ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 416 417 [418] 419 420 ... 708
16681  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำไมต้องเป็นอย่างนี้.? : ธรรมะยู-เทิร์น เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 08:00:10 pm
 

ทำไมต้องเป็นอย่างนี้.? : ธรรมะยู-เทิร์น
โดย อิทธิโชโต

ดูกรภิกษุทั้งหลาย...บุคคลคนเดียว เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อประโยชน์สุขแก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลคนเดียวคือใคร? คือ บุคคลผู้เป็นสัมมาทิฐิ มีความเห็นไม่วิปริต เขาทำให้คนเป็นอันมากออกจากอสัทธรรม แล้วให้ตั้งอยู่ในสัทธรรม (พุทธพจน์ จาก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต)

ดังนั้น  สิ่งที่ควรให้เกิดขึ้นและมีขึ้นใตตัวเราและจิตใจเราคือ ความดีงามทั้งหลาย มีวิชชาดีที่สุด แล้วสิ่งที่ควรให้หลุดหายไปจากตัวเราและจิตใจของเราคือ อวิชชาและอกุศลทั้งหลายดีที่สุด วิชชาควรเกิดขึ้นส่วนอวิชชาควรตกไป


 :25: :25: :25: :25:

การที่จะเป็นบุคคลที่มีสัมมาทิฐิ ก็ต้องมีความเห็นชอบเป็นเบื้องต้น การทำวิชชาให้เกิดขึ้น มีทาน ศีล ภาวนา เป็นฐาน เช่นเดียวกับข้าวหนึ่งเมล็ด กว่าจะออกมาจากรวงข้าวได้ก็ใช้เวลาตั้งหลายเดือน จิตใจของเราก็เหมือนกัน แม้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ก็ไม่เกินความสามารถที่จะฝึกฝนให้ตั้งต้นอยู่ในสัมมาทิฐิได้ ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าคงไม่ตรัสสอนให้เจริญสติภาวนาอยู่ทุกขณะ

เพราะสติ ป้องกันภัยได้ ทั้งภัยภายในใจและภัยภายนอก ภัยนอกยังไม่ร้ายแรงเท่าภัยจากจิตใจของเจ้าของ หรือ จากความคิดไม่ดีของเจ้าของ โทสะก็เหมือนกัน แม้ว่ามันมาจากข้างนอก ทำให้เราโมโห แต่ลองพิจารณาจริงๆ ความโมโหมันมาจากข้างในใจเราต่างหากเล่า เพราะเราไปยึดถือความคิดของเขาใช่ไหม จึงโมโห ถ้าไม่ยึดถือ ก็ไม่โมโห เมื่อพิจารณาให้ละเอียดจะเห็นว่า แทบทุกสิ่งที่ทำให้เราทุกข์และสุข เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาอยู่ทุกวันมันออกมาจากข้างในนั่นเอง



ฉะนั้น การมีสติควบคุม ก็คือ ควบคุมอารมณ์ ควบคุมจิตเรา ไม่ต้องควบคุมคนอื่น ภัยของคนอื่นก็เป็นของคนอื่นไป แต่ภัยของเรา ก็ต้องแก้ไขด้วยตัวเราเอง

ถ้าไม่ได้ฝึกเจริญสติ เราจะไม่มีวันรู้ได้ ถึงเหตุเกิดแห่งทุกข์ที่มาจากกิเลสภายในจิตใจเราเอง เรามักได้ยินคนบ่นว่า ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ฉันคงจะดีกว่านี้ ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้ออ้าง จริงๆ มันอยู่กับตัวเราเอง การอ้างคนอื่น มันเป็นปลายเหตุ


 st12 st12 st12 st12

เราป้องกันความทุกข์ได้ ถ้ามีสติ เพราะสติ เป็นรั้วป้องกัน เหมือนเราจะเข้าบ้าน ก็มีหลายประตู เช่น ประตูเข้าบ้าน เข้าห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนอน ใช่ไหม ไม่อยากให้ใครเข้าไปในห้องไหน ก็ล็อกประตู เหมือนกัน ร่างกายก็มีประตูหลายบาน ที่เปิดรับสิ่งภายนอกแทบตลอดเวลา ถ้าเปิดรับหมด ก็แน่นอนล่ะ ต้องทุกข์ ดังนั้น ก็ต้องหาทางล็อกประตูของเรา อันมีไม่กี่ช่องทางได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วย "สติ" นี้เอง


ขอบคุณบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140916/192175.html
16682  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุดทึ้ง.! ยายวัย 80 เล่นโยคะ โรคภัยไม่เคยถามหา เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 07:50:52 pm


สุดทึ้ง.! ยายวัย 80 เล่นโยคะ โรคภัยไม่เคยถามหา

อุบลราชธานี-สุดทึ้ง! คุณยายวัย 80 เล่นโยคะทุกวันสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัวแถมเป็นวิทยากรออกสอนตามชุมชน

คุณยายบัวสอน จันทรประชู อายุ 80 ปี ชาวอำเภอวารินชำราบ ออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะทุกวันทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และยังเป็นวิทยากรในการสอนเล่นโยคะ ให้กับชาวบ้านในชุมชน ที่วัดป่าเรไรยกาวาส มีผู้สนใจส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนสูงอายุและแม่บ้านเข้าร่วมฝึกโยคะกับคุณยายกันเป็นจำนวนมาก

คุณยายบัวสอนเปิดเผยว่า ต้องดูแลสุขภาพร่างกาย ออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะสุขภาพที่ดีหาซื้อไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอา ได้ฝึกโยคะทุกวันเช้าและเย็นทำให้รู้สึกสบาย ร่างกายแข็งแรง  อยากให้ทุกคนได้หันมาออกกำลังกายโดยการเล่นโยคะไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายมีเพียงความตั้งใจที่จะให้สุขภาพดีเท่านั้น เป็นการยืดเส้นสายทำให้สุขภาพดี



สำหรับท่าฝึกโยคะแต่ละท่าเป็นท่าที่คุณยายคิดค้นเองทั้งหมดเริ่มฝึกมานานกว่า 30 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ คุณยายบัวสอนจะฝึกเล่นโยคะชอบปวดเมื่อยตามร่างกายจึงได้เริ่มต้น จากวิธีการนั่งขัดสมาธิ แล้วนั่งตัวตรง ขแม่วท้อง เกร็งตัวประมาณ 3-5 นาที แล้วปล่อยออก รู้สึกเบาตัว และ สบายตัวเป็นอย่างมาก อาหารปวดเมื่อยตามร่างกายที่เคยเป็นก็เริ่มหายไป ปัจจุบันไม่มีโรคประจำตัวแต่อย่างใด

ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/กทม.-ภูมิภาค/ภาคอีสาน/319311/สุดทึ้ง-ยายวัย80เล่นโยคะโรคภัยไม่เคยถามหา
www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/life/20140919/605959/พบคุณยายวัย80เล่นโยคะสุขภาพดี.html
16683  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชูทอดผ้าป่าแถวหนึ่งเดียวในไทย ไฮไลท์งาน “สารทไทยกล้วยไข่ เมืองกำแพง” เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 07:38:20 pm

ชูทอดผ้าป่าแถวหนึ่งเดียวในไทย ไฮไลท์งาน “สารทไทยกล้วยไข่ เมืองกำแพง”

ททท.สุโขทัย ชวนเที่ยวงาน “สารทไทยกล้วยไข่ เมืองกำแพง” ระหว่างวันที่ 23 ก.ย. - 2 ต.ค. 57 ณ สนามหน้าเมือง หน้าที่ว่าการอำเภอเมือง จ.กำแพงเพชร ภายในงานนอกจากได้ลิ้มรสกล้วยไข่และกระยาสารทของกินเลื่องชื่อเมืองกำแพงเพชรแล้ว ยังมีการทำบุญวันสารทไทย ขบวนแห่รถกล้วยไข่ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม รวมถึงกิจกรรมพิเศษที่เป็นไฮไลท์ของงานได้แก่ พิธีทอดผ้าป่าแถวแห่งเดียวในประเทศไทย ณ บริเวณหน้าวัดพระแก้ว อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
       
       นางสาวสรัสวดี อาสาสรรพกิจ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานสุโขทัย (พื้นที่รับผิดชอบ : สุโขทัย กำแพงเพชร) กล่าวเชิญชวนทุกท่านเที่ยวงานสารทไทยกล้วยไข่ เมืองกำแพง ซึ่งจัดขึ้น โดยจังหวัดกำแพงเพชร เป็นการส่งเสริมการขายกล้วยไข่ ของดี ของเด่น ประจำจังหวัดกำแพงเพชร ในแต่ละปีงานสารทไทยจะตรงกับ วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ตามจันทรคติ ซึ่งในฤดูกาลนี้กล้วยไข่จะมีผลผลิตออกมามาก เมื่อมีงานบุญต่างๆ ที่มีการทำบุญตักรบาตรก็มักจะใช้กล้วยไข่เป็นผลไม้และมีกระยาสารท ไว้ทานคู่กันเป็นของหวานเสมอมาจนถึงปัจจุบัน


        :96: :96: :96: :96:

       ทั้งนี้งานสารทไทย กล้วยไข่เมืองกำแพง ประจำปี 2557 จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 23 กันยายน - 2 ตุลาคม 2557 ณ สนามหน้าเมือง หน้าที่ว่าการอำเภอเมืองจังหวัดกำแพงเพชร มีกิจกรรมให้ทุกท่านได้ร่วมสนุกมากมาย
       
       เริ่มจากเช้าวันที่ 23 กันยายน มีพิธีทำบุญตักรบาตรวันสารทไทย ณ วัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง ต.นครชุม อ.เมือง จ.กำแพงเพชร และเวลา 16.30 น. มีขบวนแห่รถประดับตกแต่งด้วยกล้วยไข่จากอำเภอต่างๆ และหน่วยงานราชการในพื้นที่รวม 12 ขบวน เคลื่อนขบวนจากหน้าโรงแรมชากังราวริเวอร์วิวไปยังบริเวณจัดงาน


        และพลาดไม่ได้! กับกิจกรรมพิเศษของงานในช่วงเวลา 19.00 น.(วันที่ 23 ก.ย.) ชวนทุกท่านร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์ในค่ำคืนวันสารทไทยกับพิธีทอดผ้าป่าแถว แห่งเดียวในประเทศไทย บริเวณหน้าวัดพระแก้ว อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร กิจกรรมนี้สืบทอดจากความเชื่อตามตำนาน “ทิ้งผ้าตามป่า” ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลที่ชาวพุทธศาสนิกชนยังคงอนุรักษ์ไว้จนถึงปัจจุบันเพื่อเป็นการถวายผ้าแก่พระสงฆ์ เป็นประเพณีส่งเสริมการอนุรักษ์ประเพณีโบราณไว้ และยังเป็นการเสริมสร้างสิริมงคลแก่ผู้ถวายบูชา นอกจากนี้ ยังมีการจัดประกวดกล้วยไข่สุก-ดิบ, เชิญชมความมหัศจรรย์สวนกล้วยนานาพันธุ์กว่าร้อยชนิด
       
       ตื่นตากับกล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์, ชมการแสดง แสง สี เสียง “เล่าเรื่องเมืองกำแพงเพชร” (26 ก.ย.57) ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา, ชมและเชียร์การแข่งขันการกวนกระยาสารทยักษ์ใหญ่, ชมการประกวดธิดากล้วยไข่ขวัญใจเมืองกำแพง, ชมการแสดงสัตว์แปลกๆหายาก อย่างเช่น ปลามีเกล็ดและไม่มีเกล็ดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก, ชมคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังของเมืองไทย, ชมสินค้า OTOP ของดีของเด่นของจังหวัดรวมไปถึง อาหาร ผลไม้ และ ไม้มงคล นานาชนิด, และมาลองชิม-ลิ้มรสอาหารโบราณจากตลาดย้อนยุคนครชุมและตลาดย้อนรอยชากังราว ที่รังสรรค์เมนูพื้นบ้าน หาทานได้ยาก รสชาติอร่อย ในบรรยากาศตลาดโบราณสุดคลาสสิก


        st12 st12 st12 st12

       ผู้สนใจสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ประชาสัมพันธ์จังหวัดกำแพงเพชร 055-705011
       หรือที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานสุโขทัย(พื้นที่รับผิดชอบ : สุโขทัย กำแพงเพชร) โทร. 055-616228-9 โทรสาร 055-616366


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000108037
16684  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไหลเรือไฟ...ใหญ่กว่าดิจิทัลคือศรัทธา เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 07:34:44 pm


ไหลเรือไฟ...ใหญ่กว่าดิจิทัลคือศรัทธา
ท่องไปกับใจตน : ไหลเรือไฟ...ใหญ่กว่าดิจิทัลคือศรัทธา : โดย...ธีรภาพ โลหิตกุล teeraparb108smile@gmail.com

รู้ทั้งรู้ ว่า ประเพณีลอยเรือไฟ หรือ ไหลเฮือไฟ เป็นภูมิปัญญาแต่โบราณนานมาของชาวสองฝั่งโขง แต่ถึงวันที่การสร้างเรือไฟในฝั่งไทย พัฒนาไปไกลขนาดสูงใหญ่เท่าตึกสี่ชั้น ก็อดคิดไม่ได้ว่า สมัยนี้คงต้องมีเทคโนโลยีมาช่วย มิฉะนั้น คงไม่สามารถเนรมิตให้ดวงไฟนับหมื่นดวงสว่างไสวไปทั้งคุ้งน้ำ อย่างที่เห็นในภาพข่าวช่วงเทศกาลออกพรรษาของทุกปี ตราบจนกระทั่ง...ตุลาคม 2556 ได้สัญจรไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา จนกระจ่างในหัวใจ ถึงจุดกำเนิดเรือไฟ ณ ริมฝั่งโขง จังหวัดนครพนม ก็ถึงกับอึ้งในภาพแห่งความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า และตะลึงกับตัวเลขสถิติที่ไม่คาดคิดมาก่อน จนต้องอุทานกับใจตน ว่ากี่ครั้งแล้วที่นายประเมินพลังศรัทธาของชาวบ้านต่ำเกินไป
 
และนี่คือข้อมูลทางกายภาพของเรือไฟประจำปี 2556 ของอำเภอนาทม จังหวัดนครพนม เรือมีขนาดความยาว 100 เมตร สูง 28 เมตร (ตึกสี่ชั้น) ใช้กระป๋องกาแฟทำเป็นตะเกียงน้ำมัน ประมาณ 25,000 ใบ ใช้แรงงานในการสร้างโครงและติดตั้งกระป๋องตะเกียงราว 100 คน ใช้คน 150 คน จุดไฟกระป๋องตะเกียงพร้อมๆ กัน เพื่อให้เป็น “เรือไฟ” ลอยไปในแม่น้ำราว 4 ชั่วโมง ในค่ำคืนวันออกพรรษา ใช้เวลาในการสร้างราว 1 เดือน ใช้งบประมาณราว 500,000 บาท!

