับวันศุกร์
     ส่วนท่านที่ไม่ตรงตามนี้ถือว่าโชคดี ท่านจะเสริมดวงชะตาของท่านให้ดียิ่งๆ ขึ้นก็ได้ วันเดือนปีผ่านไปเราไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าชะตาชีวิตจะเป็นเช่นไร


     ในปีหนึ่งเรามาเข้าพิธีสืบชะตาสะเดาะ นพเคราะห์แบบล้านนาครั้งหนึ่งก็จะเป็นมงคล แก่ชีวิตเริ่มต้นดีก็สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
     ผู้ที่จะเข้าร่วมพิธีให้มารับแผ่นดวงชะตายันต์มหาโภคทรัพย์ที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้ ไม่ต้องนำมาเอง
     ท่านจะทำบุญเกินอายุของท่านหรือบูชาครูเท่าไรก็ได้ ส่วนที่ไม่สามารถเข้าพิธีได้ให้ส่งแผ่น ดวงใบโพธิ์มหามงคลที่ทางวัดส่งให้นี้กลับมาพร้อมปัจจัยบูชาครู เพื่อนำแผ่นดวงเข้าพิธีแทนตัวท่าน
     แผ่นดวงใบโพธิ์นี้ต้องเขียนชื่อ-นามสกุลวันเดือนปีเกิดของท่านลงในแผ่นดวงแล้วนำเข้าพิธีก็เหมือนตัวท่านได้เข้าร่วมพิธีเช่นกัน


    ท่านที่ได้เข้าร่วมพิธียังได้ถวายต้นมหาสังฆทานสูง 9 วา จำนวน 9 ต้น
    รับน้ำพุทธมนต์ 99 พระเกจิอาจารย์ ของวัดที่มีชื่อมงคลเช่น วัดดับภัย วัดชัยมงคล วัดดวงดี วัดทุ่งเศรษฐี วัดหมื่นล้าน เป็นต้น


    อนึ่ง ทางวัดจะรวบรวมแผ่นดวงชะตาที่ตกค้างที่ส่งไม่ทันวันที่ 1 ม.ค.
    ทำพิธีอีกรอบในวันที่ 29 ม.ค.และวันที่ 16 เม.ย.2556 เวลา 09.09 น.
    วันที่ 16 เม.ย.คือวันขึ้นต้นปีใหม่ไทย

    ผู้ที่ไม่สามารถร่วมพิธีได้ ให้จัดส่งแผ่น ดวงชะตามาที่ พระครูวรคุณประยุต (หลวงพ่อพิพัฒน์มงคล)
    เจ้าอาวาสวัดพิพัฒน์มงคล ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย 64150
    หรือเข้าไปที่ www.pipatmongkol.com



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNekkzTVRFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB5Tnc9PQ==
19819  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดสวนดอก-ทำบุญตักบาตรเป็งปุ๊ด จัดเทศน์ประวัติพระอุปคุต เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2012, 08:06:37 am


วัดสวนดอก-ทำบุญตักบาตรเป็งปุ๊ด จัดเทศน์ประวัติพระอุปคุต

นายคีรินทร์ หินคง ตัวแทนชมรมรักษ์เป็งปุ๊ด จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า คณะสงฆ์และคณะกรรมการวัดสวนดอก พระอารามหลวง นำโดยพระศรีสิทธิเมธี เจ้าอาวาสวัดสวนดอก กำหนด จัดกิจกรรมทำบุญตักบาตรเป็งปุ๊ด ตามประเพณีเมืองเหนือ ในกลางดึกของคืนวันอังคารต่อวันพุธขึ้น 15 ค่ำ เพื่อถวายแด่พระอุปคุต ที่ได้อัญเชิญมาให้พระพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้ สักการะ 3 องค์ คือ
    พระอุปคุตหินหยกอายุหลายร้อยปี จากเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า
    พระอุปคุตจากวัดท่าตอน อำเภอแม่อาย และ
    พระอุปคุตที่หล่อจากวัดสวนดอก พระอารามหลวง
    กำหนดจัดพิธีในวันอังคารที่ 27 พ.ย. เวลา 22.30 น. เป็นต้นไป มีการสมาทานศีล ฟังเทศน์ 3 ธรรมาสน์ จนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงคืน จึงจะร่วมกันทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง



สำหรับประเพณีตักบาตรเป็งปุ๊ดนี้ พุทธศาสนิกชนชาวเหนือเชื่อว่าเป็นมงคลอันยิ่งใหญ่ ที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จ และโชคลาภมหาศาล โดยวันเป็งปุ๊ดครั้งที่ 2 ของปี 2555 ถือเป็นโอกาสสำคัญสุดท้ายจะได้ร่วมฉลองสมโภชปีพุทธชยันตี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้อีกด้วย
     ในการนี้ขอเชิญฟังเทศน์ 3 ธรรมาสน์เกี่ยวกับประวัติพระอุปคุต โดยพระมหานิคม มหาภินิกขมโน วัดท่าตอน พระมหาดวงจันทร์ คุตตสีโล วัดพันแหวน และพระมหาสง่า ธีรสังวโร วัดผาลาด โดยนิมนต์พระภิกษุสามเณร 200 รูปมารับบิณฑบาต ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนเป็นต้นไป



นายคีรินทร์กล่าวต่อว่า พุทธศาสนิกชนในภาคเหนือเชื่อกันว่า การตักบาตรเป็งปุ๊ดเป็นมงคลอันยิ่งใหญ่ จะนำมาซึ่งความสำเร็จและโชคลาภมหาศาล เชื่อว่าตักบาตรพระอุปคุตแล้วจะประสบความสำเร็จ โดยจะนิยมตักบาตรกับเณรในเวลากลางคืนตามความเชื่อ ทั้งนี้มีเรื่องเล่าถึงประวัติของวัดอุปคุต ในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นต้นแบบของการตักบาตรเป็งปุ๊ดว่า

    มีสองสามีภรรยาพบสามเณรเดินผ่านในยามวิกาล จึงใส่บาตร
     เมื่อสามเณรรับบาตรแล้วก็หายตัวไปในป่ารก
     หลังจากนั้นสองสามีภรรยาดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จในธุรกิจ
     จึงได้มา สร้างวัดอุปคุตไว้ตรงที่ใส่บาตร


     สำหรับวัดในจังหวัดเชียงใหม่ที่จัดพิธีตักบาตรเป็งปุ๊ด มีวัดอุปคุต วัดสวนดอกและวัดศรีดอนมูล
     ในระยะหลัง มีวัดอื่นๆ จัดพิธีดังกล่าวด้วย โดยจะนำปัจจัยทั้งหมดที่ได้ไปใช้ในการบูรณะพระวิหารหลวง ส่วนข้าวสาร อาหารแห้งที่ได้รับจะนำไปถวายวัดต่างๆ ต่อไป


ขอบคุณภาพข่าวจากุ
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNVEkzTVRFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB5Tnc9PQ==
http://www.oknation.net/,http://www.walkingstreetcm.com/
19820  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพ กรมประชาสัมพันธ์ เปิดงาน "สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจลอยกระทง" ปี ๒๕๕๕ เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2012, 12:37:46 pm
กรมประชาสัมพันธ์เปิดงานสืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจลอยกระทง
ประจำปี 2555 ตั้งแต่ 26-28 พ.ย.นี้


นางนพมาศของกรมประชาสัมพันธ์ ร่วมลอยกระทง
ในพิธีเปิดงานสืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจลอยกระทง ประจำปี 2555 บริเวณสระน้ำภายในกรมประชาสัมพันธ์


น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ร่วมเซิ้งรำกับนายธีระพงษ์ โสดาศรี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์
ระหว่างการเปิดงานสืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจลอยกระทง ประจำปี 2555


บรรดาสาวเล็กสาวใหญ่ร่วมรำหน้าขบวนก่อนการเปิดงาน


วงดนตรีรำวงย้อนยุค ร่วมสร้างความสนุกสนาน
ในงานลอยกระทงกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 พ.ย.นี้


ชิงช้าสวรรค์และหนังกลางแปลงภายในงานลอยกระทงกรมประชาสัมพันธ์


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/gallery/view/region/5890
19821  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / "ข่มวาสนา รักษาศรัทธา" พระสารีบุตรแสดงไว้อย่างไร.? เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2012, 05:51:32 am

"ข่มวาสนา รักษาศรัทธา" พระสารีบุตรแสดงไว้อย่างไร.?
    
     ครั้งหนึ่ง มีเศรษฐีท่านหนึ่งเกิดจิตศรัทธา ใคร่ถวายผ้าจีวรสามผืนแด่พระสารีบุตร
     จึงนิมนต์ให้พระสารีบุตรไปรับประเคนที่บ้านของตน ระหว่างทางต้องข้ามท้องร่อง
     พระสารีบุตรกระโดดข้ามด้วยความว่องไว เศรษฐีรู้สึกขัดใจจึงคิดว่า


        “สมณะรูปนี้ไม่สำรวมเลย เราจักถวายผ้าเพียงสองผืนเท่านั้น” เศรษฐีคิดในใจ

     เมื่อเดินทางผ่านท้องร่องที่สอง พระสารีบุตรยังคงกระโดดข้ามอีก
     เศรษฐีจึงกำหนดหมายว่าจักถวายผ้าเพียงผืนเดียวเท่านั้น
     แต่พอผ่านมาถึงท้องร่องที่สาม พระสารีบุตรไม่กระโดดข้าม กลับเดินอ้อมไปอย่างสำรวม
     เศรษฐีจึงถามด้วยความแคลงใจว่า


         “ทำไมท้องร่องนี้พระคุณเจ้าจึงไม่กระโดดเล่า ขอรับ”
         “ถ้าอาตมากระโดดข้ามท้องร่องนี้ โยมก็ไม่ได้ถวายผ้าแน่ะซี”

     พระสารีบุตรในอดีตชาติได้ถือกำเนิดเป็นวานร
     เพราะฉะนั้น นิสัยกระโดดโลดเต้นจึงติดมา
     แม้ในปัจจุบันชาติ สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว
      ยังไม่อาจตัดวาสนาแห่งวานรได้อย่างหมดจด


อ้างอิง คัดลอกมาจากประวัติพระสารีบุตร
ที่มา http://www.wattham.org/wattham_Buddha_monk_Saribood.php
ขอบคุณภาพจาก http://statics.atcloud.com



ความหมายของคำว่า "วาสนา"

วาสนา - อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สั่งสมอบรมมาเป็นเวลานานจนเคยชินติดเป็นพื้นประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นได้แล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาที่เคยชินไม่ได้ เช่น คำพูดติดปาก อาการเดินที่เร็ว หรือเดินต้วมเตี้ยม เป็นต้น

    ท่านขยายความว่า วาสนา ที่เป็นกุศล ก็มี เป็นอกุศล ก็มี เป็นอัพยากฤต คือ
    ป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว ก็มีที่เป็นกุศลกับอัพยากฤตนั้น ไม่ต้องละ

    แต่ที่เป็นอกุศลซึ่งควรจะละนั้น แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ
    ส่วนที่จะเป็นเหตุให้เข้าถึงอบาย กับ ส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆ ต่างๆ
    ส่วนแรก พระอรหันต์ทุกองค์ละได้
    แต่ส่วนหลัง พระพุทธเจ้าเท่านั้นละได้ พระอรหันต์อื่นละไม่ได้
    จึงมีคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นละกิเลสทั้งหมดได้ พร้อมทั้งวาสนา;


    ในภาษาไทย คำว่า วาสนา มีความหมายเพี้ยนไป
    กลายเป็นอำนาจบุญเก่า หรือกุศลที่ทำให้ได้รับลาภยศ


ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ขอบคุณภาพจาก http://download.buddha-thushaveiheard.com/,http://i2.ytimg.com/vi/y-rkP_R-kGs/


   
     พระสารีบุตรท่านมีเจโตปริยญาณ ล่วงรู้วาระจิตของเศรษฐีได้
     แต่เศรษฐีไม่ทราบว่า ท่านรู้ว่าเศรษฐ๊กำลังคิดอะไร
     การที่ท่านไม่กระโดดข้ามท้องร่องที่สาม ใช่ว่าท่านมีจิตคิดอยากได้ผ้าของเศรษฐี
     แต่เป็นการรักษาศรัทธาของเศรษฐีเอาไว้ เพราะเศรษฐีมีศรัทธาที่บริสุทธิ์มาตั้งแต่ต้น
     เหตุที่เศรษฐีมีศรัทธาหดเข้าหดออก ดังหัวเต่า เพราะไม่อาจเข้าใจวาสนาของพระสารีบุตร


    เรื่องนี้สุดท้ายแล้วเล่ากันว่า เศรษฐีได้กราบขอขมาและถวายผ้าทั้งสามผืนให้แก่พระสารีบุตร
     และได้มีภิกษุไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงเล่าอดีตชาติของพระสารีบุตรให้ฟังว่า
     ท่านเคยเป็นลิงมา ๕๐๐ ชาติ นิสัยชอบกระโดดจึงติดตัวมา ไม่อาจจะละนิสัยนี้ได้


