ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 637 638 [639] 640 641 ... 708
25521  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ขันติ เป็นตบะอย่างยิ่ง เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2011, 06:06:40 am

ขันติ เป็นตบะอย่างยิ่ง

           "สีลสม ธิคุณานํ ขนฺติ ปธานการณํ สพฺเพปิ กุสลา ธมฺมา ขนฺตฺยาเยว วฑฺฒนฺติ เต"

พระพุทธศาสนสุภาษิต บทนี้แปลความว่า …..
          “ขันติเป็นประธาน เป็นเหตุ แห่งคุณคือศีลและสมาธิ กุศลธรรมทั้งปวงย่อมเจริญ เพราะขันติเท่านั้น”

ขันติ ความอดทน ความทนทาน อย่างสามัญ อย่างสามัญที่มีความอดกลั้นเป็นลักษณะ เรียกว่า อธิวาสนขันติ ขันติคือความอดกลั้น เช่น ทนตรากตรำต่อ หนาว ร้อน หิว กระหาย เป็นต้น ทนลำบากต่อทุกขเวทนาในเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ทนต่อความเจ็บใจ ต่อถ้อยคำ จาบจ้วงล่วงเกิน

เพราะสิ่งที่อดทนเหล่านี้มีเกิดขึ้นอยู่ที่กาย ใจ ปรากฎมีหนาว ร้อน หิว กระหาย มีทุกขเวทนา มีความเจ็บใจ จึงอดกลั้นไว้ หนาว ร้อน หิว กระหาย ก็อดกลั้นตามที่ควรอดกลั้น เจ็บปวดก็อดกลั้นไม่ร้องทุรนทุราย เจ็บใจก็อดกลั้นไม่แสดงอาการโกรธร้ายแรงทางกาย วาจา อดกลั้นให้อยู่ในใจ

และพิจารณาระบายออก ทำให้ผ่อนคลาย ไม่ให้เครียด ให้สงบ ใจจึงแจ่มใสแช่มชื่น กายก็สงบเป็นปกติ อาการดังนี้เรียกว่า โสรัจจะ ที่แปลว่าความเสงี่ยม คือ สงบปกติ ขันติที่สมบูรณ์จึงต้องมีโสรัจจะ ประกอบอยู่ด้วย การหัดอดกลั้นและทำใจให้สงบ เป็นปกติในเวลาต้องอนิฏฐารมณ์

คือเรื่องที่ไม่ชอบ ย่อมยากในตอนแรก แต่เมื่อหัดปฏิบัติบ่อยเข้า ก็จะง่ายขึ้น จนถึงทำจิตให้สงบเป็นปกติได้ มีอาการมั่นคง มีอารมณ์อะไรมากระทบกระทั่งก็ไม่กระเทือน [/color

ขันติก็เลื่อนขึ้นเป็นมีความทนทานเป็นลักษณะ เรียกว่า ตีติกขาขันติ ขันติ คือ ความทนทาน
ดังที่ตรัสไว้ในโอวาทปาฎิโมกข์ว่า ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ขันติ คือ ความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง
]

ขันติเป็นอลังการวิเศษ อำนวยผลแก่ผู้ที่มีอยู่ทุกคน เพราะผู้ที่มีจิตใจเข็มแข้งอดทนสงบอยู่เป็นปกติ ทนทานได้ทุกสถานการณ์ ย่อมชื่อว่าได้ที่ตั้งรับอันมั่นคง เป็นผู้ชนะในขั้นที่ตั้งรับแล้ว ทำให้สามารถปฎิบัติกิจหน้าที่ให้สำเร็จ




บทความของ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
http://www.sangtham-songjai.net/index.php?option=com_content&view=article&id=351:2011-10-11-07-13-04&catid=34:2011-07-20-11-21-54&Itemid=157
ขอบคุณภาพจาก http://www.dmc.tv/,http://www.sangtham-songjai.net/
25522  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำไม ขึ้น พ.ศ.ใหม่ พร้อม ค.ศ. ? เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2011, 05:19:58 am

ที่มาของรูปครับ http://www.rd1677.com/rd_korat/open_korat.php?id=69316

ทำไม ขึ้น พ.ศ.ใหม่ พร้อม ค.ศ. ?

วันนี้น้องชายผมถามว่า ทำไม พ.ศ. ถือขึ้นปีใหม่พร้อมกับ ค.ศ.  ผมก็ตอบน้องเค้าไป … ผมว่าคำถามนี่น่าสนใจดีนะครับ แล้วก็รู้สึกว่าน่าเอามาเล่าในบล๊อก

ทำไมถึงเปลี่ยน พ.ศ. พร้อม ค.ศ.

แต่เดิมไทยขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน ครับ จนมาถึงสมัยของจอมพลป. ท่านได้มีไอเดียเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ให้เป็นวันที่ 1 มกราคม เพื่อความเป็นสากลของประเทศไทยครับ เพื่อที่เราจะได้เปลี่ยนปีพร้อมกับฝรั่งเค้า

โดยเริ่มเปลี่ยนการนัับครั้งแรกนี้ในปี พ.ศ. 2484 ครับ นั่นก็คือทำให้ปี พ.ศ. 2483 มีเพียง 9 เดือน

วันสงกรานต์ คือ ปีใหม่แบบไทย จริงหรือ?

ถ้าจะว่ากันจริงๆแล้ว วันสงกรานต์คือวันปีใหม่ของแขก(อินเดีย)ครับ แต่ไทยไปรับมาใช้ในภายหลัง ซึ่งการที่เรากำหนดว่าต้องเป็นที่ 13เมษานั้น ก็เป็นกำหนดให้จำกันได้ง่ายๆ เพราะว่าจริงๆแล้ว การนับขึ้นปีใหม่นั้น เค้าจะถือเอาวันที่พระอาทิตย์ย้ายเข้าไปในราศีเมษ ซึ่งวันก็จะไม่ตรงกันในแต่ละปี แต่เพื่อให้ง่ายที่จะจำ ก็เหมาๆเอาเป็นวันที่ 13เมษาไป

แล้วจริงๆพ.ศ.เปลี่ยนวันใหน?

จริงๆแล้งพ.ศ.เนี่ย ก็คือการนับว่า พระพุทธเจ้าของเราท่านได้ปรินิพพานไปแล้วกี่ปี นั่นคือ ถ้าจะเอาให้ถูกต้องแล้ว เราต้องขึ้นพ.ศ.ใหม่กันวัน วิสาขบูชาครับ

เอาเข้าจริงไทยก็นับพ.ศ.แปลกจากประเทศเถรวาทอื่นๆ

เอาเข้าลึกๆแล้วเนี่ย พี่ไทยเราก็นับพ.ศ.ไม่เหมือนกับชาวบ้านอีกครับ คือ ประเทศเถรวาทอื่นๆเช่นพม่าจะมีปีพ.ศ.มากกว่าเรา1ปี มันก็มีเหตุผลง่ายๆครับ

ไทยเราจะนับอย่างนี้ครับว่า เมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานครบ 1 ปี เราถึงนับเป็นปีที่1 โดยบอกว่า ตอนนี้พระพุทธเจ้าท่านได้ปรินิพพานไปแล้ว 1 ปี

ประเทศอื่นๆเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานปุ๊ปเค้านับ 1 เลยครับ พอผ่านไป 1 ปีเค้าก็นับ 2 โดยเค้าบอกว่า นี่คือปีที่1แห่งการปรินิพพาน พอครบปีนึงก็นับ 2 โดยบอกว่า นี่เข้าสู้ปีที่ 2 ของการปรินิพพาน

แล้วปีใหม่จริงๆของคนไทยหล่ะ

จะเห็นว่า เรานับปีใหม่ตามหลักศาสนาบ้าง ตามหลักสากลบ้าง ตามหลักความที่รับเข้ามาบ้าง … แล้วคนไทยดั้งเดิมจริงๆมีวันปีใหม่มั้ย … มีครับ แต่ทุกคนคงนึกไม่ถึง

วันปีใหม่ของคนไทยดั้งเดิมจริงๆคือ “วันลอยกระทง” ครับ หลักฐานที่ยังหลงเหลืออยู่คือ การนับเดือนแบบไทยครับ ลอยกระทงวันเพ็ญเดือน 12 เสร็จแล้วก็เข้าสู่เดือนอ้าย (เดือน1) ในช่วงธันวาคม เห็นมั้ยครับ ว่าเรานับเดือนแบบไทยกันอย่างนี้


ที่มาของรูปครับ http://www.rd1677.com/branch.php?id=46049

ถามว่าแล้ววันลอยกระทงสำคัญยังไง คือวันลอยกระทงเป็นวันเปลี่ยนฤดูครับ สิ้นสุดฤดูฝน เก็บเกี่ยวเรียบร้อย แล้วมาเฉลิมฉลองกัน


อ้างอิง http://trang82.wordpress.com/page/2/?archives-list&archives-type=cats
25523  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / แก้กรรม ตามหลักพุทธเถรวาท เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2011, 05:10:50 am


แก้กรรม ตามหลักพุทธเถรวาท
ป.อ.ปยุตโต, พระพรหมคุณาภรณ์

ช่วงนี้มีข่าวออกมาเยอะมากเรื่องเกี่ยวกับการแก้กรรม ตามเวปต่างๆก็คุยกันไป เนื้อหาที่คุยก็กระจัดกระจายหลากหลาย และ ส่วนมากก็ใช้อารมณ์ซะมากกว่า

จริงๆแล้วผมก็ไม่มีความรู้อะไรแบบนี้เลยครับ แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมา ก็เลยลองมาค้นๆดูว่า จริงๆแล้วเนี่ย กรรมมันแก้ได้มั้ย?

**************************************

เรื่องนี้ถ้าเราจะคิดแบบให้เข้าใจง่าย ก็คงต้องแบ่งคำถามเป็นส่วนๆแล้วค่อยๆดูกัน

    ตามหลักพุทธเถรวาทแล้ว กรรมเก่ามีจริงมั้ย
    กรรมเก่าแก้ได้มั้ย
    ถ้าแก้ได้ แก้กรรมเก่าอย่างไรดี


**************************************

ตามหลักพุทธเถรวาทแล้ว กรรมเก่ามีจริงมั้ย

พุทธเถรวาทของเรา มีหลักการและมุมมองที่ชัดเจนเลยครับว่า กรรมเก่ามีจริง โดยท่านสอนไว้ประมาณว่า สิ่งที่ทำไปแล้ว ก็จะให้ผลกลับมา ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า

กรรมเก่าแบบสั้นๆคือ ถ้าเราไปต่อยผนัง มือเราก็เจ็บ … มือเจ็บเนี่ยเป็นผลที่เราทำกรรมคือเอามีไปต่อยกำแพง … กรรมเก่าแบบยาวหน่อยคือ สูบบุหรี่ สูบวันนี้ พรุ่งนี้ไม่เป็นไร แต่พอผ่านไปเป็นสิบๆปีก็เป็นมะเร็ง ส่วนกรรมเก่าเป็นยาวๆก็ข้ามภพข้ามชาติกันเลยทีเดียว

พระไตรปิฏกได้เขียนเรื่องกรรมเ่ก่าไว้เยอะเลยครับ ตัวอย่างง่ายๆคือ อดีตชาติของพระพุทธเจ้าท่าน  ว่าท่านได้เคยบำเพ็ญบารมีอะไรมาบ้าง เช่นว่า เป็นพระเวสสันดรเป็นต้น ด้วยบุญบารมีความดีที่ท่านได้ทำมาจนเต็มเปี่ยมแล้ว ทำให้ชาติสุดท้้ายพระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้า

บางคนอาจจะบอกว่า กรรมเก่าเป็นเรื่องของความเชื่อ ไม่มีจริงหรอก … อันนี้ก็แล้วแต่มุมมองนะครับ เพียงแต่ว่า ตอนนี้ผมกำลังมองในมุมของศาสพุทธเถรวาท ซึ่งทางศาสนาท่านก็ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า กรรมเก่านั้นมี


**************************************

กรรมเก่าแก้ได้มั้ย

อันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกันนะ ว่าแก้ได้มั้ย แต่เมื่อลองเข้าไปอ่านในพระไตรปิฏกดูแ้ล้ว เห็นว่า ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้า ท่านทรงแก้กรรมให้กับตัวท่านเอง หรือ สาวกท่านใดๆเลย

    - พระพุทธเจ้า ท่านโดนกรรมเก่าเล่นงาน โดยถูกพระเทวทัตกลิ้งหินลงทับจนนิ้วห้อเลือด … ทำไมท่านไม่แก้กรรมให้ตัวเอง?
    - พระโมคคัลลนะเคยทุบพ่อแม่จนตายเมื่อหลายชาติก่อน ชาติสุดท้ายนี้ ท่านก็โดยโจรทุบจนร่างแหลกเหลว … ทำไมท่านไม่แก้กรรมให้ตัวเอง?
    - พระนางสามาวดี เมื่อหลายชาติก่อน เคยเผาพระปัจเจกพุทธเจ้า ชาติสุดท้ายเลยโดยไฟครอกตาย … ทำไม พระพุทธเจ้าไม่แก้กรรมให้?
    - ญาติพระพุทธเจ้า เคยทำกรรมร่วมกันมา ทำให้ชาติสุดท้าย โดยฆ่าล้างตระกูล … ทำไมพระพุทธเจ้าไม่แก้กรรมให้?


เราจะเห็นได้ว่า เรื่องแก้กรรมนั้น ไม่มีในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้า และ พระสาวกทั้งหลาย ต่างไม่เคยแก้กรรมให้ตัวท่านเองเลย

ที่มาของรูป  http://kttpngart.multiply.com/photos/album/26/26

จริงๆแล้ว ถ้าผมจำไม่ผิด พระพุทธเจ้าเคยช่วยต่ออายุให้เด็กคนนึงครับ

คือ มีเด็กคนนึงเกิดมา แล้วหมอดูบอกว่า จะอยู่ได้แค่7วัน พ่อแม่เด็กเลยพากันไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านทราบว่า มียักษ์ตนนึงจ้องจะมาจับเอาเด็กไป พระพุทธเจ้าท่านเลยให้พระทั้งหลายนั่งล้อมเด็กไว้และสวดมนต์ตลอดเจ็ดวัน ทีนี้ พอพระระดับสำคัญๆมากันหมด เทวดาทั้งหลายก็มากันด้วย ยักษ์ซึ่งเป็นเทพผู้น้อยเลยไม่มีโอกาสทำร้ายเด็ก และทำให้เด็กนั้นรอดตายในที่สุด

พ่อแม่เด็กดีใจที่ลูกไม่ตาย และภายหลักเด็กนั้นได้ออกบวช และ บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

ซึ่งเราจะเห็นว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านช่วยนั่น ท่านเล็งผลพระโยชน์สูงสุดคือ พระอรหันต์

**************************************

ถ้าแก้ได้ แก้กรรมเก่าอย่างไรดี

คือจริงๆแล้ว กรรมเก่าเนี่ยจะแก้ได้หรือเปล่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ใครทำแล้วสบายใจก็ทำไปแล้วกัน แต่รู้สึกว่า เรื่องแบบนี้มันมีเยอะมากในสังคมไทย และ ก็ไม่ค่อยมีคนบอกให้ชาวบ้านต่างๆรู้ว่า จริงๆแล้วควรจะแก้กรรมอย่างไ้รให้ถูกหลักพุทธ

ถ้าใครอยากจะไปแก้กรรม ก็แล้วแต่ความสบายใจเลยครับ เพียงแต่ต้องดูและรู้ตัวด้วยว่า ที่กำลังทำอยู่นั้น สอดคล้องกับหลักของพุทธมั้ย

พระพรหมคุณาภรณ์เคยสอนไว้ครับว่า หลักของศาสนาพุทธเราคือ “หลักของการพัฒนาตน”

    - ถ้าที่เราทำไปนั้นเป็นการพัฒนาตน คือ ทานดีขึ้น ศีลดีขึ้น สติ สมาธิดีขึ้น อันนี้โอเค เข้ากับหลักพุทธ
    - ถ้าไอ้ที่เราทำไปนั้นเป็นการ พึ่งคนอื่น อ้อนวอน หวังผลดลบันดาล กระทำตนเหมือนเดิม อันนี้ก็ไม่ใช่หลักพุทธ


นั่นคือ ถ้าอยากจะไปแก้กรรม แล้วมีคนแนะนำให้ไป ทำบุญ ถือศีล ทำทาน ฝึกเจริญสติ … อันนี้เข้ากับหลักพุทธ ให้ทำตามได้ แต่จะแก้กรรมได้จริงหรือเปล่านี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

แต่ถ้ามีคนแนะนำให้ไปแก้กรรมโดยทำผิดศีลเช่น ฆ่าไก่สังเวย แบบนี้คงไม่ใช่การแก้กรรมในหลักพุทธแล้ว แถมจะได้บาปเพิ่มขึ้นมาอีกเปล่าๆ


อ้างอิง http://trang82.wordpress.com/page/2/?archives-list&archives-type=cats
25524  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฟ้องพระเทพปริยัติวิมล ตั้งตนเองเป็นอธิการมหามกุฏฯ ผิด พ.ร.บ. เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2011, 04:08:30 am


ฟ้องพระเทพปริยัติวิมล ตั้งตนเองเป็นอธิการมหามกุฏฯ ผิด พ.ร.บ.

    ประธานชมรมคณาจารย์และเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยเตรียมฟ้อง ศธ. เหตุ "พระเทพปริยัติวิมล" แต่งตั้งตนเองเป็นอธิการบดีมหามกุฏฯ โดยไม่ได้จัดประชุมสภาเพื่อพิจารณาคัดเลือก... 

      เมื่อวันที่ 28 พ.ย. นายบรรณฑูรย์ บุญสนอง ประธานชมรมคณาจารย์และเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) กล่าวว่า ตามที่ พระเทพปริยัติวิมล อธิการบดี มมร. หมดวาระการดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 24 ต.ค.2554 โดยขณะนี้ยังไม่มีพระบัญชาจากสมเด็จพระสังฆราช แต่งตั้งอธิการบดีรูปใหม่ ตามที่สภมหาวิทยาลัยเสนอให้แต่งตั้ง พระเทพปริยัติวิมล

      ขณะเดียวกันตนได้รับข้อมูลภายใน ซึ่งเชื่อถือได้ว่าการเสนอพระบัญชาแต่งตั้งอธิการบดี ได้ถูกยับยั้งและส่งกลับให้สภามหาวิทยาลัยตรวจสอบความถูกต้องของกระบวนการสรรหา เนื่องจากพบว่า ยังไม่ผ่านกระบวนการสรรหาตามบทบัญญัติข้อ 4 แห่งข้อบังคับ มมร. ว่าด้วยการดำเนินการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งบริหารในมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2541 ที่ระบุว่า

     การแต่งตั้งอธิการบดี ให้นายกสภามหาวิทยาลัยจัดประชุมสภามหาวิทยาลัย เพื่อพิจารณาคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมตามมาตรา 26 พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ.2540 ตามที่คณะกรรมการสรรหาอธิการบดีเสนอ และดำเนินการเพื่อกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง โดยจะต้องดำเนินการให้เสร็จไม่น้อยกว่า 3 เดือน ก่อนผู้ที่ดำรงตำแหน่งจะพ้นวาระ

     แต่พบว่ายังไม่มีการดำเนินการดังกล่าว และทางพระเทพปริยัติวิมลกลับเสนอตัวเองในการประชุมสภามหาวิทยาลัย โดยที่ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการสรรหาแต่อย่างใด นายบรรณฑูรย์ กล่าวต่อว่า จากสภาพการณ์ดังกล่าว ส่งผลต่อการบริหารองค์กรของ มมร. ดังนี้

     1. มมร.ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.2554 และสภามหาวิทยาลัยยังไม่ได้แต่งตั้งบุคคลใดๆ เป็นผู้รักษาการแทนอธิการบดี
 
     2. ตำแหน่งรองอธิการบดีและตำแหน่งผู้ช่วยอธิการบดีในทุกวิทยาเขตได้ว่างลงตามการหมดวาระของอธิการบดีเช่นกัน และทางสภามหาวิทยาลัยก็ยังไม่แต่งตั้งใครขึ้นมาดำรงตำแหน่ง จึงทำให้ขณะนี้ มมร.เกิดสุญญากาศทางการบริหาร
     ขณะเดียวกัน การที่พระเทพปริยัติวิมล ลงนามคำสั่งแต่งตั้งตนเองเป็นรักษาการอธิการบดี รวมทั้งแต่งตั้งรักษาการรองอธิการบดี และรักษาการผู้ช่วยอธิการบดี เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2554 จึงถือว่าไม่ชอบด้วกฎหมา


     ดังนั้น ในวันที่ 29 พ.ย. เวลา 08.30 น. ตนและตัวแทนบุคลากร มมร. ทุกวิทยาเขต จะเดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ เพื่อขอให้ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวด้วย.