 

นั่นหมายความว่า ภาพเรือไฟอันตระการตาที่เห็นนั้น แต่ละดวงเกิดจากมือคนจุดขึ้นมาแบบ “อนาล็อก” หาได้มีรีโมทกดสั่งให้ไฟเปิด-ปิด ได้พร้อมกันพรึบพรับแต่ประการใด ด้วยเหตุนี้ ระหว่างที่เรือลอยลำสว่างไสวไปในลำโขง จึงยังต้องมีมนุษย์งานอีกนับสิบชีวิต เสียสละทนเปลวร้อนและควันไฟคละคลุ้ง คอยปีนป่ายไปทั่วเรือ เพื่อจุดซ่อมไฟในกระป๋องกาแฟบางดวงที่อาจโดนลมพัดดับ รวมทั้งคอยช่วยกันดับเพลิง ในกรณีเกิดเหตุสุดวิสัย ด้วยไฟอาจลามไหม้เรือที่สร้างจากไม้ไผ่ลำนี้ได้
 
ที่เล่าให้ฟังนี้ คือเรือไฟที่เข้าร่วมประเพณีไหลเรือไฟจากอำเภอเดียว แต่ยังมีเรือไฟจากอำเภออื่น และหน่วยงานอื่นๆ อีกนับสิบลำ พื้นที่ว่างริมฝั่งโขง เขตอำเภอเมืองนครพนม ใกล้ศูนย์กลางงาน จึงกลายสภาพเป็นหมู่บ้านย่อยๆ ของเหล่านักสร้างเรือไฟ ที่เป็นตัวแทนจากอำเภอต่างๆ มาชุมนุมกันนานนับเดือน ชนิดที่ต้องตั้งครัวหุงข้าวเลี้ยงดูกันเป็นเรื่องเป็นราว โดยมีหน่วยงานอย่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้การสนับสนุน
 
กระป๋องกาแฟที่ใช้แล้ว อุปกรณ์สำคัญที่ทำให้เรือไม้กลายเป็น “เรือไฟ” ถูกกว้านซื้อจากแทบทุกจังหวัดในภาคอีสาน ถือเป็นมหกรรม “รีไซเคิล” ระดับบันลือโลก เพราะผลผลิตจากการนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ไม่ใช่ก้อนโลหะตามปกติธรรมดา หากคือ “สินค้าทางวัฒนธรรม” ที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ภายใต้ชื่อ “ประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนม” เป็นงานประจำปีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศจากทุกสารทิศ ตอบคำถามค้างคาใจใครต่อใครว่า แล้วสังคมและชุมชนจะได้อะไรจากการทุ่มทุนสร้างเรือไฟกันลำหนึ่งนับแสนๆ บาท

 


เหนือสิ่งอื่นใด คือพลังแห่งพุทธศรัทธามหาศาล กับภูมิปัญญาพื้นบ้าน และวัฒนธรรมพื้นถิ่นล้ำเลอค่า ยังได้รับการรักษาและสืบสานไว้ในสังคมดิจิทัล ให้ชนรุ่นหลังและโลกยุคใหม่ได้รับรู้ว่า ประเพณีนี้เริ่มจากแรงศรัทธาของชาวลุ่มน้ำโขง ที่ปรารถนาจะสักการบูชารอยพระพุทธบาทแห่งองค์พระศาสดา ที่ประทับไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมนที เมื่อครั้งเสด็จไปแสดงธรรมเทศนาโปรดพญานาคตามที่ปรากฏใน “อรรถกถาปุณโณวาทสูตร” รวมถึงธรรมเนียมการลอยประทีปบูชาเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เลื่อนไหลถ่ายเทมาจากสังคมอินเดีย จึงได้สร้างเรือลำเล็กๆ จากไม้ไผ่และหยวกกล้วย ประดับดอกไม้บูชา แล้วนำผ้าสบงจีวรเก่าของพระมาฉีกเป็นริ้ว ชโลมด้วยน้ำมันจากไม้สนหรือไม้ยาง นำไปตากให้แห้งแล้วผูกเป็นปม หรือมัดด้วยลวดไว้ตลอดลำเรือ
 
ที่น่าสนใจคือธรรมเนียมการทำเรือไฟแต่โบราณ ชาวบ้านจะช่วยกันบริจาคเสื้อผ้า ผ้าห่ม  ขนมนมเนย ผลไม้ ใส่ลงไปในลำเรือ เพื่อให้ทานแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากสองฟากฝั่งลำน้ำด้วย โดยเลือกที่จะลอย หรือ “ไหล” เรือไฟบูชารอยพระพุทธบาทนั้น ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา ซึ่ง “เทโวโรหณะสูตร” ระบุว่าเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับลงมาโปรดสัตว์ในมนุษยโลก หลังเสด็จไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วจากเรือไฟหยวกกล้วยลำเล็ก พัฒนาสู่เรือที่ออกแบบเป็นพญานาค พญาครุฑ พญาหงส์ ฯลฯ ลำใหญ่ขึ้น จากผ้าสบงจีวรชุบน้ำมันสน น้ำมันยาง มาสู่การใช้ขี้ไต้ที่ทำให้เรือไฟสว่างนานขึ้น

 


จนถึงยุคน้ำมันก๊าซบรรจุในกระป๋องกาแฟ บวกกับเคล็ดลับเฉพาะของทีมสร้างแต่ละอำเภอ ที่จะทำให้กระป๋องไฟส่องสว่างได้นานนับ 4 ชั่วโมง ที่เรือไฟลำใหญ่มหึมาราวตึกสี่ชั้น ไหลลอยไปอวดสายตามหาชนสองฟากฝั่งโขง ในคืนวันออกพรรษา น่าดีใจที่คณะผู้จัดงานประเพณีไหลเรือไฟฯ นครพนม ยังเห็นคุณค่าแห่งภูมิปัญญาโบราณ จึงจัดให้มีการจำลองเรือไฟยุคหยวกกล้วยไว้ให้ชมช่วงหกโมงเย็น ก่อนขบวนเรือไฟใหญ่ยักษ์จะพาเหรดออกมาอวดโฉมช่วงค่ำ 
 
ประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนม จะจัดนานถึง 9 วัน 9 คืน แต่วันสำคัญสุดคือ วันออกพรรษา ปีนี้ตรงกับวันพุธที่ 8 ตุลาคม 2557 เริ่มจากตอนสาย จะมีพิธีรำบูชาองค์พระธาตุพนมของเจ็ดชนเผ่า อันตระการตาด้วยนางรำในชุดประจำเผ่าหลากสีสัน ครั้นตกตอนบ่าย ไม่น่าพลาดชมกระบวนการจุดไฟทีละดวงของเรือแต่ละลำ ที่จุดเริ่มต้นตามแนวถนนสุนทรวิจิตร ที่เลียบไปตามลำโขง เขตอำเภอเมืองนครพนม พอแดดร่มลมตก ก็ไปชมการไหลเรือไฟยุคโบราณ ณ ริมฝั่งโขงใกล้เวทีกลาง ก่อนตะลึงกับเรือไฟสมัยใหม่ของจริง ซึ่งมีการจุดพลุไฟอันอลังการกลางลำโขงเป็นการส่งท้าย ยังไม่นับการแสดงวัฒนธรรมบนเวที และการแสดงสินค้าหลากหลาย อันเป็นส่วนหนึ่งของงานกาชาดจังหวัด
 
เหนื่อยครับ ถ้าจะดูให้ถึงกึ๋นจริงๆ ยอมรับว่าเหนื่อย ผู้คนก็เดินกันล้นหลาม แต่ก็สุดคุ้มกับประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตอันล้ำค่า!


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140914/191991.html
16685  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / กรุงเทพโพลล์เผยเด็กไทย 70.7 % ยอมรับตัวเองตั้งใจเรียนลดลง ใช้ social media มากไป เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 10:41:35 am


กรุงเทพโพลล์เผยเด็กไทย 70.7 %
ยอมรับตัวเองตั้งใจเรียนลดลง ใช้ social media และเรื่องอื่นๆ มากไป

กรุงเทพโพลล์ จึงได้สำรวจความคิดเห็นเยาวชนในหัวข้อ "อะไรทำให้การศึกษาไทยถดถอย ในความคิดเยาวชน" โดยเก็บข้อมูลกับเยาวชนอายุ 15-25 ปี ที่พักอาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวน 1,167 คน พบว่า กิจกรรมที่เยาวชนทำแต่ละวันในช่วงเวลาว่างหลังจากการเรียน คือ ดูหนัง ฟังเพลง ดูทีวี (ร้อยละ 72.2) รองลงมา เล่นอินเทอร์เนต เช่น facebook,line (ร้อยละ 63.6) และอ่านหนังสือ ร้อยละ 47.1

เมื่อถามเยาวชนว่าเห็นด้วยหรือไม่ หากจะกล่าวว่า "การศึกษาไทยในปัจจุบันอยู่ในยุค ตกต่ำ ย่ำแย่" เยาวชนส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 66.3 เห็นด้วยกับคำกล่าวดังกล่าว (โดยให้เหตุผลว่าครู/อาจารย์มีประสิทธิภาพน้อยลง ระบบการเรียนการสอนทำให้นักเรียนขาดความกระตือรือร้น ติดโลกออนไลน์มากไป ฯลฯ) และมีเพียงร้อยละ 7.0 เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย (โดยให้เหตุผลว่า การเรียนการสอนยังดีอยู่ มีมาตรฐาน ไม่ได้รู้สึกแย่ ฯลฯ) ที่เหลือร้อยละ 26.7 ไม่แน่ใจ 


 :41: :41: :41: :41:

ในส่วนของสาเหตุที่ทำให้คุณภาพการศึกษาไทยอันดับแย่ลงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน (จากข้อมูลของ "World Economic Forum") เยาวชนร้อยละ 70.7 คิดว่าสาเหตุดังกล่าวเกิดมาจาก ตัวนักเรียนเองที่มีสมาธิ/ความตั้งใจเรียนลดลง เช่น ใช้เวลากับ social media และเรื่องอื่นๆ มากกว่าการเรียน รองลงมาร้อยละ 42.5 คิดว่ามาจากปัญหาการเมืองส่งผลทำให้นโยบายการศึกษาไม่ต่อเนื่อง และร้อยละ 35.6 คิดว่ามาจากหลักสูตรการเรียนการสอนที่ไม่เข้มข้น

สำหรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของครู อาจารย์ ที่เยาวชนเคยพบเห็น คือ สอนแบบปล่อยเกรด ไม่เข้มงวด ไม่จริงจัง (ร้อยละ 77.0) รองลงมาคือ สอนอย่างไม่มีความพร้อม ไม่เตรียมการเรียนการสอน (ร้อยละ 64.6) และเน้นสอนพิเศษ/เชิญชวนให้เรียนพิเศษ ไม่เน้นสอนในห้องเรียน (ร้อยละ 56.9) ส่วนดาราที่เยาวชนเห็นว่าเป็นต้นแบบที่ดีในด้านการเรียน อันดับ 1 คือ ณเดช คูกิมิยะ (ร้อยละ 11.7) อันดับ 2 คือ ญาญ่า อุรัสยาและแต้ว ณฐพร (ร้อยละ 11.4 เท่ากัน)
 

ที่มา : news center/มติชนออนไลน์
http://news.voicetv.co.th/thailand/118049.html
16686  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / 10 เทคนิคการถ่ายรูปเทรนด์ใหม่ “Groufie” เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 10:38:00 am


10 เทคนิคการถ่ายรูปเทรนด์ใหม่ “Groufie”

การแชร์รูปภาพอัพเดทไลฟ์สไตล์ของตัวเอง กลายเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้โดยเฉพาะสาวๆ ที่ชื่นชอบการถ่ายรูป


ในยุคแห่งโลกดิจิทัลที่คนส่วนใหญ่มักใช้การสื่อสารหรือการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ผ่านทางสังคมออนไลน์ ทั้งการโพสข้อความแสดงความคิดเห็น หรือการแชร์รูปภาพอัพเดทไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ได้กลายเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้โดยเฉพาะสาวๆ ที่ชื่นชอบการถ่ายรูป ซึ่งการถ่ายรูปยอดนิยมและเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วนั้น คือ การถ่ายรูปแบบ Selfie หรือการถ่ายรูปด้วยตัวเองคนเดียว แต่ในบางครั้งการถ่ายรูป Selfie อาจทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวหรือไม่สนุก เฮดแอนด์โชว์เดอร์ จึงคิดวิธีการถ่ายรูปแบบสนุกๆมาแบ่งปันกับ“Groufie” หรือการถ่ายรูปกลุ่มคนในสไตล์ Selfie คนยิ่งเยอะ ยิ่งสนุก ภายใต้แคมเปญสุดมันส์ “#FunGroufie” มั่นใจไร้รังแค เพื่อแสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่อบอุ่นผ่านโลกดิจิทัลได้อีกด้วย สำหรับเคล็ดลับการถ่ายรูปดีๆ มีมาแนะนำ 10 วิธี

 ans1 ans1 ans1 ans1

1. รู้จักมุมหน้าของตัวเอง ลองหามุมใบหน้าสวยๆ ของตัวเองหน้ากระจก ไม่ว่าจะเป็นก้มหน้าหรือเงยหน้าสักเล็กน้อย เอียงคอซ้ายขวาและลองยิ้มหลายๆแบบ แล้วดูว่ามุมไหนที่รู้สึกมั่นใจและดูดีมากที่สุด

2. ถือกล้องให้อยู่สูงกว่าศีรษะ ถ่ายมุมกด จะช่วยให้ดวงตาดูใหญ่ จมูกดูเรียวขึ้น เทคนิคนี้เหมาะกับสาวๆ ที่กลัวหน้าบานเป็นที่สุด เพราะจะทำให้หน้าดูเรียวขึ้น มีดวงตากลมโตขนาดใหญ่เป็นประกายแถมจมูกจะดูมีสันโดดเด้งขึ้นมาทันที

3. แสดงสีหน้าหลายๆแบบ ไม่จำเป็นต้องยิ้มหน้าเดียวทุกรูป ลองฝึกแสดงสีหน้าต่างๆ เช่น การฝึกหัวเราะ หัดยิ้มบ่อยๆ หน้ากระจก เพราะรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและยังเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่จะแสดงถึงมิตรภาพที่ดีต่อกันได้อีกด้วย นอกจากนี้ การฝึกหัวเราะให้ดูดีและเป็นธรรมชาติก็จะทำให้ภาพที่ถ่ายออกมากับกลุ่มเพื่อนๆ ดูน่ารักและอบอุ่นมากยิ่งขึ้น

