ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "กรมศิลป์" ยัน ไม่ได้เป็นเจ้าของ "วัดกัลยาณ์" มีหน้าที่รักษาโบราณสถานเท่านั้น  (อ่าน 1435 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


"กรมศิลป์" ยัน ไม่ได้เป็นเจ้าของ "วัดกัลยาณ์" มีหน้าที่รักษาโบราณสถานเท่านั้น

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ที่ห้องประชุม 1 กรมศิลปากร กรุงเทพฯ นายบวรเวท อธิบดีกรมศิลปากรจัดแถลงข่าวกรณีจับผู้ต้องหากระทำความผิดซึ่งหน้า จำนวน 2 คน กำลังทำการรื้อกุฏีสงฆ์ คณะ 1 นอกจากนี้ยังพบว่าหลังคาศาลาราย ที่ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ หน้าพระอุโบสถวัดกัลยาณมิตร ถูกรื้อหลังคาเช่นเดียวกัน ตนจึงนำเอกสารหลักฐานเข้าแจ้งความดำเนินคดี ที่สถานีตำรวจนครบาลบุปผารามเมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา

 :96: :96: :96: :96:

นายบวรเวท กล่าวว่า วัดกัลยาณมิตร เขตธนบุรี กรุงเทพฯ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วยศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีอายุนับถึงปัจจุบัน 190 ปี ทางกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานไว้ตั้งแต่ปี 2492 ในชื่อของวัดกัลยาณมิตร การประกาศในชื่อของวัดกัลยาณมิตร หมายความว่าพื้นที่บริเวณของวัดทั้งหมด ในเขตพุทธาวาสและ สังฆาวาส เป็นเขตโบราณสถานที่ได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติโบราณสถานโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพ.ศ. 2504 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโบราณสถานโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535

กรมศิลปากร ยืนยันไม่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่ แต่มีหน้าที่รักษาโบราณสถานที่อยู่ในพื้นที่นั้นๆ เจ้าของยังเป็นวัดหรือนิติบุคคล เพียงแต่ว่าถ้ากรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนแล้ว สิ่งที่ห้ามกระทำคือ
     1.ห้ามรื้อโบราณสถาน
     2. ถ้าต้องการซ่อมแซมต้องแจ้งกรมศิลปากรก่อน

ในกรณีของวัดกัลยาณมิตร หลังจากขึ้นทะเบียนแล้วต้องมีการติดตามตรวจสอบเสมอ  แต่ครั้งนี้พบว่ามีการรื้ออาคารโบราณสถาน ทั้งที่เคยหารือกับทางวัดแล้วว่าจะกระทำการรื้อถอนใดๆ ต้องแจ้งทางกรมศิลปากรก่อน แต่ปรากฏว่ามีการรื้อปรับปรุงโดยไม่ขออนุญาต ทางกรมศิลปากรจึงแจ้งความดำเนินคดีกระทำความผิดซึ่งหน้า คาดว่าคดีนี้มีความชัดเจนกว่าคดีที่ผ่านมาและอาจขยายผลไปยังบริษัทผู้รับเหมาจนถึงผู้สั่งการในที่สุด


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1426678277
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
"บวรเวท"ลั่นเอาผิดคนรื้อโบราณสถานวัดกัลยาฯ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 18, 2015, 07:31:02 pm »
0


"บวรเวท"ลั่นเอาผิดคนรื้อโบราณสถานวัดกัลยาฯ

กรมศิลป์เผย 22 โบราณสถานวัดกัลยาฯ ถูกทุบทิ้งภายใน 12 ปี เสียหายยับเยิน ทั้งหอระฆัง อาคารเสวิกุล ศาลาทรงปั้นหยา หอกลอง หอสวดมนต์กัลยาณาลัย ศาลาปากสระ กุฏิเก่าคณะ 7 ยันทางวัดอ้างไม่รู้ว่าเป็นโบราณสถานไม่ได้อีกแล้ว หวังคดีล่าสุดเป็นบรรทัดฐานเอาผิดผู้ทำลายมรดกชาติ

จากกรณีที่นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร หอบหลักฐานเอกสาร เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ณัฏฐ์พัชร์ ผดุงจันทน์ ผกก.สน.บุปผาราม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สน.บุปผาราม เพื่อแจ้งความดำเนินการกับผู้สั่งการและคนงานซึ่งทำลายโบราณสถานสำคัญภายในวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ถนนอรุณอมรินทร์ตัดใหม่ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กทม. โดยให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งทางอาญาและแพ่งอย่างถึงที่สุดนั้น ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้(18 มี.ค.) ที่กรมศิลปากร นายบวรเวท เปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า