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/219847
25525  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: โลกุตรสมาธิ คืออะไร เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2011, 08:46:49 am


อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ ปัญจังคิกวรรคที่ ๓
๗. สมาธิสูตร

               อรรถกถาสมาธิสูตรที่ ๗               
               พึงทราบวินิจฉัยในสมาธิสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า อปฺปมาณํ ได้แก่ โลกุตรสมาธิอันเว้นจากธรรมที่กำหนดประมาณได้.
               บทว่า นิปกา ปติสฺสตา ได้แก่ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยปัญญารักษาตนและสติ.
               บทว่า ปญฺจ ญาณานิ ได้แก่ ปัจจเวกขณญาณ ๕.
               บทว่า ปจฺจตฺตญฺเญว อุปฺปชฺชนฺติ แปลว่า ย่อมเกิดขึ้นในตนเท่านั้น.


               ในบทเป็นต้นว่า อยํ สมาธิ ปจฺจุปฺปนฺนสุโข เจว ท่านประสงค์เอาอรหัตผลสมาธิ. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า มคฺคสมาธิ ดังนี้ก็มี.
               จริงอยู่ สมาธินั้นชื่อว่าเป็นสุขในปัจจุบัน เพราะเป็นสุขในขณะที่จิตแน่วสนิท. สมาธิต้นๆ มีสุขเป็นวิบากในอนาคต เพราะเป็นปัจจัยแก่สมาธิสุขหลังๆ แล.

               สมาธิชื่อว่าเป็นอริยะ เพราะไกลจากกิเลสทั้งหลาย.
               ชื่อว่านิรามิส เพราะไม่มีอามิสส่วนกาม อามิสส่วนวัฏฏะ อามิสส่วนโลก.
               ชื่อว่ามิใช่ธรรมที่คนเลวเสพ เพราะเป็นสมาธิอันมหาบุรุษมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเสพแล้ว.
               ชื่อว่าสงบ เพราะสงบอังคาพยพ คือก าย สงบอารมณ์และสงบจากความกระวนกระวายด้วยอำนาจสรรพกิเลส.
               ชื่อว่าประณีต เพราะอรรถว่าไม่เดือดร้อน.
               ชื่อว่าได้ความรำงับ เพราะความรำงับกิเลสอันตนได้แล้ว หรือตนได้ความรำงับกิเลส.


               บทว่า ปฏิปฺปสฺสทฺธํ ปฏิปฺปสฺสทฺธิ นี้ โดยความได้เป็นอันเดียวกัน
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าได้ความรำงับ เพราะผู้มีกิเลสอันรำงับ หรือผู้ไกลจากกิเลสได้แล้ว.
               ชื่อว่าถึง เอโกทิ เพราะถึงด้วยความมีธรรมเอกผุดขึ้น หรือถึงความมีธรรมเอกผุดขึ้น.


               ชื่อว่าไม่ต้องใช้ความเพียรข่มห้าม เพราะไม่ต้องใช้จิตอันมีสังขารคือความเพียรข่มห้ามกิเลสอันเป็นข้าศึกบรรลุ เหมือนอย่างสมาธิของผู้ที่ยังมีอาสวะอันไม่คล่องแคล่ว ภิกษุเมื่อเข้าสมาธินั้นหรือออกจากสมาธินั้น ย่อมมีสติเข้ามีสติออก หรือว่ามีสติเข้ามีสติออก โดยกาลตามที่กำหนดไว้ เพราะเป็นผู้ไพบูลย์ด้วยสติ

               เพราะฉะนั้น ปัจจยปัจจเวกขณญาณ ความรู้พิจารณาเห็นปัจจัยในสมาธินี้อันใด เกิดขึ้นเฉพาะตัวเท่านั้นแก่ภิกษุผู้พิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า สมาธินี้มีสุขในปัจจุบันและมีสุขเป็นวิบากในอนาคต ปัจจยปัจจเวขณญาณนั้นก็เป็นญาณอย่างหนึ่ง.

               ในบทที่เหลือก็นัยนี้.
               ญาณ ๕ เหล่านี้ย่อมเกิดเฉพาะตนเท่านั้นด้วยประการฉะนี้.

               จบอรรถกถาสมาธิสูตรที่ ๗     
       


http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=27
ขอบคุณภาพจาก http://trang82.files.wordpress.com/


     เพื่อนๆลองให้ความหมายของคำว่า"โลกุตรสมาธิ" ตามความเข้าใจและตามอัธยาศัย
     ผมมีอีกคำ คือ "เอโกทิภาวะ" คำนี้ในสายของพระอาจารย์ปราโมทย์น่าจะเคยได้ยิน เพื่อนๆคิดว่าคืออะไรครับ

      :49:
25526  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / โลกุตรสมาธิ คืออะไร เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2011, 08:31:18 am


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

๗. สมาธิสูตร

         [๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีปัญญารักษาตน มีสติเจริญสมาธิหาประมาณมิได้เถิด เมื่อเธอมีปัญญารักษาตน มีสติ เจริญสมาธิหาประมาณมิได้อยู่ ญาณ ๕ อย่าง ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตน
          ญาณ ๕ อย่างเป็นไฉน คือ ญาณย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตนว่า


          สมาธินี้มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไป ๑
          สมาธินี้เป็น อริยะ ปราศจากอามิส ๑
          สมาธินี้อันคนเลวเสพไม่ได้ ๑
          สมาธินี้ละเอียด ประณีต ได้ด้วยความสงบระงับ บรรลุได้ด้วยความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น และมิใช่บรรลุได้ด้วยการข่มธรรมที่เป็นข้าศึก ห้ามกิเลสด้วยจิตอันเป็นสสังขาร ๑
          ก็เราย่อมมีสติเข้าสมาธินี้ได้ มีสติออกจากสมาธินี้ได้ ๑


         ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีปัญญารักษาตน มีสติ เจริญสมาธิอันหาประมาณมิได้เถิด เมื่อเธอทั้งหลายมีปัญญารักษาตน มีสติ เจริญสมาธิอันหาประมาณมิได้อยู่ ญาณ ๕ อย่างนี้แล ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตน ฯ

         จบสูตรที่ ๗


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ บรรทัดที่ ๕๑๕ - ๕๒๗. หน้าที่ ๒๓ - ๒๔.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=515&Z=527&pagebreak=0
ขอบคุณภาพจาก http://www.luangpumun.org/
25527  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บนเส้นทาง แห่งศรัทธา “บุโรพุทโธ” เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2011, 08:08:00 am


บนเส้นทาง แห่งศรัทธา “บุโรพุทโธ”

หากประเทศไทยคือหนึ่งในดินแดนที่หลายศาสนาต่างพึ่งพาอาศัยและอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนแล้ว ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างยอร์กยาการ์ตา หรือเรียกสั้น ๆ แบบคนอินโดฯว่า ยอร์กยานั้น ก็คงจะเป็นอีกดินแดนที่ครั้งหนึ่งสองศาสนาสานสัมพันธ์กันได้อย่างกลมกลืน
   
ช่วงศตวรรษที่ 9 ในวันที่เกาะชวาถูกปกครองโดย 2 ราชวงศ์ใหญ่ คือ ราชวงศ์ไศเลนทราที่เลื่อมใสในพุทธศาสนา และราชวงศ์สัญชัยที่เลื่อมใสในฮินดู แม้จะต่างศาสนาและความเชื่อทว่าสองราชวงศ์นอกจากจะไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งหรือห้ำหั่นกันเพื่อแย่งชิงดินแดนกันแล้ว ยังเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองราชวงศ์ด้วยการให้เจ้าหญิงปราโมทะวาร์หานี แห่งราชวงศ์ไศเลนทรา กับเจ้าชายราไก พิคาตัน แห่งราชวงศ์สัญชัย อภิเษกสมรสกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่ศาสนาสถานที่ใหญ่ที่สุดทั้งของชาวพุทธและฮินดูจึงตั้งอยู่ใกล้กัน



ถ้าไม่นับนครวัดของกัมพูชาซึ่งเป็นทั้งศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์ ฮินดูและศาสนาพุทธ มหาสถูปบุโรพุทโธ หรือบรมพุทโธ แต่คนทั่วไปมักเรียกกันว่า “บุโรพุทโธ” นั้น จะเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่ปรามบานัน ที่เจ้าชายราไกดำริให้สร้างขึ้นนั้นก็เป็นศาสนสถานของฮินดูที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะชวาและยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้านครวัดเช่นกัน
   
บุโรพุทโธตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือห่างจากยอร์กยาไปราว 40 กิโลเมตร โดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทราผู้เลื่อมใสในพุทธศาสนานิกายมหายาน เพื่อให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธตามคติความเชื่อในเรื่องศูนย์รวมแห่งจักรวาล นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บุโรพุทโธถูกสร้างขึ้นมีรูปทรงคล้ายกับภูเขาบนเนินดินธรรมชาติ โดยใช้หินภูเขาไฟขนาดมหึมาเป็นส่วนประกอบ
   
รูปทรงภายนอกเป็นรูปทรงดอกบัวอันเป็นสัญลักษณ์ในพุทธศาสนา ที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำโปรโกและอีโลไหลผ่าน แบบเดียวกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำคงคาและแม่น้ำยมุนาไหลมาบรรจบกันเช่นที่ประเทศอินเดีย ต้นกำเนิดแห่งศาสนาพุทธนั้น ทำให้ดูเหมือนกับดอกบัวขนาดมหึมานี้ลอยอยู่ในบึงใหญ่

   

จุดเด่นของพุทธศาสนสถานแห่งนี้คือ สถูปที่เจดีย์ตั้งอยู่บนพีระมิดทรงขั้นบันไดความสูงกว่า 42 เมตรจากฐานชั้นล่าง ซึ่งมีทั้งหมด 72 องค์ ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินแกะสลักนั่งปางต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่ถูกทำลายเสียหายทั้งจากภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวและน้ำมือมนุษย์ จนทำให้มีพระพุทธรูปที่ค่อนข้างสมบูรณ์ประดิษฐานอยู่ในเจดีย์ไม่กี่องค์ ขณะที่สององค์ที่เปิดสถูปไว้นั้นกลายเป็นไฮไลต์ที่ใครไปใครมาจะต้องมาเก็บภาพ โดยเฉพาะช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและตกของวัน
   
แม้ว่าจะเป็นศาสนสถานที่ตั้งอยู่กลางแจ้งแต่การจะเข้าชมบุโรพุทโธนั้นจะมีการกำหนดช่วงเวลาปิดและเปิด โดยหากจะปีนป่ายขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่เช้ามืดจะต้องเสียค่าเข้าแพงกว่าเวลาปกติทั่วไป และจะต้องมีไกด์ท้องถิ่นนำทางเท่านั้น โดยทุกคนที่จะเข้าไปชมบุโรพุทโธไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดจะต้องมีโสร่งสำเร็จรูปขนาดสั้นพร้อมสายผูกพันรอบเอวก่อนเข้าเขตศาสนสถานทุกคน
   
นอกจากสถูปเจดีย์และพระพุทธรูปที่เป็นไฮไลต์ซึ่งเป็นสององค์จากทั้งหมด 504 องค์นั้น ทั้ง 10 ชั้นของบุโรพุทโธแต่ละชั้นจะมีภาพสลักนูนต่ำแสดงคติธรรมทางพุทธศาสนา เกี่ยวกับจักรวาลตามพุทธศาสนาและการเข้าสู่นิพพาน 6 ชั้น รวมทั้งพุทธประวัติ



ทั้งที่เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่แต่บุโรพุทโธไม่มีทางเข้าไปสู่ด้านในใด ๆ ทั้งสิ้น พื้นที่รอบนอกที่สร้างลดหลั่นเป็นชั้นในรูปทรงกลมนั้น เพื่อเป็นสถานที่สำหรับการปฏิบัติธรรมอย่างการเดินจงกรมตามความเชื่อในพุทธศาสนา
   
ขณะที่ปรามบานันนั้นแม้จะเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู แต่องค์เจดีย์ทั้งหมดนั้นมีสถูปเจดีย์เป็นองค์ประกอบด้วย แต่กลับไม่ได้มีความหมายใด ๆ เหมือนอย่างเจดีย์ที่รายล้อมอยู่รอบบุโรพุทโธ คนท้องถิ่นเรียกที่นี่ว่า วัดโลโร จองรัง สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะตามความเชื่อในศาสนาฮินดู
   
ปรางค์ 8 องค์ที่อยู่ตรงกลางมีวิหารของพระศิวะเป็นเทวสถานที่สำคัญและเด่นที่สุด สูงถึง 47 เมตรตั้งอยู่ตรงกลางซึ่งเปรียบเสมือนเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ภายในเป็นที่ประดิษฐานรูปสลักของพระศิวะขนาดสูงใหญ่ถึง 3 เมตร ในท่าประทับยืนอยู่บนดอกบัว

   

ส่วนปรางค์อีก 2 แห่งตั้งเคียงคู่อยู่กับปรางค์องค์กลาง คือ ปรางค์พระพรหมอยู่ทางทิศเหนือ และปรางค์พระวิษณุ หรือที่คนไทยรู้จักในนามพระนารายณ์อยู่ทางทิศใต้ ไวษณวนิกายถือว่าพระองค์เป็นพระเจ้าสูงสุดในตรีมูรติ

แต่สำหรับที่นี่กลับถูกให้ความสำคัญน้อยกว่าพระวิษณุผู้ทำลายซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้รักษากฎ เพราะในฤคเวท นั้นพระวิษณุ เป็นเทพที่ไม่มีบทบาทสำคัญ แต่คอยช่วยพระอินทร์ต่อสู้กับศัตรูชั่วร้ายที่ทรงอำนาจ พระวิษณุจึงมีหน้าที่ในการรักษาจักรวาลที่พระพรหมได้สร้างขึ้นก่อนที่จะถูกพระศิวะทำลายในที่สุด
   
นอกจากความยิ่งใหญ่ของวิหารทั้ง หมดแล้ว ภาพสลักนูนตามระเบียงซึ่งแสดงตอนต่าง ๆ ของเรื่องรามายณะ เป็นอีกจุดเด่นสำคัญของปรามบานัน ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นตำราของคัมภีร์ศาสนาฮินดู ขณะที่ปรางค์องค์รองที่อยู่ตรงข้ามกับปรางค์หลักทั้งสามองค์นั้น เป็นปรางค์ที่ประดิษฐานพาหนะของทั้งสามนั่นเองและเพื่อให้เกียรติแด่เจ้าหญิงปราโมทะวาร์หานี แห่งราชวงศ์ไศเลนทรา



เจ้าชายราไก พิคาตันได้ดำริให้จัดสร้างพุทธสถานอย่าง วัดเซวูขึ้นห่างจากปรามบานันไปราว 800 เมตรเท่านั้น ประกอบด้วยวัดขนาดเล็กถึง 240 วัด ล้อมอยู่รอบวัดใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง โดยจุดเด่นของวัดเซวูอยู่ที่ ยักษ์ซึ่งสลักจากหินก้อนเดียวสูงกว่า 3 เมตร อยู่ที่ประตูทั้ง 4 ทิศ
   
ปัจจุบันผู้โดยสารสามารถเดินทางจากประเทศไทยไปยังเมืองยอร์กยาการ์ตา อินโดนีเซีย โดยสายการบินแอร์เอเชียได้จาก 3 เส้นทาง ซึ่งสามารถไปต่อเครื่องที่อินโดนีเซีย กัวลาลัมเปอร์ หรือสิงคโปร์ที่มีเที่ยวบินให้บริการทุกวัน ตรวจสอบได้ที่ www.airasia.com


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=523&contentId=178100
http://images.palungjit.com/,http://wathuahin.com/,http://www.thairath.co.th/
25528  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ยลทุ่งดอกไม้ป่า "ผาแต้ม" ล่องโขงย่ำ "แกรนด์แคนยอน"เมืองไทย เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2011, 09:51:50 pm
ยลทุ่งดอกไม้ป่า "ผาแต้ม" ล่องโขงย่ำ "แกรนด์แคนยอน"เมืองไทย

อุบลราชธานีเป็นอีกจังหวัดที่มีโอกาสได้ไปปีละหลายครั้ง ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่และอยู่ชายแดนติดกับประเทศลาว บรรดาหน่วยราชการและเอกชนต่างๆจึงพานักข่าวส่วนกลางไปดูกิจกรรมที่นั่น และถือโอกาสข้ามจากช่องเม็กไปยังปากเซ

อย่างไรก็ตาม ในงานแถลงข่าวโครงการ  "เทศกาลท่องเที่ยวปลายฝนต้นหนาว รับตะวันก่อนใครในสยาม” ไม่ได้ไปช่องเม็กแต่อย่างใด เพราะ  "นางสาวยุพา ปานรอด" ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานอุบลราชธานี (ททท.สอบ.) ต้องการเน้นให้สื่อมวลชนหลายสิบชีวิตจากกรุงเทพและภูเก็ต ตื่นตาตื่นใจกับแหล่งท่องเที่ยวในเมืองอุบลฯมากกว่า



การแถลงข่าวครั้งนี้ถือเป็นงานใหญ่ของจังหวัดทีเดียว เนื่องจากได้เชิญผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลฯ “สุรพล สายพันธ์” มาเป็นประธาน ในส่วนผู้บริหารระดับสูงของททท.คือ คุณพัฒน์มาศ วงศ์พัฒนศิริ ผู้อำนวยการภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมด้วยผู้บริหารของสายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งเพิ่งเปิดเที่ยวบินตรงจากภูเก็ตมายังอุบลฯ และเชียงใหม่-อุบลฯ เมื่อไม่นานมานี้

 งานดังกล่าวจัดแถลงใน ป่าดงนาทามของอุทยานผาแต้ม ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ป่ากำลังออกดอกอวดสีสรรตระการตาไม่ว่า จะเป็นสีเหลือง สีม่วง สีขาว สีชมพูฯลฯ ขณะที่แดดยามบ่ายร้อนเปรี้ยง แต่บรรดานักข่าวช่างภาพต่างไม่หวั่นเพราะความสวยงามของทุ่งดอกไม้ป่าสารพัดสีเป็นแรงดึงดูดสำคัญที่ทำให้พวกเขาต้องรีบเร่งายให้ได้รูปเด็ดๆ ก่อนจะต้องไปยังจุดท่องเที่ยวอื่นๆที่ทางททท.อุบลฯจัดเตรียมไว้อีกหลายแห่ง


สีสันทุ่งดอกไม้ป่า

  ผู้ว่าฯอุบลฯ บอกว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่มีกิจกรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และมีชื่อเสียง คือ งานรับตะวันใหม่ก่อนครในสยาม บริเวณอุทยานผาแต้ม ซึ่งจะพบบรรยากาศของพิธีกรรมบนผาแต้ม พิธีต่อแสงตะวันในวันที่ 31 ธันวาคม 2554 และมีการใส่บาตรพิธีพุทธ ในตอนเช้าของวันที่ 1 มกราคม 2554 เพื่อเป็นสิริมงคล ผู้ที่เดินทางเข้ามาในการส่งแสงตะวันจะได้รับใบประกาศนียบัตร เนื่องจากเป็นผู้ที่เห็นตะวันออกก่อนใครในประเทศไทย

มีที่นั่งให้นักท่องเที่ยวชักรูปในฉากกับทุ่งดอกไม้ป่า

นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกคือ งานไหลโคมล่องโขง ที่จะสร้างบรรยากาศโรแมนติกริมแม่น้ำโขง บริเวณอ.โขงเขียม มีกิจกรรมประดับโคมนักษัตร์ส่งท้ายปีเถาะ(กระต่าย) การลอยโคมสะเดาะเคราะห์ ลอยสิ่งไม่ดีที่จะผ่านไปในชีวิตไปกับสายน้ำ การประดับตกแต่งดวงไฟกลางแม่น้ำโขงเพื่อเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเฉลิมฉลอง 100 ปี อ.โขงเจียม

     เรียกว่าใครมาเที่ยวงานปีใหม่ที่ว่านี้ไม่เสียเที่ยวเลยทีเดียว ได้แบบครบครันจริงๆ ใช่แต่เท่านั้นในถ้ามีเวลาอยู่หลายวัน ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากไว้ให้ผู้มาเยือนได้เลือกสัมผัสในสไตล์ที่ตัวเองชื่นชอบ