4. ต้องแน่ใจว่าคนในกลุ่มที่แขนยาวที่สุดหรือสูงที่สุดเป็นคนถือกล้อง ลองสังเกตเพื่อนๆในกลุ่มดูว่ามีใครที่แขนยาวหรือตัวสูงกว่าคนอื่นบ้าง ลองให้ผู้ที่มีพรสวรรค์ทางกายภาพเหล่านี้เป็นคนถือกล้องเวลาถ่ายรูป Groufie ดูแล้วจะรู้ว่าทุกคนในภาพจะดูหน้าเล็กลงมากและยังสามารถเก็บบรรยากาศรอบๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย

5. หามุมที่แสงส่องจากทางด้านหน้า เทคนิคง่ายๆที่จะทำให้ใบหน้าของทุกคนในภาพดูสว่างใสฟรุ้งฟริ้งมากขึ้น ถ้าแสงส่องจากด้านบน หรือด้านข้าง หน้าจะเกิดเงาดูไม่สวย นอกจากนี้ การถ่ายรูปด้วยแสงธรรมชาติจะทำให้รูปออกมาดูดีมากกว่าการใช้แฟลช ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะกับการถ่าย Groufie ด้วยแสงธรรมชาตินั้น คือ ช่วงเช้าและช่วงบ่าย 3-4 โมงเย็น รับรองว่าจะได้ภาพสวยเว่อร์



6. กล้องหลังของโทรศัพท์มีคุณภาพดีกว่า กล้องหน้าอาจถ่ายแล้วเบลอ รูป Groufie ของคุณจะออกมาดูดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย ซึ่งคุณภาพและความคมชัดของภาพก็เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่ง ฉะนั้น ลองฝึกถ่ายรูปด้วยกล้องหลังของโทรศัพท์ดูบ้าง แล้วคุณจะรู้ว่าภาพที่ถ่ายออกมาดูสวยและคมชัดมากกว่าภาพจากกล้องหน้าจริงๆ

7. ถ่ายรูป Groufie ในที่สาธารณะ เขินน้อยกว่าถ่าย selfie คนเดียว นอกจากการถ่ายรูป Groufie จะทำให้ทุกคนรู้สึกสนุกและมันส์กว่าการถ่ายรูป Selfie คนเดียวในที่สาธารณะแล้ว ยังทำให้เราไม่รู้สึกเขินที่จะโพสท่าฮาๆกับกลุ่มเพื่อน แถมยังเพิ่มความมั่นใจที่แชร์ความสุขร่วมกันมากขึ้นอีกด้วย

8. จำนวนคนในรูปมาก การแชร์รูปก็มากขึ้นด้วย คนยิ่งเยอะก็ยิ่งสนุกแถมยังได้แชร์รูปอัพเดทกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนให้คนอื่นได้ติดตามกันอย่างเพลิดเพลินมากขึ้นอีกด้วย

9. ลองเลือกใช้ฟิลเตอร์จาก app ให้เหมาะกับรูป Groufie ที่ถ่าย ยุคไอทีล้ำสมัยแบบนี้ก็ต้องพึ่ง app กันบ้าง เพราะสามารถปรับแต่งรูป Groufie ให้ดูสวยวิ๊งในพริบตาก่อนที่จะอัพลงโซเชี่ยล มีเดียได้ในทันที

10. ต้องมั่นใจกล้าใกล้ชิดคนอื่น ก่อนถ่ายรูป Groufie กับเพื่อนซี้ อย่าลืมพกความมั่นใจมาให้เกินร้อยไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่งดงามชนะขาด และที่สำคัญต้องมีผมที่สวยสะอาดไร้รังแค โชว์ความมั่นใจกล้าเอียงหัวเข้าใกล้กับเพื่อนๆ กันมากขึ้น

เพียงเท่านี้สาวๆ ก็จะได้รูป Groufie ที่สวยเริ่ดอย่างแน่นอน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/Article/267584/10+เทคนิคการถ่ายรูปเทรนด์ใหม่+“Groufie”
16687  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / เลือกปลั๊กราง ปลั๊กสามตา ให้ใช้งานได้ปลอดภัย เหมาะกับการใช้งาน เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 10:32:02 am

เลือกปลั๊กราง ปลั๊กสามตา ให้ใช้งานได้ปลอดภัย เหมาะกับการใช้งาน

หลายต่อหลายครั้งที่เรามักจะใส่ใจกับเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือว่า คอมพิวเตอร์ที่ต้องมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีและประหยัดพลังงาน แต่เรามักไม่ค่อยได้ใส่ใจกับแหล่งจ่ายไฟหรือปลั๊กไฟที่นำมาต่อพ่วง โดยเฉพาะกับอุปกรณ์ที่เรียกว่า ปลั๊กราง ที่บางคนยังเลือกใช้แต่ของถูกๆ หรือไม่มีมาตรฐาน จนอาจเกิดความเสียหายต่อคอมพ์หรืออุปกรณ์ตัวโปรดเราได้

เคยสังเกตกันบ้างมั้ยว่า ทำไมบางครั้งจอมอนิเตอร์เสียเร็วจังหรือคอมพิวเตอร์บางครั้งเพาเวอร์ซัพพลาย เสียบ่อยหรือบางทีอาจจะเป็นตู้เย็นหรือพัดลมที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากแหล่งจ่ายไฟ ทั้งเต้ารับหรือปลั๊กรางสำหรับจ่ายไฟนั่นเอง เพราะมักจะมีอาการไม่ดีให้เราเห็น



อาการแบบไหนที่เรียกว่าไม่ดี
    - เสียบปลั๊กแล้วมีประกายไฟให้เห็น
    - ไฟดับเป็นระยะ ช่วงเวลาที่ใช้งาน
    - มีเสียงดังแปลกๆ เมื่อเสียบปลั๊ก
    - เกิดความร้อนสูง เมื่อเอามือจับที่ปลั๊กไฟ
    - มีไฟรั่ว เมื่อไปโดนที่ปลั๊กราง
    - เต้าเสียบไม่แน่น โยกคลอนตลอดเวลา



เลือกปลั๊กราง อย่างไรดี
การเลือกปลั๊กราง มีข้อสังเกตสำคัญเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น แต่ก็ต้องมองให้ละเอียดถี่ถ้วน เพราะอย่าลืมว่าเราต้องใช้งานไปอีกนาน การลงทุกเพียงครั้งเดียวด้วยงบประมาณที่เราพอจะหามาได้น่าจะเป็นทางออกที่ดี ที่สุด เพราะนอกจากจะใช้งานได้อย่างปลอดภัยแล้ว ก็ยังไม่ต้องซื้อกันบ่อยๆ ให้เปลืองเงิน
    1. เลือกปลั๊กที่มีมาตรฐานหรืออย่างน้อยก็ต้องมีมาตรฐาน มอก. กำกับเอาไว้ เพื่อให้มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่ามีการควบคุมคุณภาพการผลิต
    2. เลือกปลั๊กรางที่มีวัสดุในการผลิตที่มีคุณภาพ ปัจจุบันมีให้เลือกทั้งพลาสติก PVC และ AVC ซึ่งพลาสติก PVC แม้จะมีความแข็งแรงก็จริง แต่ AVC ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันและยังทนอุณหภูมิได้สูงอีกด้วย
    3. มีสวิทช์คุมการทำงานบนปลั๊กราง อย่างน้อยๆ คือ หนึ่งสวิทช์ขึ้นไป บางรุ่นอาจมีมาให้ทุกเต้าเสียบ ก็ถือว่ายิ่งดี เพราะเราสามารถกำหนดให้สวิทช์ตัวใดทำงานก็ได้ ไม่ต้องไหลเข้าระบบทั้งหมดและมีฟิวส์ตัดการทำงาน
    4. มีสายที่ยาวเพียงพอต่อความต้องการของเรา ไม่สั่นหรือยาวจนเกินไป



5. ต้องไม่มีเศษเกินส่วนใดของสายไฟ ยื่นออกมาจากตัวราง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดไฟช็อตหรือลัดวงจรได้
6. ดูปริมาณวัตต์หรือแอมป์ของปลั๊กรางให้เหมาะสม เพื่อให้รองรับกระแสไฟจากอุปกรณ์ได้เพียงพอ
7. องค์ประกอบอื่นๆ ให้ดูตามสมควร อย่างเช่น มีพอร์ตสำหรับ USB Charger มาให้หรือช่องเสียบสายโทรศัพท์กันสัญญาณรบกวน
8. อาจจะลองนำปลั๊กที่ใช้อยู่ประจำไปลองเสียบเข้ากับปลั๊กรางที่ต้องการซื้อ ดูว่าหลวมหรือแน่นเกินไปหรือเปล่า
9. บางรุ่นอาจมีระบบ Surge Protection ช่วยป้องกันไฟกระชากได้ในระดับหนึ่ง
10. สายไฟเส้นใหญ่ ให้ข้อดีในเรื่องของความทนทาน ไม่แตกหักพับงอได้ง่าย ทนโหลดของกระแสไฟได้มากขึ้น
11. มีการรับประกันที่มั่นใจได้



ทั้งหมดนี้เป็นข้อสังเกตแบบคร่าวๆ ในการเลือกปลั๊กรางให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ซึ่งความจริงแล้วก็ยังรายละเอียดเบื้องลึกในเรื่องของการวางผังวงจรและวัสดุ ภายในที่มีผลต่อการใช้งาน อย่างไรก็ดีในเบื้องต้นอาจจะไม่ได้หาปลั๊กรางตามเงื่อนไขได้ง่ายนัก แต่ได้บ้างบางส่วนก็ถือว่าใช้งานได้มั่นใจยิ่งขึ้น อย่าลืมว่าอุปกรณ์ที่เราใช้ ซื้อหามาในราคาที่แสนแพง การไปพึ่งปลั๊กรางที่ไม่ได้มาตรฐาน ถือเป็นความเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ

ขอบคุณภาพและบทความจาก
hitech.sanook.com/1391265/เลือกปลั๊กราง-ปลั๊กสามตา-ให้ใช้งานได้ปลอดภัย-เหมาะกับการใช้งาน/
16688  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 ของกินเล่นก่อนนอน…ช่วยคุณหลับดีขึ้น สบายตลอดคืน เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 10:25:39 am


5 ของกินเล่นก่อนนอน…ช่วยคุณหลับดีขึ้น สบายตลอดคืน

เคยเป็นไหมที่ง่วงแทบตาย เพลียมาทั้งวัน แต่นอนเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับสักที รู้สึกไม่สบายตัวตลอดเวลาแถมสะดุ้งตื่นกลางดึกอีก วันนี้ไทยรัฐออนไลน์มีทางออกดีๆ ที่จะมาช่วยแก้ปัญหาการนอนหลับของคุณให้ยาวนานยิ่งขึ้นกับอาหารทานเล่นก่อนนอนสุดฟิน 5 อย่าง ทานได้อย่างไม่กลัวอ้วน รับประกันว่าคุณจะหลับสบายและหลับลึกขึ้นจนหยุดคิดเรื่องปวดหัวต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดวันเลยล่ะ …

1. ผลเชอร์รี่
ผลเชอร์รี่หรือน้ำเชอร์รี่ 1 แก้ว อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและฮอร์โมนเมลาโทนิน โดยเฉพาะเชอร์รี่รสเปรี้ยวจะช่วยกระตุ้นฮอร์โมนเมลาโทนินได้ดี ช่วยในการปรับเปลี่ยนระบบนาฬิกาของร่างกายและควบคุมระยะเวลาการนอนของคุณให้มากขึ้น ทานเชอร์รี่สัก 5-6 ลูก หรือน้ำเชอร์รี่วันละแก้วก่อนนอน รับรองอาการนอนไม่หลับจะหายเป็นปลิดทิ้ง

“จะกินเป็นน้ำเชอร์รี่ หรือผลเชอร์รี่สดๆ หรือเชอร์รี่อบแห้งก็ได้ ให้ผลเหมือนกัน”


ผลเชอร์รี่

2. ไข่ต้ม
บางครั้งอาการนอนไม่หลับและการสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกตอนตี 2-3 อาจเกิดจากคุณไม่ได้บริโภคโปรตีนเพียงพอ เพราะฉะนั้นก่อนนอนหรืออาหารมื้อเย็นให้ย้ำทานโปรตีน ทานไข่ต้มสัก 1-2 ใบ เพื่อรองท้อง ให้ร่างกายหลับง่ายและหลับสนิทตลอดคืน หรือถ้าคุณไม่อยากทานไข่ต้ม คุณสามารถทานชีสหรือถั่วแทนได้ในปริมาณที่ไม่มากเกินไปนัก รับรองคุณจะง่วง อยากงีบหลับหลังย่อย 2 ชั่วโมงแน่นอน


3. แครกเกอร์โฮลเกรน (ธัญพืช)

ถ้าคุณโน้มเอียงที่จะทานของขบเคี้ยวอย่างมันฝรั่งทอดก่อนนอน ลองเปลี่ยนมาเป็นแครกเกอร์โฮลเกรน (ธัญพืช) แทนดูสิ เพราะไม่เพียงแต่จะให้คาร์โบไฮเดรตสูงแล้ว แต่ยังเป็นแหล่งรวมวิตามิน B ชั้นยอด ที่จะช่วยแก้อาการนอนไม่หลับให้หลับง่ายขึ้น หลับลึก คลายความกังวลตลอดคืน



แครกเกอร์โฮลเกรน(ธัญพืช)


4. เนยถั่วอัลมอนด์ (บนขนมปัง) 

ถ้าดึกๆ คุณเกิดหิวจนนอนไม่หลับ ขนมปังโฮลเกรนใส่ท็อปปิ้งเนยถั่วอัลมอนด์ก็โอเคอยู่นะ เพราะอัลมอนด์เต็มไปด้วยแม็กนีเซียมที่ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้นและกล้ามเนื้อผ่อนคลายมากขึ้น


เนยถั่วอัลมอนด์เทบนขนมปัง ... อิ่มท้อง อร่อยเว่อร์ !

5. ข้าวโอ๊ต
ข้าวโอ๊ตอุ่นๆ ไม่เพียงแต่ทานตอนเช้าเพื่อเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย แต่ด้วยคุณสมบัติของข้าวโอ๊ตที่ประกอบไปด้วยแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยให้หลับง่ายขึ้น ทำให้สามารถทานข้าวโอ๊ตก่อนนอนได้


นอกจากข้าวโอ๊ตจะช่วยให้อิ่มท้องหลับสบาย และช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายให้สมดุลกันแล้ว ยังดีต่อสุขภาพภายในอย่างระบบการย่อยอาหารและระบบขับถ่ายด้วย !