คดีการรื้อถอนทำลายดัดแปลงแก้ไขโบราณสถานกุฏิ คณะ 1 ถือเป็นคดีล่าสุดที่กรมศิลป์แจ้งดำเนินคดีอาญากับวัดกัลยาฯ โดยก่อนหน้านี้กรมศิลป์ได้แจ้งดำเนินคดีไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน ทั้งหมด 15 คดีโดยสรุปอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง 10 คดี คงเหลือ 5 คดี อยู่ระหว่างการสอบสวนของ สน.บุปผาราม ซึ่งตลอดระยะเวลา 12 ปี มีโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ได้รับความเสียหายรื้อทำลายไปแล้วจำนวน 22 รายการ อาทิ หอระฆัง อาคารเสวิกุล ศาลาทรงปั้นหยา หอกลอง หอสวดมนต์กัลยาณาลัย ศาลาปากสระ กุฏิเก่าคณะ 7 จำนวน 3 หลัง รื้อราวระเบียงหิน พื้นหิน ตุ๊กตาหินอับเฉา กุฏิสงฆ์คณะ 4 และการถมสระน้ำภายในกุฏิสงฆ์คณะ 4 และถมสระน้ำภายในกุฏิสงฆ์คณะ 2 นอกจากการรื้อถอนทำลายโบราณสถาน ยังมีการก่อสร้างอาคารในเขตโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้วโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมศิลป์ด้วย



“ คดีล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2558 ผมได้รับแจ้งโดยตรงว่า มีการทุบทำลายโบราณสถานภายในวัดกัลยาฯ อีก จึงได้เดินทางไปตรวจสอบเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พร้อมนำตำรวจเข้าจับกุมคนงานที่กำลังทุบอยู่ 2 คน ซึ่งถือเป็นความผิดซึ่งหน้า คือ นายแขก วงสียา กับนายเล่ คำมั่น ทั้งสองคนมีสัญชาติลาว ขณะนี้ทางไวยาวัจกรของวัดกัลยาฯ ได้ประกันตัวไปแล้ว 1 คน ส่วนอีกคนไม่สามารถประกันตัวได้ เนื่องจากไม่มีเอกสารการเข้าเมืองที่ถูกต้อง ดังนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนทางคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อขยายผลว่า เป็นคนงานของบริษัทใด แล้วใครเป็นผู้ว่าจ้างให้ดำเนินการทุบรื้อทำลายโบราณ ซึ่งทางตำรวจจะดำเนินการทางคดีให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน ”
นายบวรเวท กล่าว

 :91: :91: :91: :91:

อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาทางอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า ทางวัดกัลยาฯ อ้างว่าไม่มีเจตนาทุบรื้อทำลายและไม่รู้ว่าเป็นโบราณสถาน แต่ในความเป็นจริงวัดกัลยาฯ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานมาตั้งแต่ปี 2492 ทั้งในเขตพุทธาวาสและสังฆาวาส รวมพื้นที่กว่า 10 ไร่ ดังนั้นการดำเนินการใดๆ ในพื้นที่ที่ขึ้นทะเบียนโบราณสถานต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมศิลปากรเป็นลายลักษณ์อักษรตาม พ.ร.บ. โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการตัดปัญหาที่ทางวัดอ้างไม่รู้ว่าเป็นโบราณสถาน ปี 2555 ศก.

จึงได้ทำหนังสือแจ้งไปอย่างเป็นทางการว่า วัดกัลยาฯ ได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ แต่ก็ยังพบปัญหารื้อทุบทำลายอย่างต่อเนื่อง แม้กรมศิลป์จะเข้าไปติดป้ายประกาศว่าเป็นโบราณสถานแล้วแต่ก็ถูกรื้อออกหลายรอบ โดยเฉพาะปี 2555 จนถึงปี 2558 ในกรณีล่าสุด ตนในฐานะอธิบดี จึงเข้าแจ้งความดำเนินคดีด้วยตนเอง โดยทำตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพราะหากไม่ทำอะไรเลยจะถูกรื้อทำลายไปเรื่อยๆ ทั้งวัด จนวัดเสื่อมค่าได้



“ การแจ้งดำเนินคดีครั้งนี้ ถือว่ามีน้ำหนักมาก ทางวัดกัลยาฯ จะอ้างไม่มีเจตนาหรือไม่รู้ ไม่ได้แล้ว โดยทางกรมศิลป์ จะเร่งรัดคดีนี้เพื่อให้เป็นตัวอย่างสำหรับ 5 คดีที่เหลือ ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนของตำรวจ และได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ทราบเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม ผมเคยเข้าพบหารือกับทางเจ้าอาวาสวัดกัลยาฯ ตั้งแต่เมื่อปี 2546 รวมถึงนิมนต์มาพูดคุยที่กรมศิลป์เพื่อทำความเข้าใจแล้ว เนื่องจากเคยทำหนังสือแจ้งเป็นระยะว่า ไม่ควรมีการทำลายโบราณสถาน ผมได้ยืนยันไปว่า ไม่ได้ห้ามบูรณะหรือทำอะไรเลย