 
ดอกแก้มอ้น

อย่างถ้าคนที่นิยมดอกไม้ ผอ.ยุพาแจงว่า ต้องไปดูไปชมทุ่งดอกไม้รับเสด็จ เหนือน้ำตกสร้อยสวรรค์ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเคยเสด็จมาทอดพระเนตรติดต่อกันหลายปี และถือว่าเป็นทุ่งดอกไม้ป่าผืนใหญ่สุดในประเทศไทย และถ้ามาอุทยานแห่งชาติผาแต้มนอกจากจะต้องไปดูภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์แล้วเก็ต้องไปพิชิตผาชะนะได อันเป็นจุดตะวันออกสุดสยาม ที่เส้นลองติจูด 105 องศา 37 ลิปดา 17 ฟิลิปดา

  ส่วนแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆตามเส้นทางในฤดูกาลนี้ อาทิ เช่น วัดดอนธาตุ ,อ.โขงเจียม ,ล่องเรือสามพันโบก-บ้านผาชัน ,อุทยานแห่งชาติผาแต้ม, อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย, น้ำตกต่างๆ , รวมทั้งแหล่งโบราณคดี เช่นปราสาทบ้านเบ็ญ ,ปราสาททองหลาง หรือแหล่งผลิตสินค้าโอท็อป กลุ่มผลิตภัณฑ์เทียนหอมเดชอุดม ก็ล้วนแล้วแต่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ และน่าสนใจเดินทางไปท่องเที่ยว

ด้านคุณพัฒน์มาศย้ำว่า แหล่งท่องเที่ยวในภาคอีสานนั้นมีหลากหลายทั้งทางในเรื่องธรรมชาติ ประเพณีและวัฒนธรรมในรูปลักษณ์ของเอกลักษณ์ความเป็น”แหล่งเรียนรู้ อู่อารยธรรม” ดังนั้นเมื่อนักท่องเที่ยวมายังดินแดนนี้จะได้รับทั้งความสุข ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม ความสวยงาม และความมหัศจรรย์ของแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่


น้ำตกรู

ช่วง2 วันที่อยู่ในเมืองอุบลฯ ทางททท.อุบลฯพาไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกแสงจันทร์ หรือน้ำตกรูที่แม้วันนี้น้ำจะไหลไม่เยอะ แต่ก็เป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่น่าทึ่งจริงๆ ขณะที่น้ำตกสร้อยสวรรค์ก็มีความสวยงามไปอีกแบบ

สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่เหล่านักข่าวชื่นชอบก็คือ การล่องเรือในแม่น้ำโขงเพื่อไปชมความงามของสามพันโบก ซึ่งหลายคนเพิ่งมาเป็นครั้งแรกจึงตื่นเต้นกันใหญ่  เริ่มตั้งแต่จุดที่ต้องไปนั่งเรือหางยาวล้ำใหญ่ที่บ้านผาชัน ที่ชื่อก็บอกชัดเจนอยู่แล้ว ทำให้เกิดอาการเสียววูบไปตามๆกัน ท่ามกลางแดดบ่ายที่ร้อนระอุ แถมยังต้องคอยจับหมวกให้ดีไม่งั้นปลิวไปตามแรงลมแน่


มุมหนึ่งของสามพันโบก

  ก่อนที่จะไปยังสามพันโบก อันเป็นแก่งหินขนาดใหญ่ในลำน้ำโขงหรือที่ได้ฉายาว่า “แกรนด์แคนยอนเมืองไทย”นั้น คนขับเรือพาไปน้ำตกห้วยบอนของฝั่งลาว จุดเด่นของน้ำตกแห่งนี้คือมีสามสาย ตอนอยู่ที่ท่าเรือบ้านผาชันก็เห็นอยู่ลิบๆ พอมาดูใกล้ๆเป็นน้ำตกที่มีน้ำเยอะทีเดียวและไหลแรงมาก

น้ำตกห้วยบอนของฝั่งลาว

     นั่งเรือมานานโขกว่าจะถึงสามพันโบก แต่พวกเราก็เพลินเพลินใจ เพราะริมฝั่งโขงสองข้างทางทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทยมีอะไรให้ดูเยอะแยะ อาทิ วิถีชีวิตของคนแถบนั้น ซึ่งบ้างก็จับปลาเป็นอาชีพเสริมนอกเหนือจากการทำเกษตร บ้างก็ทำเป็นอาชีพหลักเลยทีเดียว

    ที่เรียกว่า "สามพันโบก" เพราะที่นี่เต็มไปด้วยหลุมและแอ่ง คำว่า"โบก" เป็นภาษาลาว แปลว่า "แอ่ง" ว่ากันว่าถ้าจะให้เห็นชัดเจนต้องไปในช่วงหน้าแล้งตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน


สระรูปอะไรเอ่ย …มิกกี้เมาส์ไงล่ะ

สามพันโบกนั้นมีจุดน่าสนใจหลายอย่าง อาทิ สระมรกต สระมิกกี้เมาส์ และสระรูปหัวใจ ซึ่งโดยรวมแล้วเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างทึ่งในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ แถมผู้คนในบริเวณก็ยังผูกเรื่องราวเป็นนิยายปรัมปราเล่าให้ผู้มาเยือนได้รับรู้ไปด้วย

 ฉะนั้นอย่าได้แปลกใจที่มีการใช้ทิวทัศน์ที่นี่เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ โฆษณา หรือถ่ายแบบนับไม่ถ้วน

ถึงตอนนี้สามพันโบกเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตอีกแห่งของเมืองอุบลฯไปแล้ว ใครไม่รู้จักถือว่าเชยสุดๆ (ขอบอกถ้าใครไม่ชอบปืนป่ายหรือไม่นิยมความสูงอาจจะไม่สนุกก็ได้นะ)


นี่แหละสระมรกต

     นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียงกัน ยังมี "ถ้ำ" และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆอีกเช่นถ้ำนางเข็นฝ้าย, ถ้ำนางต่ำหูก, หาดหงษ์, หาดหินสี, หลักศิลาเลข, แก่งสองคอน, ภูเขาหิน และหาดแห่ แต่เสียดายเวลามีจำกัดจึงไม่ได้ไปที่ไหน แต่ดีที่ยังได้เห็นหาดสองสลึง

     นี่ถ้าช่วงปีใหม่พรรคพวกไม่มีใครชวนไปไหน บอกได้เลยว่าอยากไป”งานรับตะวันก่อนใครในสยาม”แน่ และอยากข้ามไปปากเซด้วย ไหนๆไปแล้วก็ต้องให้ได้เที่ยวสองประเทศจริงมั้ย….. ไม่อย่างนั้นถือว่าไม่คุ้มค่า



ที่มา
เรื่อง-ภาพ : ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง 
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322366457&grpid=&catid=09&subcatid=0901
25529  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เคล็ด(ไม่)ลับในการเป็น'คุณพ่อยุคดิจิตอล' ด้วย 'กูเกิลโครม' เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2011, 09:22:31 pm


เคล็ด(ไม่)ลับในการเป็น'คุณพ่อยุคดิจิตอล' ด้วย 'กูเกิลโครม'

หลังจาก "ทีมข่าวไอทีออนไลน์" เคยนำเสนอเคล็ด(ไม่)ลับในการใช้ "กูเกิล โครม"
(Google Chrome) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนไปแล้วครั้งหนึ่ง ในโอกาสที่ใกล้วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม เข้ามาทุกที เลยขอหยิบยกเทคนิค 10 ประการ ในการใช้เบราว์เซอร์โครมแบบเท่ๆ เป็นเคล็ด(ไม่)ลับ มาเอาใจ "คุณพ่อยุคไฮเทค" กันบ้าง...


ในยุคปัจจุบันมีคุณพ่อจอมยุ่งจำนวนมากต้องทำงานแข่งกับเวลา เวลาทั้งวันต้องวุ่นหาวิธีการ แนวทาง หรือโซลูชั่นต่างๆ ที่ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายมาช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ ไม่ว่าจะหาสูตรทำอาหารมื้อด่วน, ทางลัดช่วยงานบ้านที่แสนน่าเบื่อ หรือเทคนิคเฝ้าติดตามเด็กๆ ในยุคไอที ซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก

แต่ด้วยเทคโนโลยีของเว็บที่สามารถช่วยคุณพ่อที่งานรัดตัวให้ต่อกรกับความท้าทายใหม่ๆ ในทุกวันได้ดีกว่าเดิม ด้วยเคล็ดลับการใช้เว็บแบบง่ายๆ ด้วยบริการการท่องเว็บง่ายๆ พร้อมทางลัดตามสไตล์กูเกิล โครม ช่วยให้พบสิ่งที่กำลังมองหาได้อย่างรวดเร็ว พร้อมก้าวสู่การเป็นคุณพ่อยุคดิจิตอลแบบเต็มตัว

1.ใช้ช่องทางลัดในการค้นหาเพื่อความรวดเร็ว เมื่อเปิดใช้งานโครม ก็สามารถใช้ “omnibox” พิมพ์เพื่อค้นหายูอาร์แอลได้โดยตรง หรือพิมพ์คำว่า [สูตรการทำซูชิ] โครมก็จะค้นหาสูตรการทำซูชิโดยอัตโนมัติและจะนำคุณไปสู่เว็บไซต์ที่มีข้อมูลนั้นๆ พร้อมคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

2.ค้นหาร้านค้าต่างๆ คลิกเดียว อยากรู้เส้นทางก็ทำได้ทันทีเพียงไฮไลต์ไปตรงที่อยู่ของสถานที่นั้นๆ ซึ่งทำได้ทั้งในข้อความบนอีเมล์และบนเว็บไซต์ จากนั้นคลิกขวาและเลือกค้นหาในกูเกิล ซึ่งโครมจะแสดงแผนที่ของสถานที่นั้นๆ ทันที

3.ประหยัดเวลาด้วย Chrome AutoFill เลือก "ตัวเลือก" ภายใต้ไอคอนรูปเครื่องมือ คลิกที่ "รายการส่วนตัว" และเลือก "ตัวเลือกอัตโนมัติ" ทำให้ครั้งต่อไป ไม่ต้องกรอกแบบฟอร์มรายละเอียดในการซื้อสินค้าออนไลน์อีกต่อไป


4.ตรวจสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง เพียงติดตั้งแอพพลิเคชั่น
https://chrome.google.com/webstore/detail/fkkaebihfmbofclegkcfkkemepfehibg


5.ค้นหาแหล่งที่ตั้งร้านต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ให้คลิก "แผนที่" และพิมพ์ชื่อร้านค้าพร้อมที่ตั้ง เช่น "ร้านยา ถนนเจริญกรุง"

6.ปรับแต่งหน้า “แท็บใหม่” ด้วยหน้าเว็บที่คุณชื่นชอบ หน้าแท็บใหม่ของโครมจะแทนที่หน้าขาวๆ ว่างๆ ที่เบราว์เซอร์อื่นๆ โชว์ให้ผู้ใช้เห็นรูปภาพหรือไอคอนขนาดเล็กที่สามารถเชื่อมไปยังหน้าเว็บไซต์ที่เข้าใช้งานเป็นประจำ และสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่คลิก ด้วยการเพิ่มรายการโปรด

เช่น จากหน้าเว็บโรงเรียนของลูกคุณไปยังหน้าอีเมล์ส่วนตัวคุณในเพียงคลิกเดียว และยังจัดระเบียบด้วยการลาก และวางภาพหน้าเว็บต่างๆ เพื่อเรียงลำดับความสำคัญพร้อมลบหน้าเว็บที่ไม่ต้องการหรือเพิ่มหน้าเว็บที่ต้องการเก็บไว้ได้อย่างรวดเร็ว



7.แนะนำการใช้เว็บอย่างสร้างสรรค์ให้เด็กๆ ในช่วงเวลาว่างลองแนะนำการใช้อินเทอร์เน็ตที่มีประโยชน์และสร้างสรรค์ให้เด็กๆ เพียงติดตั้ง
https://chrome.google.com/webstore/detail/oioeohebbahbomemnpdmnicoghkepidd
ทำให้ลูกๆ เพลิดเพลินพร้อมเรียนรู้ผ่านเกมที่พัฒนาทักษะของเด็กๆ และช่วยเสริมสร้างจินตนาการด้านศิลปะด้วยการใช้ Art Studio



8.ให้เด็กๆ ท่องโลกอินเทอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัย สำรวจดูว่าลูกๆ คุณชอบเล่นหรือหมกมุ่นอยู่กับอินเทอร์เน็ตบนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือไม่ในเวลาที่คุณไม่อยู่ด้วย ถ้าใช่น่าจะถึงเวลาที่จะติดตั้งส่วนขยายช่วยให้เด็กๆ ของคุณท่องเว็บได้อย่างปลอดภัย และได้รับประสบการณ์อันดีด้วยข้อมูลสำหรับเด็กต่างๆ ที่ผ่านการคัดกรอง
https://chrome.google.com/webstore/detail/aggcabjbgijmbbckmkjkaadcjinelmdp



9.รวบรวมรายการสินค้าต่างๆ ไว้ในที่ที่เดียว สำหรับคุณพ่อขาช็อป
https://chrome.google.com/webstore/detail/gpomgeopjckjinpkepfpdciidnbiaafb

10.เชื่อมโยงโครมไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของคุณ ขณะที่คุณพ่อกำลังออกไปทำธุระข้างนอก ระบบจะส่งลิงก์ทันทีจากคอมพิวเตอร์คุณไปยังโทรศัพท์เพื่อให้คุณยังสามารถดูข้อมูลต่างๆ บนโครมได้แบบโมบิลิตี้ ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ไปยังที่นัดหมายต่อไป, สูตรทำอาหารสำหรับมื้อค่ำ หรือข้อมูลการทดสอบกล้องดิจิตอลที่คุณต้องการที่จะซื้อเพียงติดตั้ง
https://chrome.google.com/webstore/detail/oadboiipflhobonjjffjbfekfjcgkhco?hl=th&hc=search&hcp=main



เพียง 10 เคล็ดลับง่ายๆ ในการใช้เว็บให้เกิดประโยชน์ในบทบาทคุณพ่อ เพียงเท่านี้คุณพ่อมือใหม่เเละเก่า ก็สามารถตามทันโลกเทคโนโลยีได้อย่างง่ายดาย พร้อมเป็นคุณพ่อยุคดิจิตอลได้อย่างเต็มตัว และยังสามารถเเนะนำเด็กๆ ให้การใช้เว็บได้อย่างถูกต้องอีกด้วย.
 
 
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.thairath.co.th/content/tech/219452
25530  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: จะมีกิจกรรม ปฏิบัติธรรม ภาวนาอะไรเป็น พิเศษ ก่อนสิ้นปี 2554 หรือ ไม่คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2011, 09:09:48 pm
ทราบทาง facebook ว่ามีการสำรวจเส้นทางประสานงาน แล้วนะคะ


 อยากให้คุณฟ้าใสไปด้วยจังเลย :49:
25531  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผลโพล : ชาติหน้าอยากจะเกิดเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ? เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2011, 07:20:08 am

ผลโพล : ชาติหน้าอยากจะเกิดเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ?

ผมมักจะได้ยินคนรอบๆตัวบ่นว่า ชาติหน้าอยากเกิดมาเป็นผู้ชายบ้าง เป็นผู้หญิงบ้าง ทีนี้ผมได้ยินบ่อยครับ ก็เลยสงสัยครับว่า จริงๆแล้วเนี่ย คนส่วนใหญ่คน คิดยังไงกับเพศตัวเอง …​แต่ละคนพอใจในเพศตัวเองมั้ย? และ ถ้าเลือกได้ ก็อยากจะเปลี่ยนเพศหรือเปล่า?

ผมเลยตัดสินใจทำ โพลขึ้นมาแบบง่ายๆ ถามเพื่อนๆใน Twitter ก็ได้ผลตอบรับมาดีมากกว่าที่คิดครับ เทรนที่ได้ออกมาน่าสนใจเลยที่เดียว แต่ว่า ก็มีคนคอมเมนท์มากว่า เพื่อนๆที่ผมfollowทาง Twitter เนี่ย ส่วนใหญ่แล้วน่าจะเป็นคนสนใจธรรมะ ผลที่ได้ออกมา อาจจะไม่ตรงตามความเป็นจริงซะทีเดียว ผมก็เลยตัดสินใจ เอาคำถามเดียวกันนี้ไปถามในเวปพันทิปซะเลย โดย กระจายไปถามหลายๆห้อง ได้แก่ ห้องศาสนา ห้องหว้ากอ ห้องสยาม และ ห้องเฉลิมไทย

ก็หวังว่าผลที่ได้ออกมาคงครอบคลุมคนหลากหลายรูปแบบ …………..
ลองมาดูกันครับว่า ผลออกมาเป็นยังไง ^ ^


*******************************************************

ผลการสำรวจ

มีผู้มาร่วมตอบคำถามกับผมทั้งหมด 166 ท่านครับ แบ่งเป็นชาย 75 ท่าน และ หญิง 91 ท่าน

เรามาดูกันว่าผลออกมาเป็นยังไง



จากกราฟ เราคงเห็นได้ไม่ยากนะครับว่า ผู้ชายส่วนใหญ่ชาติหน้าอยากกลับมาเกิดเป็นผู้ชายเหมือนเดิม โดยที่มีจำนวนมากกว่า ผู้ชายที่อยากกลับมาเกิดเป็นผู้หญิงอยู่ถึง 4.3 เท่าด้วยกัน

ในขณะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ ก็เลือกว่าชาติหน้าอยากเปลี่ยนมาเกิดเป็นผู้ชายดูบ้าง โดยมีจำนวนมากกว่า ผู้หญิงที่ยังคงอยากเป็นผู้หญิงอยู่ถึง 3.5 เท่าแหน่ะ

*******************************************************


ลองมาดูผลแบบแจกแจงกัน

ถ้าไม่รวม Twitter แล้ว ห้องที่ตอบคำถามนี้เยอะมาก คือ ห้องศาสนา และ ห้องสยาม ครับ ส่วนห้องหว้ากอกับห้องเฉลิมไทยมีคนเข้ามาตอบค่อนข้างน้อย สงสัยเค้าคงเห็นว่าคำถามไร้สาระ 555+



เราคงจะพอเป็นกันนะครับ ว่า แต่ละเวปนั้นผลก็ออกมาในทิศทางเดียวกันคือ คนส่วนใหญ่เลือกที่จะกลับมาเกิดชาติหน้าเป็นผู้ชาย ซึ่งทั้งห้องศาสนาและห้องสยามเนี่ย โดยเฉพาะสัดส่วนของผู้หญิงที่มาโหวตเนี่ยจะออกมาแทบเหมือนกันเลย นั่นก็แปลว่าคือ คนส่วนใหญ่คิดเหมือนกัน โดยไม่เกี่ยวว่าจะสนใจศาสนาหรือเปล่า

*******************************************************

ทำไมผลออกมาเป็นแบบนี้?