ข้าวโอ๊ตอุ่นๆ

ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/450302
16689  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / 'สร้างปาฏิหาริย์ ให้ชีวิตด้วยความดี' : เส้นทางบุญ เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 10:19:03 am


'สร้างปาฏิหาริย์ ให้ชีวิตด้วยความดี' : เส้นทางบุญ

ท่านเจ้าคุณพระวิเชียรโมลี (ขวัญชัย นิติสาโร) เจ้าอาวาสวัดหนังราชวรวิหาร กรุงเทพฯ ให้คำสอนพุทธภาษิตไว้ในหัวข้อ “วาสนา คาถา ปาฏิหาริย์” เพื่อเป็นคาถาทำดีเพื่อดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกที่ควรว่า...“ถ้าฝ่ามือไม่มีแผล ก็พึงนำยาพิษไปทาที่ฝ่ามือได้ ยาพิษซึมเข้าฝ่ามือที่ไม่มีแผลไม่ได้ฉันใด บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาปฉันนั้น”
       
ท่านเจ้าคุณพระวิเชียรโมลี อธิบายว่า คนไทยส่วนใหญ่มักรู้จักคำว่า “คาถา” เป็นสิ่งที่จะต้องบริกรรม หรือสวดมนต์ภาวนา เสกคาถาเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ แต่ความหมายแท้จริงแล้ว “คาถา” คือ บทร้อยกรอง หรือ คำประพันธ์ที่แต่งขึ้นด้วยการร้อยเรียงจากภาษาบาลี เพื่อที่จะกำหนดจิตใจ เพ่งภาวนาให้อยู่ในสติ ไม่ว้าวุ่นอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบกาย ซึ่งหากแปลความหมายของการประพันธ์ภาษาบาลีเป็นภาษาไทยแล้ว ก็เปรียบได้ดั่ง "คติ" หรือ ข้อคิดสอนใจ นั่นเอง

       
 ans1 ans1 ans1 ans1

ท่านเจ้าคุณพระวิเชียรโมลี กล่าวว่า “คาถาประจำตัว” ของคนเรา “แตกต่าง” ตามประสบการณ์และความต้องการเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เช่น พ่อค้าแม่ขาย อาจมีคาถาขอให้ร่ำให้รวย, ข้าราชการ ขอให้มียศ ตำแหน่ง หรือคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการเสี่ยงภยันอันตราย ก็อาจมีคาถาขอให้แคล้วคลาด ปลอดภัย เป็นต้น
       
ทั้งนี้หากกล่าวถึงอิทธิปาฏิหาริย์ของคาถา อย่างเช่น พระเกจิอาจารย์สมัยก่อน ท่านทำของขลังแล้วมีพลัง เป็นมหาอุด เป็นมหานิยม ด้วยการลงยันต์ อักขระที่มีทั้งตัวอักษร ตัวเลข และลวดลาย กำกับลงบนวัตถุต่างๆ พร้อมกับการถ่ายทอด “คาถา” ซึ่งความลับของคาถาเหล่านี้ แท้ที่จริง คือ บทสวดมนต์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีข้อคิด สอนใจ ของการอยู่บนหลักความจริง ธรรมชาติ และสติ
       
 :96: :96: :96: :96:

“วาสนา” หรือ การได้ดิบได้ดีทั้งลาภยศ บารมี ที่ล้วนแต่เกิดจากการสั่งสมความประพฤติในทางที่ดี ที่ถูก จนเคยชิน เหมือนกับพุทธภาษิตที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” นี่คือ วาสนาแท้จริง เช่น ผู้ที่สวดมนต์เป็นนิจ ย่อมได้อานิสงส์ ย่อมประสบความสวัสดี มีความเจริญรุ่งเรือง ประสบชัยชนะ รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง เพราะมีการอบรม ขัดเกลาจิตใจ กำหนดสติอยู่เสมอ
       
“แข่งเรือแข่งแพแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้” เป็นอีกหนึ่งสำนวนที่ต้องยอมรับกันโดยทั่วไปว่า คนที่สมบูรณ์พูนสุขด้วยลาภยศและฐานะหน้าที่ มีคนนับหน้าถือตา เพราะเขาได้ประพฤติดี ทำดี ให้เป็นที่ยอมรับด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีทางสังคม  แม้หากมีผู้ปองร้าย มีคนอิจฉาริษยา หรือมีคนคิดล้มอำนาจวาสนา ก็มักจะสู้ไม่ได้และแพ้ภัยตัวเองไป

       
 :49: :49: :49: :49:

“ปาฏิหาริย์” ตามหลักธรรมพระพุทธศาสนา ซึ่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อธิบายปาฏิหาริย์ ไว้ ๓ ประการ คือ     
    ๑.อิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์เกินที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้ เช่น แปลงกาย หายตัว
    ๒.อาเทสนาปาฏิหาริย์ ทายใจ  รู้ความคิดของคนอื่น นั่นเป็นการที่จะต้องหมั่นศึกษา เรียนรู้ตนเองและสังคมบริบทรอบข้างด้วยการวิเคราะห์ พิจารณาบนหลักความจริง 
    ๓.อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนให้ประพฤติปฏิบัติธรรม ทำความดี ทั้งทาน ศีล ภาวนา ด้วยการกำหนด “คาถา” ให้เป็นเครื่องชี้ทางชีวิต กำหนด “วาสนา” ให้เกิดการปฏิบัติสม่ำเสมอ แล้วจะเกิด “ปาฏิหาริย์” ในชีวิต
       
ท่านเจ้าคุณพระวิเชียรโมลี ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ปาฏิหาริย์ ทำให้เกิดได้จะต้องปลูกปัญญาด้วย “อนุสาสนีปาฏิหาริย์” ซึ่งเป็นการกำหนดให้ชีวิต ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจทำดี อยู่ตลอดเวลา เพียงนี้บุญกุศลนำพาความสมบูรณ์มาให้ชีวิตได้ครบถ้วน

       
 :25: :25: :25: :25:

สำหรับผู้ที่สนใจข้อคิดดีๆ แบบนี้ เข้ารับฟังธรรมบรรยายโครงการ “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ” ได้ที่ชั้น ๑๑ อาคารซีพี ทาวเวอร์ ถนนสีลม ทุกวันศุกร์ เวลา ๑๒.๐๐-๑๓.๓๐ น.โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ สอบถามข้อมูลโทร.๐-๒๖๗๗-๑๙๐๑ หรือ www.cpall.co.th


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140918/192313.html
16690  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘เกาหลีใต้’ จัดถกผู้นำศาสนา หวังสร้างสันติภาพโลก เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 09:41:22 am



‘เกาหลีใต้’ จัดถกผู้นำศาสนา หวังสร้างสันติภาพโลก
‘เกาหลีใต้’ใช้ศาสนานำกีฬา จัดถกผู้นำหวังสร้างสันติภาพโลก : สำราญ สมพงษ์รายงาน

ช่วงนี้โลกกำลังผวากับพฤติกรรมความรุนแรงของกลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรักหรือกลุ่มไอเอสที่นับถือศาสนาอิสลามนิกายสุนีย์สู้รบกับรัฐบาลอีรักที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์  ที่ขยายพื้นที่ไปเรื่อยๆ ในประเทศอิรัก รวมถึงกลุ่มหนุนได้ประกาศจะขยายพื้นที่มาทางเอเชียใต้ด้วย
 
ส่งผลกระทบกับบุคคลต่างเชื้อชาติและศาสนา อย่างเช่นการการฆ่าตัดคอนักข่าวชาวสหรัฐอเมริกาเป็นต้น ทำให้นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศจะใช้มาตรการถล่ม แต่ก็มีการหวั่นกันว่านี้จะเป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สามหรือไม่ประกอบกับนักวิเคราะห์บางคนถึงกับมองว่าสงครามโลกครั้งที่สามได้เกิดขึ้นแล้ว 
 
อย่างไรก็ตามการจะปฏิบัติการของสหรัฐฯดังกล่าวแม้จะอ้างว่าเพื่อเป็นการสร้างสันติภาพไม่ให้สงครามก็ตามแต่ก็ถือว่าเป็นการสร้างความรุนแรงทางอ้อม ก็ทำให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยอย่างเช่นประเทศอิหร่านได้ออกมาคัดค้าน

 

ขณะเดียวกันได้เป็นภาพของการสร้างสันติภาพโดยไม่ใช้ความรุนแรงในแง่มุมของศาสนา อย่างเช่นศาสนาอิสลามประจำประเทศไทยนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี พร้อมด้วยตัวกระทรวงศาสนสมบัติแห่งรัฐคูเวต ร่วมเปิดตัวสถาบันวะสะฏียะฮ์เพื่อสันติภาพและการพัฒนา โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อดำรงอัตลักษณ์ที่แท้จริงของความเป็นมุสลิม ป้องกันแนวคิดสุดโต่ง ซึ่งเป็นสาเหตุของความขัดแย้งที่กำลังเบียดขับความมั่นคงของมนุษย์ในปัจจุบัน 
 
รวมถึงมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ร่วมกับสำหนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ได้รับนโยบายจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ให้มาหาแนวทางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติในมติทางศาสนา จัดประชุมผู้นำศาสนาเพื่อสันติภาพในประชาคมอาเซียน ณ มจร ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยาระหว่างวันที่ 25-29 กันยายนนี้  ภายใต้ชื่อเรื่องว่า “ขันติธรรมทางศาสนา” (Religious Tolerance) ซึ่งสอดรับกับแนวทางที่ยูเนสโกให้ย้ำเตือนให้มนุษยชาติใช้หลักขันติธรรมมาเป็นเครื่องมือในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นที่มีความแตกต่างมีผลสรุปที่จะนำแนงทางนี้มาใช้เพื่อสร้างเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของพลเมืองประชาคมอาเซียน

 


และที่ดำเนินการประชุมอยู่ขณะนี้คือระหว่างวันที่ 17-19 ก.ย.นี้ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้มีการประชุมผู้นำศาสนาโลก โดยใช้สนามกีฬาโอลิมปิกในการจัดภายใต้ชื่อ "World Alliance of Religions Peace Summit" ซึ่งมีผู้นำจากทุกศาสนาเข้าไปร่วมคาดว่าหลายหมื่นรูป/คนในจำนวนั้นมีท่าน Venerable Ashin Nyanissara  แห่งประเทศเมียนมาร์เดินทางไปร่วมด้วย ซึ่งก็ตรงกับช่วงที่ประเทศเกาหลีเป็นเจ้าภาพจัด "อาเซียนเกมส์" พอดี เท่ากับว่าประเทศเกาหลีนอกจากใช้กีฬาเพื่อสร้างความสามัคคีให้กับคนในประชาคมอาเซียนแล้ว ยังให้นำศาสนามาเป็นสื่อในการสร้างสันติภาพโลกอีกด้วย
 
ก็คงต้องตามดูกันต่อไปว่าฝ่ายบริหารประเทศไทยอย่างนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ  ที่ได้รับมอบหมายจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เข้ามากำกับดู พศ.รวมถึงมีหน้าที่โดยตรงคือร่วมแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ด้วย จะมองเห็นมติของศาสนาโดยเฉพาะ "ขันติธรรม" นำไปบูรณาการแก้ปัญหาอย่างไร







ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140918/192331.html
16691  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หนุ่มจีนประกาศ "ให้เช่าแฟน" เก็บตังค์ซื้อไอโฟน 6 เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 09:34:43 am

นักศึกหนุ่ม ม.ซงเจียงในเซี่ยงไฮ้ ประกาศให้เช่าแฟน
ระบุราคา 10 หยวน ต่อชั่วโมง./ 30 หยวน ต่อ วัน / 50 หยวน ต่อเดือน (ภาพ: เว่ยปั๋ว)


หนุ่มจีนประกาศ "ให้เช่าแฟน" เก็บตังค์ซื้อไอโฟน 6

เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์- นักศึกษาหนุ่มแผ่นดินใหญ่ ประกาศให้เช่าแฟน เก็บเงินซื้อไอโฟน 6 สะท้อนความร้อนแรงของกระแสแอปเปิ้ลในจีน

โลกออนไลน์จีนมีเรื่องให้ฮือฮาอีกครั้ง เมื่อมีภาพนักศึกษาหนุ่ม มหาวิทยาลัยซงเจียง ในเซี่ยงไฮ้ ประกาศ “ให้เช่า” แฟนสาวของตนเอง เพื่อเก็บเงินซื้อไอโฟน 6

   
 :49: :49: :49: :49:
   
หนุ่มนักศึกษา โฆษณาให้เช่าแฟน อยู่ริมมหาวิทยาลัย ด้วยการชูป้ายประกาศไว้ว่า “แชร์แฟน” ทั้งนี้ เงื่อนไขการแชร์แฟน หรือ ให้เช่าแฟนครั้งนี้ มีทั้ง บริการกินข้าวด้วยกัน นั่งเรียนหนังสือด้วยกัน เล่นเกมส์เป็นเพื่อน หรือกระทั่ง ออกเดทกัน โดยเขาคิดค่าบริการ ตั้งแต่ 10 หยวน (ประมาณ 50 บาท) ถึง 500 หยวน ( ประมาณ 2,500 บาท) แถมระบุด้วยว่า เป็นธุรกิจจริงจัง ไม่ใช่การหลอกเล่น
       
จากรายละเอียดในโลกออนไลน์ ที่เริ่มมีการแชร์เรื่องนี้เป็นครั้งแรก พบว่า ชายหนุ่มเต็มใจบอกรายละเอียดรูปร่างแฟนสาวตนและยินดีส่งรูปของเธอให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยเขาระบุไว้ว่า แฟนของตนเองเต็มใจร่วมงานหาเงินครั้งนี้ด้วย




อนึ่ง กระแสคลั่งไอโฟนเช่นนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในแผ่นดินใหญ่ ที่ผ่านมา เมื่อสองปีที่แล้ว (2555) วัยรุ่นชาวหูหนัน ก็ขายไตและใช้เงินที่ได้ซื้อไอโฟนกับไอแพด จนตอนหลัง เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้เกี่ยวข้องได้ถึง 5 คน
       
ส่วนในเดือนตุลาคมปีก่อน (2556) อัยการในเซี่ยงไฮ้ก็สั่งฟ้องสองผัวเมียในข้อหาค้ามนุษย์ เพราะพวกเขาประกาศขายลูกในโลกออนไลน์ และนำเงินที่ได้บางส่วนซื้อไอโฟนเครื่องใหม่   
   

 :41: :41: :41: :41:

ในขณะที่ ปีนี้ สาวกไอโฟนในจีนต่างก็ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน เพราะบริษัทแอปเปิลวางตลาดไอโฟน 6 และ ไอโฟน 6 พลัส ล็อตแรกที่ฮ่องกง เมื่อวันเสาร์ที่ 13 ก.ย. ที่ผ่านมา และเลื่อนการวางจำหน่ายไอโฟนในตลาดจีนไปถึงเดือนธ.ค.ปีนี้
       
การปฏิเสธวางไอโฟนล็อตแรกในจีน ทำเอาบริษัทโทรคมนาคมของจีนหลายเจ้าเสียเงินค่าโฆษณาร่วมหลายร้อยล้านหยวน เพราะต่างก็เข็นโปรโมชั่นต่างๆ ออกมาทำตลาดรอรับไอโฟน 6 อยู่ก่อนแล้ว