      เรื่องการละวาสนาไม่ได้นี้ มีอีกตัวอย่างหนึ่ง คือ
     พระปิลินทวัจฉเถระ เอตทัคคะในทางผู้เป็นที่รักใคร่ของเทพยดา ผู้มีปกติเรียกคนอื่นว่า “คนถ่อย”
     การที่ท่านเรียกคนอื่นว่า "คนถ่อย" ก็เป็นวาสนาของท่านที่ละไม่ได้

     
     เรื่องการรักษาศรัทธานี้ ผมมีอีกตัวอย่างหนึ่ง เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า เรื่องมีดังนี้ครับ


   
     นี้เป็นภาพมีในพุทธประวัติจากหินสลัก พระพุทธองค์ออกบิณฑบาต พวกเด็ก ๆ ที่น่ารักกำลังนั่งเล่นดินเล่นทราย เอากะโหลกกะลามาทำข้าว ทำขนม ครั้นเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าบิณฑบาต ก็เรียกพระพุทธเจ้าว่าจะรับไหม

     พระพุทธเจ้าก็เปิดบาตรรับจากเด็กผู้มีจิตศรัทธาน้อมอยากจะให้ จิตที่คิดจะให้นั้นมันสบาย
     แล้วจิตที่คิดจะให้ด้วยศรัทธานั้นชื่อว่าน้อยไม่มี
      เพราะขึ้นชื่อว่าจิตที่คิดจะให้ด้วยศรัทธาแล้ว

     มันไม่มีคำว่าค่าน้อย มันมีคุณค่าทางจิตใจมาก
      เพราะใจที่จะคิดให้นั้นมันยาก


      ซึ่งมันไม่เหมือนกับเดี๋ยวนี้ แม้แค่ดินแค่ทรายล่วงล้ำเกินนิดเดียวเพื่อประโยชน์ของสาธารณะก็ยังยาก บางคนนี่ขยายที่รุกเขตกันเข้ามาจนหมดรั้วหมดหนทางเดิน นี่แหละ…จิตที่คิดจะให้มันยาก


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://kunkroo.com/2554/index1.php?page=bdhistory3_5
19822  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "เสริมศักดิ์" ขานรับไอเดีย "วันพุทธ" หวังขัดเกลาเด็กอาชีวะ-ลดวิวาท-จ่อชงครม. เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2012, 04:43:24 am


"เสริมศักดิ์"ขานรับไอเดีย"วันพุทธ" หวังขัดเกลาเด็กอาชีวะ-ลดวิวาท-จ่อชงครม.

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงมาตรการแก้ไขปัญหานักเรียน นักศึกษา อาชีวศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ก่อเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างสถาบัน ว่า

ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องเร่งหามาตรการแก้ปัญหาให้เป็นรูปธรรม เพราะศธ.ไม่อยากให้เด็กและเยาวชน ที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติ ต้องมาเสียเลือด เสียเนื้อ ด้วยการก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันเอง โดยเฉพาะเด็กที่เรียนสายอาชีวะเหล่านี้ ถือเป็นกำลังสำคัญและเป็นความต้องการหลักของตลาดแรงงานในอนาคต

ดังนั้น ในฐานะที่กำกับดูแล จึงวางกรอบแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวในเบื้องต้น โดยสถานศึกษาอาชีวะทุกแห่ง ต้องบันทึกประวัติของเด็กกลุ่มเสี่ยงอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นชื่อ สกุล ที่อยู่ และชื่อผู้ปกครอง เพื่อใช้ในการติดตามตัวเด็กเมื่อเกิดปัญหา ทั้งนี้อาจให้เชื่อมโยงข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย



รมช.ศธ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จะสานต่อโครงการสุภาพบุรุษอาชีวะที่ดำเนินการอยู่แล้วต่อไป เพื่อให้เด็กอาชีวะฝึกความมีระเบียบวินัย และมีจิตอาสาต่อสังคม ตลอดจนนำแนวคิดของนางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ภรรยา
    ที่เสนอให้ทุกวันพุธ เป็นวันของศาสนาพุทธ
    เหมือนศาสนาอิสลามที่ทำพิธีละหมาดใหญ่ในวันศุกร์
    หรือศาสนาคริสต์ ที่เข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์


เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้ปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม ซึมซับการคิดดี ทำดี ตามหลักพระพุทธศาสนา โดยจะเสนอเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมองค์กรหลักศธ. หากทุกฝ่ายมีความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ก็จะประสานระดับกระทรวง ก่อนเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป

    และหากกำหนดให้วันพุธเป็นวันศาสนาพุทธแล้ว สถานศึกษาทั่วประเทศ
    ก็จะมีกิจกรรมตักบาตรตอนเช้า ตลอดจนการปฏิบัติธรรม
    ส่วนตัวมั่นใจว่าจะลดพฤติกรรมรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนได้


ขอบคุณภาพจข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFpIVXdNVEkyTVRFMU5RPT0=&sectionid=TURNeE5RPT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB5Tmc9PQ==
http://2600-84.stopdrink.com/,http://web.chiangrai.net/
19823  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ผ้าห่มดิสโก้" นอนฝัน..ท่ามกลางแสงสี เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2012, 04:32:10 am


"ผ้าห่มดิสโก้" นอนฝันท่ามกลางแสงสี

หยุดอาการกลัวผี ผวากับความมืด นอนไม่หลับ ด้วยผ้าห่มไฟดิสโก้ ที่จะช่วยให้หลับฝันดีด้วยแสงสีตระการตา

ให้เทคโนโลยีช่วยหยุดอาการกลัวความมืดกันดีกว่า กับผ้าห่มดิสโก้หรือถ้าจะเรียกให้ถูกน่าจะเป็นผ้าห่มเรืองแสงที่ส่องประกาย สีสันยามที่ปิดไฟมืดสนิท โดยเจ้าเทคโนโลยีนี้ต้องยกนิ้วให้กับนักคิดค้นชาวอเมริกันที่คิดสนุกกับการนอนของคนขี้กลัวความมืด ให้นอนหลับอย่างเป็นสุขอย่างไม่ฝันร้ายอีกต่อไป



     การทำงานของผ้าห่มดิสโก้นี้ใช้ไฟฟ้าในการเรืองแสง
     แต่ไม่เป็นอันตรายกับเหตุการณ์ไฟดูดอย่างแน่นอน เพราะกินไฟเพียง 4.5 วัตต์เท่านั้น   
     และผ้าก็เป็นชนวนกันความร้อน และกระแสไฟฟ้าได้อย่างดี
     จึงหายห่วงปลอดภัยจากเหตุไม่คาดฝัน สามารถเปิดไฟนอนหลับได้ทั้งคืน
     ไม่ต้องกังวัลตื่นมาดึงปลั๊กเสียจังหวะในการพักผ่อน


นอกจากคุณประโยชน์ช่วยให้ไม่กลัวความมืดแล้ว เจ้าผ้าห่มแสงยังมีประโยชน์กับเด็กๆ ที่เวลาปลุกไปเข้าห้องน้ำยามค่ำคืน สามารถเดินไปเอง เพราะมีแสงไฟสลัวบนเตียงเป็นเพื่อน และยังเดินกลับมาเองอย่างถูกทางไม่สะดุดหกล้มระหว่างทาง


 
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/308904
19824  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รณรงค์.."ลอยกระทงไร้แอลกอฮอล์" วธ.เตือนสาว 'รักนวลสงวนตัว' เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2012, 04:26:34 am


รณรงค์ลอยกระทงไร้แอลกอฮอล์ วธ.เตือนสาว'รักนวลสงวนตัว'

วธ.เตือนเด็กผู้หญิงเที่ยวงานลอยกระทงขอให้ไปกับเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่ ไปกับครอบครัว อย่าทดลองเสพของมึนเมา และขอให้รักนวลสงวนตัว...

เมื่อวันที่ 26 พ.ย. นายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่าเนื่องในเทศกาลลอยกระทง ประจำปี 2555 ในวันที่ 28 พ.ย. นี้ กระทรวงวัฒนธรรม ได้ขอให้ทุกจังหวัดร่วมกันสืบทอดประเพณีวันลอยกระทงให้ถูกต้องตามวิถี วัฒนธรรมไทยด้วยการเชิญชวนประชาชนทั้งประเทศใช้โอกาสวันลอยกระทง ร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งที่ดีต่อขนบธรรมเนียมประเพณีไทย

โดยการการขอขมาต่อพระแม่คงคา และการรณรงค์ลอยกระทง ร่วมกัน 1 ครอบครัว 1 กระทง เพื่อเป็นประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ ลดปริมาณขยะที่อาจตกค้างในแม่น้ำลำคลอง และทำให้เกิดความรักความสามัคคีภายในครอบครัว ขณะเดียวกัน อยากรณรงค์ให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติทำกระทง อาทิ ใบตอง หยวกกล้วย ดอกไม้ เพราะกระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการทำปุ๋ยธรรมชาติได้

ปลัด วธ. กล่าวต่อว่า ในส่วนของกรมส่งเสริมวัฒนธรรมยังได้มีการเผยแพร่เนื้อหาสาระของวันลอยกระทง ที่ถูกต้องและเหมาะสมด้วยการสืบสาน และสืบทอดประเพณีไทย การแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อแม่น้ำลำคลองรวมทั้งการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติของมนุษย์ ขณะเดียวกัน วธ. ยังได้ขอความร่วมมือสถานศึกษาช่วยเผยแพร่สาระสำคัญของวันลอยกระทงแก่ นักเรียนนักศึกษาด้วย

นอกจากนี้ เนื่องจากทราบว่าหลายหน่วยงานได้จัดกิจกรรมวันลอยกระทงขึ้น ทั้งภายในอุทยานประวัติศาสตร์ วัด โบราณสถาน รวมถึงสถานที่ต่างๆ จึงขอรณรงค์ไม่ให้มีการนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และของมึนเมา เข้าไปดื่มภายในสานที่ดังกล่าว เนื่องจากอาจจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การทะเลาวิวาท การใช้ความรุนแรง และทำให้เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน


"สิ่งที่ผมมีความเป็นห่วงมาก คือการใช้โอกาสวันลอยกระทง ไปกระทำเรื่องที่เสียหายแก่ตนเอง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงขอให้ไปกับเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่ ไปกับครอบครัว อย่าทดลองเสพของมึนเมา และขอให้รักนวลสงวนตัว อย่าให้เพศชายมาล่วงเกินได้" นายสมชาย กล่าว.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/308963
19825  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / อย่า.!! 'ส่ ง จิ ต อ อ ก น อ ก' เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 11:11:32 am

อย่าส่งจิตออกนอก (หลวงปู่ดุลย์)

" จิตส่งออกนอกคือสมุทัย มีผลเป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค มีผลเป็นนิโรธ "

    จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    (เห็นว่าจิตที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ ทำให้หลงไปจมแช่กับอารมณ์ด้วยความยินดียินร้าย)

    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
    (เห็นว่าจิตที่ไปจมแช่กับอารมณ์ด้วยความยินดียินร้ายเป็นทุกข์)

    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    (เห็นจิตที่เป็นทุกข์ เห็นสมุทัยอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ จึงมีความเพียรที่จะ รู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง เพราะเห็นแล้วว่าเป็นสภาพที่พ้นจากทุกข์ได้)

    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ
    (เมื่อ รู้ด้วยจิตที่เป็นกลางได้ ก็ย่อมที่จะพ้นจากทุกข์ได้ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่เราไปพยายามแยกผู้รู้ให้ออกจากอารมณ์ เราเพียงแต่เพียรที่จะ รู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง จนจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง)

    อย่าส่งจิตออกนอก จิตคิด จิตถูกทำลาย
    ((เมื่อ)จิตคิด จิต(รู้ก็)ถูกทำลาย บรรดานักคิดทั้งหลาย ถ้าเข้าใจตนเองได้ว่า ตนกำลังฝันทั้งที่ลืมตาตื่น ตนกำลังหลงอยู่ในโลกของความคิด เพียงรู้ทันเท่านี้ ก็รู้แล้ว และเมื่อรู้แล้วก็อย่าหลงไปคิดต่อไปอีก ว่า "รู้เป็นอย่างไร ที่รู้นี้ถูกหรือไม่ถูก" เพราะจะหล่นไปสู่ความผิดพลาดในทันที คือหลงเข้าไปในโลกของความคิดอีกรอบหนึ่ง)
 
    ความคิดนั้น มันเกิดอยู่เสมอ เหมือนลมหายใจนั่นเอง ห้ามไม่ได้ การปฏิบัติก็ไม่ได้มุ่งให้ดับความคิด
   เอาแค่ว่า พอรู้อารมณ์แล้วจิตมันคิดนึกปรุงแต่ง ก็ให้รู้ทัน อย่าให้ฝันทั้งที่ตื่น คือ หลงคิดไปโดยไม่รู้ตัว เท่านี้ก็พอครับ
   อย่าไปพยายามดับความคิดเข้าเชียวครับ จิตจะยิ่งฟุ้งซ่านหนักกว่าเก่าอีก
   และอันที่จริง เราก็ต้องอาศัยความคิดเหมือนกัน ในการอบรมสั่งสอนจิต เป็นบางครั้งบางคราว เวลามันดื้อมากๆ