มันเป็นการถามคร่าวๆ จากคนร้อยกว่าคน มันคงบอกอะไรมากไมไ่ด้หรอกครับ ว่า จริงๆแล้วคนส่วนใหญ่คิดยังไงกับเพศตัวเอง แต่ว่า ผลโพลนี้ก็คงพอจะเป็นแนวทางบอกอะไรบางอย่างได้

แต่ผมก็ไม่สามารถสรุปได้นะครับ ว่าทำไมคนทั้งหลายถึงอยากเป็นผู้ชายกัน เพราะคำถามของผมไม่ได้ครอบคลุมไปถึงเหตุผลตรงนั้น

แต่ว่าหลายๆห้องที่เข้าไปอ่านมา ก็มีคนเข้ามาให้เหตุผลนะครับ ว่าอยากเกิดมาเพศอะไรเพราะเหตุใด แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่ามีเหตุผลนึงที่น่าสนใจครับ คือ ผู้หญิงหลายคนบอกว่า อยากจะเป็นผู้ชายเพราะว่าบวชได้

อันนี้เป็นข้อมูลดิบครับ เผื่อว่า ใครอยากจะเอาไปคิดอะไรต่อ ^ ^



*******************************************************

ขอนอกเรื่องนิดนึงนะ

จากการที่ได้เข้าไปอ่านในห้องต่างๆมา ส่วนใหญ่แล้ว เค้าจะคุยกันอย่างสนุกสนานครับ ประมาณว่า ก็แสดงความคิดเป็นแบบขำๆ จะมีแสดงความคิดเห็นแบบจริงจังบ้าง ก็นิดหน่อย

แต่ว่าห้องศาสนาเนี่ย แสดงความคิดเห็นกันรุนแรงมากครับ คือ มีหลายคนเข้ามาบอกว่า จริงๆแล้วไม่อยากกลับมาเกิดมากกว่า เพราะการเกิดนั้นเป็นทุกข์ … ประมาณว่าอยากบรรลุอรหันต์มากกว่า … อันนี้ผมอนุโมทนากับทุกๆท่านที่คิดแบบนี้นะครับ

แต่ว่า กลิ่นดราม่ามันออกครับ ….. คือมีบางคนเข้ามาเข่นชาวบ้านว่า “ยังจะอยากเกิดชาติหน้าอีกหรอ???” พอมีคนแซวกลับว่า “เพ่มั่นใจได้ไงว่าจะไม่ได้กลับมาเกิดอีก” พ่ีคนนั้นก็ยังอุตส่าห์กลับมาตอบประชดต่อว่า “ตัวเอ็งเองก็ดูมีอนาคตมากเลยนะ” …… ^ ^”

คือผมอยากจะบอกพี่คนที่ไม่อยากกลับมาเกิดอีกแต่เที่ยวไปเข่นไปไล่จิกกันชาวบ้าน ว่า พฤติกรรมของพี่เนี่ย โคตรจะไม่เหมือนคนที่อยากบรรลุธรรมเลยครับ ตัวพี่โคตรจะไม่ปล่อยวางเลยครับ …

ยังไงผมก็ขอให้บรรลุส่ิงที่พี่หวัง ได้บรรลุธรรมไม่ต้องกลับมาเกิดอีก … และ ก็ขอให้พี่ปล่อยวางกับเรื่องโง่ๆง่ายๆนี้เถอะครับ เอาเวลาของพี่ไปดูลมหายใจดีกว่าครับ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนห้องศาสนาบางคนมีทิฐิแรงเกิ้นนนน



ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
http://trang82.wordpress.com/page/3/?archives-list&archives-type=cats
25532  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พุทธวิธีเพื่อการหัดตาย เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2011, 07:02:49 am

o แม้รักตนจริง ควรรักไปถึงชีวิตข้างหน้าด้วย
       แม้รักตนจริง ก็ควรรักให้ตลอดไปถึงชีวิตข้างหน้าด้วย ไม่ใช่จะคิดเพียงสั้น ๆ รักแต่ชีวิตนี้เท่านั้น หาความสมบูรณ์พูนสุขในชีวิตนี้ ภายในขอบเขตที่ชอบที่สุด ทำนองคลองธรรมเถิด ผลแห่งกรรมทั้งในชาตินี้และชาติหน้าต่อ ๆ ไปที่จะต้องเสวยแน่ จะได้ไม่เป็นผลร้าย ไม่เป็นผลของบาปกรรม ที่ให้ความทุกข์ มิได้ให้ความสุข


o เมื่อชีวิตดับสลาย...ทุกสิ่งที่เคยครอง ก็ต้องสูญสลายพลัดพราก
ชีวิตใคร...ใครก็รัก
ชีวิตเรา...เราก็รัก ชีวิตเขา...เขาก็รัก
ความตาย...เรากลัว ความตาย...เขาก็กลัว
ของของใคร...ใครหวง ของของเรา...เราหวง ของของเขา...เขาก็หวง


จะลักจะโกงจะฆ่าทำร้ายใครสักคน ขอให้นึกกลับกันเสีย ให้เห็นเขาเป็นเรา เราเป็นเขา คือเขาเป็นผู้ที่จะลักจะโกงจะฆ่าจะทำร้ายเรา เราเป็นเขาผู้ที่จะถูกลักถูกโกงถูกฆ่าถูกทำร้าย ลองนึกเช่นนี้ให้เห็นชัดเจน แล้วดูความรู้สึกของเรา จะเห็นว่าที่เต็มไปด้วยโมหะนั้น จะเปลี่ยนเป็นเมตตากรุณา

ข่าวผู้พยายามป้องกันสมบัติของตนจนเสียชีวิตนั้น น่าสลดสังเวชยิ่งนัก หรือข่าวแม้ผู้กำลังจะสิ้นชีวิตแล้ว แต่ก็ยังพยายามกระเสือกกระสนรักษาสมบัติมีค่าของตนที่ติดตัวอยู่ ก็น่าสงสารที่สุด พบข่าวเหล่านี้เมื่อไร ขอให้นึกถึงใจคนเหล่านั้น อย่าคิดทำร้าย อย่าคิดเบียดเบียนกันเลย

o ทุกชีวิตต้องตาย...และจะตายในเวลาไม่นาน
       ชีวิตของมนุษย์นี้ จะยืนนานเกิน ๑๐๐ ปี ก็ไม่มาก ทั้งยังเหลืออยู่ไม่ถึง ๑๐๐ ปีอีกด้วย คนไม่ได้อายุยืนเพราะทรัพย์ จะทำทุกวิถีทางแม้ที่ชั่วช้า โหดร้ายเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์ทำไมเล่า ในเมื่อชีวิตดับสลายแล้ว ทุกสิ่งที่ชีวิตเคยครอง ก็ต้องสูญสลายพลัดพรากจากไป


       ทรัพย์สมบัติติดตามคนตายไปไม่ได้ แต่เหตุแห่งการแสวงหาทรัพย์โดยมิชอบ ซึ่งเป็นกรรมไม่ดี ติดตามคนตายไปได้ ให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนแก่คนที่ตายไปแล้วได้ ทรัพย์จึงไม่ใช่สิ่งที่พึงแสวงหา โดยไม่คำนึงให้รอบคอบถึงความถูก ความผิด ความควร ความไม่ควร



o ความโลภไม่มีขอบเขตนั้น เป็นทุกข์หนักนัก
       ทรัพย์ที่แสวงหาด้วยความโลภเป็นใหญ่ ได้ทำลายชีวิตและทำลายชื่อเสียงเกียรติยศของใครต่อใครมาแล้วอย่างประมาณมิได้ ปรากฏให้เห็นอยู่ในชีวิตนี้ ความโลภโดยไม่มีขอบเขตนั้นเป็นทุกข์หนักนัก ทั้งโลภในทรัพย์ ในยศ ในชื่อ ล้วนเป็นทุกข์หนักนักทั้งสิ้น ตนเองก็เป็นทุกข์ ทั้งยังแผ่ความทุกข์ไปถึงผู้อื่นอีกด้วย จึงเป็นกรรมไม่ดี


o ผู้มีปัญญา มีความฉลาด มีสัมมาทิฐิ จักมุ่งเพียรละกิเลสก่อนความตายมาถึง
       ถ้าทุกข์ร้อนเพราะความอยากได้ไม่สิ้นสุดในลาภ ในยศ ในชื่อ จะดับทุกข์ร้อนนั้นได้ด้วยการทำกิเลสให้หมดจด ชีวิตในภพชาติข้างหน้าอันยาวนานนักหนา จะเป็นชีวิตดีมีสุขเพียงไร ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำไว้แล้วทั้งในอดีตชาติและในชาตินี้เป็นสำคัญ จะฉลาดนักถ้าจะไม่ลืมความจริงนี้ จะฉลาดที่สุดถ้าจะไม่คำนึงถึงแต่ความสุขเฉพาะในชีวิตนี้ หรือชีวิตหน้า


       แต่จะมุ่งคำนึงว่าจะพึงปฏิบัติอย่างไรให้เต็มสติปัญญาความสามารถ เพื่อไม่ต้องมีภพชาติข้างหน้าอีกต่อไป เพราะความเกิดเป็นความทุกข์แท้ ผู้ฉลาดมีสัมมาทิฐิความเห็นชอบ จักมุ่งมั่นเพียรอบรมสติปัญญาให้สามารถทำลายกิเลสคือราคะ หรือโลภะ โทสะ และโมหะ ให้หมดจด เพื่อพาตนให้พ้นได้จากความเกิดอันเป็นทุกข์

 
อ้างอิง
หนังสือ การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง
พระนิพนธ์ ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
พระนิพนธ์เพื่อความสวัสดีแห่งชีวิตและพระคติธรรมเพื่อเป็นแสงส่องใจ
25533  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พุทธวิธีเพื่อการหัดตาย เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2011, 06:54:30 am


พุทธวิธีเพื่อการหัดตาย

o พุทธวิธีเพื่อการหัดตาย
       การหัดตายที่ปราชญ์ในพระพุทธศาสนาท่านแนะนำ คือการหัดอบรมความคิด สมมติว่าตนเองในขณะนั้นปราศจากชีวิตแล้ว ตายแล้ว เช่นเดียวกับผู้ที่ตายแล้วจริงทั้งหลาย


o ฝึกอบรมความคิดว่าเมื่อปราศจากชีวิตแล้ว สภาพร่างกายของตนที่เคยเคลื่อนไหว จักทอดนิ่ง
       คิดให้เห็นชัดว่าเมื่อตายแล้ว ตนจะมีสภาพอย่างไร ร่างที่เคยเคลื่อนไหวได้ก็จะทอดนิ่ง อย่าว่าแต่เพียงจะลุกขึ้นไปเก็บรวบรวมเงินทองข้าวของที่อุตส่าห์สะสมไว้เพื่อนำไปด้วย จะเขยิบไปพ้นแดดพ้นมดสักนิ้วสักคืบก็ทำไม่ได้ เมื่อมีผู้มายกไปนำไปยังที่ซึ่งเขากำหนดกันว่าเหมาะว่าควร ก็ไม่อาจขัดขืนโต้แย้งได้
       แม้บ้านอันเป็นที่รักที่หวงแหน เขาก็จะไม่ให้อยู่...จะยกไปวัด เคยนอนฟูกบนเตียงในห้องกว้าง ประตูหน้าต่างเปิดโปร่ง เขาก็จะจับลงไปในโลงศพแคบทึบ ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง ตีตาปูปิดสนิทแน่น ไม่ให้มีแม้แต่ช่องลมและอากาศ จะร้องก็ไม่ดัง จะประท้วงหรืออ้อนวอนก็ไม่สำเร็จ ไม่มีใครสนใจ


o ถูกทอดทิ้งอ้างว้างตามลำพัง หลังปราศจากชีวิต
       สามี ภริยา มารดา บิดา บุตรธิดา ญาติสนิทมิตรทั้งหลาย ที่เคยรักห่วงใยกันนักหนา ก็ไม่มีใครมาอยู่ด้วยแม้สักคน อย่าว่าแต่จะเข้าไปนั่งไปนอนในโลงศพด้วยเลย แม้แต่จะนั่งเฝ้านอนเฝ้าอยู่ข้างโลงทั้งวันทั้งคืน ก็ยังไม่มีใครยอม บ้านเรือนใครก็จะพากันกลับคืนหมด ทิ้งไว้แต่ลำพังในวัดที่อ้างว้าง มีศาลาตั้งศพ มีเมรุเผาศพ มีเชิงตะกอน มีศพที่เผาเป็นเถ้าถ่านแล้วบ้าง ยังไม่ได้เผาบ้างมากมายหลายศพ


o ทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้ ในขณะที่มีชีวิต สิ้นสุดลงแล้วพร้อมกับลมหายใจและชีวิตที่สิ้นสุด
ทีนี้เมื่อยังไม่ตาย เราเคยกลัว เคยรังเกียจ แต่เมื่อตายเราก็หนีไม่พ้น เรามีอะไรหรือในขณะนั้น เราไม่มีอะไรเลย มือเปล่าเกลี้ยงเกลาไปทั้งเนื้อทั้งตัว เงินสักบาททองสักเท่าหนวดกุ้งก็ไม่มีติด มีแต่ตัวแท้ ๆ เขาไม่ได้แต่งเครื่องเพชรเครื่องทองมีค่าหรือมอบกระเป๋าใส่เงินใส่ทองให้เลย อย่างดีก็มีเพียงเสื้อผ้าที่เขาเลือกสวมใส่แต่งศพให้ไปเท่านั้น ซึ่งไม่กี่วันก็จะชุ่มน้ำเหลืองที่ไหลจากตัว
       มีใครเล่าจะมาเปลี่ยนชุดใหม่ ๆ ให้ ทั้ง ๆ ที่สะสมไว้มากมายหลายสิบชุด ล้วนเป็นที่ชอบอกชอบใจว่าสวยว่างาม โอกาสที่จะได้ใช้เงินใช้เสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องเพชรเครื่องทองเหล่านั้นสิ้นสุดลงแล้ว... พร้อมกับลมหายใจ พร้อมทั้งชีวิตที่สิ้นสุดนั้นเอง ไม่คุ้มกันเลยกับความเหนื่อยยากแสวงหามาสะสมโดยไม่ถูกไม่ชอบด้วยประการทั้งปวง ที่เป็นบาป เป็นอกุศล เป็นการเบียดเบียนก่อทุกข์ภัยให้ผู้อื่น



o มองให้เห็นสภาพร่างกายที่ตายแล้ว
       หัดมองให้เป็นร่างกายของตนเอง ที่ตายแล้วขึ้นอึดอยู่ในโลก เริ่มปริแตก มีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลออกจากขุมขน เส้นผมเปียกแฉะด้วยเลือดด้วยหนอง ลิ้นที่เคยอยู่ในปากเรียบร้อยก็หลุดออกมาจุก นัยน์ตาถลนเหลือกลานรูปร่างหน้าตาของตนเองขณะนั้น อย่าว่าแต่จะให้ใครอื่นจำได้เลย แม้ตัวเองก็จำไม่ได้ อย่าว่าแต่จะให้ใครอื่นไม่รังเกียจสะดุ้งกลัวเลย
       แม้แต่ตัวเองก็ต้องยากจะห้ามความรู้สึกนั้น ผิวพรรณที่อุตสาหพยายามถนอมรักษาให้งดงามเจริญตา เจริญใจ ใส่หยูกใส่ยา เครื่องอบเครื่องลูบไล้ เครื่องประทินอันมีกลิ่นมีคุณค่าราคาแพงทั้งหลาย มีลักษณะตรงกันข้ามกับความปรารถนาอย่างสิ้นเชิง เมื่อความตายมาถึง


o ทรัพย์สมบัติสักนิด เมื่อตายไปก็นำไปไม่ได้
      เมื่อความตายมาถึง ไม่มีผู้ใดจะสามารถถนอมรักษาทะนุบำรุงรักษาร่างกายของเขาไว้ได้ แม้สมบัติพัสถานที่แสวงหาไว้ระหว่างมีชีวิตจนเต็มสติปัญญาความสามารถ แม้ด้วยเล่ห์กล เพื่อใช้ทะนุถนอมรักษาเชิดชูบำรุงตัวของเรา ก็ติดร่างไปไม่ได้เลย

o แม้ร่างกายของเรา ก็ต้องทิ้งไว้ในโลก
       เป็นจริงดังพุทธศาสนสุภาษิตว่า.. ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้ ให้ความสุข ความสมบูรณ์ ความสะดวกสบาย ความปกป้องคุ้มกันร่างของคนตายไม่ได้ ต้องปล่อยให้ร่างนั้นผุพัง เน่าเปื่อยคืนสู่สภาพเดิม เป็นต้น น้ำ ไฟ ลม ประจำโลกต่อไป ต้องตามพุทธศาสนสุภาษิตว่า “สัตว์ทั้งปวงจะทิ้งร่างไว้ในโลก”


o ความเชื่อในชีวิตหลังความตาย
      ผู้มีความเข้าใจว่า ตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร สุขทุกข์อย่างไร เราไม่รับรู้ด้วยแล้ว จึงไม่มีความหมาย นี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เป็นโมหะสำคัญ ก็ที่เราเกิดเป็นนั่นเป็นนี่กันในชาตินี้ ทำไมเราจึงรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ ทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับชาติก่อนอย่างไร


      พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่เชื่อว่ามีชาติในอดีตและชาติในอนาคต เชื่อว่าก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ ได้เคยเกิดในชาติอื่นมาแล้ว และก็จะต้องเกิดในชาติหน้าต่อไป ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ถ้ายังทำกิเลสให้สิ้นไปไม่ได้ อย่าพลอยเป็นไปกับคนเป็นอันมาก ที่มีโมหะหลงเข้าใจผิดอย่างยิ่งว่า จบสิ้นความเป็นคนในชาตินี้แล้ว ก็ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับชาติอื่นต่อไป

      เพราะฉะนั้นความสำคัญจึงอยู่ที่ควรแสวงหาความสุขสมบูรณ์ให้ตนเองให้เต็มที่ในชาตินี้ ผู้ใดมีโมหะหลงผิดเช่นนี้ จะสามารถทำความผิดร้ายได้ทุกอย่างเพื่อประโยชน์ตน ทรยศคดโกง เบียดเบียนทำร้ายแม้กระทั่งถึงชีวิตเขาก็ทำได้ เป็นการสร้างกรรมที่จะให้ผลแก่ตนเองแน่นอน คนจะต้องเสวยผล เสวยทุกขเวทนา ทั้งในโลกนี้และเมื่อละโลกนี้ไปแล้วตามกรรมของตน ต้องตามพุทธภาษิตว่า “กรรมของตนเอง ย่อมนำไปสู่ทุคติ”

o ชีวิตในชาติข้างหน้ายาวนาน ไม่อาจประมาณได้
      ปราชญ์กล่าวว่า ชีวิตนี้น้อยนัก ก็คือชีวิตในชาตินี้น้อยนัก ชีวิตในชาติข้างหน้ายาวนานไม่อาจประมาณได้ ชีวิตในภพข้างหน้าจะสิ้นสุดเมื่อไร ขึ้นอยู่กับความหมดจดจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น เปรียบชีวิตข้างหน้ากับชีวิตนี้แล้ว ชีวิตนี้จึงน้อยนัก


(ยังมีต่อครับ)
25534  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: อาการที่จิต เป็นสมาธิ นั้นเป็นอย่างนี้ใช่หรือป่าวคะ เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2011, 06:26:24 am
 หมวยนีย์ไม่ได้บอกว่า ฝึกอะไรอยู่ ?
 หากฝึกกรรมฐานมัชฌิมาฯ ในส่วนของอุปจารสมาธิ
 โดยใช้พุทธานุสติ ในห้องพระธรรมปิติธรรมเจ้า เพื่อจะเอายังพระลักษณะแล้ว
 การที่คำบริกรรมหลุดไปหรือไม่มี แสดงว่าขาดสมาธินิมิต และการไม่กำหนดฐานจิต ก็จะไม่มีปัคคาหนิมิต
 สิ่งที่มีอยู่ก็คือ อุเบกขานิมิต ผลที่ได้ก็คือ จิตจะไม่ตั้งมั่น ขอให้ิพิจารณาสมุคคสูตร


สมุคคสูตร
ทรงแสดงว่าภิกษุผู้บำเพ็ญสมาธิ  พึงใส่ใจนิมิต ( เครื่องหมายในจิตใจ ) ๓ อย่าง โดยกาลอันสมควร ได้แก่

สมาธินิมิต (เครื่องหมาย คือ สมาธิ หรือ ความมีอารมณ์เป็นหนึ่ง )
ปัคคาหนิมิต ( เครื่องหมาย คือ ความเพียร )
อุเบกขานิมิต ( เครื่องหมาย คือ ความวางเฉย ).


ถ้าใส่ใจแต่สมาธินิมิตอย่างเดียว จิตก็จะน้อมไปเพื่อความเกียจคร้านได้, 
ถ้าใส่ใจแต่ปัคคาหนิมิตอย่างเดียว จิตก็น้อมไปเพื่อความฟุ้งสร้านได้.
ถ้าใส่ใจแต่อุเบกขานิมิตอย่างเดียว จิตก็ไม่พึงตั้งมั่นโดยชอบ เพื่อสิ้นอาสวะได้ .


ต่อเมื่อใส่ใจนิมิตทั้งสามโดยกาลอันสมควร จิตจึงอ่อน ควรแก่การงาน ผ่องใสตั้งมั่นโดยชอบเพื่อสิ้นอาสวะ เปรียบเหมือนช่างทองที่หลอมทองเงิน ย่อมสูบ ( เป่าลม ) โดยกาลอันสมควร,   พรมน้ำโดยกาลอันสมควร,   วางเฉยโดยกาลอันสมควร.