:s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:
 
อย่างไรก็ตาม กลับมีผู้ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ โดยเฉพาะพวกต้มตุ๋นขายของในตลาดออนไลน์ เช่น มีการแอบอ้างวางขายรุ่นเฉพาะของมาเก๊าออกมาด้วย
       
“เราซื้อไอโฟน 6 ในจีนไม่ได้ ...แต่ฉันซื้อได้จากร้านนี้ สีชมพูซะด้วย หวังว่าจะไม่ใช่ของปลอมนะ” ลูกค้ารายหนึ่งที่อาจเป็นพวกแอบอ้างเขียนรีวิวไว้


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9570000107497
16692  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อึ้ง มะกันตั้ง "ศาลเจ้า" ในเมือง ผู้คนแห่กราบไหว้ สุดศักดิ์สิทธิ์ ฉุดอาชญากรรมลด เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 09:28:07 am

อึ้ง.!มะกันตั้ง "ศาลเจ้า" ในเมือง ผู้คนแห่กราบไหว้
สุดศักดิ์สิทธิ์ ฉุดอาชญากรรมลด 80%

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุฮือฮา หลังชาวเมือง "อีสต์เลค" ในรัฐโอ๊คแลนด์ ของสหรัฐได้ตั้ง "ศาลเจ้า" ในพื้นที่ของเมืองนี้ ซึ่งปรากฎว่าเกิดเหตุน่าทึ่งเมื่อพบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีสถิติการก่ออาชญากรรมลดลงถึง 82 เปอร์เซ็นต์

รายงานระบุว่า ศาลเจ้าขนาด 2 ฟุต นี้ถูกตั้งโดยนายแดน สตีเวนสัน ซึ่งไม่ได้เป็นชาวพุทธ โดยเจ้าตัวซื้อมาจากร้านอุปกรณ์ขายวัสดุหนักและเครื่องเหล็ก และนำมาวางไว้ยังพื้นที่ถนนที่ 11 ของเมืองอีสต์แลนด์ ขณะที่รายงานระบุว่า ภายหลังการวางศาลฯดังกล่าว

ปรากฎว่าได้เกิดเรื่องดี ๆ อย่างน่าประหลาดหลายอย่าง เช่น ผู้คนเลิกทิ้งขยะอย่างไม่เป็นที่ พวกมือบอนเลิกพ่นสีสร้างศิลปะสกปรกบนกำแพง ขณะที่การค้ายาเสพติดก็ลดลง หรือแม้แต่โสเภณี ก็ย้ายไปหากินในที่อื่นด้วย ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังสำนักงานตำรวจประจำเมืองนี้ โดยเจ้าหน้าที่บอกว่า สถิติอาชญากรรมของเมืองนี้ได้ลดลงถึง 82 เปอร์เซนต์




ด้านชาวบ้านท้องถิ่นบอกว่า ผู้คนทุกประเภทจากทั่วสารทิศ ต่างเดินทางมากราบไหว้ศาลพระภูมินี้  โดยนับตั้งแต่ปี 2012 ผู้คนได้นำสิ่งของมากราบไหว้บนฐานของศาลพระภูมิ รวมทั้งผู้หญิงซึ่งแต่งตัวในชุดพิธีทางศาสนา ต่างมารวมตัว เพื่อทำพิธีกราบไหว้ยังศาลพระภูมินี้ด้วย

นอกจากนี้ มีรายงานด้วยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สถิติการจี้ปล้นได้ลดลงจาก 14 ครั้งเหลือ 9ครั้ง การทำร้ายร่างกายลดจาก 5 ครั้งเหลือศูนย์ การย่องเบาลดลง 8 ครั้งเหลือ 4 ครั้ง และการค้ายาเสพติด ลดจาก 3 เหลือศูนย์ และการค้าประเวณีลดลงจาก 3 เหลือศูนย์ นอกจากนี้ ชาวบ้านยังเล่า ศาลพระภูมิแห่งนี้ยัง"ปฎิเสธ"ความพยายามที่จะย้ายศาลนี้ออกไปจากพื้นที่ตั้งด้วย   


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1411020726
16693  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ร้องสภาทนาย กก.วัดไผ่ล้อมแจ้ง ให้ออกจากพื้นที่ เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 09:21:48 am


ร้องสภาทนาย กก.วัดไผ่ล้อมแจ้ง ให้ออกจากพื้นที่

ชาวชุมนุมวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ร้องสภาทนาย ช่วยเหลือกฎหมาย หลัง กก.วัด แจ้งให้ออกจากพื้นที่เพื่อปรับภูมิทัศน์ พร้อมให้ค่ารื้อถอนรายละ 20,000 บาท

เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 18 ก.ย.2557 น.ส.มนัญญา จันทรังษี อายุ 39 ปี ผู้นำกลุ่มชาวบ้านชุมชนวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม พร้อมด้วยชาวบ้านกว่า 10 คน ได้นำเอกสารหลักฐาน เข้ายื่นคำร้องขอความเป็นธรรม ต่อนายสุนทร พยัคฆ์ อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย สภาทนายความ กรณีที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน เมื่อคณะกรรมการวัดไผ่ล้อม ติดป้ายประกาศให้ ชาวบ้านออกจากพื้นที่ ภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้ โดยคณะกรรมการวัด เสนอค่ารื้อถอน ให้หลังละ 20,000 บาท จึงทำให้ชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ 80 หลังคาเรือน ต้องไม่มีที่อยู่อาศัย


 :91: :91: :91: :91:

น.ส.มนัญญา ตัวแทนชุมชนวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า ชาวบ้านอาศัยโดยทำสัญญาเช่าที่วัดอยู่มาตั้งแต่ปี 2516 สมัยที่พระครูปุริมานุรักษ์ หรือหลวงพ่อพูล ยังเป็นเจ้าอาวาส และก่อสร้างเป็นห้องแถวครึ่งตึกครึ่งไม้ ซึ่งชาวบ้านชำระค่าเช่าเฉลี่ยปีละ 450 บาท แต่สัญญาเช่าดังกล่าวไม่ระบุวันหมดสัญญา กระทั่งปี 2548 เมื่อหลวงพ่อพูลมรณภาพแล้ว พระครูปลัดสิทธิวัฒน์หรือหลวงพี่น้ำฝน เป็นเจ้าอาวาสแทน ในปี 2554 วัดไม่ได้เก็บค่าเช่าเหมือนทุกปี ซึ่งชาวบ้านเริ่มหวั่นเกรงว่าจะถูกไล่ที่ จึงเข้าไปสอบถามคณะกรรมการวัดโดยได้รับการยืนยันว่า ไม่มีการไล่ที่แต่อย่างใด โดยไม่มีการเก็บค่าเช่าจนถึงปัจจุบัน

แต่เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา กลับมีจดหมายจากสำนักงานทนายความของวัดไผ่ล้อม แจ้งความประสงค์ขอคืนพื้นที่วัดไผ่ล้อม ถึงชาวบ้านทุกหลังคาเรือน เรื่องปรับปรุงภูมิทัศน์ในพื้นที่ที่ดินโฉนดเลขที่ 7029 ของวัด เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยคณะกรรมการ มีมติให้ดำเนินการรื้อถอนบ้านพักอาศัย เพื่อก่อสร้างโรงเรือนขึ้นมาใหม่ โดยขอให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปภายในกำหนด 5 เดือน แล้วเมื่อเดือน ก.ค. คณะกรรมการวัด จึงนำป้ายมาปักประกาศ ให้ขนย้ายทรัพย์สินเสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้ โดยวัดไผ่ล้อม จะเริ่มทำการรื้อถอนอาคารบ้านเรือนทั้งหมด ในวันที่ 15 ต.ค. คณะกรรมการปรับปรุงภูมิทัศน์วัดไผ่ล้อม


 :96: :96: :96: :96:

น.ส.มนัญญา กล่าวอีกว่า ล่าสุดวันที่ 9 ก.ย.2557 วัดได้ว่าจ้างผู้รับเหมารายหนึ่ง เข้ารื้อถอนภายในบ้านพักของตนทั้งที่ประตูบ้านปิดล็อกไว้ โดยมารดาตนที่เป็นเจ้าของบ้านไม่ทราบเรื่อง ดังนั้นจึงแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองนครปฐม ไว้เป็นหลักฐาน ขณะที่เวลานี้มีชาวบ้าน 4-5 หลังที่ยินยอมรับเงินค่ารื้อถอนรายละ 20,000 บาท ส่วนที่เหลือไม่ยอมรับเงินเพราะไม่รู้ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน วันนี้จึงต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมกับสภาทนายความให้ช่วยเหลือทางกฎหมาย

เนื่องจากชาวบ้านไม่พร้อมที่จะย้ายออกจากที่ดิน แต่พร้อมจะปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้ดีขึ้น เพราะอาคารพาณิชย์ที่วัดจะสร้างทราบว่า มีมูลค่าหลังละ 3 - 3.5 ล้านบาท มีสัญญา 30 ปี โดยชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพหาเช้า กินค่ำ ก็ไม่มีความสามารถไปซื้อ ขณะที่ในพื้นที่วัดนั้นพบว่า มีบ้านปูนชั้นเดียว เลขที่ 999 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ พระราชทานให้แก่คนพิการรายหนึ่ง ไว้เป็นที่พักด้วย

 ans1 ans1 ans1 ans1

ภายหลังรับหนังสือขอความเป็นธรรม นายสุนทร พยัคฆ์ อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย สภาทนายความ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของสภา ฯ สอบสวนเบื้องต้นไว้เป็นข้อมูลแล้ว ก่อนนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะทำงานเพื่อพิจารณาว่าจะรับเรื่องไว้ช่วยเหลือหรือไม่ โดยจะเร่งพิจารณาโดยเร็วหากคณะทำงานรับเรื่องนี้ไว้ช่วยเหลือ วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา คือการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยคณะทำงานจะลงพื้นที่ไปดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น พร้อมเข้าเจรจาหารือคณะกรรมการวัด ส่วนเรื่องบ้านที่ถูกรื้อนั้นจะต้องพิจารณาอย่างละเอียดว่าทำถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้ขอเวลาให้คณะทำงานสอบสวนและพิจารณาข้อมูลในเบื้องต้นก่อน

ล่าสุดนายสุนทร กล่าวว่า ขณะนี้สภาทนายความ มีมติรับเรื่องไว้ช่วยเหลือทางกฎหมายแล้ว โดยวันจันทร์ที่ 22 ก.ย.นี้ สภาทนายความ จะจัดทนายความ ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนครปฐม ให้ไต่สวนเพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวไว้ก่อน เพื่อเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านยังไม่ต้องออกจากพื้นที่ก่อนด้วย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140918/192398.html
16694  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระวัดดังปทุมฯ วอนชาวบ้าน "อย่านำสุนัขมาปล่อย" เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 09:15:31 am


พระวัดดังปทุมฯ วอนชาวบ้าน "อย่านำสุนัขมาปล่อย"

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระณรงค์ คุณวีโร พระลูกวัดทองสะอาด ต.คลองพระอุดม อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ร้องเรียนว่ามีประชาชนนำสุนัขจำนวนมากมาปล่อยทิ้งไว้ที่วัด จึงเดินทางไปตรวจสอบ โดยพระณรงค์ คุณวีโร กล่าวว่า อยากวอนประชาชนอย่านำสุนัขมาปล่อย เพราะทุกวันนี้ในวัดมีสุนัขมากถึง 150 ตัว โดยมีพระณรงค์ พระลูกวัดและพระอีกหลายรูปเป็นผู้ดูแล ให้อาหาร บางตัวบาดเจ็บหรือพิการจะต้องว่าจ้างเหมารถนำส่งโรงพยาบาลสัตว์รักษา
 
พระณรงค์ กล่าวต่อว่า ได้แยกสุนัขที่เกเร กัดผู้มาทำบุญที่วัด และบางตัวที่พิการมาเลี้ยงไว้ในกรง เพื่อให้ดูแลง่ายขึ้น ส่วนอีกกว่าร้อยตัวเลี้ยงนอกกรงเป็นสุนัขที่ดูแลตัวเองได้ ไม่ดุ และไม่กัดผู้มาทำบุญ ทั้งนี้ เมื่อออกบิณฑบาตจากชาวบ้านแล้วก็จะนำอาหารที่เหลือมาให้สุนัขเหล่านี้กิน ถ้าไม่พอก็ต้องไปซื้ออาหารในตลาด บางตัวชอบกินน่องไก่ ก็ต้องไปซื้อให้ เพื่อให้สุนัขไม่เครียด สุนัขส่วนใหญ่ภายในวัดเป็นสุนัขใจดี บางตัวฉลาด สอนง่ายน่ารัก

     :96: :96: :96: :96:

      “ที่วัดทองสะอาด มีผู้ที่นำสุนัขมาปล่อยจำนวนมาก บางตัวเข้ากับตัวอื่นไม่ได้ก็ถูกกัด แม้แต่วิ่งข้ามถนนไม่เป็นก็ถูกรถชนจนพิการ อาตมามีหน้าที่ดูแลสุนัขที่อยู่ในวัดอยู่แล้ว บางตัวที่บาดเจ็บพิการก็จะนำไปรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์ ก็ได้เงินบริจาคจากญาติโยมมาบางส่วน จึงอยากวอนให้ผู้เลี้ยงสุนัขอย่าเอามาปล่อยเพิ่มอีกเลย เมื่อเราเลี้ยงมันเราควรจะรักและดูแลมันให้ถึงที่สุด หากนำมาปล่อยก็เป็นการสร้างกรรมที่ไม่ดีให้ตัวเองเปล่าๆ” พระณรงค์ กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE1UQXlPVFV4Tnc9PQ==&subcatid=
16695  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวอุดรฯ แห่กราบพระพุทธรูปโบราณ ณ ที่พักสงฆ์ อ.บ้านผือ (ชมคลิป) เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 09:12:19 am


ชาวอุดรฯ แห่กราบพระพุทธรูปโบราณ ณ ที่พักสงฆ์ อ.บ้านผือ (ชมคลิป)

อุดรธานี - ชาวบ้านแห่กราบไหว้พระพุทธรูปและวัตถุโบราณสมัยล้านช้าง ณ ที่พักสงฆ์ดงสีดา บ้านนาล้อม อ.บ้านผือ เผยบางคนฉวยเอาไปครอบครองถึงกับเสียชีวิต หรือครอบครัวมีอันเป็นไป ต้องนำกลับคืนมาที่เดิม
       