    "จิตหนึ่งนี้เท่านั้นเป็นพุทธะ ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธะ กับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ เสีย และเพราะเหตุนั้น เขาจึงแสวงหาพุทธภาวะจากภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง ทำให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ การทำเช่นนั้นเท่ากับการใช้สิ่งที่เป็นพุทธะ ให้เที่ยวแสวงหาพุทธะ และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต

     แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขา อยู่ตั้งกัปป์หนึ่งเต็มๆ เขาก็จะไม่สามารถลุถึงพุทธภาวะได้เลย เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหาเสียเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่า จิตนี้คือ พุทธะ นั่นเอง"

    "จิตหนึ่งนั่นแหละคือพุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิเช่นเดียวกับความว่าง คือมันไม่มีรูปร่างหรือปรากฏการณ์ใดๆ เลย ถ้าเราใช้จิตของเราให้ปรุงแต่งคิดฝันไปต่างๆ นั้น เท่ากับเราทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองอยู่กับรูปธรรม ซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือกพุทธะ"

    "การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ด้วยเจตนาที่จะเป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดคืบหน้าทีละขั้นๆ แต่พุทธะ ซึ่งมีตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆ เช่นนั้นไม่ เรื่องมันเป็นเพียงแต่ ตื่น และลืมตา ต่อจิตหนึ่งนั้นเท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นั่นแหละคือ พุทธะ ที่แท้จริง"



  "จิตเป็นเหมือนกับความว่าง ซึ่งภายในย่อมไม่มีความสับสนและความไม่ดีต่างๆ
    ดังจะเห็นได้ในเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก
    ความว่างที่แท้จริงนั้น มันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง
    ปรากฏการณ์ของความสว่างและความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
    แต่ธรรมชาติของความว่างนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง"


    "เมื่อพวกเราที่เป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น
    ถ้าไม่ลืมตาต่อสิ่งซึ่งเป็นสาระ กล่าวคือ จิตนี้
    พวกเราจะปิดบังจิตนั้นเสียด้วยความคิดปรุงแต่งของพวกเราเอง
    พวกเราจะเที่ยวแสวงหา พุทธะ นอกตัวเราเอง
"


อ้างอิง
บทความ "จิตคือพุทธะ" หลวงปู่ดูลย์ อตุโล http://www.wimutti.net
ขอบคุณภาพและบทความจาก
board.palungjit.com/f4/อย่าส่งจิตออกนอก-หลวงปู่ดุลย์-82238.html โพสต์โดยคุณwellrider
http://dhammaway.files.wordpress.com/,http://www.dhammajak.net/,http://farm3.staticflickr.com/
19826  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระไสยาสน์ วัดภูค่าว กับ 'ปริศนาคำกลอน' เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 10:33:28 am


พระไสยาสน์ วัดภูค่าว กับ 'ปริศนาคำกลอน'
พระไสยาสน์ วัดภูค่าว กับปริศนาคำกลอน : คอลัมน์ถิ่นไทยงาม : เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์

    มา กาฬสินธุ์ ทั้งที ไม่แวะมาที่วัดภูค่าว ก็เหมือนขาดอะไรไป เพราะความพิเศษที่วัดนี้มีทั้งพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระพุทธเจ้า และยังมีพระไสยาสน์ปางตะแคงซ้าย แถมวันอากาศดีๆ มองเห็นไปถึงสันเขื่อนลำปาว

     ถ้าไปจากกาฬสินธุ์ ก็ยึดเส้นทางไป อ.สหัสขันธ์ และ อ.สมเด็จ ถึงสามแยกสหัสขันธ์ ก็เลี้ยวขวาผ่านหน้าที่ว่าการอำเภอสหัสขันธ์ไปทาง อ.สมเด็จ ราวๆ 5-6 กม. วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ บอกทางซะละเอียดอย่างนี้ ก็เพราะไม่มีป้ายบอกทางเหมือนกับไปพิพิธภัณฑ์สิรินธร (อุทยานไดโนเสาร์) เขื่อนลำปาว หรือสะพานเทพสุดา

     วัดภูค่าว หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ วัดพุทธนิมิต(ภูค่าว) อยู่ในเขตบ้านนาสีนวล ต.สหัสขันธ์ อ.สหัสขันธ์ เพียงแค่แยกถนนเข้าวัด ก็ต้องชะลอรถถ่ายรูปเจดีย์ ที่ยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งดูยิ่งใหญ่

      นมัสการถามเจ้าอาวาส พระอาจารย์ณรงค์ ชยมงฺคโล ได้ความว่า คำว่า ค่าว เป็นภาษาอีสานหมายถึงเชือกเส้นใหญ่ๆ ซึ่งก็คงหมายถึงรูปร่างภูเขาและด้วยความที่วัดนี้อยู่เนินเขา ชาวบ้านก็เลยเรียกกันว่า วัดภูค่าว

      เข้าเขตวัดมา นอกจากทึ่งกับแท่งหินแกะสลักขนาดใหญ่หน้าทางเข้าออก ยังทึ่งกับ อุโบสถไม้ ที่สวยงาม ผสมผสานระหว่างศิลปะภาคกลางและล้านนา เสาแต่ละต้นต้องเรียกว่า "ซุง" มีเขียนกำกับไว้ว่าเป็นไม้ใต้เขื่อนลำปาว (มีเอกสารกำกับอย่างถูกต้อง) 




     และที่ทึ่งมาแต่ไกล ก็คือ องค์พระมหาธาตุเจดีย์ ที่สร้างด้วยหินแกะสลักทั้งองค์
     ฐานเจดีย์แกะสลักเป็นรูปลิงแบกฐานพระพุทธรูป ตัวมหาธาตุเจดีย์ที่สูง 80 เมตร
     ความกว้างของมหาธาตุเจดีย์ ขนาด 45x45 เมตร ประตูแต่ละด้านสูง 7 เมตร

     ภายในประกอบด้วยเสาใหญ่ 32 ต้น ด้านผนังมีระเบียงด้านบนประดิษฐานพระพุทธรูปโบราณต่างยุคต่างสมัย ส่วนด้านล่างประดิษฐานพระพุทธรูปหินสลัก 129 องค์


    ยอดมหาธาตุเจดีย์ ทำด้วยทองคำหนัก 30 กก. และยังบรรจุอัญมณีมูลค่ามหาศาลจากผู้มีจิตศรัทธา
    และที่สำคัญไปกว่านั้น บริเวณกลางเจดีย์ด้านในมีมณฑปไม้โลงเลง เป็นไม้เนื้อหอมชนิดหนึ่งจาก ส.ป.ป.ลาว ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ และพระอริยสงฆธาตุ


    เดินพินิจพิจารณาด้านนอก ด้านในพระมหาธาตุเจดีย์แล้ว ยังไม่เห็นพระไสยาสน์ตะแคงซ้าย ยังไงก็ไม่กลับ ลองขับรถเลยเข้าไปด้านในที่เป็นทางวนรถออกได้ ถึงได้ความว่า พระไสยาสน์อยู่ในถ้ำด้านในนี่เอง 

    ตามทางเดินไปไหว้พระไสยาสน์ จะผ่านหอกลอง ศาลาปฏิบัติธรรม ลานฤาษี ศาลบูชาพระบรมรูป ร.5 รวมถึงศาลบูชาเง็กเซียนฮ่องเต้ ที่มีนกยูงเป็นสิบป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ห่าง ส่วนที่ลานยังมีฝูงกวาง กระรอก กระแต ที่อยู่รวมกันอย่างสงบ

      ระหว่างทางผ่านป้ายไม้ เขียนข้อความไว้
            "พระหลงหมู่ อยู่ภูถ้ำบก
             แสงตาตก พบเงินหกแสน คำหกแสน
             ไผหาได้ ดินทานหาแหน่
             ที่เหลือจากนั้น กินเสี่ยงบ่หลอ"

      ปริศนาธรรมนี้ มีมาแต่โบราณ (ชยมงฺคโล นิมิต)




      ข้อความนี่เอง เหมือนบอกใบ้ว่าบริเวณแถว "พระหลงหมู่" ในถ้ำบก มีสมบัติซุกซ่อนอยู่
      และว่ากันว่าน่าจะหมายถึงพระไสยาสน์ตะแคงซ้ายในถ้ำภูค่าวนี่เอง เพราะมีเรื่องราวที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าศรีโคตรบูรณ์ ที่จัดงานสมโภชน์พระธาตุพนม ที่อัญเชิญพระอุรังคธาตุ(กระดูกหน้าอก)ของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ และแจ้งสารไปยังหัวเมืองขอมด้านเขมรต่ำที่เป็นเมืองขึ้น ให้รวบรวมทรัพย์สมบัติมาร่วมสมโภช


      แต่การเดินทางแสนลำบากเลยไปไม่ทัน มาได้แค่บ่อน้ำซับคำม่วง (บ่อคำม่วง) ไม่ไกลจากภูค่าว จึงตกลงจะฝังสมบัติที่ขนมา และแกะสลักรูปพระอรหันต์ "พระมหาโมคคัลลา" อัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า ในอิริยาบถไสยาสน์ตะแคงซ้ายหันเศียรไปทางด้านที่ตั้งของพระธาตุพนม พร้อมกับฝากปริศนาไว้
      จนคนรุ่นต่อมาเข้าใจว่าเป็นลายแทงสมบัติ และมีคนไปขุดหาจำนวนมากแต่ก็มีอันเป็นไปทุกราย
      จนชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างเลื่อมใสศรัทธา พากันมากราบไหว้
      ปัจจุบันมีการจัดงานมนัสการปิดทองในวันที่ 19 เมษายนของทุกปี


      พระไสยาสน์พระศิลาจำหลัก มีความยาว 2.25 เมตร อายุกว่า 2,500 ปี
      ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นปูชนียวัตถุโบราณ โดยกรมศิลปากร เมื่อปี 2484
      แม้จะยังไม่มีใครแก้ปริศนาคำกลอนโบราณนี้ได้ แต่คำสอนที่สอดแทรกอยู่ทั่วไปในบริเวณวัดนี่แหละ ล้ำค่าของจริงโดยไม่ต้องขุดหา

   
(พระไสยาสน์ วัดภูค่าว กับปริศนาคำกลอน : คอลัมน์ถิ่นไทยงาม : เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์)

ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121125/145563/พระไสยาสน์วัดภูค่าวกับปริศนาคำกลอน.html#.ULLfumfvolh
19827  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สีสัน..งานวัดภูเขาทอง 'ลมหายใจแห่งยุคสมัย' (ชมคลิป) เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 10:16:59 am


สีสันงานวัดภูเขาทอง'ลมหายใจแห่งยุคสมัย'
สีสันงานวัดภูเขาทอง สีสัน'งานวัด'และ'ลมหายใจแห่งยุคสมัย' : นายทิวารายงาน

    ถ้าพูดถึง "งานวัด" ในกรุงเทพมหานคร ก็ต้องนึกถึง "งานภูเขาทอง วัดสระเกศ" ที่ถือว่า เป็นงานวัดที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงเทพมหานคร ซึ่งในงานนี้ จะเสมือนหนึ่งเป็นศูนย์รวมของที่เที่ยว ที่กิน และมหกรรมความบันเทิง ที่จะถูกขนมารวมกันไว้ภายในงาน ซึ่งจะจัดกันปีละครั้ง

     แน่นอนว่า แม้ปัจจุบัน "งานวัด" จะคล้ายกับสีสันของยุคสมัยที่ผ่านพ้น ในห้วงเวลาปัจจุบัน เนื่องเพราะสารพัดความบันเทิงแห่งยุคสมัยปัจจุบัน ไม่ได้รวมกันอยู่ภายใน "งานวัด" เหมือนในอดีตอีกแล้ว กระนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า "งานวัด" ก็ยังเป็นสีสันที่สะท้อนถึงลมหายใจ และวิถีชีวิตของยุคสมัยที่ผ่านพ้น จากอดีตจนถึงปัจจุบัน และยังปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่า ในห้วงเวลาของความทันสมัยแห่งปัจจุบัน คนร่วมสมัยต่างโหยหาต่อลมหายใจ และวิถีชีวิตของอดีตที่ผ่านพ้นทั้งสิ้น

     "งานภูเขาทอง วัดสระเกศ" ในปีนี้ (พศ.๒๕๕๕) ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ซึ่งคาบเกี่ยวกับเทศกาลลอยกระทง เหมือนเช่นทุก ๆ ปีที่เคยจัดกันมาเป็นประเพณีสำคัญ และในปีนี้ กิจกรรมต่าง ๆ ก็ยังคงมีอยู่คล้ายกับที่เคยเป็นมา ทั้งการนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ทั้งการชมบรรยากาศ และสีสันของงาน และทั้งการเพลิดเพลินกับของกินที่มีอย่างหลากหลาย