ที่มา http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=4908.msg17895#msg17895


    สำหรับการตั้งคำถามในห้องนี้ ขอให้เป็นกรรมฐานมัชฌิมาฯ อย่างเดียวนะครับ
    การถามกรรมฐานแนวอื่นๆ ขอให้ไปถามในห้อง"สนทนาธรรม หรือ ส่งจิตออกนอก"


    ไหนๆก็ถามแล้ว เห็นแก่หมวยนีย์สักครั้ง จะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง ผมเคยฝึกอาปานสติ บริกรรมพุทโธ
    ถึงจุดหนึ่ง คำบริกรรมหายไป ตอนแรกก็ตกใจ พยายามจะบริกรรมต่อ แต่จิตไม่ยอมรับ
    รู้สึกคล้ายๆกับว่า คำบริกรรมเป็นส่วนเกิน อึดอัดที่จะบริกรรม แต่ในตอนผมไม่มีครูอาจารย์เลย
    ไม่รู้จะไปถามใคร การที่ขาดกัลยาณมิตรไม่ดีอย่างนี้นี่เอง
 
    ทางที่ถูกต้องควรมีครูอาจารย์ครับ การสอบอารมณ์กรรมฐาน ต้องใช้อารมณ์ปัจจุบัน
    ดังนั้น การจะให้ครูอาจารย์สอบอารมณ์ ควรทำกรรมฐานต่อหน้าครูอาจารย์ 
    ขอคุยเป็นเพื่อนเท่านี้ครับ

     :49:

25535  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: หนาวนี้ เที่ยวไหน "เทศกาลบอลลูน 5 นานาชาติ" เยือน"สวิสแดนอีสาน" (ชมภาพ) เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2011, 12:19:11 pm

ท่องแดนชนเผ่า ชมทิวเขา เที่ยวถ้ำ แม่ฮ่องสอน


ตลาดดอกไม้บานสะพรั่งรับลมหนาว จุดจำหน่ายไม้ดอกไม้ประดับอินโดจีนการ์เดนท์ พิษณุโลก



เที่ยวแบบผจญภัย ณ อุทยานแห่งชาติพุเตย สุพรรณบุรี


เตรียมงาน "มหกรรมพืชสวนโลก 54" เชียงใหม่


ชาวม้งผิงไฟคลายหนาว เชียงราย

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322199049&grpid=01&catid=&subcatid=
25536  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ทุ่งบัวตอง" แห่งยอดดอยแม่อูคอ "เหมยขาบ" บนยอดดอยอินทนนท์ เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2011, 12:11:40 pm

"ทุ่งบัวตอง" แห่งยอดดอยแม่อูคอ  แม่ฮ่องสอน




ไปดูเหมยขาบบนยอดดอยอินทนนท์ เชียงใหม่




ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322199049&grpid=01&catid=&subcatid=
25537  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เที่ยวภูผาตั้ง ภูชี้ฟ้า ภูชมดาว เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2011, 12:04:21 pm

เที่ยวภูผาตั้ง ภูชี้ฟ้า ภูชมดาว และเนินเขาใหญ่น้อยอยู่เรียงรายมากกว่า 35 ยอดดอย เชียงราย








ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322199049&grpid=01&catid=&subcatid=
25538  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วังน้ำเขียว "สวิสเซอร์แลนด์แดนอีสาน” เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2011, 11:59:39 am

วังน้ำเขียว "สวิสเซอร์แลนด์แดนอีสาน”

อำเภอวังน้ำเขียว นครราชสีมา

จะหนาวแค่ไหนกันเชียว? อุณหภูมิประมาณ 9 องศา ฯในช่วงฤดูหนาว



ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322199049&grpid=01&catid=&subcatid=
25539  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หนาวนี้ เที่ยวไหน "เทศกาลบอลลูน 5 นานาชาติ" เยือน"สวิสแดนอีสาน" (ชมภาพ) เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2011, 11:51:59 am
หนาวนี้ เที่ยวไหน "เทศกาลบอลลูน 5 นานาชาติ" เยือน"สวิสแดนอีสาน" หรือจะนอนอาบดาวบน"ภูชี้ฟ้า"

     หนาวนี้ จะเที่ยวป่าเขาให้หายโศก หรือจะโบกรถขึ้นภูผา ไปสวิสเซอร์แลนด์แดนอีสาน (ก็วังน้ำเขียวไงเล่า) สุดงามตา แต่ก่อนอื่น... มติชนออนไลน์ ขอชวนมา ดูรูปกันก่อน ยั่วน้ำลาย

     "หนาวๆๆลม แม้นมีคู่ชมคงอุ่นกาย ท่ามกลางป่าเขาโศกเราจะห่างหาย รักกลายคืนกลับมา"



เที่ยว "เทศกาลบอลลูนนานาชาติ ประเทศไทย" ครั้งที่ 5
(Thailand International Balloon Festival 2011)

ปล่อยหมู่บอลลูนจำนวน 10 ลูก จาก 5 ชาติ
ได้แก่ อิตาลี เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และไทย ขึ้นเหนือท้องฟ้าเมืองเชียงใหม่ลัดเลาะไปตามลำน้ำปิง

25-27 พฤศจิกายน 2554 ระหว่างเวลา 06.00-07.30 น.
ซึ่งเป็นเวลาปล่อยหมู่บอลลูนยักษ์ และเวลา 17.30 น.จนถึงค่ำจะมีการปล่อยบอลลูนอีกครั้ง


ณ ลานสนามหญ้าโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย เชียงใหม่

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322199049&grpid=01&catid=&subcatid=
25540  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำไมจึงไม่นิยมปลูก "ต้นลั่นทม" ในบ้าน..?.? เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 09:12:39 pm

ทำไมจึงไม่นิยมปลูกต้นลั่นทมในบ้าน

ถาม : ทำไมต้นลั่นทมเขาไม่นิยมให้ปลูกในบ้านครับ

ตอบ: ถ้าหากว่าเอา เหตุผลทางไสยศาสตร์ ก็คือ ชื่อลั่นทมเขาว่าไม่ดี เขากลัวจะระทม แต่ถ้า เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เขาบอกว่า น้ำมันหอมระเหยจากลั่นทมทำให้เซ็กซ์เสื่อม นี่เขาทำวิจัยอย่างเป็นทางการเลย

     เขาบอกว่าที่ไปปลูกในวัดเพื่อไม่ให้พระเณรคึก เป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะ เพราะต่างประเทศเขาทำวิจัยมาเรียบร้อยแล้ว ยืนยันผลว่าเป็นจริง ลั่นทมต่างประเทศเขาเรียก Plumeria เพราะฉะนั้นจะเอาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์หรือไสยศาสตร์ก็ไม่ควรอยู่ในบ้าน ยกเว้นแต่ว่ามีนโยบายจะคุมกำเนิด



สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔
ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=2996
ขอบคุณภาพจาก http://www.thaiwriternetwork.com/,http://www.bloggang.com/
25541  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปย่างกุ้ง มวลชนนานาชาติเข้าชมบูชา เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 08:57:32 pm
อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปย่างกุ้ง มวลชนนานาชาติเข้าชมบูชา

พระสงฆ์ร่วมขบวนอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วซึ่งแห่จากสนามบินเมงกะลาโดง
ไปตามถนนสายหลักของกรุงย่างกุ้ง ในวันอังคาร 22 พ.ย.2554 วันแรกที่สถิตในกรุงเก่า
หลังอัญเชิญโดยทางเครื่องบิน เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้บูชาเพื่อเป็นมงคลแห่งชีวิต.

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - หลังจากสถิตในเมืองหลวงเนปีดอเป็นเวลา 16 วันระหว่างวันที่ 6-21 พ.ย.ที่ผ่านมา และมีทั้งชาวพม่าและชาวต่างชาติจากกว่า 10 ประเทศ เข้าเยี่ยมชมชมและร่วมบูชา ทางการพม่าได้อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปสถิตยังกรุงย่างกุ้งในสัปดาห์นี้ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวกรุงเก่าได้นมัสการ

ขบวนแห่งพระทันตะธาตุแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามุ่งสู่ย่างกุ้งในวันที่ 21 พ.ย. เพื่อประทับที่หอธรรมวิปัสสนาในบริเวณวัดมหาเจดีย์ชเวดากอง หนังสือพิมพ์นิวไลท์ออฟเมียนมาร์รายงาน

ขณะสถิตอยู่ที่หอวิปัสสนาวัดพระมหาเจดีย์อุปตะศานติแห่งเนปีดอนั้น ได้มีนักท่องเที่ยวและชาวพม่ารวมจำนวนนับหมิ่นคนไปเข้าชมและนมัสการ พร้อมกับทำบุญโดยบริจาคเงินทองและสิ่งของ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือทองคำเพื่อเป็นมหากุศล

จนถึงวันที่ 21 พ.ย.ยอดบริจาครวมเป็นเงินจ๊าตเกือบ 460 ล้านจ๊าต 10,290 ดอลลาร์ 4,798 หยวน 6,553 บาทไทย 520 เปโซ (ฟิลิปปินส์) 351 ริงกิต (มาเลเซีย) เกือบ 5 แสนรูเปียะ (อินโดนีเซีย) 3,284 รูปี (อินเดีย) 148,200 ด่ง (เวียดนาม) 7,600 เรียล (กัมพูชา) 149 ดอลลาร์สิงคโปร์ 16,870 วอน (เกาหลี)

ยังมีผู้บริจาคเป็นปอนด์สเตอร์ลิงอีกจำนวน 5 ปอนด์ กับ 5,000 เยน (ญี่ปุ่น) 320 รูปี (ศรีลังกา) 20 รูปี (เนปาล) 6 งูนตรุม (ภูฎาน) 1,000 กีบ (ลาว) 100 ริยัล (เยเมน) 40 แรนด์ (แอฟริกาใต้) 6,000 โบลิวาร์ (เวเนซุเอลา) 20 ดอลลาร์ฮ่องกง 30 ยูโร 10 ฟรังก์ (ฝรั่งเศส) กับทองและอัญมณีอีก 1,635 รายการ

ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีเต็งเส่ง และนางคินคินวินภริยา ได้บริจาคสร้อยคอทองคำ 3 เส้น แหวนทอง 1 วง เหรียญทองอีก 1 เหรียญ ต่างหูทองคำอีก 1 คู่ รวมเป็น 6 รายการมูลค่าประมาณ 6,160,000 จ๊าต (อัตราแลกเปลี่ยน 850 จ๊าต/ดอลลาร์) สื่อของทางการกล่าว

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ที่มีการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วจากกรุงปักกิ่งไปประดิษฐานในพม่าเพื่อให้พุทธศาสนิกชนลัทธิเถรวาท ได้นมัสการและบูชา เพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต

พระเขี้ยวแก้วจะประดิษฐานในกรุงย่างกุ้งไปจนถึงช่วงกลางเดือน ธ.ค. ก่อนจะอัญเชิญต่อไปประดิษฐานในเมืองมัณฑะเลย์เป็นปลายทางก่อนอัญเชิญกลับประเทศจีน.


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.manager.co.th/IndoChina/V...=9540000149898
http://board.palungjit.com/f36/อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปย่างกุ้ง-มวลชนนานาชาติเข้าชมบูชา-315545.html
25542  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สกลนครดินแดน "3 ดำมหัศจรรย์" เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 04:18:16 pm


สกลนคร ชวนเที่ยวงานเทศกาลโคขุนโพนยางคำ

จังหวัดสกลนครชวนเที่ยวงาน เทศกาลโคขุนโพนยางคำ ระหว่างวันที่ 27 พ.ย. - 1 ธ.ค. 2554 ณ สนามมิ่งเมือง โดยชูสโกแกนประจำงานคือ ลิ้มรสโคขุน ละมุนนมโคถิ่นภูพาน จิบรสหวานน้ำหมากเม่า ใต้แสงดาว หนาวนี้ ที่สกลนคร

นางวิตยา ประสงค์วัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร นายชัยมงคล ไชยรบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร และนายโกมุฑ ฑีฆทนานนท์ นายเทศมนตรีเมืองสกลนคร เผยว่า การจัดมหกรรมส่งเสริมและสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน OTOP และภูมิปัญญาท้องถิ่น ภายใต้ชื่องาน บอกรักพ่อที่ภูพาน ยลดอกไม้งามที่หนองหาร เที่ยวงานลิ้มรสโคขุน ละมุนน้ำหมากเม่า ใต้แสงดาวหนาวนี้ที่สกลนคร หรืองาน เทศกาลโคขุนโพนยางคำ

โดยกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน 1 ธันวาคม 2554 บริเวณสนามมิ่งเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ในงานนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับความเป็นเอกลักษณ์ เทศกาลโคขุนโพนยางคำ ไม่ว่าจะเป็น เมนูอาหารจากเนื้อโคขุนโพนยางคำ บรรยากาศริมหนองหารยามเย็น และชมสุดยอดมหัศจรรย์ 3 ดำ แห่งศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ คือ วัวดำ หมูดำ และ ไก่ดำ

พิเศษสำหรับปีนี้ งานเทศกาลโคขุนโพนยางคำ จะอบอวลไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์กว่า 840,000 ต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมเทิดพระเกียรติ ในปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา พ.ศ. 2554 โดยได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรี ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2554 ไปจนถึง เดือนมกราคม 2555

นายชัยมงคล ไชยรบ นายก อบจ.สกลนคร กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางจังหวัดสกลนคร ได้เตรียมกิจกรรมต่างๆ ไว้มากมาย เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ โดยได้เน้นกิจกรรมที่ปวงชนชาวไทย สามารถมีส่วนร่วมเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั่นคือ กิจกรรมบอกรักพ่อที่ภูพาน

นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนสกลนคร จะได้ร่วมลงนามถวายพระพรในพื้น ผ้าครามที่ยาวที่สุดในโลก ที่ชาวสกลนครได้ร่วมแรงร่วมใจทอด้วยมือ และได้นำผ้าครามผืนดังกล่าวให้นักท่องเที่ยวได้ลงนามถวายพระพร ณ บริเวณสนามมิ่งเมือง ตลอด 5 วัน หลังจากนั้นจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งจะมีการจัดแสดงนิทรรศการจากหน่วยงานต่างๆ

ได้แก่ ศูนย์ศึกษาพัฒนาภูพาน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติจังหวัดสกลนคร มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร มหาวิทยาลัยราชมงคลสกลนคร ศูนย์ศิลปาชีพกุดนาขาม นิทรรศการเนื้อโคขุนโพนยางคำและวิถีชีวิตชนเผ่าสกลนคร นอกจากนี้ในภาคบันเทิงยังมีศิลปิน ดารา ลูกทุ่งหมอลำชื่อดัง ตลอดทั้ง 5 วัน

 
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.esanguide.com/news/detail.php?id=3516
25543  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สกลนครดินแดน "3 ดำมหัศจรรย์" เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 04:11:45 pm


สกลนครดินแดน"3ดำมหัศจรรย์" ดันผลงานพัฒนาพันธุ์"โค-ไก่-หมู"สร้างอาชีพ-เพิ่มรายได้เกษตรกร

              นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวพระราชดำริต่างๆ เพื่อให้พื้นที่ศูนย์การศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.สกลนคร เป็นแบบจำลองของภาคอีสานในการแก้ปัญหาและศึกษาวิธีการพัฒนาของภูมิภาคได้อย่างเหมาะสม           
              โดยผลการศึกษาวิจัยที่มีความโดดเด่นของศูนย์การศึกษาการพัฒนาภูพานฯในขณะนี้ คือ สิ่งที่เรียกว่า"ดินแดนแห่ง 3 ดำมหัศจรรย์" ได้แก่ โคเนื้อทาจิมะภูพาน ไก่ดำภูพาน และสุกรภูพาน


              สำหรับการพัฒนา"โคเนื้อทาจิมะภูพาน"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีได้พระราชทานแก่ศูนย์การศึกษาการพัฒนาภูพานฯ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ให้เนื้อมีคุณภาพดีที่สุดในโลกลักษณะเนื้อมีความนุ่ม ไขมันแทรกเกรดสูง จุดเด่นที่สำคัญ คือ มีสัดส่วนของกรดไขมันไม่อิ่มตัว:กรดไขมันอิ่มตัวสูงกว่าโคทั่วไป ทำให้ปลอดภัยต่อการบริโภค

              สำหรับ"ไก่ดำภูพาน"เป็นไก่ดำสายพันธุ์ที่ศูนย์การศึกษาการพัฒนาภูพานฯ ได้ศึกษาและพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์ให้ได้ไก่ดำพันธุ์ดี ทนโรค ทนต่อสภาพแวดล้อม เลี้ยงง่าย กินเก่ง โตเร็ว สามารถลดต้นทุนการผลิต และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ซึ่งราคาขายไก่รุ่นน้ำหนัก 1กิโลกรัม ราคาตัวละ 250บาท เมื่อเทียบราคาไก่เนื้อทั่วไป จะสามารถจำหน่ายได้เพียงตัวละ 70-80 บาท

              ส่วน"สุกรภูพาน"เกิดจากแนวคิดที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรในด้านต้นทุนการผลิตเพื่อให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงสุกรที่มีลักษณะเลี้ยงง่าย โตเร็ว ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์การเลี้ยงของเกษตรกรได้ดี มีความทนทานต่อโรค ให้ลูกดก เลี้ยงลูกเก่ง และให้ปริมาณเนื้อแดงมากเมื่อนำไปขุน
              ดังนั้นจึงได้พัฒนาสายพันธุ์กระทั่งได้สุกรภูพาน 2 สายพันธุ์ คือสุกรภูพาน1และสุกร ภูพาน 2โดยเกษตรกรสามารถนำไปเลี้ยงแบบปล่อยเลี้ยงหลังบ้าน เพื่อกินเศษอาหารที่เหลือ เปลี่ยนเป็นเนื้อสัตว์ หรือเพื่อจำหน่ายเสมือนเป็นคลังออมสินประจำบ้าน


ที่มา :นสพ.แนวหน้า หน้า 14
http://www.acfs.go.th/news_detail.php?ntype=09&id=8106
25544  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ติเหตุกบุคคล คือใคร คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 08:19:28 am


เหตุ ๖

      เหตุ เป็นธรรมที่ทำให้ผลเกิดขึ้น ธรรมทั้งหลายที่ได้อุปการะจากเหตุ คือ มีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นปัจจัยแล้ว ย่อมทำให้มีสภาพมั่นคงในอารมณ์ เช่น มั่นคงในความอยากได้ในรูปารมณ์ เป็นต้น เหมือนต้นไม้ที่มีรากงอกงามแผ่ขยายกว้างขวางออกไป

     เหตุ มี ๖ ประการ ได้แก่

     ๑) โลภเหตุ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิตใจให้เกิดความอยากได้ ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย ตลอดจนความคิดนึกติดใจในเรื่องราวต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าเมื่อมีความอยากเกิดขึ้นคราวใด ก็จะเกิดความร้อนใจเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ และจะกระทำไปตามความอยากที่เกิดขึ้นนั้น
     เมื่อได้สิ่งนั้นมาแล้วก็เป็นทุกข์กับการดูแลรักษา ห่วงแหน หรือถ้าไม่ได้อย่างที่ต้องการก็เป็นทุกข์อีก องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในโลภมูลจิต ๘

     ๒) โทสเหตุ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิตใจทำให้เกิดความไม่พอใจ ไม่ปรารถนาที่จะได้พบเรื่องราวต่าง ๆ เหมือนกับการเห็นศัตรูหรืออสรพิษ ย่อมเกิดความไม่พอใจ หรือหวาดกลัวขึ้นมาทันที องค์ธรรมได้แก่ โทสเจตสิก ที่ในโทสมูลจิต ๒

    ๓) โมหเหตุ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิตใจให้โง่ หลง งมงาย ไม่รู้ในสัจจะตามที่เป็นจริง เมื่อรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือความคิดนึกในเรื่องราวต่าง ๆ ปรากฏขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ก็ไม่เข้าใจสภาวะความเป็นจริง ว่าเป็นเพียงนาม เป็นเพียงรูป แต่กลับไปคิดยึดติดว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเขาเป็นเรา องค์ธรรมได้แก่ โมหเจตสิก ที่ในอกุศลจิต ๑๒

     ๔) อโลภเหตุ มีความหมายตรงกันข้ามกับโลภเหตุ คือความไม่อยากได้ใน รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่มาสัมผัสทางกาย และความคิดนึกเรื่องราวต่าง ๆ ทางใจ องค์ธรรมได้แก่ อโลภเจตสิก ที่ในโสภณจิต ๕๙ หรือ ๙๑

      ๕) อโทสเหตุ มีความหมายตรงกันข้ามกับโทสเหตุ คือเมื่อได้ประสบกับอารมณ์ที่พอใจ (อิฏฐารมณ์) หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจ (อนิฏฐารมณ์) จิตใจก็จะไม่เกิดความโกรธ หรือความไม่พอใจในอารมณ์นั้น ๆ องค์ธรรมได้แก่ อโทสเจตสิก ที่ในโสภณจิต ๕๙ หรือ ๙๑

      ๖) อโมหเหตุ มีความหมายตรงกันข้ามกับโมหเหตุ คือมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่กาลังปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ ว่าเป็นแต่เพียงรูปธรรมนามธรรมเท่านั้น มิใช่เป็นสัตว์บุคคลตัวตน เราเขา เป็นเพียงสภาวะที่ปรากฏเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง องค์ธรรมได้แก่ ปัญญาเจตสิก ที่ในญาณสัมปยุตตจิต ๔๗ หรือ ๗๙