วันนี้ (18 ก.ย.) ที่พักพระสงฆ์ดงสีดา วิปัสสนากรรมฐาน บ้านนาล้อม หมู่ 5 ต.คำบง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ประชาชนทั่วสารทิศแห่มากราบไหว้พระพุทธรูปและวัตถุโบราณ ยุคสมัยล้านช้าง หรือร่วมสมัยกรุงศรีอยุธยา อายุกว่า 500 ปี ที่ขุดพบในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จึงทำเป็นที่พักสงฆ์ โดยมีพระ 1 รูปได้มาธุดงค์มาจำพรรษาอยู่ที่นี่ เดิมที่แห่งนี้เป็นป่ารก ชาวบ้านเคยเข้ามาเจองูจงอางสีดำขนาดใหญ่ จึงได้ตั้งศาลเจ้าที่เอาไว้ เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

       


       ทั้งนี้ ชาวบ้านต่างนำดอกไม้ธูปเทียนกราบไหว้วัตถุโบราณ มีกำไลข้อมือทองเหลืองหล่อเป็นรูปราหูอมจันทร์ ขนาดใหญ่ 2 คู่ กำไลแขนทองเหลืองหล่อเป็นรูปหัวพญานาคขนาดเล็ก 2 คู่ ฆ้อง และฉาบขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และเล็ก อย่างละ1 คู่ โดยชาวบ้านมีความเชื่อว่าหากบูชาจะมีโชคลาภหรือทำให้ชีวิตมั่งมีศรีสุข นอกจากนี้ มีพระพุทธรูป 4 องค์ และลูกนิมิต 7 ลูก ซึ่งได้ล้อมเชือกปักธงบริเวณที่ขุดพบเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ขุดหาวัตถุโบราณเพิ่มเติมอีก
       
       นายโชคอนันนต์ นันทะสาร อายุ 52 ปี สมาชิกสภาเทศบาลตำบลคำบง เปิดเผยว่า พื้นที่ขุดพบวัตถุโบราณมี 9 ไร่ เป็นที่ดินของพี่ชาย คือ นายไพทูรย์ นันทะสาร แต่ก่อนเป็นป่ารก ชาวบ้านเข้ามาก็จะเจองูจงอางขนาดใหญ่ จึงทำศาลขึ้นไว้ โดยพี่ชายเคยฝันว่ามีพระพุทธรูปฝังอยู่ใต้ดินแห่งนี้ตั้งปี 2524 จึงได้ติดต่อนำรถแม็คโครมาขุดปรากฏว่าพบพระพุทธรูปหลายองค์

       



       ที่น่าสนใจ คือ เคยมีคนลักลอบเอาพระพุทธรูปไปเป็นสมบัติส่วนตัว ปรากฏว่าเสียชีวิตไม่ทราบสาเหตุ ญาติจึงนำพระพุทธเอากลับคืนมาไว้ที่เดิม แม้แต่เจ้าอาวาสวัดที่เอาไปก็มีอันเป็นไป ล่าสุดเมื่อ 3 วันที่แล้วเศรษฐีจากจ.ปทุมธานี ที่ซื้อพระพุทธรูปจากชาวบ้านไป ต้องนำพระพุทธรูปนำขึ้นเครื่องบินมาส่งคืน เนื่องจากทางครอบครัวมีอันเป็นไป
       
       ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา หรือช่วงวันเข้าพรรษา ได้มีพระมาธุดงค์จำพรรษาอยู่ที่พักพระสงฆ์แห่งนี้ เกิดนิมิตว่ามีวัตถุโบราณฝังอยู่ในดินส่องแสงขึ้นมา จึงได้บอกชาวบ้านร่วมกันขุด และพบกำไล ฆ้อง ลูกนิมิต และของใช้อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสิริมงคล จึงแห่กันมากราบไหว้ขอโชคลาภ ให้ชีวิตมั่งมีศรีสุข






ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000107585
16696  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘เจ้าอาวาสวัดสระเกศ’ ขอจบไม่อยากเป็นข่าว เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 09:06:34 am


‘เจ้าอาวาสวัดสระเกศ’ ขอจบไม่อยากเป็นข่าว

พระพรหมสุธี (เสนาะ ปัญญาวชิโร) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เจ้าคณะภาค 12 กรรมการมหาเถระสมาคม ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าวเนชั่น กรณีมีแถลงการณ์โจมตี หลังได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอวาสวัดสระเกศฯ และนายชัยธนพล ศรีจิวังษา ผู้ประสานงานองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (อพช.) เข้าร้องเรียนกับกรมสอบสวนพิเศษ กล่าวโทษ และให้ตรวจสอบพฤติกรรมของพระพรหมสุธีว่า มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต ร่ำรวย มีรถยนต์หรู่ร่วม 20 คัน โดยพระพรหมสุธี กล่าวปฏิเสธในทุกกรณี

"จริงๆอาตมาอยากให้เงียบที่สุด ไม่อยากให้เป็นข่าว อยากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเรื่อยๆ ถือว่าไม่ได้เป็นไปตามข่าว แต่เมื่อโยมติดต่อมา อาตมาก็จะเล่าให้ฟัง...ข่าวก็คือข่าว ขอปฏิเสธในทุกกรณี หาว่าอาตมามีเงินเป็น 1000 ล้าน มันเป็นไปไม่ได้ การปล่อยข่าวออกมา เพื่อโยงให้เห็นว่า มีเงินมาก ได้มาจากการโกงเงินวัดหรือเปล่า...ไม่มีหรอกเงินขนาดนั้น เป็นวิธีการสร้างข่าว เพื่อให้เกิดความแตกตื่น" เจ้าอาวาสวัดสระเกศ กล่าว


 ask1 ans1 ask1 ans1

เมื่อถามว่า เงินสะสมของวัดตั้งแต่สมัยสมเด็จเกี่ยวฯ เป็นเจ้าอาวาส ยังอยู่ครบถ้วนหรือไม่ พระพรหมสุธี กล่าวย้ำว่า อาตมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสแค่ 7 เดือน ยังไม่ได้ใช้เงินสะสมของวัดเลย เงินที่ใช้อยู่เป็นเงินที่ญาติโยมมาทำบุญในช่วงที่อาตมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอวาสแล้ว และตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นว่า จะไม่ใช้เงินสะสมของสมเด็จเกี่ยวฯ

เมื่อถามว่า ใบปลิวที่ออกมาโจมตีเป็นปัญหาความขัดแย้งภายในวัดหรือไม่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับตำแหน่งเจ้าอวาส พระพรหมสุธี กล่าวว่า ก็อาจจะมีผู้ประสงค์ไม่ดี แต่ก็เป็นเรื่องของพระ เรื่องของสงฆ์ จะพูดอะไรออกไปก็ต้องระวัง พูดมากไปก็ไม่ดี เพราะคนเราไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ หรือฆาราวาส ก็มีทั้งคนรัก และคนไม่รัก แต่จะให้ชี้ชัดลงไปว่าใครทำ เราไม่อยากชี้ชัดลงไป แต่ก็รู้ๆกันอยู่ อย่างที่ทุกคนเข้าใจ


 :96: :96: :96: :96:

ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องมีรถหรู่ร่วม 20 คัน พระพรหมสุธี กล่าวว่า ไม่ถึงขนาดนั้น ไม่ถึง 20 คัน แต่มีหลายคัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรถยนต์ที่ญาติโยมนำมาถวลายตั้งแต่สมัยเป็นรองเจ้าอาวาส พร้อมกับยกตัวอย่างว่า มีผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์บางฉบับ ก็นำรถมาถวายต่อเนื่องถึง 3 คัน เจ้าของโรงพยาบาลบางแห่ง ก็นำรถมาถวายทุก 3 ปี และคนที่นำรถมาถวายทุกวันนี้ก็ยังอยู่ สามารถที่จะมายืนยันได้ แต่อาตมาไม่อยากเอ่ยชื่อเขา เดี๋ยวจะขยายเรื่องไปอีก และทุกวันนี้รถทุกคันก็ยังอยู่ ใช้งานได้หมดทุกคัน เราก็ซ่อมบำรุงดูแลไปตามสภาพ คันหนึ่งก็ถวายให้หลวงพ่อในวัดไปใช้ เนื่องจากอาพาธต้องไปโรงพยาบาลบ่อย อีกคันก็ไว้รับส่งพระ-เณรในวัด ส่วนอาตมาเองก็มีรถเบนซ์ใช้อยู่คันเดียว ที่เหลือเป็นรถตู้ รถเก๋งบ้าง

เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาใช้ตำแหน่งเจ้าคณะภาค และกรรมการมหาเถรสมาคมวิ่งเต้นตำแหน่งในวงการสงฆ์ พระพรหมสุธี กล่าวว่า อาตมาเป็นเจ้าคณะภาค 12 จริง และเป็นมานานแล้วด้วย ถ้าอาตมาใช้ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 12 หรือใช้ตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมวิ่งเต้นแล้วรับเงิน อาตมาคงอยู่ไม่ได้แล้ว "รับเงินมาแล้วจะมีหลักประกันอะไรว่าจะได้รับตำแหน่งตามนั้น เพราะการพิจารณาตำแหน่งในวงการสงฆ์ต้องผ่านมหาเถรสมาคม ที่มีพระระดับสมเด็จถึง 21 รูปเป็นกรรมการ พระผู้ใหญ่ทั้งนั้น ทุกคนมีสิทธิ์เสนอ มีสิทธิ์ที่จะพูด หรือจะต้องวิ่งเต้นผ่านพระสมเด็จทั้ง 21 รูป

 :91: :91: :91: :91:

"การพิจารณาตำแหน่งในวงการสงฆ์ อาตมาคิดว่าใสสะอาด 100 เปอร์เซ็น เพราะต้องผ่านการพิจารณาจากมหาเถระ พระชั้นผู้ใหญ่ทั้งนั้น รับเงินมาก็การันตีไม่ได้ว่าจะได้ตำแหน่ง ปิดปากพระสมเด็จทุกรูปไม่ได้หรอก และในวงการสงฆ์เวลาพิจารณาก็ไม่มีการโหวต พูดกันด้วยเหตุด้วยผล ตามความเหมาะสม"

ยังมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับสีกา เข้าออกในกุฏี พระพรหมสุธี อธิบายว่า ในวงการสงฆ์ การทำลายกัน วิธีการที่ง่ายที่สุด ก็คือสีกา เอาเรื่องสีกาขึ้นมากล่าวหา แต่ทั้งหมดมันอยู่ที่ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ถ้าอาตมาเป็นอย่างที่กล่าวหา อาตมาอยู่ไม่ได้แล้ว ไปนานแล้ว ลองดูอย่างพระนิกร พระยันตระ ก็อยู่ไม่ได้


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

ส่วนเรื่องธุรกิจสวนกล้วยไม้ และบ้านจัดสรร พระพรหมสุธี กล่าวว่า เป็นธุรกิจของครอบครัวที่เขาทำมานานกว่า 10 ปีแล้ว เป็นของน้องชาย (เอกวัฒน์ ฝังมุข)

"เป็นธุรกิจของครอบครัว ที่น้องชายเขาทำมากว่า 10 ปีแล้ว ญาติร่วมสายโลหิต ความเป็นพี่เป็นน้องกันก็ต้องมี เขาก็ทำมาหากินกันไปนะ เหมือนโยมเป็นนักข่าว แต่อาจมีพี่ๆน้องๆคนอื่น ทำอีกอาชีพหนึ่ง ต่างคนต่างทำมาหากินกันไป ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ความเป็นพี่เป็นน้องกันก็ต้องมี"

 st12 st12 st12 st12

ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องเงิน 67 ล้านบาท ที่ใช้ในการจัดงานศพสมเด็จเกี่ยว พระพรหมสุธี กล่าวว่า อาตมาจะอธิบายให้ฟังว่า รัฐบาลให้งบประมาณมาจัดงานศพสมเด็จเกี่ยว 67 ล้านบาท วัดฯก็รับเงินมาเปิดบัญชีแยกไว้ต่างหาก และได้ใช้งบประมาณไปแล้วส่วนหนึ่งในการจัดการงานศพสมเด็จเกี่ยว งบประมาณยังใช้ไม่หมด บางรายการยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ เช่น การจัดสร้างโต๊ะหมู่บูชาถวายวัดต่างๆ ที่สั่งไปทั้งหมด 100 ชุด เพิ่งเสร็จ 20 ชุด งบประมาณจึงยังไม่ได้เบิกจ่าย ยังเก็บไว้อยู่ แต่เงินจะเหลืออยู่เท่าไหร่ ก็ยังไม่ทราบ

"อาตมาคิดว่า เมื่องานเสร็จแล้วจะรายงานไปยังรัฐบาล เพราะเป็นเงินภาษีของประชาชน ถ้ามีเงินเหลือจะถามรัฐบาลว่าจะเอาคืนหรือไม่ ถ้ารัฐบาลไม่เอาคืน ตั้งใจจะตั้งเป็นกองทุนสมเด็จพระพุฒาจารย์ เพื่อใช้ในกิจการพุทธศาสนา หรือทุนการศึกษาของพระสงฆ์"


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140918/192392.html
16697  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระพรหมวชิรญาณเชื่อ ดวงเมืองดีหากทำดี เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 09:01:28 am


พระพรหมวชิรญาณเชื่อ ดวงเมืองดีหากทำดี

พระพรหมวชิรญาณเชื่อดวงเมืองดีหากทำดี สุจริตใจ ไม่ประมาท แนะคสช.ใช้‘ธรรมมะ’ปกครองอยู่รอดแน่ วัดยานนาวาจัดเทศน์มหาชาติเวสสันดรชาดกเฉลิมพระเกียรติ

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการแสดงพระธรรมเทศนามหาชาติเวสสันดรชาดก 4 ภาค เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 5 ธันวาคม 2557    สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 82 พรรษา 12 สิงหาคม 2557 เป็นวันที่ 2 ณ อาคารมหาเจษฎาบดินทร์ ชั้น 3 วัดยานนาวา จัดโดยวัดยานนาวาร่วมกับกระทรวงการคลังและพุทธศาสนิกชน  ยังมีนักเรียน นักศึกษา ประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ขณะที่พระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนามหาชาติเวสสันดรชาดก ตลอดทั้งวัด  อาทิ กัณฑ์กุมาร (ภาคเหนือ) มัทรี (อีสาน) สักกบรรพ มหาราช ฉกษัตริย์ นครกัณฑ์(ภาคใต้) อริยสัจจ์   เป็นต้น 


 :25: :25: :25: :25:

พระพรหมวชิรญาณ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กล่าวว่า  การแสดงธรรมเทศนามหาชาติเวสสันดรชาดก เป็นประเพณีสำคัญของพุทธศาสนิกชนชาวไทยมาแต่โบราณกาล แสดงถึงพระชาติสุดท้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ถือเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญทานบารมีอันยิ่งใหญ่  การเสียสละ การให้ถือเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ประเทศ สังคม ครอบครัว และในชีวิตประจำวัน เพราะถ้าทุกคนมีแต่จะเอา บ้านเมืองจะมีปัญหา หาคนเสียสละไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากจะฝากอะไรถึงผู้บริหารประเทศในขณะนี้  พระพรหมวชิรญาณ กล่าวว่า อาตมาเข้าใจถึงอุดมการณ์และกุศลเจตนาของผู้ที่มีความรับผิดชอบบ้านเมืองขณะนี้ ที่จะสนองพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ด้วยการทำงานแทนคุณแผ่นดิน อาตมาเชื่อแน่ว่าผู้ที่บริหารประเทศชาติบ้านเมืองในปัจจุบัน

โดยเฉพาะคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็คงไม่อยากจะรัฐประหารเพราะว่าทุกคนทราบดีเรื่องนี้โลกเขาไม่ต้องการ แต่เราต้องนึกถึงว่าประเทศไทยเราจะเอาไปเปรียบเทียบประเทศที่เจริญพัฒนาแล้วไม่ได้ สถานการณ์ของแต่ละประเทศ คนแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น การบริหารบ้านเมืองในปัจจุบันจะต้องใช้หลายวิธีที่จะทำให้บ้านเมืองเราเป็นหนึ่งเดียวกัน


 ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

“เราต้องการจะทำให้เกิดความสงบเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางวิถีชาวโลกเป็นการดำรงชีวิตด้วยกิเลส ยังมีความอยากเป็นพื้นฐาน มาจากอวิชชา หรือความไม่รู้ แม้จะเรียนจบถึงดอกเตอร์ก็ตาม เป็นเพียงโลกียะวิชชา เป็นวิชาทางโลกปนด้วยกิเลส ความอยากยังมีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น จบมาระดับปริญญาตรี แต่อยากได้เงินเดือนมากๆ ก็ไปซิกแซ็ก โกง ไม่กลัวการตกนรก ขอให้ฉันได้ละกัน ปัจจุบันเราใช้โลกีย์แก้โลกีย์ เอาน้ำไม่สะอาดไปล้างก็ไม่สะอาดอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง ราชการก็เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นการบริหารบ้านเมืองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเอาแนวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการเอาธรรมมะไปประกอบในการดำเนินชีวิตทางโลก ควรมีการพัฒนาทางธรรมคือจิตใจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทางโลกคือวัตถุ ถ้าเราพัฒนาวัตถุอย่างเดียวจะไปไม่รอด การบริหารบ้านเมืองขาดธรรมะ

ทุกวันนี้คนต้องการแสวงหา ความเสียสละไม่มี ไม่มีความเห็นใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันก็หมดไป แย่งชิงกันแม้กระทั้งในครอบครัวเดียวกัน ส่วนดวงชะตาบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรนั้น อาตมามองว่าทุกฝ่ายกำลังช่วยกันทำให้ดีขึ้น หากเราทุกคนรู้ว่าสิ่งใดไม่ดีแล้วช่วยกันระมัดระวัง การเชื่อเรื่องดวงก็สามารถเชื่อได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการกระทำ ความดี ความสุจริตใจ ที่สำคัญต้องไม่ประมาท ใช้สติและปัญญาแก้ไขปัญหา หรือเรียกว่า ธรรมปัญญานั่นเอง” พระพรหมวชิรญาณ กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140918/192389.html
16698  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชี้เศียรพระวัดดัง ไม่ได้ถูกตัด เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 08:35:06 am


ชี้เศียรพระวัดดัง ไม่ได้ถูกตัด

เจ้าหน้าที่สำนักศิลปากรที่ 6 เข้าตรวจสอบการตัดเศียรพระและรูปเทวดา ที่วิหารวัดเกาะแก้ว จ.พิษณุโลก เบื้องต้นพบว่าไม่ได้ถูกคนร้ายลอบตัดตามที่เป็นข่าว แต่เศียรหักไปเพราะหมดอายุตามกาลเวลา เนื่องจากอายุเก่าแก่กว่า 200 ปี เตรียมของบประมาณมาบูรณะทั้งหมด

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. นายบุญเรือง แตงก่อ ผอ.สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ จ.พิษณุโลก พร้อมด้วย นายประพันธุ์ ภักตร์เขียว หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระพุทธชินราช และ นายทวีศักดิ์ พานเงิน นายช่างเขียนแบบ สำนักงานศิลปากรที่ 6 สุโขทัย เข้าตรวจสอบการลอบตัดเศียรพระและรูปเทวดา เกือบ 100 เศียร ที่วัดเกาะแก้ว หมู่ 4 ต.ปากโทก อ.เมือง จ.พิษณุโลก







ทั้งนี้ด้าน พระอธิการจุฬา ชินสโร เจ้าอาวาสฯ เปิดเผยว่า บริเวณดังกล่าวเป็นวิหารเก่าแก่ ไม่ใช่โบสถ์ เพราะไม่มีใบเสมา ซึ่งวิหารได้เก็บพระพุทธรูปเก่าโบราณของวัด ส่วนเศียรพระและเทวดาที่หายไปน่าจะถูกลักตัดไปก่อนปี 2550 ก่อนหน้าที่ตนจะมาอยู่ที่วัดแห่งนี้ ซึ่งทางวัดเองยังไม่มีเงินที่จะบูรณะ ขณะที่ นายประพันธุ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า วิหารหลังดังกล่าวอยู่ในสมัยอยุธยา อายุประมาณ 200 ปี จึงมีสภาพทรุดโทรม ทำให้รูปปูนปั้นที่เป็นพระและเทวดาโดยเฉพาะเศียรหัก เพราะหมดอายุตามกาลเวลา ประกอบกับรูปปูนปั้นแต่ละองค์ไม่ได้เสริมเหล็ก จึงทำให้แตกหักง่าย ยิ่งมีนกบินมาจับหรือเกาะจนทำให้หักหล่นลงมา เพราะถ้ามีการลักตัดจริงเศียรพระ และเทวดาทุกองค์ต้องถูกตัดไปหมด แต่ยังมีหลายองค์ที่ยังสมบูรณ์

ด้าน นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า หลังมีการตรวจสอบพบว่าไม่มีการลักตัดเศียรพระและเทวดา แต่หักไปตามอายุของปูนปั้นที่หมดสภาพ ทางศิลปากรจะรวบรวมรายละเอียดเสนอไปทางผู้บริหาร พร้อมส่งข้อมูลไปให้ทางกรมศิลปากรที่กรุงเทพมหานคร เพื่อของบประมาณนำมาบูรณะ ซึ่งจะต้องบูรณะโบราณสถานทั้งหมดภายในวัด โดยกรมศิลปากรจะเข้ามาดำเนินการเองทั้งหมด.








ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/regional/267730/ชี้เศียรพระวัดดังไม่ได้ถูกตัด
16699  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สั่งเข้ม “พระตุ๊ดเณรแต๋ว” เมืองกรุง เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 08:28:54 am


สั่งเข้ม“พระตุ๊ดเณรแต๋ว”เมืองกรุง

เจ้าคณะกรุงเทพฯ สุดทนพฤติกรรม “พระตุ๊ดเณรแต๋ว” โพสต์ภาพไม่เหมาะสม ออกคำสั่ง ทุกวัดในกทม. เข้มงวด ชี้ หากรู้ว่ามีพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ควรบวชเป็นพระ

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยาวรวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมามีการเผยแพร่ภาพพระภิกษุสามเณรที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์เป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในการประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองสงฆ์กรุงเทพฯ จึงได้มีการกำชับให้เจ้าอาวาสทุกวัดในกรุงเทพฯ ให้เข้มงวดในเรื่องดังกล่าวด้วย เพราะถือว่าสร้างความเสื่อมศรัทธาให้พุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่า ผู้ที่มีพฤติกรรมเบียงเบนทางเพศไม่ควรที่จะเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาเสียด้วยซ้ำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ค “สังฆวิจารณ์” ได้มีการเผยแพร่เอกสารคำสั่งของสำนักงานเจ้าคณะเขตพระโขนง โดยในเอกสารระบุว่า ด้วยเจ้าคณะกรุงเทพมหานครแจ้งว่า ตามที่มีข่าวออกมาว่า พระภิกษุสามเณรบางกลุ่มมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ แสดงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมแก่สมณสารูป ไม่เป็นที่น่าเคารพศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นการแสดง การเล่นหยอกล้อกัน ตลอดจนโพสต์ภาพที่ไม่เหมาะสมลงสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ สร้างความเสื่อมเสียหลายครั้ง ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ให้เจ้าคณะเขต แจ้งเจ้าอาวาสในเขตปกครอง ควบคุมดูแลพระภิกษุสามเณรในสังกัด ให้ประพฤติตนให้เหมาะสม เป็นที่น่าเคารพศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วไป


 :96: :96: :96: :96:

ด้านนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ที่ผ่านมา ตนได้รับรูปถ่ายของผู้ที่แต่งกายคล้ายพระภิกษุสามเณรกำลังมีเพศสัมพันธ์กันผ่านทางทวารหนัก ซึ่งภาพที่ตนได้รับมานั้นพบว่าชายทั้งสองคนมีการแต่งกายคล้ายพระภิกษุสามเณรในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์กัน และยังเห็นหน้าตาอย่างชัดเจนด้วย ซึ่งหากพบว่าชายทั้งสองคนตามรูปเป็นพระสงฆ์ การกระทำดังกล่าวต้องถือว่าปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ ตั้งแต่วินาทีแรกที่มีการร่วมเพศกันแล้ว

ดังนั้น ตนจึงนำภาพดังกล่าวเผยแผร่ผ่านทาง เฟซบุ๊ค “เครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” เพื่อประกาศล่าตัว ซึ่งหากมีผู้ใดทราบเบาะแสของชายทั้งสองคนดังกล่าวให้แจ้งมาที่ตนได้ทันที เพื่อที่จะรวบรวมข้อมูลหลักฐานร้องทุกข์กล่าวโทษยังกองปราบปรามต่อไป เพราะถือว่าเป็นการกระทำเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 208 ที่ระบุว่า ผู้ใดแต่งกาย หรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุสามเณรในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าตนเองเป็นบุคคลเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/education/267676/สั่งเข้ม“พระตุ๊ดเณรแต๋ว”เมืองกรุง
16700  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ซ่อมสะพานมอญคืบหน้า 20% เจอปัญหาเพียบ ไม้ไม่ได้คุณภาพ เหล็กฉากเล็ก ใช้ตะปูยึด เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 11:31:24 am


ซ่อมสะพานมอญคืบหน้า 20% เจอปัญหาเพียบ ไม้ไม่ได้คุณภาพ เหล็กฉากเล็ก ใช้ตะปูยึด

จากกรณีจังหวัดกาญจนบุรี ในฐานะผู้ว่าจ้างได้ทำสัญญายอมความ กับ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ป.รุ่งเรืองวัสดุภัณฑ์  ในการซ่อมแซมสะพานอุตตมานุสรณ์ หรือสะพานมอญ ต.หนองลู อ.สังขละบุรี เนื่องจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ป.รุ่งเรืองวัสดุภัณฑ์ไม่สามารถดำเนินการซ่อมแซมให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา และให้ทางวัดวังก์วิเวการาม ชาวบ้าน ร่วมกับทหารกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ดำเนินการแทน  ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ย.

ล่าสุดวันที่ 18 ก.ย.ทหารช่าง ช.พัน 9 กองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ประมาณ 50 นาย ร่วมกับชาวบ้าน ช่างผู้เชี่ยวชาญงานไม้ชาวมอญ และจิตอาสา ตรวจสอบพบว่าไม้บางส่วนที่ผู้รับเหมานำมาซ่อมสะพานไม่ได้ขนาดและคุณภาพส่งผลต่อโครงสร้างสะพาน ทำการรื้อเปลี่ยนไม้ปูพื้นที่ทางผู้รับเหมาทำทิ้งไว้ 3 ช่วงฝั่งชุมชนมอญ รวม 15 เมตร


 :96: :96: :96: :96:

ทั้งยังคงเหลือที่จะต้องรื้อเปลี่ยนอีก 4 ช่วง รวม  18 เมตร และทำการเปลี่ยนเหล็กฉากที่ใช้ยึดระหว่างคานกับตงที่ผู้รับเหมาทำทิ้งไว้ไปแล้ว 3 ช่วง รวม 60 จุด เนื่องจากเหล็กฉากที่ผู้รับเหมาทำไว้มีขนาดเล็กเพียง 2.5x3 นิ้ว บางจุดพบว่า ผู้รับเหมาใช้เพียงตะปูสองนิ้วยึดไว้เพียงสองตัวเท่านั้น ทั้งๆ ที่ต้องใช้น็อตยึด

นอกจากนั้นขณะที่ทหารเข้าเคลื่อนย้ายเครนที่ผู้รับเหมาสร้างเพื่อขยับไปยังตำแหน่งที่ต้องการใช้ยกเสาตอม่อขึ้นมาต่อกับเสาเข็มก่อนที่จะวางตงและคานปรากฏว่าคานด้านขวาช่วงสะพานตับแรกที่ผู้รับเหมาทำไว้อยู่ฝั่งตัวอำเภอสังขละบุรีเกิดหักชำรุดเสียหายจนทำให้พื้นสะพานเอียง ทหารต้องหยุดทำงานทันทีเพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายและต้องขยับให้ถอยห่างออกจากจุดที่มีปัญหาอย่างช้าๆก่อนทำการเสริมไม้ที่แข็งแรงเข้าไป

โดยภาพรวมแล้วการดำเนินงานมีความคืบหน้าไปแล้วประมาณ 20% ยังคงเหลือระยะทางประมาณ 40 เมตร จึงจะเสร็จสมบูรณ์


ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1411000977
16701  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ที่นี่ ช่างวุ่นวายหนอ.? : วิปัสสนาบนหน้าข่าว เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 10:13:14 am


ที่นี่ ช่างวุ่นวายหนอ.?
วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา

ขึ้นชื่อว่า 'ข่าวร้าย' ย่อมต้องถูกสื่อมวลชนนำเสนอมาก และยังแพร่ขยายไปไกลกว่าข่าวดีเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ หนังสือพิมพ์รายวัน คนไทยหลายคน กว่าจะได้เป็นข่าวขึ้นหน้า ๑ ได้ อาจจะต้องกลายเป็นศพไปเสียก่อน ดังเช่นกรณีล่าสุดนี้ เพื่อนรุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ ขับรถเบนซ์ชนรถคอนเทนเนอร์ เสียชีวิตคาที่ด้วยวัยเพียง ๔๒ ก็ปรากฏภาพสยองของรถหรู ที่พังยับเยิน อยู่ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์รายวันบางฉบับ เป็นที่น่าสะเทือนขวัญของคนทั่วไป โดยเฉพาะกับคนที่รู้จักกัน