      และแน่นอนว่า สีสัน "งานวัด" ที่เป็นเสมือนหนึ่งของเอกลักษณ์ของ "งานภูเขาทอง วัดสระเกศ" ก็คือของแปลก ที่มีการมารวมตัวกันเปิดวิกภายในงานนี้อย่างคับคั่ง ซึ่งแม้ว่า ในยุคสมัยปัจจุบัน จะเป็นที่รู้กันดีว่า ของแปลกต่าง ๆ ที่ว่านั้น เป็นเพียงการจัดแสดง ซึ่งในหลายวิกก็ไม่ได้แนบเนียนนัก แต่ก็ยังต้องถือว่า บรรดาของแปลกที่มาออกร้านเปิดวิกใน "งานวัด" ก็ยังเป็น "สีสัน" และลมหายใจอันสำคัญต่อการคงอยู่และสืบต่ออย่างยาวนานต่อไป


หมายเหตุ : งานภูเขาทอง ปี ๒๕๕๕ วันที่ ๒๑ - ๓๐ พ.ย. นี้ http://www.watsraket.com/news/general-news/546-2012-11-15-05-48-08.html , งานภูเขาทอง งานวัดที่เก่าแก่ ของกรุงเทพมหานคร http://www.watsraket.com/news/general-news/545-2012-11-11-12-38-03.html

ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121125/145697/สีสันงานวัดภูเขาทองลมหายใจแห่งยุคสมัย.html#source_video



!
เผยแพร่เมื่อ 25 พ.ย. 2012 โดย ekkejekkej
19828  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เศรษฐีอินเดีย 6 หมื่นล้าน "สร้าง..เจดีย์วิปัสสนาสากล" เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 10:09:02 am

เศรษฐีอินเดีย 6 หมื่นล้าน สร้างเจดีย์วิปัสสนาสากล
เศรษฐีอินเดีย6หมื่นล้าน สร้างเจดีย์วิปัสสนาสากล : นิตยสารธรรมลีลา

     มหาเศรษฐีชาวอินเดียวัย 61 ปีนาม “สุภัช จันทรา” ผู้มีสินทรัพย์ ในครอบครองราว 60,000 ล้านบาท เจ้าของกิจการเครือข่ายโทรทัศน์ Zee TV ที่มีผู้ชม 500 ล้านคนต่อวัน และเจ้าของ Esselworld and Water Kingdom สวนสนุกและสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ได้ทุ่มทุน 750 ล้านรูปี (ราว 500 ล้านบาท)
     เพื่อสร้างศูนย์วิปัสสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีชื่อว่า เจดีย์วิปัสสนาสากล (Global Vipassana Pagoda) ซึ่งเป็นเจดีย์สีทองขนาดมหึมา ตั้งโดดเด่น เป็นสง่าท่ามกลางแมกไม้ในหมู่บ้านโกไร เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย


     จันทราเกิดและเติบโตในครอบครัวที่มีเครือญาติช่วยกันทำการค้า ภายในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของอินเดีย ต่อมาเกิดภาระหนี้สิน จึงต้องแยกย้ายกันไป จันทราต้องออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เวลานั้นเขาเหลือเงิน ติดกระเป๋าไม่ถึง 30 บาท ขณะมุ่งหน้าสู่กรุงนิวเดลีเพื่อทำงานหาเงินมาใช้หนี้ ให้ครอบครัว

    ในที่สุดเขาก็หาเงินก้อนใหญ่ได้จากการค้าข้าว เขาจึงย้ายไป ที่เมืองมุมไบ เพื่อตั้งโรงงานเล็กๆผลิตหลอดลามิเนทบรรจุผลิตภัณฑ์ ต่อมาในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย จันทราได้เปิดสถานีโทรทัศน์ซีทีวี (Zee TV) ซึ่งเป็นโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งแรกของอินเดียในปี 1992 ตอนนั้นครอบครัวของเขากังวลว่า เขาจะต้องสูญเสียธุรกิจเดิมที่สร้างมากับมือไป

     อโศก คูเรียน เพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งซีทีวี เล่าว่า มันเหมือนการเดินเข้าสู่หุบเขาแห่งความตาย ยุคนั้นยังไม่มีสถานีโทรทัศน์ของเอกชน เพราะทางการไม่ให้ใบอนุญาต ดังนั้น จันทราจึงไปเปิดสถานีที่ฮ่องกงแทน รัฐบาลอินเดียได้เรียกตัวเขาไปสอบสวนหลายครั้ง และให้ปิดสถานี แต่จันทราปฏิเสธ แม้ในช่วงเริ่มต้นเขาต้องสูญเงินเดือนละ 180 ล้านบาทก็ตาม



     ในตอนนั้น จันทราได้รับการแนะนำให้รู้จัก “สัตยา นารายัน โกเอ็นก้า” วิปัสสนาจารย์ชาวอินเดีย
     ซึ่งได้ชักชวนให้จันทราเข้าคอร์สวิปัสสนาเป็นครั้งแรก “สุชีลา” ผู้เป็นภรรยาได้สนับสนุนให้สามีลองทำวิปัสสนา เพื่อล้างพิษจากความเครียดที่มีอยู่


    คอร์สแรกสำหรับเขาใช้เวลา 10 วัน ให้ผลดีมากกว่าแค่การขจัดความเครียด
    เพราะเมื่อจันทรากลับไปทำงาน เพื่อนร่วมงาน สังเกตได้ถึงความคิดของเขาว่า “แหลมคมเหมือนใบมีด”
    และเมื่อเรื่องงานทำให้เขารู้สึกเครียดมากขึ้น เขาก็ยังคงไปเข้าคอร์สทำวิปัสสนาอยู่เสมอ
    และแม้จะมีเรื่องงานที่ทำให้เขาไม่อาจหยุดได้ เขาก็จะพักงานไว้ก่อน


    “บ่อยครั้งที่มีเรื่องทำให้ผมไปเข้าคอร์สวิปัสสนาไม่ได้ แต่ผมก็ยังไป” จันทราพูด
    อโศก คูเรียน เล่าว่า ช่วงปีแรกๆของการก่อตั้งซีทีวี เขารับไม่ได้กับการหายตัวไปของจันทราบ่อยครั้ง
    “เรามักมีปัญหาที่ไม่ซ้ำกัน 40 เรื่องประดังเข้ามาพร้อมๆกัน แล้วจันทราก็หายตัวไปขณะที่เรายุ่งกับการแก้ปัญหา แต่แล้วเขาก็จะกลับมาในสภาพที่ได้ไปเติมพลังชาร์จแบตมาอย่างดี”


    กว่า 20 ปีที่มหาเศรษฐี ชาวอินเดียได้เรียนทำวิปัสสนากับโกเอ็นก้า วิปัสสนาจารย์วัย 86 ปี
   “การทำวิปัสสนาสอนให้ผมมีจิตใจสงบนิ่งในทุกๆสถานการณ์ของชีวิต ซึ่งช่วยผมเป็นอย่างมากในเรื่องธุรกิจ โดยเฉพาะในยามวิกฤต ผมค้นพบว่า การทำสมาธิแบบนี้ เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์ และผมรู้สึกว่า มันเป็นหนทางที่เหมาะสำหรับผม”



    จันทราบอกว่า การทำวิปัสสนาช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ ทางธุรกิจจนร่ำรวยมหาศาล
    เขาจึงพยายามชักชวนคนในครอบ ครัวไปเข้าคอร์สวิปัสสนา
    และยังสนับสนุนให้พนักงานซีทีวี ลางานโดยได้รับเงินเดือน เพื่อไปเข้าคอร์สวิปัสสนา
    แต่มีไม่ถึง 15% ที่ลางานไป มหาเศรษฐีใหญ่พูดอย่างอารมณ์ดีว่า
    “มันไม่ได้อยู่ในชะตาลิขิตของพวกเขา”


   ในปี 1997 จันทราได้ยกที่ดินราว 33 ไร่ มูลค่า 150 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างศูนย์วิปัสสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจำลองแบบมาจากมหาเจดีย์ชเวดากองของพม่า

    “ผมได้รับประโยชน์มากมายจากการทำวิปัสสนา จึงอยากให้คนอื่นๆได้มีโอกาสเข้าร่วมในประสบการณ์นี้เช่นกัน” จันทรากล่าวขณะนั่งในห้องทำงานที่สำนักงานใหญ่ของเอซเซิล เขามีท่าทีสงบนิ่งเช่นเดียวกับภาพวาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แขวนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา

   จันทราเข้ามาดูแลการก่อสร้างเจดีย์ดังกล่าวทุกขั้นตอน เขาขับรถนาน 2 ชม.
   จากที่ทำงานไปยังเขตก่อสร้างเพื่อตรวจสอบความคืบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
  “นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเฉพาะ เพื่อให้อยู่ได้นานถึง 2,000 ปี” จันทราบอก


   เมื่อเจดีย์สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 2008 มหาเศรษฐีหนุ่มใหญ่ ก็ได้จัดพิธีเฉลิมฉลอง โดยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ไปประดิษฐาน ณ ยอดโดมที่ใหญ่ที่สุด

   หลังการเฉลิมฉลองเจดีย์วิปัสสนาแล้ว จันทราได้ส่งมอบการบริหารกิจการทั้งหมดให้บุตรชายคนโต และในปีถัดมา เขาได้ ก้าวลงจากตำแหน่งประธานมูลนิธิวิปัสสนาสากล แต่ยังคงเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินและทำวิปัสสนาเป็นประจำทุกวัน เขาบอกว่า
    “ผมสามารถทำวิปัสสนาได้ทุกที่ ทุกเวลา แม้ขณะกำลังพูดคุยอยู่กับคุณ”



เจดีย์วิปัสสนาสากล
       
    โครงการก่อสร้างเจดีย์วิปัสสนาสากล เริ่มวางศิลาฤกษ์ในปี 1997 โครงสร้างทั้งหมดประกอบด้วยเจดีย์รูปโดม ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ห้องโถงขนาดใหญ่ สำหรับปฏิบัติวิปัสสนา หอศิลป์จัดแสดงภาพพุทธประวัติและพุทธธรรมเจดีย์ขนาดเล็กสูง 60 ฟุต 2 องค์ ทางทิศเหนือและใต้ห้องสมุดและห้องเรียน ลานกว้างรอบๆพระเจดีย์ ตึกธุรการห้องใต้ดิน และห้องประชุม 2 ห้อง
     
     จุดประสงค์ของการสร้างเจดีย์นี้ เพื่อแสดงความซาบซึ้งในมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธรรมอันเป็นสากล เพื่อให้มวลมนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ และนำไปสู่ความสุขที่แท้จริง และเพื่อแสดงออกถึงความขอบคุณประเทศพม่า ที่ยังคงอนุรักษ์การทำวิปัสสนาแบบดั้งเดิมไว้ ในขณะที่ได้หายสาบสูญไปจากแหล่งกำเนิดในอินเดียแล้ว
     
     เจดีย์องค์นี้สร้างโดยใช้เทคโนโลยีผสมผสานระหว่างอินเดีย
     โบราณและสมัยใหม่ โดยใช้เทคนิคโบราณที่นำก้อนหินทรายแดงมาเชื่อมต่อกันด้วยปูนขาว หินแต่ละก้อนหนัก 700 กก. น้ำหนักรวมทั้งสิ้น 2.5 ล้านตัน เพื่อให้คงทนถาวรราว 2,000 ปี     
     รูปแบบเจดีย์วิปัสสนาสากล จำลองมาจากมหาเจดีย์ชเวดากองของพม่า โครงสร้างของพระเจดีย์ประกอบด้วยโดม 3 ส่วน

     

      ส่วนแรกที่เป็นโดมใหญ่สุด สร้างเสร็จในปี 2006 มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน ณ ยอดโดม นับเป็นสิ่งก่อสร้างรูปโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งขุดพบในสถูปสาญจี และสมาคมมหาโพธิแห่งอินเดียได้มอบให้เพื่ออัญเชิญมาประดิษฐาน ณ เจดีย์แห่งนี้
     
    ส่วนโดมที่สองและสามสร้างอยู่บนยอดของโดมแรก สร้างแล้วเสร็จในปี 2008     
    บริเวณศูนย์กลางของเจดีย์เป็นโดมหินไร้เสาค้ำยันที่ใหญ่ที่สุดในโลก องค์พระเจดีย์สูง 96.12 เมตร ซึ่งสูงเป็น 2 เท่าของโดมโกล กัมบาซ แห่งเมืองพิชปุระ ในรัฐกรณาฏกะ ของอินเดีย ซึ่งเคยเป็นปูชนียสถานรูปโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