       สรุปความได้ว่า
      ** โลภเจตสิก โทสเจตสิก และ โมหเจตสิก เมื่อเกิดขึ้นกับจิตใจของบุคคลใดแล้ว ก็เป็นเหตุให้บุคคลนั้นทำบาปอกุศล เจตสิกทั้ง ๓ นี้ เรียกว่า เหตุบาป ๓ คือ เป็นต้นเหตุให้บุคคลทำอกุศล

       ** อโลภเจตสิก, อโทสเจตสิก และ อโมหเจตสิก เมื่อเกิดขึ้นกับจิตใจของบุคคลใดแล้ว ก็เป็นเหตุให้บุคคลนั้นทำบุญกุศล เจตสิกทั้ง ๓ นี้ เรียกว่า เหตุบุญ ๓ คือ เป็นต้นเหตุให้บุคคลทำกุศล

       โดยที่กุศลขั้นกามาวจรนั้น เมื่อตายลงบุญจะนำไปสู่สุคติภูมิ คือ มนุษยภูมิและเทวภูมิ
       ถ้าเป็นกุศลขั้นรูปาวจรและอรูปาวจร เมื่อตายลงบุญจะนาไปสู่รูปภูมิและอรูปภูมิ
       แต่ถ้าเป็นมรรคกุศล ก็จะส่งผลให้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคล หมดสิ้นจากกิเลสทั้งปวง และพ้นจากวัฏฏทุกข์ได้ในที่สุด



ที่มา
พระอภิธรรมทางไปรษณีย์ ชุดที่ ๘ ตอนที่ ๒ เรื่องมิสสกสังคหะ โดยอาจารย์ทองสุข ทองกระจ่าง
อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
http : // www.buddhism-online.org
อ้างอิง : พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ ; หลักสูตรจูฬอาภิธรรมิกะโท
ขอบคุณภาพจาก http://4.bp.blogspot.com/,http://www.212cafe.com/


      อโลภเจตสิก, อโทสเจตสิก และ อโมหเจตสิก เมื่อเกิดขึ้นกับจิตใจของบุคคลใดแล้ว ก็เป็นเหตุให้บุคคลนั้นทำบุญกุศล
      เจตสิกทั้ง ๓ นี้ เรียกว่า เหตุบุญ ๓ คือ เป็นต้นเหตุให้บุคคลทำกุศล

      ความหมายของ "ติเหตุกบุคคล" ก็คือ บุคคลที่มีเหตุบุญ ๓ อย่าง ที่เป็นต้นเหตุให้บุคคลนั้นทำแต่กุศล
และถ้าบุคคลนี้มุ่งไปที่มรรคกุศล ก็จะเป็นอริยบุคคล

      เจริญธรรม วันธัมมสวนะ...ขอรับ
:25:
25545  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / “นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง” สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี. เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 07:06:15 am

จงเข้าถึงสุขอันยิ่ง

    พระพุทธเจ้าสอนว่า
            “นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง” สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี.         
            หมายความว่า ความสุขอื่นมีเช่นกับความสุขในการดูละคร ดูหนัง ความสุขในการเข้าสังคม(Social) ในการมีคู่รักคู่ครอง หรือในการมีลาภยศ

      การได้รับความสุข สรรเสริญ และได้รับความสุขจากสิ่งเหล่านี้ก็สุขจริง แต่ว่าสุขเหล่านี้มีทุกข์ซ่อนอยู่ทุกอย่าง ต้องคอยแก้ไขปรับปรุงกันอยู่เสมอ ไม่เหมือนกับความสุขที่เกิดจากสันติ ความสงบ เป็นความสุขทีเยือกเย็น และไม่ซ้อนด้วยความทุกข์ และไม่ต้องแก้ไขปรับปรุงตกแต่งมาก

      เป็นความสุขที่ทำได้ง่าย ๆ เกิดกับกายใจของเรานี่เอง อยู่ในที่เงียบ ๆ คนเดียวก็ทำได้ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมสังคมก็ทำได้ ถ้าเรารู้จักแยกใจหาสันติสุข กายนี้ก็เพียงสักแต่ว่าอยู่ในที่ระคนด้วยความยุ่ง สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ยุ่งมาถึงใจ

      แม้เวลาเจ็บหนักมีทุกขเวทนาปวดร้าวไปทั่วกาย แต่เรารู้จักทำใจให้เป็นสันติสุขได้  ความเจ็บนั้นก็ไม่สามารถจะทำใจให้เดือนร้อนตามไปด้วย เมื่อใจสงบแล้ว กลับจะทำให้กายนั้นสงบ หายทุกขเวทนาได้ด้วย และประสบสันติสุขซึ่งไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่าสันติสุขนั้น



            พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึกเป็น ๓ ทาง คือ

      ๑. สอนให้สงบกาย วาจา ด้วยศีล ไม่ทำโทษทุจริตอย่างหยาบที่เกิดทางกาย วาจา เป็นเหตุให้เกิดสันติสุขทางกาย วาจา เป็นประการต้น

      ๒. สอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางใจด้วยสมาธิ หัดใจไม่ให้คิดถึงความกำหนัด ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความกลัว ความฟุ้งซ่านรำคาญ ความลังเลใจ ทำให้ใจไม่เด็ดเดี่ยว ไม่เด็ดขาดเมื่อละสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นเหตุให้ใจสงบ เป็นสันติสุขทางจิตใจอีกประการหนึ่ง

      ๓. ทรงสอนให้ฝีกหัดให้เกิดสันติสุขทางทิฏฐิ (ความเห็น) ด้วยปัญญา พิจารณาให้เห็นว่าสรรพสิ่งทั้งหลายไม่แน่นอน เป็น “อนิจจัง” เป็น “ทุกข์” ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อ้อนวอนขอร้อง หรือเร่งรัดให้เป็นไปตามความประสงค์ ท่านเรียกว่า “อนัตตา”

      เมื่อเรารู้เห็นตามเป็นจริงเช่นนี้ จะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งมั่นคงเด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์ทั้งหลาย เพราะรู้เห็นตามเป็นจริงด้วยปัญญาว่า
      "สิ่งเหล่านั้นมันไม่แน่นอน มันคงอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงเสื่อมสิ้นดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาฝ่าฝืนของเรา"

      อย่าไปเร่งรัดให้เสียกำลังใจ คงรักษาใจเราให้เป็นอิสระมั่นคง อยู่เสมอ ไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์เหล่านั้น
      เป็นเหตุให้ใจตั้งอยู่ใน สันติสุข เป็นอิสสระ เกิดอำนาจทางจิต – Mind Power ที่จะใช้ทำกิจกรณียะ อันเป็นหน้าที่ของตน ได้สำเร็จสมประสงค์



อ้างอิง
โอวาทจากเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต(ธัมมวิตักโก ภิกขุ)
http://www.buddhistnun.net/คติธรรมคำสอน/คำสอน7.html
ชอบคุณภาพจาก http://image.ohozaa.com/,http://www.oknation.net/
25546  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ปัตตานุโมทนามัย ทำบุญด้วยการ"ยินดีในความดีของผู้อื่น" เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 05:57:20 am

ภาพจาก http://tourwat.com/

ลิงค์แนะนำ
นางวิสาขามหาอุบาสิกา ปัจจุบันอยู่สวรรค์ชั้นไหน..?
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5702.msg21362;topicseen#msg21362
25547  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / นางวิสาขามหาอุบาสิกา ปัจจุบันอยู่สวรรค์ชั้นไหน..? เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 05:48:21 am



พระไตรปิฎก เล่ม ๒๖ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตตุ เถระ-เถรีคาถา
๖. วิหารวิมาน
ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในวิหารวิมาน

   ท่านพระอนุรุทธเถระได้ถามนางเทพธิดาตนหนึ่งว่า
   [๔๔]  ดูกรนางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก มีรัศมีส่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ สถิตอยู่เหมือนดาวประกายพฤกษ์ เมื่อท่านฟ้อนอยู่ เสียงอันเป็นทิพย์น่าฟัง รื่นรมย์ใจ ย่อมเปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วน ทั้งกลิ่นทิพย์อันหอมหวนยวนใจ ก็ฟุ้งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วนเมื่อท่านไหวกายกลับไปมา

        เสียงของเครื่องประดับช้องผมก็ดังเสียงไพเราะ ดุจเสียงดนตรีเครื่อง ๕ อนึ่ง เสียงมงกุฎที่ถูกลมรำเพยพัดให้หวั่นไหว ก็กังวานไพเราะดุจเสียงดนตรีเครื่อง ๕ แม้พวงมาลัยบนเศียรเกล้าของท่าน มีกลิ่นหอมชวนให้เบิกบานใจ หอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศดุจต้นอุโลก ฉะนั้น
        ดูกรนางเทพธิดา อาตมาถามท่านแล้ว ขอท่านจงบอก นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร?

   นางเทพธิดาตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นสหายของดิฉันอยู่ในเมืองสาวัตถี ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ ดิฉันเห็นมหาวิหารนั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใสอนุโมทนา ก็วิมานอันเป็นที่รักนี้อันดิฉันได้แล้วเพราะการอนุโมทนาด้วยจิตบริสุทธิ์แต่อย่างเดียวเท่านั้น

       วิมานนี้เป็นวิมานอัศจรรย์น่าดูน่าชม โดยรอบสูง ๑๖ โยชน์ เลื่อนลอยไปในอากาศได้ตามความปรารถนาของดิฉัน ดิฉันมีปราสาทเป็นที่อยู่อาศัย อันบุญกรรมจัดแจงเนรมิตให้เป็นส่วนๆ งามรุ่งโรจน์ตลอดร้อยโยชน์โดยรอบทิศ

       อนึ่ง ที่วิมานของดิฉัน มีสระโบกขรณีเป็นที่อาศัยของหมู่มัจฉาชาติมีน้ำใสสะอาด มีท่าอันลาดด้วยทรายทอง ดารดาษไปด้วยปทุมชาตินานาชนิดพร้อมทั้งบัวขาว เกษรแห่งบัวทั้งหลายอันลมรำเพยพัด ย่อมหอมฟุ้งเจริญใจ มีรุกขชาติต่างๆ อันบุญกรรมปลูกไว้ใกล้วิมาน คือ ไม้หว้าขนุน ตาล มะพร้าว

       วิมานนี้กึกก้องไปด้วยเสียงดนตรีต่างๆ และกึกก้องไปด้วยหมู่นางอัปสร แม้นรชนใดได้เห็นวิมานนี้ด้วยความฝันนรชนนั้นก็พึงปลื้มใจ วิมานอันมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ น่าอัศจรรย์น่าดูน่าชมเช่นนี้ เกิดแต่ดิฉันเพราะกุศลกรรมทั้งหลาย ควรทำบุญโดยแท้.



   พระอนุรุทธเถระ เมื่อจะให้นางเทพธิดาบอกที่เกิดของนางวิสาขามหาอุบาสิกา จึงกล่าวถามด้วยคาถาความว่าวิมานอันอัศจรรย์น่าดูน่าชมนี้ ท่านได้แล้ว เพราะการอนุโมทนาด้วยจิตอันบริสุทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น

        นางนารีอันมีนามว่าวิสาขา ได้ถวายทานและได้สร้างมหาวิหาร ไปเกิดที่ไหน ขอท่านจงบอกคติของนางวิสาขานั้น แก่อาตมาด้วยเถิด?

    นางเทพธิดานั้นตอบว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ นางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นสหายของดิฉัน ได้สร้างมหาวิหารถวายแด่สงฆ์และได้ถวายทานแด่สงฆ์ เป็นผู้รู้ธรรมแจ่มแจ้ง
        "เธอได้บังเกิดในหมู่ทวยเทพชั้นนิมมานรดี เป็นประชาบดีของท้าวสุนิมมิตวดี ผู้เป็นใหญ่ในชั้นนิมมานรดีนั้น" วิบากแห่งกรรมของนางวิสาขามหาอุบาสิกานั้น อันใครไม่ควรคิด

        ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันได้พยากรณ์ที่เกิดของนางวิสาขาที่พระคุณเจ้าถามว่า นางวิสาขานั้นบังเกิด ณ ที่ไหนโดยถูกต้องแล้ว ถ้าอย่างนั้น ขอพระคุณเจ้าได้ชักชวนแม้ชนเหล่าอื่นว่า

        ท่านทั้งหลายจงปลื้มใจถวายทานแด่สงฆ์เถิด และจงมีใจเลื่อมใสฟังธรรม การได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์เป็นการได้ด้วยแสนยาก อันพวกท่านได้แล้ว พระพุทธเจ้ามีพระสุรเสียงดุจเสียงพรหม มีพระฉวีวรรณดุจทองคำ เป็นอธิบดีแห่งมรรคา ได้ทรงแสดงธรรมใดไว้ว่า เป็นทางสวรรค์ ทางนั้นเป็นทางอันประเสริฐ ท่านทั้งหลายจงปลื้มใจถวายทานแด่สงฆ์ ที่บุคคลถวายทักษิณาแล้วมีผลมาก

        บุคคลเหล่าใดอันพระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญแล้วว่า คู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ เหล่านี้บุคคลเหล่านั้นเป็นพระทักขิไณยบุคคล สาวกแห่งพระสุคต ทานอันบุคคลถวายแล้วในพระทักขิไณยบุคคลเหล่านั้น มีผลมาก ท่านผู้ปฏิบัติเพื่ออริยมรรค ๔ จำพวก และท่านผู้ตั้งอยู่ในอริยผล ๔ จำพวก ฯลฯ


อ่านรายละเอียดเิพิ่มเติมได้ืที่
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖  บรรทัดที่ ๑๕๐๗ - ๑๕๗๙.  หน้าที่  ๖๑ - ๖๔.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=26&A=1507&Z=1579&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=44
ขอบคุณภาพจาก http://photos4.hi5.com/,http://watvisit.igetweb.com/,http://www.dmc.tv/
25548  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “พระเจ้าทันใจ” พระพุทธรูปสร้างเสร็จภายในวันเดียว วัดม่อนจำศีล จ.ลำปาง เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2011, 10:45:14 pm

“พระเจ้าทันใจ” พระพุทธรูปสร้างเสร็จภายในวันเดียว วัดม่อนจำศีล ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง

ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ นะครับผม เพราะเคยบวชเรียนที่วัดม่อนจำศีล เมื่อปี พ.ศ.2537 แต่ปัจจุบันโบราณวัตถุต่าง ๆ ทรุดโทรมมาก...ทั้ง ๆ ที่เป็นวัดเก่าแก่ โบราณสถานงดงาม จนหลายต่อหลายครั้ง ที่ค่ายกันตนาใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละคร เช่น เรื่อง เพลิงพระนาง นายขนมต้ม เป็นต้น...

วัดม่อนจำศีล ตำบลพระบาท อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง คือวัดแห่งหนึ่งที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจ ไว้ในวิหารด้านหลังพระธาตุเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ วัดม่อนจำศีลเป็นวัดสถาปัตยกรรมพม่า ถูกปล่อยร้างมานาน ประวัติการก่อสร้างจึงไม่ทราบแน่ชัด

แต่ก็ยังโชคดีที่มีการค้นพบประวัติบางส่วนของวัด เป็นวัดที่มีความงดงามมาก มีพระเจดีย์องค์ใหญ่ทั้งหมด 3 องค์ เป็นวัดที่ได้รับการบูรณะอย่างจริงจัง จากท่านเจ้าอาวาสพระครูพิศาลสุภัทรกิจ ซึ่งเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่ง ซึ่งผมสามารถยืนยันด้วยตนเอง

เพราะเคยบวชเป็นสามเณรที่นั่น 3 ปี และเป็นสามเณร อุปัฏฐากของหลวงพ่อฯ ซึ่งทุกคนจะ เรียกท่านว่า "ตุ๊ลุง" ตุ๊ลุงเป็นพระที่ตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมในวัด และให้การศึกษาฟรีแก่สามเณร โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด หลาย ๆ คนจบที่นั่นและเรียกได้ว่าอยู่รอดเป็นคนมาจนทุกวันนี้



เพราะตุ๊ลุงเป็นพระที่เก่งด้านวิปัสสนากรรมฐานและด้านพระอภิธรรม ศิษย์ของตุ๊ลุงเรียกได้ว่าจะต้องได้เรียนพระอภิธรรมทุกคน ส่วนมากจะจบชั้นจูฬอภิธรรมิกตรีเป็นอย่างต่ำ คุณความดีของตุ๊ลุง หากใครไม่ได้สัมผัสจริง ๆ จะไม่ทราบ

ผมจำความได้ตลอด 3 ปี ที่บวชเรียนที่นั่นและเป็นสามเณรอุปัฏฐาก ตุ๊ลุงจะอยู่ในศีลในธรรมเช่น เรื่องการกินอาหารยามวิกาล ตุ๊ลุงไม่เคยแตะต้อง, การใส่กางเกงใน (ซึ่งถือเป็นการแต่งกายเลียนแบบคฤหัสถ์) ตุ๊ลุงจะไม่ใส่ และห้ามสามเณรที่วัดใส่, การอยู่ลับหู ลับตาคน (ตุ๊ลุงจะต้องมี สามเณรอย่างน้อย 1 รูป อยู่ด้วยเมื่อสนทนาทั้งบุรุษและสตรี)

และ อีกหลายเรื่องราวที่ผมเห็นวัตรปฏิบัติของตุ๊ลุงเสมอต้นเสมอปลาย ปัจจุบันผมยังศรัทธาตุ๊ลุงอย่างไม่เสื่อมคลาย... แต่สงสารตุ๊ลุง ที่รับผิดชอบภาระในวัดมากมาย จนเรียกได้ว่ารับผิดชอบทั้งวัด ทั้งสามเณรเกือบร้อยรูป...เห็นแล้วก็ได้แต่อนุโมทนาในคุณความดีของพระท่านหนึ่งซึ่งหายากในปัจจุบัน...



วัดม่อนจำศีล เป็นวัดที่ประดิษฐาน “พระเจ้าทันใจ” ซึ่งศักดิ์สิทธิ์มาก เรียกว่า หากอยู่ในศีลในธรรม ขอสิ่งใดได้สิ่งนั้นแทบไม่น่าเชื่อ แต่ก็มีหลายคนที่ใกล้เกลือกินด่าง “พระเจ้าทันใจ” เป็นพระพุทธรูปที่ใช้เวลาสร้างได้สำเร็จภายใน 1 วัน

กล่าวคือ จะเริ่มพิธีตั้งแต่ประมาณหกโมงเย็นหรือหลังหนึ่งทุ่มเป็นต้นไป จนสามารถสร้างองค์พระได้สำเร็จก่อนพระอาทิตย์ขึ้นของวันถัดไป ถ้าสร้างไม่เสร็จถือเป็นพระพุทธรูปธรรมดาทั่วไป และสามารถทำพิธีพุทธาภิเษกได้ในเย็นอีกวันหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากการสร้างพระพุทธรูปนั้น มักจะมีขั้นตอนและพิธีกรรมที่ละเอียดซับซ้อน การสร้างพระพุทธรูป และ สามารถทำพิธีพุทธาภิเษกได้สำเร็จภายใน 1 วัน จึงถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์



จึงเชื่อกันว่าเป็นเพราะพระพุทธานุภาพ และ อานุภาพแห่งเทพยดาที่บันดาล ให้พิธีกรรมสำเร็จโดยปราศจากอุปสรรค ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงถือว่าพระเจ้าทันใจเป็นพระพุทธรูปที่จะบันดาลความสำเร็จให้แก่ผู้อธิษฐานขอพรได้อย่างทันอกทันใจ

การสร้างพระเจ้าทันใจนั้น มีลักษณะที่แปลกกว่าการสร้างพระพุทธรูปอื่น ๆ กล่าวคือจะมีการบรรจุหัวใจพระเจ้าคล้ายกับหัวใจของมนุษย์ ตลอดจนการบรรจุวัตถุมงคลสิ่งของมีค่าไว้ในองค์พระพุทธรูปด้วย ละในช่วงระยะเวลาที่กำลังปั้นจะต้องมีการเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ตลอดทั้งคืนจนสว่างด้วย “พระเจ้าทันใจ” จะมีหลายองค์ในวัดทางภาคเหนือ หากมีโอกาสลองสักครั้งที่จะไปกราบพระเจ้าทันใจวัดม่อนจำศีล



และที่สำคัญวัดม่อนจำศีล ยังมีพระธาตุเจดีย์ที่ศักดิ์สิทธิ์ มีความงดงามและพระธาตุองค์ใหญ่ จำนวน 3 องค์ แต่วัดขาดการบูรณะและขาดการดูแลเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะภาระของหลวงพ่อเจ้าอาวาสองค์เดียว จึงทำให้การปรับปรุงพัฒนานั้นเป็นไปอย่างล่าช้า หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญ

ผมเชื่อว่า บางหน่วยงานในจังหวัด ยังไม่รู้จักชื่อวัดด้วยซ้ำว่ามีอยู่ในลำปาง (เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองครับ) เสียดายแทน ที่มีของอันทรงคุณค่าไว้ แต่กลับกลายให้สูญสิ้นค่าไปกับกาลเวลา....สักครั้งนะครับ

หากคุณมีเวลา หาเวลาไปทำบุญ กราบขอพรพระเจ้าทันใจ วัดม่อนจำศีล สนทนาธรรมกับท่านเจ้าอาวาสสักครั้ง คุณจะรู้สึกด้วยตนเองว่า ศาสนานี้ยังมีพระดี ๆ อีกมากมายที่ตั้งใจทำ... แต่ไม่โด่งดังเพราะท่านไม่โฆษณาตนเอง...