แต่เมื่อวัดกัลยาฯ เป็นโบราณสถานจะทำสิ่งใดขอให้แจ้งมายังกรมศิลป็ก่อนตามกฎหมาย ไม่ว่าจะรื้อหรือปลูกสร้างอาคารใหม่ ส่วนวัตถุประสงค์ของการทุบทำลายนั้นเท่าที่ทราบท่านรื้อ เพราะเห็นว่าอาคารเหล่านี้เก่า ทรุดโทรม มีความต้องการสร้างอาคาร กุฏิใหม่ให้สวยงาม ขณะที่กรมศิลป์มองว่า แม้อาคารเก่า แต่มีคุณค่า มีเพียงหนึ่งเดียวหาที่ไหนไม่ได้ สร้างมาตั้งแต่สมัย ร.3 บูรณะซ่อมแซมต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ อีกเหตุผลอาจเพราะทางวัดต้องการเปิดพื้นที่โล่งเพื่อใช้ประโยชน์ของวัด ก็เป็นการมองต่างมุม ” นายบวรเวท กล่าว


 :96: :96: :96: :96:

ด้าน นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เปิดเผยว่า ตนได้ติดตามตรวจสอบเรื่องการทำลายโบราณสถานสำคัญภายในวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารมาโดยตลอด เพราะเมื่อปี 2556 ตนได้รับการร้องขอจากนายชัยสิทธิ์ กิตติวณิชพันธุ์ ประธานกลุ่มองค์กรชุมชนรักษ์กัลยาณ์ พร้อมด้วยชาวบ้าน 159 คน เข้ายื่นหนังสือให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ปปป.)

เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่กรมศิลปากร ,สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ พนักงานสอบสวน สน.บุปผาราม ที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ที่ปล่อยให้มีการทุบทำลายโบราณสถานและโบราณวัตถุจำนวนมากซึ่งได้ขึ้นทะเบียนต่อกรมศิลปากรไว้แล้ว โดยนำภาพถ่ายและเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบให้พนักงานสอบสวนไว้ประกอบการพิจารณาดำเนินการ

ต่อมาทาง ปปป. ได้รวบรวมหลักฐานเบื้องต้นเสนอต่อเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยไปเกือบ 2 ปีแล้วน่าจะมีความคืบหน้าทางคดีบ้างแล้ว



“คดีนี้มีความล่าช้ามาก จนขณะนี้โบราณสถาน โบราณวัตถุสำคัญของวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารถูกทำลายเกือบหมดสิ้นไปแล้ว ชาวบ้านก็ได้แจ้งต่อตำรวจหลายครั้งแล้วคดีไม่คืบหน้า ผมในฐานะประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้เฝ้าติดตามคดีนี้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามต้องช่วยกันดูวัตถุประสงค์ที่มีการทุบทำลายโบราณสถาน โบราณวัตถุครั้งนี้เพื่ออะไร ต้องดูเจตนาจริงๆ ตามเอกสาร แต่ส่วนใหญ่จะให้เหตุผลว่าบูรณะโบราณสถาน ปรับปรุงภูมิทัศน์ แต่ที่ชาวบ้านมีหลักฐานภาพถ่าย เอกสารอยู่กลายเป็นเรื่องของการทำลานจอดรถหรือไม่ คือ ประเด็นสำคัญของชุมชนร้องทุกข์มา

ซึ่งผมเองเข้าใจว่าทางกรมศิลปากรได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว แต่คงจะมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องบางส่วนที่พยายามขัดขวางไม่ให้กระบวนการต่างๆเหล่านี้ขับเคลื่อนออกไป ทาง ตำรวจ และ ป.ป.ช. ควรพยายามนำผู้ที่พยายามสั่งการหรือขัดขวางการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ออกมาด้วย ให้ปรากฏต่อหน้าสาธารณชนว่าเหตุใดการดำเนินคดีถึงล่าช้ามาก”นายสงกรานต์ กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/education/308482/_บวรเวท_ลั่นเอาผิดคนรื้อโบราณสถานวัดกัลยาฯ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ลูกเกด

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 50
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เอาซะงาน เนาะ มส.ไม่ได้ ที่นี่เล่น วัดแล้ว นะจ๊ะ

  :25: :58: thk56
บันทึกการเข้า