     
     เส้นผ่าศูนย์กลางภายนอกส่วนที่กว้างที่สุดของโดมเท่ากับ 97.46 เมตร และส่วนที่แคบที่สุดเท่ากับ 94.82 เมตร ภายในเจดีย์เป็นที่โล่ง ไม่มีเสาค้ำยัน ใช้เป็นห้องปฏิบัติวิปัสสนา บนพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร รองรับได้มากกว่า 8,000 คน
     
    โดยเริ่มประเดิมเปิดคอร์สปฐมฤกษ์ ปฏิบัติวิปัสสนากับอาจารย์โกเอ็นก้า ณ เจดีย์แห่งนี้เป็นเวลา 1 วัน เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2008 ต่อมาวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2009 ได้มีพิธีเปิดเจดีย์วิปัสสนาสากลอย่างเป็นทางการ โดยมี นางประติภา ปาติล ประธานาธิบดีของอินเดีย เป็นประธาน
     
    เจดีย์วิปัสสนาสากลถือเป็นปูชนียสถานที่มีชื่อเสียงของเมืองมุมไบ และนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ในแต่ละวันมีผู้คนมากมายได้เดินทางมาที่นี่ เพื่อปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งทางรัฐมหาราษฏระคาดว่าสถานที่แห่งนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ ปีละหลายแสนคน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121125/145667/เศรษฐีอินเดีย6หมื่นล.สร้างเจดีย์วิปัสสนาสากล.html#.ULLXomfvolh
http://www.dhammajak.net/,http://img.ryt9.net/,http://2.bp.blogspot.com/
19829  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มศว.ชวนนิสิตล้างห้องน้ำ ปลุกสำนึก "ไม่ดูถูกงาน-ดูถูกคน" เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 09:41:22 am

มศว.ชวนนิสิตล้างห้องน้ำ ปลุกสำนึก
มศว.ชวนนิสิตล้างห้องน้ำ ปลุกสำนึกไม่ดูถูกงาน-ดูถูกคน : โดย...นิรมล สถานเมือง

    ในทัศนคติของใครหลายๆ คนมองว่า "ห้องน้ำ" เป็นสถานที่สกปรก เป็นแหล่งรวมเชื้อโรค และอาจจะเหมารวมไปถึงอาชีพทำความสะอาดห้องน้ำว่าเป็นงานที่น่ารังเกียจ แต่ในมุมมองของ ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กลับแตกต่างออกไป เพราะเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันสุขาโลก ได้มีการจัดกิจกรรม "ล้างห้องน้ำ เพื่อสุขภาพ ลดตัวตนคน มศว" ที่บริเวณอาคารจอดรถใต้ดิน มศว (ประสานมิตร) เพื่อเชิญชวนให้ประชาคมชาว มศว และสังคมได้ตระหนักถึงความสะอาดของห้องน้ำที่เราต่างต้องใช้อยู่ทุกวัน

   ผศ.นพ.เฉลิมชัย กล่าวว่า
   กิจกรรมในวันนี้ถือเป็นกิจกรรมที่ดี ที่ไม่ได้เพียงแค่ต้องการทำให้ห้องน้ำมีความสะอาดเท่านั้น
   แต่แก่นแท้ของกิจกรรมในวันนี้ก็เพื่อต้องการปลุกจิตสำนึกให้แก่นิสิตและบุคลากรของ มศว ให้ไม่ดูถูกงาน ไม่ดูถูกคน
   เพราะถ้าเราไม่รังเกียจคนที่ทำงานล้างห้องน้ำด้วยการที่เราลองไปล้างห้องน้ำด้วยตัวเองแล้ว
   เราจะพบว่า เราจะมีการเรียนรู้จากเขาว่ามีวิธีการล้างห้องน้ำเช่นไร เพราะการล้างห้องน้ำล้วนแต่ต้องใช้ความรู้
   ต้องมีการวางแผนการจัดการ เมื่อเราได้ทราบเช่นนี้แล้ว เราจะดูถูกคนที่ล้างห้องน้ำได้อย่างไร



    นอกเหนือจากกิจกรรมในวันนี้แล้ว ผศ.นพ.เฉลิมชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ที่ผ่านมา มศว มีการจัดกิจกรรมให้นิสิตได้มีส่วนร่วมในการล้างห้องน้ำอยู่แล้ว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นิสิตได้มีส่วนร่วมในการล้างห้องน้ำ โดยจะมีการมอบทุนการศึกษาให้ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งในช่วงแรกของกิจกรรมจะมีนิสิตที่เข้าร่วมที่แม้จะบอกว่าเป็นงานที่ไม่น่าอาย แต่เมื่อได้ลองทำก็รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการล้างห้องน้ำ พร้อมทั้งยังชักชวนเพื่อนให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยกัน

   "กรุณาอย่าล้างแค่วันนี้ ขอให้ท่านกลับไปที่บ้านล้างห้องน้ำแทนคนที่ท่านรัก แล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น และจะพบการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่เงินก็ซื้อไม่ได้ จะเห็นคุณค่าของความสุขเหนือกว่ามูลค่าของวัตถุ วันนี้เป็นวันสุขาโลก ก็หวังว่า มศว จะได้อยู่ในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ ที่เราได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทยว่า การล้างห้องน้ำในวันสุขาโลกเกิดขึ้นที่ มศว แห่งนี้" อธิการบดี มศว กล่าวทิ้งท้าย



      ด้าน ธุวชิต วิสุทธิสมาน หรือ ดรีม นิสิตปี 4 สาขาการออกแบบสื่อปฏิสัมพันธ์และมัลติมีเดีย วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มศว นายกองค์การนิสิต ที่เข้าร่วมกิจกรรมล้างห้องน้ำ เล่าว่า ในการเข้ากิจกรรม "ล้างห้องน้ำ เพื่อสุขภาพ ลดตัวตนคน มศว" ครั้งนี้เพราะเห็นว่าเป็นกิจกรรมที่ดี ซึ่งปกติจะล้างห้องน้ำด้วยตนเองอยู่แล้ว เรื่องห้องน้ำถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะถ้าหากห้องน้ำปราศจากความสะอาดก็ไม่มีผู้ใดอยากที่จะเข้าใช้ ที่สำคัญเราจะรู้สึกว่าห้องน้ำมีความสะอาดก็ต่อเมื่อเราได้ลงมือทำความสะอาดเอง

      นอกจากความสะอาดที่ได้หลังจากการล้างห้องน้ำแล้ว ดรีม ยังบอกอีกว่า กิจกรรมในวันนี้ยังถือเป็นกิจกรรมที่ปลุกจิตสำนึกที่ดีให้แก่ผู้ที่เข้าร่วมในเรื่องของการไม่ดูถูกงาน ไม่ดูถูกคนที่ประกอบอาชีพนี้ เพราะเป็นอาชีพที่สุจริต ไม่เบียดเบียนใคร รวมทั้งการล้างห้องน้ำก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจแต่อย่างใด และยังได้เห็นความร่วมมือ ร่วมใจของชาว มศว อีกด้วย



     "การมาร่วมด้วยช่วยกันในการล้างห้องน้ำทำให้รู้สึกดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำความสะอาดห้องน้ำ ผมรู้สึกนับถือคนที่ทำอาชีพนี้มากกว่า เพราะว่าห้องน้ำบางแห่งมันก็สกปรกมากจนเราไม่กล้าเข้า แต่เขาก็มาทำความสะอาดให้ ส่วนคนที่มองคนที่ทำอาชีพนี้ไม่ดี อยากให้ลองหันกลับมามองใหม่ เพราะว่าคนที่จะอยู่แบบนี้ได้จะต้องกล้าที่จะทำกับมัน กล้าที่จะเสียสละ เราควรจะให้เกียรติเขา สิ่งสำคัญก็คือ คนเรามีความเป็นมนุษย์เท่ากันหมด" นายกองค์การนิสิต มศว กล่าว

     ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราจะต้องใช้บริการห้องน้ำอยู่เป็นประจำทุกวัน
     และห้องน้ำก็ควรที่จะได้รับการดูแลเอาใจใส่ไม่ต่างจากข้าวของเครื่องใช้ชิ้นอื่น
     แต่หลายคนอาจจะมองข้ามหรือหลงลืมถึงความสำคัญของห้องน้ำไปบ้าง
     ซึ่งกิจกรรม "ล้างห้อง เพื่อสุขภาพ ลดตัวตนคน มศว" คงจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดีๆ
     ที่ช่วยปลุกจิตสำนึกให้คนหันมาใส่ใจดูแลความสะอาดของห้องน้ำ
     รวมทั้งไม่ดูถูกงาน ไม่ดูถูกคนที่ประกอบอาชีพนี้ได้ไม่มากก็น้อย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121125/145559/มศว.ชวนนิสิตล้างห้องน้ำปลุกสำนึก.html#.ULLUfWfvolh
19830  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ลอยกระทง...ไม่หลงทาง เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 10:51:57 am


ลอยกระทง...ไม่หลงทาง
ลอยกระทง...ไม่หลงทาง : คอลัมน์ ถิ่นไทยงาม

    ลอยกระทงปีนี้ วันเพ็ญเดือนอ้าย (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12) ตรงกับวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 ประเพณีเก่าแก่คู่กับคนไทยมาช้านาน แต่ละพื้นถิ่นมีการจัดงานประเพณีแตกต่างกันไป แต่หลักๆ ก็คือการลอยกระทงเพื่อขอขมาพระแม่คงคา รวมถึงต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับสู่เทวโลก หลังจากเสด็จไปแสดงธรรมในนาคพิภพ และประทับรอยพระบาทไว้ที่ริมแม่น้ำนัมมทานที จนมาหลังๆ บ้างก็ถือโอกาสใช้กระทงเสี่ยงทางคู่ก็มี
 
    ประเพณีลอยกระทงว่ากันว่า ริเริ่มมาตั้งแต่สุโขทัยเป็นราชธานี ดังนั้น จังหวัดสุโขทัย จึงจัดงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ อย่างยิ่งใหญ่ ต่อเนื่องมานานกว่า 36 ปี แสดงถึงประเพณีที่อนุรักษ์และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงามที่สะท้อนชีวิตและอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของสุโขทัยและเอกลักษณ์ของเมืองไทย

 



  สำหรับปีนี้ จะมีการแสดงแสง-เสียง ณ บริเวณวัดมหาธาตุ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ที่จัดต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยใช้บทการแสดงของกรมศิลปากร ซึ่งตรวจทานแก้ไขโดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เรื่อง ‘ความรุ่งเรืองอาณาจักรสุโขทัย’ เป็นเรื่องราวพ่อขุนรามคำแหงมหาราช รบชนะศึกขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด และสร้างความรุ่งเรืองจนเป็นราชธานีแห่งแรกของชาติไทย
 
     นอกจากนี้ยังเฉลิมฉลองด้วยการแสดง จุดพลุตะไลไฟพะเนียง ต่อเนื่องกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที  และกิจกรรมพิเศษอื่นๆ ตั้งแต่ ขบวนอัญเชิญพระประทีปและกระทงพระราชทาน จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งสิ้น 10 กระทง ลอยเป็นปฐมฤกษ์ ในตระพังตระกวน และยังมีการประกวดนางนพมาศ อีกสัญลักษณ์ของประเพณีลอยกระทง เพื่อรำลึกถึงนางนพมาศ สนมเอกในสมัยสุโขทัย ที่ทำคุณงามความดีจนเป็นที่โปรดปราน ได้รับตำแหน่ง “ท้าวศรีจุฬาลักษณ์”
 




     ประเพณียี่เป็ง จ.เชียงใหม่ ก็จัดยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน เป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ชาวล้านนาจะจุดประทีปโคมลอยขึ้นไปสว่างไสวบนท้องฟ้า เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี บนสรวงสวรรค์ บางคนก็เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ หรือสะเดาะเคราะห์ ให้เกิดความเป็นมงคลแก่ชีวิต
     สำหรับปีนี้ จะมีพิธีปล่อยโคมลอยยิ่งใหญ่ในคืนวันที่ 24 พฤศจิกายน
     ที่ธุดงคสถานล้านนา ต.หนองหาร อ.สันทราย ตั้งแต่ 17.00-20.30 น
.
     งานนี้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ขอความร่วมมือผู้เข้าร่วมงานสวมชุดขาว ชุดพื้นเมือง หรือชุดสุภาพ และเพื่อความปลอดภัย ในงานจะไม่อนุญาตให้โคมไม่ได้มาตรฐานเข้างาน

 



     ส่วนที่ จ.ตาก มีการ ลอยกระทงสาย ที่จุดดวงประทีปในกะลามะพร้าว ไหลเรียงลงสู่แม่น้ำต่อเนื่องกันเป็นสายไป ตามวิถีแห่งความพอเพียง ซึ่งปีนี้มีการจัดแข่งขันกระทงสายไหลประทีป 1,000 ดวง ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่บริเวณริมสายธาร ลานกระทงสาย เชิงสะพานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ระหว่างวันที่ 24-29 พฤศจิกายน
 
 