ถ่ายวัดม่อนจำศีลบางส่วนจาก www.lampang108.com และ
ภาพจาก : http://oakeybear.multiply.comและ คุณ Chonlatid D.
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://board.palungjit.com/f76/วัดม่อนจำศีล-อ-เมือง-จ-ลำปาง-315394.html
25549  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ทำบุญ ใส่บาตร แล้ว พระไม่ได้ ฉัน เอาไปแจกต่อ ได้บุญอย่างไรคะ เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 11:38:50 pm


3.4 วิธีการทำทาน       
   
          เงื่อนไขที่จะทำให้การทำทาน แต่ละครั้งมีความสมบูรณ์พร้อม คือ ทำแล้วได้ผลบุญมาก จะมีองค์ประกอบสำคัญๆ อยู่หลายประการ เช่น ในเบื้องต้นต้องมีศรัทธา มีไทยธรรม และมีผู้รับทาน โดยเฉพาะที่เป็นทักขิไณยบุคคล ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ

           นอกจากองค์ประกอบสำคัญทั้งสามนั้นแล้ว ยังมีสิ่งสำคัญอื่นอีก เช่น กำหนดเวลาที่จะทำทานได้ (กาลทาน) เจตนาและกิริยาอาการที่เราให้ เป็นต้น ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ บางครั้งไม่อยู่ในขอบเขตที่ เราสามารถกำหนดเองได้ เช่น อยากถวายผ้ากฐิน แต่ยังไม่ถึงกาล หรืออยากทำทาน แต่ได้ผู้รับไม่มีศีล เป็นต้น

           อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ทานที่เราทำไปได้บุญมากที่สุด ก็ควรเตรียมตัวของเราเองให้พร้อมไว้  โดยเมื่อจะทำทานครั้งใด ก็ให้ทำไปตามลำดับดังนี้ คือ

           3.4.1 ตั้งใจ ทำเจตนาของเราให้บริสุทธิ์ก่อนที่จะทำทาน ด้วยการระลึกนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย และคุณประโยชน์ของการทำทาน ที่ทำให้เราชนะความตระหนี่ในใจของเราได้ เป็นการชำระใจให้สะอาด บริสุทธิ์ ปลูกจิตให้เลื่อมใสศรัทธา และปีติยินดีอย่างเต็มที่ว่าเราจะได้ทำทานในครั้งนี้

           3.4.2 แสวงหาไทยธรรม (สิ่งของที่ควรให้ทาน) ด้วยความเพียรที่บริสุทธิ์ ให้เหมาะสมและดูควรแก่ผู้รับ เมื่อได้มาแล้วพึงจัดแจงตกแต่งให้งดงาม สะอาด ประณีต ให้เป็นสามีทาน และควรให้ทานให้ ครบถ้วนตามคำสอนที่มีมาในพระไตรปิฎก คือทานในพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม จะทำให้ได้  บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ

           3.4.3 ทำตนเองให้บริสุทธิ์ก่อนที่จะให้ทาน ด้วยการสมาทานศีล 5 หรือศีล 8 แล้วนั่งสมาธิ กลั่นใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ นึกถึงปฏิคาหก (ผู้รับ) เสมือนท่านเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นตัวแทนของสงฆ์ ผู้ทรงไว้ซึ่งพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

           3.4.4 ตั้งจิตอธิษฐาน ด้วยการยกทานนั้น จบ เหนือศีรษะว่า ขอให้ทานของข้าพเจ้านี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ตนและผู้อื่น....จะเริ่มต้นด้วยให้ความสมบูรณ์พูน สุขหรือด้วยอะไรก็ตาม แต่ลงท้ายให้เป็น....นิพพานปัจจโย โหตุ (จงเป็นปัจจัยเพื่อพระนิพพาน) ดังที่บัณฑิตทั้งหลาย ในกาลก่อนจบอธิษฐานก่อนให้ทานว่า.....ขอให้พบดวงแก้ว ขอให้แคล้วบ่วงมาร ขอให้ถึงพระนิพพาน ในอนาคตกาลเทอญ จะทำให้ใจของเราใสสะอาดเต็มที่ในขณะที่ให้

           3.4.5 เมื่อทำทานเสร็จแล้ว ให้สละทานขาดออกจากใจ ไม่คิดเสียดายทรัพย์เลย ให้ปีติเบิกบาน ใจทุกครั้งที่นึกถึงทานที่ทำแล้ว บุญจากการทำทานนั้นก็จะส่งผลเต็มที่ทันที เมื่อบุญเกิดขึ้นแล้ว ควรอุทิศส่วนกุศลผลบุญนั้น เป็นปัตติทานมัย จะด้วยการกรวดน้ำให้ หรือตั้งจิตอุทิศให้ก็ได้ ขอเพียงจิตเป็นสมาธิ บุญจึงจะสำเร็จประโยชน์ ด้วยคำอุทิศส่วนกุศล ฯลฯ

            .............................


3.5.3 ทำทานต่างกันให้ผลไม่เหมือนกัน       

           การทำทานทุกครั้งย่อมมีอานิสงส์ดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น แต่ผลที่เกิดขึ้นก็ใช่ว่าจะเหมือนกันทุก ครั้งไป เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบข้างหลายประการ ตั้งแต่ความต่างแห่งวัตถุ ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ  ที่ให้เจตนาที่ให้ทาน กาลเวลาที่ให้ทาน หรือผู้รับทานแตกต่างกัน เป็นต้น ซึ่งจะได้ยกความแตกต่างในการทำทานมาดังนี้
       
           ความแตกต่างที่เจตนา 3 กาล               

          ผู้ใดก่อนที่จะให้ทานเกิดความดีใจ (ปุพพเจตนาบริสุทธิ์) อานิสงส์แห่งบุญย่อมส่งผลในภพชาติหน้า ให้ชีวิตในปฐมวัย (ตั้งแต่เกิดถึงอายุ 25 ปี) ของผู้นั้นพบแต่ความสมบูรณ์พูนสุขเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งดีงาม
               
          ผู้ใดขณะที่ให้ทาน เกิดความเลื่อมใส (มุญจนเจตนาบริสุทธิ์) อานิสงส์แห่งบุญย่อมส่งผลในภพชาติ หน้า ให้ชีวิตในมัชฌิมวัย (อายุ 26-50 ปี) ของผู้นั้น พบกับความสุข ความสบาย บริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์สมบัติ
               
          ผู้ใดหลังจากที่ให้ทานแล้ว เกิดความเบิกบานใจ ไม่เสียดายทรัพย์ (อปราปรเจตนาบริสุทธิ์) อานิสงส์แห่งบุญย่อมส่งผลในภพชาติหน้า ให้ชีวิตในปัจฉิมวัยของผู้นั้น (อายุ 51 ปี ขึ้นไป) ถึงพร้อมด้วย ความสุข สมหวังในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการ สามารถใช้ทรัพย์ได้อย่างเบิกบานใจ ไม่เป็นเศรษฐีที่มีความตระหนี่ถี่เหนียว
         
           และเมื่อผู้ใดสามารถรักษาเจตนาให้บริสุทธิ์ครบทั้ง 3 ระยะอย่างนี้ได้ ก็ย่อมได้บุญมาก และมีความสุขสมบูรณ์ไปจนตลอดชีวิต
         
           จะเห็นได้ว่าเจตนามี 3 ระยะ แต่ละระยะจะส่งผลในแต่ละวัย ถ้าเจตนาดีจะส่งผลดี แต่ถ้าเจตนา ระยะใดเสียไป วัยนั้นก็จะเสียไปด้วย เช่น ก่อนจะให้ทาน ผู้ให้รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ครั้นถึงเวลาให้ เห็นพระภิกษุจำนวนมากมาย จึงเกิดความเลื่อมใสขึ้น ยินดีในการให้นั้น และหลังจากให้แล้ว นึกถึงบุญทีไร ก็เกิดความปีติเบิกบานใจทุกครั้ง

          บุญที่ทำนี้จะส่งผลให้เกิดในภพชาติหน้า คือ ในช่วงปฐมวัย จะมีชีวิตที่ลำบาก ต้องต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ มากมาย ต่อเมื่อถึงมัชฌิมวัย จึงจะเริ่มประสบกับความสุข ความสำเร็จ และ   ปัจฉิมวัยก็มีความสุขความสบาย สามารถใช้ทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สุข และสร้างบุญกุศลได้อย่างเต็มที่ เป็นต้น
         
           อีกนัยหนึ่ง ในภพชาตินี้ ถ้าในช่วงปฐมวัยเรามีความสุขดี มัชฌิมวัยก็เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน แต่ปัจฉิมวัยกลับพบแต่อุปสรรค มีทรัพย์ก็เสียดาย ไม่กล้าทำบุญ ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย แสดงว่าในอดีตนั้น เวลาทำบุญ ปุพพเจตนาและมุญจนเจตนาดี แต่อปราปรเจตนาเสียไป ทำบุญแล้วใจไม่เลื่อมใส เสียดายทรัพย์ ดังนี้เป็นต้น
         
           ดังที่ได้เคยกล่าวมาแล้วว่า การให้ทานจะมีผลมากนั้น ต้องขึ้นอยู่กับเจตนาที่บริสุทธิ์ของผู้ให้ทั้ง 3 ระยะ เป็นสำคัญ คือ ก่อนให้ก็ดีใจ ขณะให้ก็เลื่อมใส และหลังจากให้แล้วก็ปีติเบิกบานใจ หากสามารถประคองเจตนาทั้ง 3 ระยะนี้ได้  นั่นย่อมหมายถึงอานิสงส์ผลบุญที่จะเกิดขึ้นอย่างสุดประมาณ


อ้างอิง

ที่มา http://main.dou.us/view_content.php?s_id=385
ขอบคุณภาพจาก http://gotoknow.org/,http://www.banmaesa.com/


   การทำทานด้วยอาหาร โดยการใส่บาตร เมื่อหลุดจากมือลงบาตรแล้ว บุญที่ปรารถนาก็สำเร็จแล้วครับ
ไม่ควรคิดว่า ต่อไปอาหารนี้ใครจะกินใครจะฉัน เมื่อให้แล้วก็เป็นสิทธิื์์ของผู้รับ ผู้รับจะฉันหรือไม่ฉัน
หรือจะนำไปให้ใคร อย่างไร ไม่ควรสนใจ


   บุญสำเร็จด้วยเจตนาครับ หากเจตนาเราบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ก่อนให้ ขณะให้และหลังให้ จิตมีปิติ
ทำได้อย่างนี้จะเป็นบุญที่มีอานิสงส์มาก ขอให้อ่านบทความที่ผมนำเสนอให้เข้าใจเถิดครับ

   ใครจะได้รับบาปรับกรรมอย่างไร เรื่องนี้ไม่ประกอบด้วยกุศล อย่าได้สนใจ ทิ้งมันไปเถอะครับ คิดมากทำให้ฟุ้งซ่าน จิตจะขาดปิติ บุญที่ได้รับอาจจะไม่สมบูรณ์
   เหนือสิ่งอื่นใด ขอให้ยึดหลักว่า เรามีเจตนาบริสุทธิ์

    :25:
25550  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ฝึกแผ่เมตตา แบบกรรมฐาน มัชฌิมา ทำอย่างไรคะ เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 10:39:30 pm
     
     การแผ่เมตตา ของกรรมฐานมัชฌิมาฯ โดยพิสดาร จะเป็นเรื่องของ อัปปมัญญา พรหมวิหาร ๔ และที่สูงสุด ก็คือ ออกพรหมวิหารบัวบาน

     บทแผ่เมตตา ที่ใช้หลังนั่งกรรมฐาน เฉพาะที่สระบุรี จะใช้บทย่อดังนี้ครับ

     อิมินา ปุญญะกัมเมนะ,อิมินา อุทิสเสนะ,
     ด้วยกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้นี้
     ขออุทิศส่งให้แด่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
     ไม่เลือกหน้า ตั้งแต่ฝ่ายบนจนถึงพรหมา
     ฝ่ายใต้ตั้งแต่อเวจี ขึ้นมาจนถึงมนุษยโลกนี้
     โดยรอบจักรวาล อนันตจักรวาล
     อันหาที่สุดมิได้ จงรับเอาบุญกุศลของข้าพเจ้านี้เทอญ

     
    เมื่อออกจากกรรมฐานใหม่ๆ เพื่อรักษาจิตที่เป็นสมาธิเอาไว้ ไม่ควรพูดคุย หรือขยับตัวให้มากนัก เทคนิคส่วนตัวของผมก็คือ ผมจะไม่ลืมตา จะนั่งหลับตาสวดคาถาพญาไก่เถื่อน และต่อด้วยการแผ่เมตตา แผ่เมตตาเสร็จแล้วจึงลืมตา

      ผมจะแนบไฟล์หนังสือให้สองเล่ม คือ การแผ่เมตตาของกรรมฐานมัชฌิมาฯ
      อีกเล่มคือ คู่มือทำวัตร ของวัดพลับ เล่มนี้จะมีบทแผ่เมตตา ที่ผมเสนอไว้ข้างบน
      และที่อยากแนะนำก็คือ การกรวดน้ำให้มารทั้ง ๕ ในเล่มนี้จะมีอยู่ด้วย

       :25:
25551  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ติเหตุกบุคคล คือใคร คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 09:12:05 pm
พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ)
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม.

ติเหตุกะ (สร้างเหตุของการไม่เกิด โดยการอธิษฐานจิต)
     การสร้างเหตุของการไม่เกิดอีกต่อไป มีหลายวิธีการ แม้กระทั่งการอธิษฐานจิตก็เป็นอีกหนึ่งเหตุ ในการสร้างเหตุของการไม่เกิดอีกต่อไป
     ในแนวทางการปฏิบัติ ไม่ได้มีความยุ่งยากอะไร เพียงตั้งจิตอธิษฐานหลังการทำกรรมฐาน หรือ หลังการทำบุญ ตลอดจนการให้ทานต่างๆ สามารถตั้งจิตอธิษฐานเพื่อเป็นการสร้างเหตุของการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร

วิธีการอธิษฐาน
ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญถวายปัจจัยไทยทานต่างๆ หรือการให้ทาน บริจาคทานก็ดี แม้กระทั่งการทำกรรมฐาน ถึงแม้จะใช้เวลาตามสะดวกที่แต่ละคนจะทำได้ ทุกๆหลังการสร้างเหตุนี้ ให้อธิษฐานทุกครั้งว่า

“ขอผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำกรรมฐานหรือถวายปัจจัยไทยทานหรือการให้ทานตลอดจนสร้างถาวรวัตถุต่างๆในครั้งนี้ ขอผลบุญกุศลหนุนนำ ให้ข้าพเจ้าปฏิบัติ ได้เกิดปัญญญาณ ได้บรรลุมรรค,ผล ล่วงพ้นบ่วงมาร เห็นแจ้งพระนิพพาน ในปัจจุบันธรรมนี้ด้วยเทอญ”

    จงหมั่นอธิษฐานเช่นนี้ทุกๆครั้งหลังจากที่ได้ทำบุญต่างๆ แม้กระทั่งหลังจากการทำกรรมฐาน ทำแล้วได้ผลจริงๆ ดังมีหลักฐานที่นำมาอ้างอิงดังนี้

ติเหตุกะ
     คำว่า “ติกะเหตุกะ” ได้แก่ บุคคลมีเหตุ ๓ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ
กัมมชติเหตุกปฏิสนธิ คือ บุคคลผู้ปฏิสนธิด้วย ๓ เหตุ อันเกิดมาแต่กรรมที่เขาได้สร้างไว้ในชาติก่อนๆโน้น เช่น ในเวลาทำบุญ ทำทาน ฟังเทศน์ ฟังธรรม เป็นต้น มีความดีใจ ได้ตั้งปรารถนาไว้ว่า


“อายตึ ปญฺญวา ภวิสฺสามิ” ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาในชาติต่อไป ดังมีหลักฐานปรากฏรับรองไว้ว่า

“อายตึ ปญฺญวา ภวิสฺสามีติ ปฏฺฐเปตฺวา นานปฺปการํ ทานํ เทติ ตสฺส เอวรูํ กมฺมํ อุปนิสฺสาย กุสลํ อุปฺปชฺชมานํ ญาณสมฺปยุตฺตํ อุปฺปชฺชติ”

แปลว่า บุคคลถวายทานมีประการต่างๆ ตั้งความปรารถนาว่า ด้วยผลทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปัญญาในชาติต่อไป กุศลจิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยกรรมที่ดังกล่าวมานั้น เป็นญาณสัมปยุต คือ ประกอบด้วยปัญญา  ด้วยอำนาจบุญกุศลที่ตนทำไว้อย่างนี้ จึงเป็นเหตุให้บุคคลนั้นได้เหตุ ๓ ในเวลาเกิดชาติใหม่อีก

     บุคลลที่ปฏิสนธิด้วยเหตุ ๓ เช่นนี้ ถ้าเจริญสมถะก็ได้ฌาน ถ้าเจริญวิปัสสนาก็ได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน
ดังนั้นในพระคาถานี้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า สปญฺโญ แปลว่า มีปัญญา คือ เป็นติเหตุกะ หรือไตรเหตุ


อ้างอิง
จากหนังสือ วิปัสสนากรรมฐาน ภาค ๑ เล่ม ๑ หลวงพ่อโชดก ญาณสิทฺธิ
http://walaiblog.blogspot.com/2011/08/blog-post_26.html
ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammajak.net/
25552  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ติเหตุกบุคคล คือใคร คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 08:57:56 pm
อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ผู้ที่ปฏิสนธิด้วยทวิเหตุก หรือ ติเหตุก

ผู้ถาม   กรุณาอธิบายเพิ่มเติมที่กล่าวว่าไม่ใช่ทวิเหตุกบุคคลสามารถจะบรรลุได้ แต่ผู้ที่จะบรรลุได้ต้องเป็นติเหตุกบุคคล

อ.สุจินต์.    ขณะนี้เราจะไม่ทราบ"ปฏิสนธิจิต"ของเรามีอะไรเป็นอารมณ์  และบางท่านก็อาจจะสงสัย   เป็น"ทวิเหตุกะ" ประกอบด้วยเหตุ  ๒  คืออโลภะ อโทสะ  หรือเป็น "ติเหตุกะ" ประกอบด้วยทั้ง อโลภะ  อโทสะ  อโมหะ

       แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่เราจะไปพยายามรู้สิ่งที่รู้ไม่ได้ แต่ว่าจากชีวิตจริงๆ ของแต่ละคนก็จะเห็นได้ว่า บางท่านสะสมอุปนิสัยในการให้ทาน ท่านมีทานุปนิสัย  ท่านให้ง่าย   แต่พอถึงธรรมะท่านไม่สนใจและท่านไม่ฟัง   แล้วท่านจะบรรลุได้ไหมในเมื่อไม่มีการฟังเลย   

       แต่ผู้ที่แม้ว่าเกิดด้วยอโลภะ  อโทสะ อโมหะประกอบด้วยปัญญาเจตสิก แต่ว่าการฟังน้อย  แล้วก็ยังอาจจะไม่ได้มีการเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมจนกระทั่งสามารถรู้แจ้งสภาพธรรมก็ได้   

       นี่ก็คือ ความต่างกันของผู้ที่แม้ว่าสะสมปัญญามาแต่ปัญญาระดับไหน แม้ในครั้งพุทธกาลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ทันทีที่ได้ ฟังเทศนาจบ บรรลุ มี แต่ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาอีกหลายปี ๑๖ ปี ๒๐ ปีก็ได้บรรลุก็มีหรือว่าชาตินั้นยังไม่บรรลุ  ไปบรรลุในชาติต่อไปก็มี

      เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของการที่ "แม้ปฏิสนธิเป็นติเหตุกะ" ก็ไม่ได้หมายความว่าจะบรรลุมรรคผลถ้าเหตุไม่สมควรแก่ผล  แต่ผู้ใดก็ตามที่ถึงขั้นฌานจิตความสงบของจิตระดับของอัปปนาสมาธิ หรือว่าสามารถจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม  ขณะนั้นแม้เป็นวิปัสสนาญาณก็แสดงว่า บุคคลนั้นก็ปฏิสนธิเป็นติเหตุกะ


ผู้บรรยาย อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ 
ที่มา http://www.dhammahome.com/front/audio/show.php?id=7874


    ผมอ่านแล้ว ก็ยัง..งงๆ เรื่องนี้เป็นอภิธรรม หากไม่มีพื้นฐาน จะเข้าใจยากครับ
     ขอเวลาศึกษาสักระยะ เข้าใจเมื่อไหร่ จะมาขยายอีกที

      :25:
25553  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พรหม ที่ปรากฏใน พระไตรปิฏก มีกี่พรหม คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 08:10:00 pm

 แถมให้คุณสุนีย์ เผื่อจะเอาไปทำวิทยานิพนธ์ :93:
25554  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ฝึกกรรมฐานใน พระขณิกา ปีติแล้วมีอาการอย่างนี้ ไม่ทราบว่าปฏิบัติผิดหรือป่าวครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 07:52:50 pm

แหม...คุณส้มมาไม้นี้ ใครหนอ...จะวางอุเบกขาได้
 แต่ก็ต้องออกตัวก่อน ผมไม่ใช่ผู้รู้อะไร ผมจะตอบจากสัญญาขันธ์ตามคำสอนของพระอาจารย์เท่านั้น
 คำตอบของผม ขอให้คิดว่า เป็นการคุยเป็นเพื่อน ไม่ใช่คำตัดสิน และอย่าได้ถือเอาเป็นบรรทัดฐานใดๆ
 การตอบครั้งนี้ ถือเป็นการแบ่งเบาภาระของพระอาจารย์


 อุกาสะ วันทามิ ภันเต
 สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
 มายา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง
 สามินา กะตัง ปุุญญัง มัยหัง
 ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ
 สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต (กราบ)

 สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
 อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
 สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
 อุกาสะ ขะมามิ ภันเต (กราบ)

    การภาวนาในห้องพุทธคุณ ในส่วนของพระธรรมปิิติธรรมเจ้า เพื่อจะเอายังพระลักษณะ ในฐานที่ ๒ คือ พระขณิกาปิติธรรมเจ้า ซึ่งเป็นฐานธาตุไฟนั้น  หากภาวนาไดู้ถูกต้อง จะมีปิติอยู่ ๖ ลักษณะ คือ
    - เกิดในจักขุทวารเป็นเหมือนดังสายฟ้าแลบ
    - เกิดในทวารอื่น เป็นดังปลาตอด
    - เกิดเหมือนเอ็นชัก
    - เกิดเหมือนแมลงบินไต่ตามตัว
    - เกิดร้อนทั่วตัว
    - เกิดในหัวใจ สั่น ไหว เกิดดังไฟไหม้ลามไป


    เจ้าของกระทู้ บอกว่า รู้สึกร้อน แสดงว่าเดินจิตได้ถูกต้องแล้ว
    ส่วนปัญหาที่ว่า ออกจากกรรมฐานแล้วยังรู้สึกร้อน
    อาการนี้ขอสันนิษฐานว่า "มีปิติค้าง"
    ก่อนออกจากกรรมฐาน อาจไม่ได้มีการล้างปิติ หรืออาจมีแต่ทำแล้ว ปิติยังค้างอยู่

    วิธีล้างปิติที่พระอาจารย์สอนไว้ คือ ให้หายใจเข้าให้ลึกที่สุด จนตัวตั้ง กลั้นลมไว้นับ ๑ ๒ ๓
    จากนั้นค่อยๆผ่อนลมหายใจออก พร้อมบริกรรมว่า พุท...โธ....ให้ทำแบบนี้สามครั้ง
    และสิ่งสำคัญ ขอให้สังเกตว่า ปิติที่เกิดได้หายไปหรือยัง ถ้ายัง ก็ควรทำวิธีนี้หลายๆครั้ง


    ส่วนเรื่องการร้องไห้เสียงดัง ตัวสั่น ขณะนั่งกรรมฐาน ขอเดาว่า น่าจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่สิงตัวเราอยู่
    เรืองนี้ก็ต้องตอบตามมาตรฐานทั่วไป ก็คือ ต้องอุทิศบุญและแผ่เมตตา อย่าลืมขอบารมีพระพุทธเจ้านะครับ

    ความจริงกรรมฐานมัชฌิมาฯ มีคำอธิษฐานเพื่ออาราธนาพระกรรมฐานอยู่แล้ว
    เนื้อความของคำอธิษฐานที่สำคัญ คือ ขอบารมีพระรัตนตรัย บารมีนี้น่าจะมีผลต่อเจ้ากรรมนายเวร
    การออกจากกรรมฐานทุกครั้ง ต้องสวดคาถาพญาไก่เถื่อน ขอให้เชื่อมั่นในคาถานี้
    หลังจากนั้นก็กล่าวคำแผ่เมตตา


    ขั้นตอนต่างๆ หากปฎิบัติอย่างเคร่งครัดแล้ว เจ้ากรรมนายเวรน่าจะเห็นใจ ไม่มากวนอีก
    ขอคุยเป็นเพื่อนเท่านี้ครับ
 
    :25:
 

   
25555  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นั่งกรรมฐาน แล้ว มีเสียงลั่นที่หู แก้อย่างไร ครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 02:07:24 pm
  การภาวนาในห้องพุทธคุณ ในส่วนของพระธรรมปิติ ในฐานที่ ๒ คือ
  พระขณิกาปิติธรรมเจ้า เป็นฐานธาตุไฟ จะมีพระลักษณะหรือปิติ ประจำฐานอยู่ คือ
  รู้สึกร้อนทั่วตัว รู้สึกเหมือนไฟไหม้ลาม


  ส่วนอาการที่คุณสายฟ้าบอกมา ผมไม่เคยเป็น จึงบอกไม่ได้ว่า เป็นอะไร แล้วจะแก้อย่างไร

  แต่ถ้าจะให้คุยเป็นเพื่อน ก็ต้องบอกว่า คุณสายฟ้าอาจมีโรคประจำตัวบางอย่าง
  อาการนั้นอาจเกิดจาก "ร่างกายกำลังปรับธาตุอยู่"


  วิธีที่จะแก้อาการนี้ ก็คือ ไม่ต้องแก้ ปล่อยให้ร่างกายมันค่อยๆปรับตัวมันเอง
  หากอาการนี้มีผลให้เกิดนิวรณ์ขึ้นมา ก็ขอให้ใช้ "อุเบกขานิมิต" ทำใจวางเฉย
  หรือไม่ก็ ส่งลมหายใจเข้าไปให้ลึกที่สุด กลั้นลมหายใจไว้สักระยะหนึ่ง(นับ ๑ ถึง ๓๗ ถ้าทำได้)
  แล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจออก พร้อมบริกรรม คำว่า พุทโธ


  ขอคุยเป็นเพื่อนเท่านี้ครับ
:25:
 
25556  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ผู้ที่บรรลุธรรม ในช่วงที่พระพุทธเจ้า ทรงเผลแผ่พระธรรม นั้น เป็นพระอริยบุคคล เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 01:41:51 pm


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑

ปัญจวัคคีย์ทูลขอบรรพชาอุปสมบท

            [๑๘] ครั้งนั้น ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ในสำนักพระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าข้า.

             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วตรัสต่อไปว่าธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
             พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น.

            [๑๙] ครั้นต่อมา พระผู้มีพระภาคได้ทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุทั้งหลายที่เหลือจากนั้นด้วยธรรมีกถา. เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนด้วยธรรมีกถาอยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระวัปปะและท่านพระภัททิยะว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา. ฯลฯ
             ..................................................
             
            วันต่อมา เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนด้วยธรรมีกถาอยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระมหานามะและท่านพระอัสสชิว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา. ฯลฯ

             
อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ บรรทัดที่ ๔๔๖ - ๔๗๘. หน้าที่ ๑๙ - ๒๐.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=446&Z=478&pagebreak=0
ขอบคุณภาพจาก http://www.thatphanom.com/


    จากพระวินัยข้างต้น จะเห็นว่า ปัญจวัคคีย์ที่เหลืออีก ๔ คน ต่างก็ได้ดวงตาเห็นธรรม
    หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ได้โสดาปัตติมรรค หรือ โสดาปัตติมรรคญาณ
    ถึงตรงนี้ ก็ตอบได้ว่า ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ คน ตอนที่ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ได้สำเร็จโสดาบันกันมาก่อน

     :25:
25557  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ผู้ที่บรรลุธรรม ในช่วงที่พระพุทธเจ้า ทรงเผลแผ่พระธรรม นั้น เป็นพระอริยบุคคล เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 01:16:03 pm

โสดาบัน ๓ (ท่านผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว, ผู้แรกถึงกระแสอันนำไปสู่พระนิพพาน แน่ต่อการตรัสรู้ข้างหน้า)

    ๑. เอกพีชี (ผู้มีพืชคืออัตตภาพอันเดียว คือ เกิดอีกครั้งเดียว ก็จักบรรลุอรหัต)

    ๒. โกลังโกละ (ผู้ไปจากสกุลสู่สกุล คือ เกิดในตระกูลสูงอีก ๒-๓ ครั้ง หรือเกิดในสุคติอีก ๒-๓ ภพ ก็จักบรรลุอรหัต)

    ๓. สัตตักขัตตุงปรมะ (ผู้มีเจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง คือ เวียนเกิดในสุคติภพอีกอย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จักบรรลุอรหัต)


อ้างอิง
องฺ.ติก.๒๐/๕๒๘/๓๐๒; องฺ.นวก.๒๓/๒๑๖/๓๙๔; องฺ.ทสก.๒๔/๖๔/๑๒๙/; อภิ.ปุ.๓๖/๔๗-๙/๑๔๗.
ที่มา  พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ขอบคุณภาพจาก http://download.buddha-thushaveiheard.com/



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาตร

เสขสูตรที่ ๔

     เมื่อยังไม่ถึง ยังไม่แทงตลอดวิมุตตินั้น เธอเป็นพระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง มาสู่โลกนี้อีกคราวเดียวเท่านั้น แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

     ก็หรือว่าเมื่อยังไม่ถึงยังไม่แทงตลอดวิมุตตินั้น เธอเป็นพระเอกพิชีโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป มาบังเกิดยังภพมนุษย์นี้ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

     ก็หรือว่าเมื่อยังไม่ถึง ยังไม่แทงตลอดวิมุตตินั้น เธอเป็นพระโกลังโกละโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป ยังท่องเที่ยวไปสู่ ๒ หรือ ๓ ตระกูล (ภพ) แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

     ก็หรือว่าเมื่อยังไม่ถึง ยังไม่แทงตลอดวิมุตตินั้น เธอเป็นพระสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป ยังท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์อย่างมากเพียง ๗ ครั้ง แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐  บรรทัดที่ ๖๑๙๙ - ๖๒๓๑.  หน้าที่  ๒๖๔ - ๒๖๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=6199&Z=6231&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=528
ขอบคุณภาพจาก http://download.buddha-thushaveiheard.com/


    จากเสขสูตรที่ ๔ จะเห็นว่า"พระสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน" เกิดอีกไม่เกิด ๗ ชาติ ก็จะสิ้นกิเลส และถ้าถามว่า
เป็นโสดาปํตติมรรค หรือ โสดาปัตติผล ก็ขอให้สังเกตคำว่า "เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป"
    อธิบายก่อนว่า โสดาปัตติผลเท่านั้นที่ละสังโยชน์ ๓ ไ้ด้ ส่วนโสดาปัตติมรรคยังละไม่ได้ เพียงแต่อยู่บนทางที่จะละได้เท่านั้น


    ดังนั้นผู้ที่จะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ(แล้วสิ้นกิเลส) ก็คือ โสดาปัตติผล ประเภท"สัตตักขัตตุงปรมะ"

     :25:
25558  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ผู้ที่บรรลุธรรม ในช่วงที่พระพุทธเจ้า ทรงเผลแผ่พระธรรม นั้น เป็นพระอริยบุคคล เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 11:39:03 am

พระอัญญาโกณฑัญญะ เอตทัคคะในทางรัตตัญญู

ฟังปฐมเทศนา
พระพุทธองค์ ทรงประกาศพระสัพพัญญุตญาณแก่เหล่าปัญจวัคคีย์ โดยตรัสพระธรรมจักรกัปวัตนสูตร เป็นปฐมเทศนา ซึ่งเนื้อความในพระธรรมเทศนานี้ พระพุทธองค์ทรงตำหนิหนทางปฏิบัติอันไร้ประโยชน์ ๒ ทาง ที่บรรพชิตไม่ควรเสพ ฯลฯ

.....................

เมื่อจบพระธรรมเทศนา ธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลีมลทิน เกิดขึ้นแก่โกณฑัญญะว่า
 “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา”
พระพุทธองค์ ทรงทราบว่า โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบันบุคคลในพระพุทธศาสนาแล้ว


ที่มา  http://www.84000.org/one/1/01.html


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ปฐมเทศนา

[๑๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ ฯลฯ
................................

ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลีปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา.


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔  บรรทัดที่ ๓๕๕ - ๔๔๕.  หน้าที่  ๑๕ - ๑๙.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=355&Z=445&pagebreak=0


ดวงตาเห็นธรรม แปลจากคำว่า ธรรมจักษุ หมายถึงความรู้เห็นตามเป็นจริง ด้วยปัญญาว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา;
       ดู ธรรมจักษุ

ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญา รู้เห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวง ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา;
       ธรรมจักษุโดยทั่วไป เช่น ที่เกิดแก่ท่านโกณฑัญญะเมื่อสดับธรรมจักร ได้แก่ โสดาปัตติมรรคหรือโสดาปัตติมรรคญาณ คือญาณที่ทำให้เป็นโสดาบัน

โสดาปัตติมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผล คือความเป็นพระโสดาปัน,
       ญาณ คือความรู้เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส


โสดาปัตติผล ผล คือ การถึงกระแสสู่นิพพาน,
       ผลที่ได้รับจากการละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ด้วยโสดาปัตติมรรค ทำให้ได้เป็นพระโสดาบัน


อ้างอิง พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)


      กรณีของพระโกณฑัญญะ ท่านสร้างบารมีมาเพื่อรู้ธรรมก่อนใคร ท่านไม่ได้เป็นอริยบุคคล(โสดาบัน)มาก่อน
     โสดาบันเต็มขั้นต้องเป็น "โสดาปัตติผล" เท่านั้น

     ตอบเท่านี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวมาคุยต่อ ไปหาอะไรใส่ท้องก่อน

     :49:
25559  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เหตุแห่งความหลุดพ้น ๕ ประการ เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 11:14:43 am


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

๖. วิมุตติสูตร

ทรงแสดงวิมุตตายตนะ ( เหตุแห่งความหลุดพ้น ) ๕ ประการ ที่ ภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร จะมีจิตที่ยังไม่หลุดพ้นได้หลุดพ้น จะมีอาสวะที่ยังไม่สิ้นถึงความสิ้นไป คือ

๑. ศาสดาหรือเพื่อน พรหมจารีที่เคารพแสดงธรรมให้ฟัง ภิกษุก็เห็นอรรถเห็นธรรม เกิดปิติปราโมทย์ มีกายสงบ เสวยสุข มีจิตตั้งมั่น

๒. ภิกษุแสดง ธรรมที่ได้ฟังแล้ว เรียนแล้วแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร ก็เห็นอรรถเห็นธรรม จนถึงมีจิตตั้งมั่น.

๓. ภิกษุสาธยาย ( ท่องบ่น ) ธรรมที่ได้ฟัง แล้ว เรียนแล้วโดยพิสดาร ก็เห็นอรรถเห็นธรรม จนถึงมีจิตตั้งมั่น.
 
๔. ภิกษุตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรมที่ได้ฟังแล้ว เรียนแล้ว ก็เห็นอรรถเห็นธรรม จนถึงมีจิตตั้งมั่น.

๕. ภิกษุอื่นเอาสมาธินิมิตอันใดอันหนึ่งไว้ด้วยดี, ใส่ใจด้วยดี, ทรงจำด้วยดี, แทงทะลุด้วย ดีด้วยปัญญา ก็เห็นอรรถเห็นธรรม จนถึงมีจิตตั้งมั่น.



ที่มา http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/14.html
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  บรรทัดที่ ๔๖๑ - ๕๑๔.  หน้าที่  ๒๑ - ๒๓.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=461&Z=514&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=26
ขอบคุณภาพจาก http://teeravitgiveucom.ipage.com/
25560  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สมณะดอกปทุม สมณะดอกบุณฑริก สมณะสุขุมาล รู้จักกันหรือยัง.?.?.? เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 10:59:26 am

สมณะดอกปทุม สมณะดอกบุณฑริก สมณะสุขุมาล รู้จักกันหรือยัง.?.?.?

              สมณะผู้ไม่หวั่นไหวนั้น พึงทราบ(ว่า) ได้แก่พระโสดาบัน.
               จริงอยู่ พระโสดาบัน ชื่อว่าสมณะผู้ไม่หวั่นไหว เพราะอรรถว่าเป็นผู้ไม่หวั่นไหว ด้วยการกล่าวร้ายของคนอื่น เหมือนเสาเขื่อนไม่หวั่นไหวเพราะลมทั้ง ๔ ฉะนั้น เป็นผู้ประกอบด้วยศรัทธาอันไม่คลอนแคลน.
               สมจริงตามคำที่ท่านกล่าวไว้แล้ว ความพิสดารว่า
               ก็บุคคลคนไหน ชื่อว่าสมณะผู้ไม่หวั่นไหว บุคคลบางคนในโลกนี้ (ที่ชื่อว่าสมณะผู้ไม่หวั่นไหว) เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓.



              ส่วนพระสกทาคามี ชื่อว่าสมณะดอกปทุม เพราะอรรถว่ามีราคะโทสะและโมหะเบาบาง. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็บุคคลคนไหน ชื่อว่าสมณะดอกปทุม บุคคลบางคนในโลกนี้มาสู่โลกนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ย่อมทำความสิ้นทุกข์ได้ บุคคลนี้ ท่านเรียกว่าสมณะดอกปทุม.


              พระอนาคามี ชื่อว่าสมณะดอกบุณฑริก เพราะอรรถว่าจักตรัสรู้ (บาน) พลันทีเดียว เพราะไม่มีราคะและโทสะ. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บุคคลคนไหน ชื่อว่าสมณะดอกบุณฑริก บุคคลบางคนในโลกนี้ (ละ) สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ฯลฯ บุคคลนี้ ท่านเรียกว่าสมณะดอกบุณฑริก.

            ส่วนพระอรหันต์ ชื่อว่าสมณะสุขุมาล (สมณะผู้ละเอียดอ่อน) ในบรรดาสมณะ (ด้วยกัน) เพราะไม่มีกิเลสทุกอย่างที่ทำให้กระด้าง. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็ในบรรดาสมณะบุคคลคนไหน ชื่อว่าสมณะสุขุมาละ บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย ฯลฯ สำเร็จอยู่ บุคคลนี้ ท่านเรียกสมณสุขุมาละ ในบรรดาพระสมณะทั้งหลาย.


อ้างอิง
อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สังคีติสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=221&p=5#%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%97_%E0%B9%94_%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=11&A=4501&Z=7015
ขอบคุณภาพจาก http://i1045.photobucket.com/,http://forum.camerartmagazine.com/,http://wallpaper.dmc.tv/,http://gallery.palungjit.com/


ปทุม น. บัวหลวง, บัวก้าน. (ป.; ส. ปทฺม).

บุณฑริก[บุนดะริก, บุนทะริก] น. บัวขาว; ชื่อสังขยา คือ ๑ มี ๐ ตามหลัง ๑๑๒ ตัว

สุขุมาล [สุขุมาน] ว. ละเอียดอ่อน, อ่อนโยน, นุ่มนวล; ผู้ดี, ตระกูลสูง. (ป.; ส. สุกุมาร).

ที่มา พจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
หน้า: 1 ... 637 638 [639] 640 641 ... 708