    คนอยู่เมืองกรุงไม่ต้องน้อยใจ มีการจัดงาน "สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง กรุงเทพมหานคร 2555" บริเวณเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟรอนท์ และบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สะพานพระพุทธยอดฟ้าถึงสะพานกรุงธน ไฮไลท์จะอยู่ที่พิธีเปิดวันที่ 24 พฤศจิกายน มีทั้งขบวนเรือประดับไฟฟ้า, การจุดพลุประกอบแสงเสียงสื่อผสม, การประดับไฟเคลื่อนไหว บริเวณสะพานพระพุทธยอดฟ้า, สะพานพระราม 8, สะพานพระปิ่นเกล้า และการประดับตกแต่งไฟส่องสว่าง 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
 
     ลอยกระทง ประเพณีเก่าแก่ที่มีมานาน และเป็นประเพณีที่งดงาม อะไรที่เสริมแต่งเข้ามาเพื่อเฉลิมฉลอง และสร้างความรื่นเริง หากไม่เกินงาม กระทงก็ไม่หลงทาง แน่ๆ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121118/144980/ลอยกระทง...ไม่หลงทาง.html#.ULGS4mfvolh
19831  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ส่งท้ายด้วยธรรม..ต้อนรับด้วยศีล" กิจกรรม'สถาบันวิมุตตยาลัย' เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 10:32:15 am


"ส่งท้ายด้วยธรรม..ต้อนรับด้วยศีล" กิจกรรม'สถาบันวิมุตตยาลัย'

สถาบันวิมุตตยาลัย สถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาสันติภาพโลก ร่วมกับกรุงเทพมหานคร มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริษัท เอมัส ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด จัดโครงการธรรมะในสวน (เข้าพรรษา เข้าหาพระธรรม) ขึ้น
    วัตถุประสงค์เพื่อแนะนำวิธีปฏิบัติธรรมสำหรับคนในชุมชนเมือง ซึ่งมีชีวิตอยู่ท่ามกลางวัตถุนิยมและการแก่งแย่งแข่งขันสูง รวมทั้งเพื่อประยุกต์พุทธธรรมกับการแก้ปัญหาสังคมไทย โดยจัดขึ้น 3 ครั้งด้วยกัน ระหว่างเดือนสิงหาคม-ตุลาคมที่ผ่านมา มีดารานักแสดงเข้าร่วมกิจกรรมมากมาย


อาทิ ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์, แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์, แบงค์-กฤษฎี พวงประยงค์, ลาล่า โปงลางสะออน, มิน-พีชญา วัฒนามนตรี เป็นต้น

กิจกรรมประกอบด้วย การทำบุญตักบาตรเพื่อความเป็นสิริมงคลในยามเช้า การสวดมนต์ 9 บทเพื่อความก้าวหน้า การเจริญสมาธิภาวนา การฟังธรรมบรรยาย โดย ท่านว.วชิรเมธี-พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนไม่น้อยกว่า 5,000 คน ใน 3 ครั้ง

สถาบันวิมุตตยาลัย ก่อตั้งโดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี มีวัตถุประสงค์
    1.เพื่อส่งเสริมการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพัฒนาองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาให้เป็นขุมคลังทางปัญญาสำหรับมนุษยชาติ
    2.เพื่อส่งเสริมการเจริญสมาธิภาวนาอันเป็นรากฐานของการสร้างสรรค์สันติภาพโลกอย่างยั่งยืน
    3.เพื่อประยุกต์พุทธธรรมนำมาแก้ปัญหาของสังคมไทย สิ่งแวดล้อม มนุษยชาติ และของโลกได้อย่างร่วมสมัย
    4.เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยยุทธศาสตร์การทำงานเชิงรุกทุกรูปแบบ
    5.เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และก้าวข้ามความขัดแย้งระหว่างลัทธินิกายในพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่น
    6.เพื่อนำมนุษยชาติให้เป็นอิสระจากพันธนา การแห่งความโลภ (ความอยาก) ความโกรธ (ความรุนแรง) และความหลง (ความด้อยการศึกษา)
    7.เพื่อสร้างสรรค์ชุมชนแห่งการเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่พร้อมอุทิศตนทำงานเพื่อสันติสุขของมวลมนุษยชาติ



พระมหาวุฒิชัยกล่าวว่า ภารกิจที่สถาบันวิมุตตยาลัยเล็งเห็นความสำคัญ อันดับแรกก็คือการศึกษา ซึ่งทางสถาบันมีโครงการที่ได้จัดทำอยู่แล้วและจะทำในอนาคตอีกได้แก่
     1.ทุนการศึกษา
     2.การวิจัย
     3.โรงเรียนวิถีพุทธ และ
     4.พัฒนาพระธรรมทูต หรือโครงการพระพูดได้


ส่วนความเป็นมาของโครง การนั้น พระมหาวุฒิชัยกล่าวว่า เนื่องจากสังคมไทยในปัจจุบันตกอยู่ท่ามกลางภาวะวิกฤตการณ์มากมายหลายด้าน มีรากฐานแห่งวิกฤตการณ์ที่สำคัญที่สุด คือวิกฤตการณ์ทางปัญญาและวิกฤต การณ์ทางจริยธรรม ซึ่งวิกฤต การณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจากสาเหตุหลายประการที่สั่งสมกันมายาวนานในสังคมไทย แต่เหตุหนึ่งนั้นย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า มาจากความด้อยประสิทธิภาพในการเผยแผ่พุทธศาสนาของพระสงฆ์ไทย ด้วยอย่างแน่นอน

     "แต่เดิมนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางปัญญาและทางจริยธรรมของสังคมไทยก็คือพระสงฆ์
แต่ในปัจจุบันจะพบว่า
     พระสงฆ์ไทยจำนวนไม่น้อย ไม่เพียงแต่ไม่สามารถเป็นผู้นำทางปัญญาและทางจริยธรรมของสังคมไทยเท่านั้น
     ทว่ายังได้กลายเป็นเหตุปัจจัยส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางปัญญาและทางศีลธรรมเสียเอง
"



    กิจกรรมครั้งถัดไป สถาบันวิมุตตยาลัยขอเชิญชวนเข้าร่วมในงาน "ส่งท้ายด้วยธรรม ต้อนรับด้วยศีล"
    กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 22 ธ.ค.2555 ณ อาคารหอประชุมใหญ่
    มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตบพิตรพิมุข


     กิจกรรมการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ในแบบพุทธ
     ภายใต้แนวคิด "สุขหฤทัย หัวใจแห่งความสุข"
     โดยมีกิจกรรมการทำบุญตักบาตรในยามเช้า การสวดมนต์ 9 บทเพื่อความก้าวหน้า
     การเจริญสมาธิภาวนา การฟังธรรมบรรยาย จาก "ท่านว.วชิรเมธี"
     การเจริญกายคตาสติภาวนา การมอบรางวัลศิลปินไทย หัวใจโพธิสัตว์

    สำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล สามารถส่งชื่อ-นามสกุลเข้าที่ dhammatoday@gmail.com     
    เพื่อขอรับชื่อ-นามสกุลใหม่ได้ภายในงาน โดยปิดรับชื่อ-นามสกุลในวันที่ 15 ธันวาคม 2555 นี้

    นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังสามารถรับหนัง สือและซีดีที่ระลึกสำหรับปีใหม่
    อาทิ ซีดี ชุด "9 ไปในสุข" หนังสือธรรมทานปีใหม่ ปฏิทินพก 2556
    โปสการ์ดเพื่อความสวัสดีแห่งชีวิต เป็นต้น



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNakkwTVRFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB5TkE9PQ==
http://www.dhammatoday.com/,http://talk.mthai.com/
19832  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สำนักพุทธฯ สำรวจพบ "วัด 931 แห่ง ยังไม่มีเจ้าภาพทอดกฐิน-ผ้าป่า" เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 10:07:34 am


'มหาเถร-สำนักพุทธ' ช่วยวัด 931 แห่ง เจ้าภาพทอดกฐิน-ผ้าป่า

นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ตามหลักพระธรรมวินัย หลังจากวันออกพรรษา 1 เดือน จะเป็นช่วงเวลาที่มีการทอดกฐินสำหรับวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ 5 รูปขึ้นไป ซึ่งในปี 2555 นี้จะสิ้นสุดช่วงเวลาในการทอดกฐินในวันที่ 28 พ.ย.

ดังนั้นเพื่อช่วยเหลือในส่วนของวัดที่ยังไม่มี เจ้าภาพทอดกฐิน สำนักพุทธฯ จึงสั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.)ทั่วประเทศ สำรวจวัดในแต่ละพื้นที่ว่ามีวัดใดบ้างที่ยังไม่มีเจ้าภาพ รวมทั้งในส่วนของวัดที่มีพระจำพรรษาไม่ถึง 5 รูปที่ยังไม่มีเจ้าภาพในการทอดผ้าป่าด้วย พบว่ามีวัดที่ยังไม่มี เจ้าภาพในการทอดกฐินและผ้าป่าทั่วประเทศทั้งหมด 931 วัด โดยแยกเป็นตามเขตปกครองคณะสงฆ์หนต่างๆ ดังนี้

  เขตปกครองคณะสงฆ์หนเหนือมีวัดที่ยังไม่มี เจ้าภาพทอดกฐิน 50 วัด ไม่มีเจ้าภาพทอดผ้าป่า 281 วัด
  เขตปกครองคณะสงฆ์หนกลางมีวัดที่ยังไม่มีเจ้าภาพทอดผ้าป่า 12 วัด
  เขตปกครองคณะสงฆ์หนตะวันออกมีวัดที่ยังไม่มีเจ้าภาพทอดกฐิน 231 วัด ไม่มีเจ้าภาพทอดผ้าป่า 330 วัด

  นอกจากนี้เขตปกครองคณะสงฆ์หนใต้ไม่รวมพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
  มีวัดที่ยังไม่มีเจ้าภาพทอดกฐิน 14 วัด ไม่มีเจ้าภาพทอดผ้าป่า 13 วัด




   
    ขณะเดียวกัน มหาเถรสมาคม (มส.) และสำนักพุทธฯ
    จะรับเป็นเจ้าภาพวัดที่ยังไม่มีเจ้าภาพทอดกฐิน และผ้าป่าทั้งหมด
    โดยจะมีพิธีถวายกฐิน และผ้าป่าให้กับตัวแทนจากวัดต่างๆ
    ในวันที่ 25 พ.ย.นี้ ที่วัดสระเกศ กรุงเทพฯ


ทั้งนี้ พุทธศาสนิกชนสามารถร่วมเป็นเจ้าภาพในการถวายกฐินและผ้าป่าครั้งนี้ได้โดยบริจาคเงินผ่านทาง
       บัญชีธ.กรุงไทย สาขากระทรวงศึกษาธิการ
        ชื่อบัญชี "กองทุนทอดกฐินและผ้าป่าสามัคคี"
        บัญชีเลขที่ 059-0-19391-0
        หรือสอบถามโทร.0-2441-4535-41



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNVEkwTVRFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB5TkE9PQ==
http://www.oceansmile.com/
19833  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวพุทธตื่น.! จัดถก "เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กับพระพุทธศาสนา" เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 09:52:49 am


ชาวพุทธตื่น.! จัดถก 'เทคโนฯกับการสื่อสาร'

ชาวพุทธระดมสมองหาแนวประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับพระพุทธศาสนา

      วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2555 เวลา 13.00-17.30 น. ที่ห้องประชุม ชั้น 5 วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ อ.เมือง จ.นนทบุรี  มีการประชุมวิชาการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความเท่าเทียมกันประจำปี พ.ศ. 2555 เรื่อง “เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับพระพุทธศาสนา  ICT for All Symposium 2012 on ICT and Buddhism”

     จัดโดยชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความเท่าเทียมกัน (ICT for All Club) และภาคีองค์กรร่วมจัดประกอบด้วยสภาองค์กรพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย สมาคมพัฒนาผู้บริโภคไทย สมาคมรัฐธรรมนูญเพื่อประชาธิปไตย สภาพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สมาคมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งประเทศไทย





     ในโอกาสนี้ได้น้อมนำพระสัมโมทนียถา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มาเผยแพร่ความว่า
     "ประเทศไทยเองยังขาดแคลนสื่อธรรมะ เมื่อเทียบกับศาสนาอื่นๆ 
     จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเกิดการรวมตัวระหว่างเครือข่ายคณะสงฆ์ และคฤหัสถ์เพื่อรวมกันบริจาค
     ผลิตสื่อคําสอนและหลักธรรมคําสอนที่เขาใจง่าย...”


     พร้อมกันนี้ได้มีสารจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอภายงานอย่างเช่น นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่าการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศถือเป็นการเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่สำคัญในยุคปัจจุบัน





    พระไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ เสนอว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีสารสนเทศมีความก้าวหน้าอย่างมาก สามารถให้ข้อมูลข่าวสารแก่เราได้อย่างรวดเร็ว เปิดโอกาสให้เราเข้าถึงพระพุทธศาสนาอย่างไม่เคยมีมาก่อน
     ทั้งนี้จะต้องใช้เทคโนโลยีอย่างมีโยนิโสมนสิการ ก็ คือมีสติ 
     ซึ่งจะช่วยให้ไม่หลงเชื่อง่าย ไม่ถูกครอบงําด้วยความโกรธ ความเกลียด และความกลัว





    รองศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล นักวิทยาศาสตร์ นักสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ดีเด่น พ.ศ.2538 มองว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีส่วนทำให้คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารแทบทุกรูปแบบอย่างรวดเร็ว รวมทั้งแก่นสาระของพระพุทธศาสนาด้วย 
    ดังนั้นคนเป็นจํานวนมากขึ้นเรื่อยๆทั่วโลก ก็จะมีโอกาสเข้าถึง ไตร่ตรอง
    ศึกษาพุทธศาสนาอย่างละเอียด  อย่างรอบคอบ
    แล้วก็จะพบว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่อยู่บนฐานของความจริง
    โดยเฉพาะอยางยิ่งความจริงแห่งชีวิตที่พิสูจน์ได้ ปฏิบัติได้และให้มรรคผล
    นําความสงบ สันติ และความสุขที่แท้จริง สู่มนุษย์ได้


(หมายเหตุ : ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ictforall.org/ICT_for_All_Symposuim_2012/E_Proceeding_ICT_for_All_Symposium_2012.pdf)

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
www.komchadluek.net/detail/20121124/145587/ชาวพุทธตื่น!จัดถกเทคโนฯกับการสื่อสาร.html#.ULGDOWfvolh
19834  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "ทิฏฐธัมมิกัตถะ" ธรรมะที่ช่วยให้รวย เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 05:20:23 am


"ทิฏฐธัมมิกัตถะ" ธรรมะที่ช่วยให้รวย
     
     อยากรวยเชิญทางนี้...มีคาถาดีๆ มาฝาก
     หัวใจเศรษฐี มีที่มาจากคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้

     ทิฏฐธรรมมิกัตถะประโยชน์ คือประโยชน์ในปัจจุบัน ๔ อย่าง ได้แก่
     ๑.อุฎฐานสัมปทา คือ ถึงพร้อมด้วยความหมั่นเพียร ในการประกอบกิจเครื่องเลี้ยงชีวิตก็ดี ในการศึกษาเล่าเรียนก็ดี ในการทำธุระหน้าที่ของตนก็ดี
     ๒.อารักขสัมปทา คือ ถึงพร้อมด้วยการรักษา หมายถึงรักษาทรัพย์ที่แสวงหามาได้ด้วยความหมั่นเพียรไม่ให้เป็นอันตรายก็ดี รักษาการงานของตัวไม่ให้เสื่อมเสียไปก็ดี
     ๓.กัลยาณมิตตา คือ ความมีเพื่อนเป็นคนดี ไม่คบคนชั่ว
     ๔.สมชีวิตา คือ การเลี้ยงชีพตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หามาได้ ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ไม่ให้ฟุ่มเฟือยนัก

     ธรรมะ ๔ ข้อ ข้างบนนี้ เรียกว่า "ทิฎฐธัมมิกัตถะ" แปลว่า ประโยชน์ปัจจุบัน เป็นธรรมะที่คฤหัสถ์ผู้ปฏิบัติแล้ว ย่อมได้รับผลประโยชน์ในปัจจุบัน คือในชาตินี้ ประโยชน์ปัจจุบัน มีจุดหมายอยู่ที่การตั้วตัวให้เป็นหลักแหล่งไม่เป็นคนหลักลอย และการตั้งตัวนั้น จุดสำคัญอยู่ที่การมีทรัพย์


     
     ธรรมะ ๔ ข้อนี้ อำนวยประโยชน์โดยตรงในการตั้งตัว
     อาจารย์รุ่นก่อนท่านย่อไว้ให้จำขึ้นใจว่า "อุ-อา-กะ-สะ" คือ ถอดเอาอักขระนำหน้าของธรรมะ ๔ ข้อนั้น
     แล้วก็ว่ากันว่า สี่คำนี้เป็น "หัวใจเศรษฐี" แต่ละข้อมีความหมายดังนี้


    ๑.อุฎฐานสัมปทา คือ ความถึงพร้อมด้วยความหมั่น หมายความว่า เป็นคนมีความขยันขันแข็ง บึกบึน ไม่ย่อท้อ รุดหน้าในการทำงาน บุคคลที่ขาดธรรมข้อนี้ มักเกียจคร้าน จะขยันขันแข็งก็ต่อเมื่อถูกคนอื่นบีบบังคับ และจะขยันได้ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านเปรีบคนที่ขาดธรรมะข้อนี้ว่าเหมือน "กิ้งก่า" ซึ่งวิ่งไปหน่อยนึงก็หยุด ไม่เคยที่จะวิ่งไปรวดเดียวเหมือนสัตว์ชนิดอื่น
    ๒.อารักขสัมปทา คือ ความถึงพร้อมด้วยการอารักขา หมายความว่าให้มีนิสัยรักและบำรุงรักษาทรัพย์สินของตย ให้ปลอดภัย และเพิ่มพูนตามลำดับ บางคนแม้จะขยันทำมาหากิน มีรายได้มากพอสมควร แต่ไม่อาจตั้วตัวได้เพราะขาดธรรมข้อนี้ คือ รู้แต่จะหาทรัพย์ แต่ไม่รู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้ ซึ่งรวมความหมายของการอารักขาทรัพย์ดังนี้
        (๑) การป้องกันอันตรายแก่ทรัพย์ เช่นระวังผู้ร้าย ตีชิงวิ่งราวหรือลักทรัพย์ ไม่ควรใส่ของล่อตาโจร ไม่ไปในที่เปลี่ยวอาจโดนตีชิงวิ่งราวทรัพย์ และอาจทำให้เราถึงแก่ชีวิต และต้องระวังรักษาที่อยู่อาศัยให้ปลอดภัย ป้องกันอัคคีภัย ปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย เป็นต้น
        (๒) ทำการสะสมทรัพย์ คือ ให้อดออม มัธยัสถ์ สะสมไว้ทีละเล็กทีละน้อยจนได้มาก
        (๓) ป้องกันกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์ของเรา รักษาเอกสารสัญญา รักษาเอกสารสิทธิ์ให้ดี เป็นต้น
        (๔) ถนอมทรัพย์ ที่หามาได้ คือ ใช้อย่างทนุถนอม ให้ใช้การได้นานที่สุด
    ๓.กัลยาณมิตตา แปลว่าความเป็นคนมีมิตรดี คือให้คบคนดี ไม่คบคนชั่ว
    ๔.สมชีวิตา แปลว่าดำรงชีพอย่างเหมาะสม หมายถึงรู้จักจ่ายทรัพย์ให้เหมาสมกับการเลี้ยงชีพ ให้เหมาะกับรายได้ของตน


   
     ประโยชน์ของการมีทรัพย์ก็คือการจับจ่ายใช้สอยเลี้ยงตน เลี้ยงครอบครัว เลี้ยงบิดามารดา หาความสนุกเพลิดเพลินเป็นการพักผ่อน และบำเพ็ญบุญกุศล
     ใครที่มีทรัพย์แล้วไม่ใช้สอยเพราะความตระหนี่ กินอยู่อย่างแร้นแค้น
     แม้เจ็บไข้ก็ไม่กล้ารักษาตัวหรือทิ้งบิดามารดาให้ตกระกำลำบาก พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้นั้นเป็นคนโง่
     แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ทรงสอนให้เรารู้จักประมาณในการใช้ทรัพย์ให้เหมาะสม
    คุณธรรม ๔ ประการนี้ ปฏิบัติให้ครบ ฝึกให้เป็นนิสัย ก็สามารถตั้งตัวได้ จนเป็น "เศรษฐี"

 

ที่มา http://richeslover.blogspot.com/2011/10 ... st_16.html
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=42808 โพสต์โดยคุณwincha
ขอบคุณภาพจาก http://s.exaidea.com/,http://xn--12ca1ducec1gdtz3j6d.com/,http://2.bp.blogspot.com/
19835  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวพุทธเฮ.! รัฐบาลอัฟกานิสถาน "อนุรักษ์พุทธสถาน MesAynak" เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 05:02:32 am

ชาวพุทธเฮ.! รบ.อัฟกัน "อนุรักษ์ MesAynak"

ชาวพุทธเฮ!รัฐบาลอัฟกาฯยันมีนโยบายอนุรักษ์พุทธสถาน Mes Aynak ชี้เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ พร้อมต้อนรับคณะจากไทยตรวจสอบ

      นายแพทย์พรชัย พิญญพงษ์ ประธานองค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก และที่ปรึกษากมธ.ศาสนาฯ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ส่งหนังสือแจ้งความคืบหน้ากรณีผลคัดค้านการทำลายพุทธสถานและโบราณสถาน Mes Aynak โดยอ้างถึงรายงานจากเอกอัครราชทูตไทย ณ อิสลามาบัด สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ซึ่งมีเขตอาณาครอบคลุมอัฟกานิสถานว่า 
 
      เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เอกอัครราชทูตไทย ได้เข้าพบหารือกับนาย Mohammad Umer Daudzei เอกอัครราชทูตอัฟกานิสถานประจำปากีสถาน เพื่อแจ้งความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของโครงการเหมืองแร่ทองแดงของบริษัท China Metallurgical Group Corporation (MCC) ที่มีต่อพุทธสถานและโบราณสถาน Mes Aynak ในจังหวัด Logar ซึ่งเอกอัครราชทูตอัฟกานิสถานฯ ได้แจ้งท่าทีของรัฐบาลอัฟกานิสถานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนี้


     
     ๑.รัฐบาลอัฟกานิสถานได้ให้สัมปทานการทำเหมืองแร่ทองแดงแก่บริษัท MCC ตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ โดยมิได้ทราบมาก่อนว่า ในบริเวณที่ให้สัมปทานนั้นมีพุทธสถานอยู่ใต้ดิน จนกระทั่งเมื่อเริ่มสำรวจจึงพบว่า มีโบราณสถานอยู่ใต้ดิน
     รัฐบาลอัฟกานิสถานมีนโยบายที่จะอนุรักษ์โบราณสถานทั้งหมด
     โดยชะลอโครงการขุดเจาะไปนานกว่าหนึ่งปี และจะมิให้มีการขุดแร่ในบริเวณหลัก
( main location)
     ส่วนโบราณวัตถุที่ขุดค้นได้ในพื้นที่รอง ( minor location) รัฐบาลอัฟกานิสถานได้กำหนดให้ขนย้ายโบราณวัตถุไปเก็บรวมกันที่โบราณสถานในพื้นที่หลักและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของอัฟกานิสถาน


      ๒.รัฐบาลอัฟกานิสถานตระหนักดีถึงความสำคัญของโบราณสถาน Mes Aynak เนื่องจากโบราณวัตถุเหล่านี้เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและศาสนาของคนที่อาศัยอยู่ในอัฟกานิสถาน และรัฐบาลอัฟกานิสถานจะทำทุกวิถีทางที่จะอนุรักษ์โบราณสถานและโบราณวัตถุ ที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดี

      ๓.เอกอัครราชทูตอัฟกานิสถานฯ เสนอว่า รัฐบาลอัฟกานิสถานยินดีที่จะให้การต้อนรับคณะจากประเทศไทยที่จะเดินทางไปพุทธสถาน Mes Aynak เพื่อให้ประจักษ์ว่า รัฐบาลอัฟกานิสถานมีนโยบายที่จะรักษาโบราณสถานแห่งนี้ และพร้อมจะพาไปดูแหล่งโบราณสถานอื่นๆ ในประเทศ เช่น Bamiyan โดยรัฐบาลอัฟกานิสถานจะให้ความคุ้มครองและรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่


     
      ๔. ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตอัฟกานิสถานฯ ได้ยืนยันว่า  อัฟกานิสถานเป็นชาวเอเชีย พุทธสถานเป็นสมบัติของอัฟกานิสถานมิได้เป็นของจีน ครั้งหนึ่งชาวอัฟกันเคยเป็นชาวพุทธ ชาวอัฟกันมิใช่อาหรับ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงในด้านอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติ และเป็นหน้าที่ของประชาชนอัฟกานิสถานที่จะต้องรักษามรดกทางวัฒนธรรมของตน

      ๕.เอกอัครราชทูต ณ กรุงอิสลามาบัด ได้สอบถามกรณีที่ไม่ปรากฏข่าวเกี่ยวกับท่าทีและนโยบายของรัฐบาลอัฟกานิสถานต่อกรณี Mes Aynak และเสนอแนะว่า รัฐบาลอัฟกานิสถาน อาจประชาสัมพันธ์ในเรื่องนี้ให้สื่อมวลชนรับทราบอย่างกว้างขวาง

      นายแพทย์พรชัย กล่าวอีกว่า สำหรับความคืบหน้าในการลงชื่อคัดค้านทางเว็บไซต์ change.org มียอดผู้คัดค้านแล้วกว่า1แสนคนจากทั่วโลก และขอเชิญชวนชาวพุทธรวมถึงผู้ที่ต้องการให้มีการอนุรักษ์พุทธสถาน Mes Aynak ร่วมลงชื่อได้ในเว็บไซต์ดังกล่าวจนถึงวันที่ ๓๐ พ.ย.นี้



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121123/145519/ชาวพุทธเฮ!รบ.อัฟกันอนุรักษ์MesAynak.html#.UK_wpmfvolh
http://blogs.state.gov/, http://www.theartnewspaper.com/
19836  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สำนักพุทธฯ เผยรายชื่อ "วัดดีเด่นปี 2555" วัดสวนแก้ว-ได้ 'พัฒนาตัวอย่าง' เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 04:52:26 am



สำนักพุทธฯ เผยรายชื่อ "วัดดีเด่นปี 2555" วัดสวนแก้ว-ได้ 'พัฒนาตัวอย่าง
'

นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่า สำนักพุทธฯ ประกาศผลการคัดเลือกวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่น วัดพัฒนาตัวอย่าง และอุทยานการศึกษาในวัด ประจำปี 2555 ดังนี้

    วัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่น ได้แก่
    1.วัดหัตถสารเกษตร อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 2.วัดพะยอม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
    3.วัดบ้านใหม่สิริวัฒนาราม อ.หันคา จ.ชัยนาท 4.วัดบางปรงธรรมโชติการาม อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
    5.วัดประทุมเมฆ อ.เมือง จ.สุรินทร์ 6.วัดเพียนาม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
    7.วัดมงคลโกวิทาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี 8.วัดป่าศิลาวาส (ธ) อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู   
    9.วัดสุทัศน์ อ.จตุรพักตรพิมาน จ.ร้อยเอ็ด 10.วัดกลางเวียง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
  11.วัดป่าฝาง อ.ภูกามยาว จ.พะเยา 12.วัดคูยาง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร
  13.วัดท่าเกษม อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย 14.วัดกลางสุริยวงศ์ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก
  15.วัดเขตมงคล อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร 16.วัดบ้านฆ้องน้อย อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
  17.วัดวิมลโภคาราม อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี 18.วัดกุยบุรี อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
  19.วัดหมื่นระงับรังสรรค์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช 20.วัดคลองเปล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา





   วัดพัฒนาตัวอย่าง ได้แก่
    1.วัดเวฬุวนาราม เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 2.วัดสวนแก้ว อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี
    3.วัดตึก อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา 4.วัดกลางราชครูธาราม อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง
    5.วัดโพธาราม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท 6.วัดหนองเกตุใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
    7.วัดราษฎร์บำรุงวนาราม อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา 8.วัดสุวรรณ อ.เมือง จ.นครนายก
    9.วัดโพธิ์ทอง อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ 10.วัดระเบาะ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
  11.วัดโบราณ อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ 12.วัดสามัคคีชัย อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู
  13.วัดโพธิ์ร้อยต้น อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด 14.วัดเวฬุวัน (ธ) อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์
  15.วัดศรีชมภู อ.นาหว้า จ.นครพนม 16.วัดร่ำเปิง อ.เมือง จ.เชียงใหม่
  17.วัดป่าเห็ว อ.เมือง จ.ลำพูน 18.วัดธรรมาธิปไตย อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์
  19.วัดสูงเม่น อ.สูงเม่น จ.แพร่ 20.วัดดอนมูลชัย อ.เมือง จ.ตาก
  21.วัดบึงภูเต่า อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย 22.วัดคลองเมือง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
  23.วัดท่าคอย อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี 24.วัดอนุภาษกฤษฎาราม อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต
  25.วัดดอนกะถิน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNVEl6TVRFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB5TXc9PQ==
http://ho.files-media.com/,http://www.watyanglaungporto.com/
19837  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เป็นข่าวดี.! ของบรรดาชาวโลกโดยทั่วกัน เหตุการณ์ของโลก..'อีก 40 ปี จะสงบลง' เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 04:41:14 am


เป็นข่าวดีของบรรดาชาวโลกโดยทั่วกัน เหตุการณ์ของโลกในอนาคตจะสงบลง

นับเป็นข่าวดีของชาวโลกทั้งหลาย เมื่อนัก วิจัยนอร์เวย์ศึกษาวิเคราะห์ทางสถิติพบว่า โลกในอนาคตจะสงบลงยิ่งขึ้น ในยุคราวสัก 40 ปีข้างหน้า จะเหลือชาติที่ยังคงมีความขัดแย้งกันภายในแค่จำนวนครึ่งเดียว

    สมัยเมื่อปี พ.ศ.2535 มีชาติที่จับอาวุธห้ำหั่นกันเองมากถึงเกือบ 1 ใน 4
    พอมาถึงปี พ.ศ.2552 สัดส่วนลดลง เหลือแค่ 1 ใน 6 เท่านั้น
    และหากเป็นไปตามแนวนี้ ในยุคปี พ.ศ.2593 จะมีเหลือเพียง 1 ใน 12


ศาสตราจารย์ฮาวาร์ด เฮเกอร์ คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยออสโล ร่วมกับสถาบันวิจัยสันติภาพออสโล ศึกษาเรื่องนี้ กล่าวชี้แจงว่า เราทำงานกันอย่างหนักในการคิดวิธีทางสถิติ ที่ทำให้สามารถพยากรณ์ถึงปัญหา ความขัดแย้งที่เกิดในอนาคตได้ ความขัดแย้งนี้หมายถึงการต่อสู้ด้วยกำลังระหว่างรัฐบาลกับองค์การทาง
การเมือง จนมีผู้คนล้มตายไม่ต่ำกว่า 25 ราย


   เขาสรุปว่า จำนวนชาติที่ยังคงมีความขัดแย้งภายในกำลังลดลง คาดว่ามันจะยิ่งลดต่ำลงเรื่อยๆ
   “เราคาดว่ามันจะลดลงเป็นลำดับในช่วง 40 ปีข้างหน้า การรบพุ่งด้วยความรุนแรงระดับสูงอย่างที่เป็นอยู่ในซีเรีย นับวันจะยิ่งหายากมากขึ้น”.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/308068
19838  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวจีน 2 ตายายไม่ยอมถูกไล่ที่ ปล่อยบ้านตั้งตระหง่านกลางถนน (ชมภาพ) เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 04:34:17 am


ชาวจีน 2 ตายายไม่ยอมถูกไล่ที่ ปล่อยบ้านตั้งตระหง่านกลางถนน

ชาวจีน 2 ตายาย ไม่ยอมให้รัฐทุบที่อยู่อาศัย ในมณฑลเจ้อเจียง เพื่อก่อสร้างถนน เผยยอมปล่อยให้บ้านตั้งขวางกลางเส้นทางจราจร ดีกว่าถูกรัฐกดค่าชดเชย...

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 22 พ.ย. ว่า นายหลู เป่าเกิน ชายวัยสูงอายุ และภรรยา จากเมืองเหวินหลิง มณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของประเทศ
    ปฏิเสธเซ็นสัญญาขายบ้าน และไม่ยินยอมให้ผู้รับเหมาก่อสร้างทุบทำลาย เพื่อสร้างถนนตัดผ่านเมือง
    โดยให้เหตุผลว่า ค่าชดเชยที่รัฐบาลเสนอมานั้นไม่เพียงพอหากจะนำไปสร้างที่อยู่อาศัยแห่งใหม่


ทั้งนี้ ปัจจุบันมีการก่อสร้างและทุบทำลายบ้านเรือนในละแวกเดียวกันทั้งหมดแล้ว ส่วนถนนเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ โดยมีบ้านของคุณตาคุณยายคู่ดังกล่าว ตั้งตระหง่านอยู่กลางทาง ส่วนทั้ง 2 ตายาย ยังคงใช้ชีวิตตามปกติราวกลับไม่มีอะไรน่ากังวล

อย่างไรก็ดี ถนนสายใหม่ตัดทะลุหมู่บ้านเซียจางหยาง เพื่อไปยังสถานีรถไฟเหวินหลิง ซึ่งขณะนี้มีรถแล่นผ่านบ้างแล้ว แต่ยังไม่เปิดใช้อย่างเป็นทางการ.






ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/oversea/308185
19839  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มมร.สร้าง "ระฆังอโศกพุทธชยันตี" เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 04:26:49 am

มมร.สร้าง "ระฆังอโศกพุทธชยันตี"

พระครูปรีชาธรรมวิธาน รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) เปิดเผยว่า ตามที่มหามกุฏฯ ได้จัดพิธีเททองหล่อระฆังอโศกพุทธชยันตี ตามดำริของสมเด็จพระญาณวโรดม อดีตอธิการบดีและอุปนายกสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏฯ มีสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ นายกสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏฯ เป็นประธานในพิธีเมื่อวันที่ 7 พ.ย.

การจัดสร้างระฆังดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามดำริของสมเด็จพระญาณวโรดม ทั้งยังเป็นการจัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ เฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเพื่อเป็นการประกาศความรุ่งเรือง มั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา

     ซึ่งระฆังดังกล่าวเป็นระฆังขนาดใหญ่สูง 180 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 100 เซนติเมตร
     ใช้ทองแดง และเงินในการสร้าง เพื่อต้องการให้เกิดความดังกังวานมากที่สุด
     ทั้งนี้ระฆังดังกล่าวจะมีการสร้างเป็นศิลปะสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีรูปปั้นสิงห์อโศกอยู่ด้านบนระฆัง
     โดยน้ำหนักของระฆังนี้จะมีน้ำหนักประมาณ 2 ตัน ใช้งบประมาณในการจัดสร้างประมาณ 1.5 ล้านบาท




   
    แม้ระฆังอโศกพุทธชยันตี จะไม่ใช่ระฆังที่ใหญ่ที่สุด
    แต่เชื่อว่าจะเป็นระฆังที่เมื่อตีแล้วมีความดังก้องกังวานมาก
    เพราะทางมมร.ได้มีการตั้งทีมศึกษาเพื่อให้ระฆังมีความดังกังวานมากที่สุด
    โดยใช้เวลาศึกษาอยู่ถึง 2 ปี
   
    ทั้งนี้คาดว่าในการจัดสร้างระฆังดังกล่าวจะแล้วเสร็จประมาณเดือนธ.ค.นี้
    จากนั้นจะนำไปประดิษฐานยังหอนาฬิกาน้ำ มหามกุฏฯ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ต่อไป



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNekl5TVRFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB5TWc9PQ==
http://upload.wikimedia.org/,http://www.tsa-bhu.org/
19840  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดเผยรูปร่างลักษณะ "สมองไอน์สไตน์" ผิดแผกแตกต่างกับของ..มนุษย์ส่วนใหญ่ เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 04:17:48 am


เปิดเผยรูปร่างลักษณะ "สมองไอน์สไตน์"
ผิดแผกแตกต่างกับของ..มนุษย์ส่วนใหญ่

อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมหาวิทยาลัยรัฐฟลอริดา อเมริกา เพิ่งเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ไอน์สไตน์นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ ผู้มีชื่อเสียงของโลก มีมันสมองต่างกับมนุษย์ส่วนใหญ่ สติปัญญาของเขาถึงได้เลอเลิศ


ศาสตราจารย์ดีน ฟอล์ค อาจารย์วิชามานุษยวิทยากับคณะกล่าวเปิดเผย ลักษณะสมองของไอน์สไตน์แก่โลกเป็นครั้งแรก หลังจากการศึกษาภาพถ่ายมันสมองไอน์สไตน์ ที่เพิ่งค้นพบ 14 รูป และเปรียบเทียบกับสมองคนปกติ 85 คน

“แม้ว่าขนาดรวมทั้งหมดและรูปร่างของ 2 ด้านไม่เท่ากันตามอย่างปกติ แต่สมองส่วนข้างกระหม่อม ส่วนที่เกี่ยวกับความรู้สึกที่รับเข้ามาจากผิวหนังและเนื้อเยื่อชั้นลึกส่วนด้านกระหม่อม ส่วนด้านกลีบหน้าผากนั้น นับว่าแปลกเป็นพิเศษ” อาจารย์ดีนให้ความเห็นว่า “มันอาจจะเป็นรากฐานทางประสาทวิทยาในความสามารถทางด้านการคำนวณของเขา”

เมื่อไอน์์สไตน์ถึงแก่กรรมลง เมื่อ พ.ศ. 2498 มันสมองของเขาถูกนำออกมานอกร่างและถูกถ่ายภาพไว้หลายแง่หลายมุม แต่รูปถ่ายเหล่านั้นส่วนใหญ่ได้สูญหายไปนานเกือบ 55 ปี ส่วนรูปถ่ายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แพทย์และสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐฯ.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/307772
หน้า: 1 ... 494 495 [496] 497 498 ... 556