แต่ชาวพุทธเรา หากรู้จักโยนิโสฯ เป็น 'ข่าวร้าย' ก็อาจกลายเป็นประโยชน์ สอนธรรมะ แก่เราได้ดี อย่างที่การอ่านหนังสือธรรมะมาแล้วหลายร้อยเล่ม ยังไม่อาจเทียบได้ทีเดียว ... กรณีการตายอย่างกะทันหันของหนุ่มวิศวกรเจ้าของธุรกิจที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ รายนี้ ก็เหมือนกัน เป็นสิ่งที่สอน 'อนิจจัง' ได้ดีกว่า พระอาจารย์รูปใดๆ เทศน์ให้เราฟังเสียอีก กอรปกับสารพันบรรดา 'ข่าวร้าย' หลายร้อยข่าวที่ไหลประเดประดังเข้ามาในความคิด เช่น หัวหน้าครอบครัวหนีปัญหาหนี้สิน ด้วยการกรอกยาฆ่าแมลง พากันตายยกครัว, ชาวนาถูกรัฐบาลเอาเปรียบ ลงทุนปลูกข้าวขายไปแล้ว กลับได้มาเพียงกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งขึ้นเงินก็ไม่ได้ ทุกข์ทนจนรับสภาพไม่ไหว ฆ่าตัวตายตามๆ กันไปเป็นสิบคน, ครูผู้ขาดจิตวิญญาณบางคนในสังคมนี้ สรรหาวิธีน่ารังเกียจ เพื่อเป็นข้อต่อรองให้ลูกศิษย์ต้องกระทำบางอย่าง เพียงแลกเกรดเท่านั้น


 :96: :96: :96: :96:

คนชั่วแฝงกายใต้จีวร เกาะกินพระศาสนา รับทานรับเงินทองของญาติโยม แต่กลับไม่ประพฤติตัวอยู่ในศีลาจาวัตร ทำตัวบัดสีบัดเถลิง เป็นข่าวให้เห็นไม่เคยขาดจากหน้าหนังสือพิมพ์ ฯลฯ ต่างๆ นานา เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเครื่องสะท้อนสภาพสังคม ความตกต่ำของคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ หรือความไม่แน่ไม่นอนของชีวิตคนเรา แต่ใครเล่าจะแลเห็นสัจธรรมที่ซ่อนเร้นอยู่ในการแสดงเหล่านี้ นอกจากจะเป็นผู้มีปัญญา

ทำให้ผมระลึกนึกไปถึง ท่านยสกุลบุตร พระอรหันตสาวก องค์ที่ ๖ ของโลก ท่านก็คงพิจารณาประสบการณ์ในชีวิต ที่ได้เผชิญมาอย่างแยบคาย ถึงกับระเบิดออกมาจากข้างใน แล้วเดินทอดน่อง ออกจากพระราชวัง ๓ ฤดู (ผู้มีอันจะกินสมัยพุทธกาล เขานิยมสร้างวัง ๓ ฤดูกัน) ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแต่เบื้องหลัง พร้อมพลอดรำพันไปตลอดทางว่า ...

    “ที่นี่ วุ่นวายหนอ, ที่นี่ ขัดข้องหนอ”

ความเบื่อหน่ายคลายจางของท่าน เกิดขึ้นจากกระบวนโยนิโสมนสิการในกมลสันดานของท่าน กระทั่งผ่านมาพบพระพุทธเจ้า ที่ทรงโปรดท่านยสกุลบุตร ด้วยการเชิญชวนไปนั่งฟังเทศน์ เพียงแค่ ๒ กัณฐ์เล็กๆ ท่านยสก็บรรลุอรหัตผลแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้บวชเป็นพระเลย ผมจึงยกท่านให้เป็น “บิดาแห่งการบรรลุอรหันต์ทั้งๆ ที่ยังเป็นฆราวาส” ... ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เกิดจากการได้พิจารณาเรื่องความน่าเบื่อหน่าย วนเวียนไปมาทางโลก จนตกผลึกอย่างแยบคายแล้วนั่นเอง


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

เพราะฉะนั้น อานิสงส์ของข่าวร้ายจากสื่อมวลชนก็ดี จากชีวิตจริง ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์โดยตรง หรือโดยอ้อมก็ดี สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือน กระตุ้นให้คนเราเล็งเห็น ความเบื่อหน่าย (นิพพิทา) ได้เองด้วยปัญญาของตน แล้วก็จะเกิดความคลายจาง จนกระทั่งกิเลสย้อมไม่ติด (วิราคะ) จนในที่สุด เขาผู้นั้นก็จะปรารภออกมาเอง คล้ายๆ กับคำอุทานของพระ ยสกุลบุตรว่า ....

      “ที่นี่ วุ่นวายหนอ, ที่นี่ ขัดข้องหนอ”

อุทานกันให้ทันนะครับ เวลาประสบเหตุกับตัวเองน่ะ ... เพราะความเห็นสัจธรรมจังๆ จนบรรลุอรหัตผลได้ กับ เห็นจนแบบรับทุกข์นั้นไม่ไหว กลายเป็นบ้า สติวิปลาสไปนั้น มันใกล้เคียงกันมาก ดังกรณีที่ท่านพุทธทาสเคยเตือนอุบาสกใกล้ชิดที่สวนโมกข์ครั้งหนึ่งในอดีต (ขออนุญาตเล่าซ้ำ) ... คุณตาทองมาก แกเคยสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อตอน “แม่” ตายได้ ๓ วัน, ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของแกก็มาตายตามไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์อีกคนหนึ่ง วันนั้นโลงศพทั้งสองตั้งเรียงกันอยู่กลางบ้านเลย หลังจากท่านอาจารย์พุทธทาสทราบข่าว ได้พบคุณตาในสวนโมกข์ พอดี ท่านพูดปลอบใจแบบเซนให้คุณตาฟังว่า ...

    “คุณทองเอ้ย ... เจอแบบนี้ ถ้าไม่บ้า ก็อรหันต์แล้ว!”


 ans1 ans1 ans1 ans1

ครับ ... อย่าประหลาดใจเลย หากวันหนึ่ง ท่านรู้สึกด้วยหัวใจท่านเองว่า โลกนี้มันช่างวุ่นวายหนอ ... ช่างขัดข้องหนอ ก็ขอให้ตระหนักว่า นั่นแหละสภาวะจิตของท่านเกิดความเจริญก้าวหน้ามาถึงระดับหนึ่งแล้ว แม้โลกมันจะวุ่นวาย ซับซ้อน จนน่าสะอิดสะเอียนมากเพียงไหน ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ก็ยังดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างแคล้วคลาดปลอดภัย ด้วยหัวใจที่มีธรรม เสมือนลิ้นของงู ที่อยู่ในปากตัวเอง แต่ไม่เคยถูกเขี้ยวของตนนั้นขบกัด ฉันใดก็ฉันนั้น

และด้วยจิตภาวนาที่ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ กระทั่งท่านเห็นชัดเจนว่า ในโลกกลมๆ ใบนี้ ไม่มีอะไรน่าเอา-น่าเป็น เลยจริงๆ ก็เท่ากับว่า ... ท่านทั้งหลายก็ได้ดำเนินรอยตามท่านยสกุลบุตร ผู้เป็นพยานบุคคลซึ่งพิสูจน์แล้วว่า การบรรลุอรหันต์ผลนั้นเกิดขึ้นได้แม้ยังเป็นคนหัวดำๆ อยู่เลยครับ 


 


พระยสเถระ พระอรหันตสาวกองค์ที่ ๖ ของโลก

พระยสเถระ เป็นบุตรนางสุชาดา (ผู้ถวายข้าวมฑุปายาสแก่พระพุทธเจ้า) กับเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี ก่อนบวชท่านมีเรือนอาศัย ๓ หลัง มีประโคมดนตรี รายล้อมด้วยสตรีมากมาย เปี่ยมด้วยโลกิยสุขมาโดยตลอด กระทั่งคืนหนึ่งท่านหลับไปก่อนประโคมดนตรีจบ แล้วจึงตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นเหล่าสตรีนอนมีกิริยาน่าเกลียดน่ากลัว ท่านจึงเกิดความเบื่อหน่ายและออกจากปราสาทไป พลางบ่นไปว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" ไปตลอดทาง จนเข้าป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (พระพุทธเจ้าทรงแผ่ญาณเพื่อตรวจดูเวไนยสัตว์ผู้ที่พอจะบรรลุ) เมื่อยสกุลบุตรเดินมาใกล้พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เชิญมาที่นี่ เราจะแสดงธรรมแก่เธอ"

 :25: :25: :25: :25:

เมื่อ ยสกุลบุตรได้ยินดังนั้นจึงเข้าไป พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดแด่ท่านยสกุลบุตรจนได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน ภายหลังบิดาได้เดินออกตามหาบุตรชาย จนได้พบกับพระพุทธเจ้า และถูกเชิญขึ้นมาฟังพระธรรมเทศนาพร้อมๆ กับยสกุลบุตร โดยผู้เป็นพ่อยังไม่เห็นตัวลูกชาย (บุตรชายผู้ถูกเสกให้บิดาไม่อาจแลเห็นด้วยฤทธิ์ของพระพุทธเจ้า)

เมื่อท่านยสกุลบุตรได้สดับพระธรรมเทศนา เน้นย้ำเป็นครั้งที่ ๒ ก็ได้ส่งกระแสจิตไปตามธรรม จนรู้แจ้งเห็นจริง ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าจึงคลายฤทธิ์ที่ทำให้ล่องหน จนปรากฏร่างยสกุลบุตร พ่อลูกจึงได้พบกัน แล้วท่านยสกุลบุตรจึงทูลขอบวช ซึ่งพระบิดาในขณะนั้นได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว จึงอนุโมทนา (อ้างอิงจาก Wikipedia)


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140916/192174.html
16702  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เสียความมั่นใจ กลัวภรรยาใหม่ของสามี จะแย่งความเป็นแม่ไป เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 09:57:42 am



เสียความมั่นใจ กลัวภรรยาใหม่ของสามี จะแย่งความเป็นแม่ไป
ปุจฉา-วิสัชนากับพระไพศาล วิสาโล

ปุจฉา : หลวงพ่อคะ หนูรู้สึกเสียความมั่นใจทุกครั้งที่ทราบว่า คุณพ่อของลูกพาลูกไปเที่ยวกับภรรยาใหม่ของเขาด้วย หนูรู้สึกว่าภรรยาใหม่เขาจะแย่งความเป็นแม่ไปจากหนูไหมคะ หนูรู้สึกว่าคุณพ่อของลูกเขาพยายามสร้างครอบครัวใหม่ที่สมบูรณ์ โดยที่ไม่มีหนู แล้วหนูจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ให้ลูกได้อย่างไรดีคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
 
วิสัชนา :  หากคุณให้เวลาแก่ลูกสาวอย่างเต็มที่ ใส่ใจสุขทุกข์ของเธออยู่เสมอ มั่นใจว่าได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่เธอ (แต่ไม่ใช่การตามใจ) ก็ไม่ต้องห่วงว่าใครจะแย่งความเป็นแม่ไปจากคุณ ความรักของแม่นั้นมีพลานุภาพมาก ลูกย่อมรับรู้ได้และซาบซึ้งใจ

ข้อสำคัญก็คือ คุณต้องมีความหนักแน่นมั่นคง อย่าหวงแหนลูกสาว หากลูกสาวจะมีความรู้สึกดีต่อภรรยาใหม่ของพ่อ ก็อย่าหวั่นไหว อย่าน้อยใจเธอ หากคุณพยายามกีดกันไม่ให้ลูกสาวติดต่อกับภรรยาใหม่ของสามี คุณเองก็จะเป็นทุกข์ ส่วนลูกสาวก็จะสับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น รวมทั้งอาจสงสัยว่าเธอทำอะไรผิดหรือ จึงถูกกีดกันอย่างนั้น

คุณสามารถเป็นทั้งแม่และพ่อให้แก่ลูกได้ จะว่าไปแล้ว ถึงแม้พ่อของเธอจะไปมีครอบครัวใหม่ แต่ลูกสาวอาจไม่รู้สึกว่าขาดพ่อก็ได้ หากยังมีความใกล้ชิดกันอยู่ ในแง่นี้เธอก็ยังมีครอบครัวที่ดีอยู่ อาจจะดีกว่าเด็กที่มีพ่อและแม่อยู่ด้วยกัน แต่พ่อแม่ทะเลาะกัน หรือต่างฝ่ายต่างไม่ใส่ใจลูก


 :96: :96: :96: :96: :96:

สายด่วนให้คำปรึกษาทางจิตใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย 'เตรียมตัวก่อนสู่วาระสุดท้ายของชีวิต จะทำอย่างไรดี' ปรึกษาได้ที่ โทร.๐๘-๖๐๐๒-๒๓๐๒

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140916/192169.html
16703  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นักธุรกิจจีนบริจาคเงิน 30 ล้าน สร้างเจดีย์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 09:52:26 am



นักธุรกิจจีนบริจาคเงิน 30 ล้าน สร้างเจดีย์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

เมื่อวานนี้ (16 ก.ย.) นักธุรกิจซอฟต์แวร์ชาวจีนเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา บริจาคเงิน 30 ล้านบาท ให้วัดเจริญสมณกิจ หรือวัดหลังศาล จ.ภูเก็ต เพื่อสร้างเจดีย์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ก่อนหน้านี้เคยบริจาคมาแล้ว 4 ล้านบาท ในการจัดซื้อที่ดิน

พระอาจารย์จำรัส จันทโชโต เจ้าอาวาส พร้อมด้วยนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และคณะกรรมการวัด ร่วมต้อนรับคณะพุทธศาสนิกชน ผู้มีจิตศรัทธาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศมาเลเซีย ที่เดินทางมาร่วมทำบุญทอดผ้าป่าการกุศลนานาชาติที่วัดเจริญสมณกิจ หรือวัดหลังศาล อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทั้งนี้ เนื่องจากนายจางเจี้ยน หรือมีชื่อไทยว่านายศุภชัย รุจาธร นักธุรกิจเกี่ยวกับซอฟต์แวร์หรือเว็บไซต์ของจีน ซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่วัดดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ได้มอบเงินจำนวน 30 ล้านบาท เพื่อสมทบทุนสร้างเจดีย์และเสนาสนะต่างๆ ในวัดเจริญสมณกิจ และก่อนหน้านี้นายจางเจี้ยนมอบเพื่อจัดซื้อที่ดินบริเวณด้านข้างวัดจำนวน 6 ไร่ มูลค่า 4 ล้านบาท ให้แก่ทางวัดด้วย


 st12 st12 st12 st12

พระอาจารย์จำรัส จันทโชโต เจ้าอาวาสวัดเจริญสมณกิจ กล่าวว่า นายจางเจี้ยนและคณะพุทธศาสนิกชนนานาชาติมีจิตศรัทธาที่แรงกล้า และเดินทางมาร่วมทำบุญที่วัดนี้อย่างต่อเนื่อง และเขาได้ตัดสินใจบวชเป็นพระภิกษุตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา และได้ฉายาว่า "พระสุคโต" ในขณะนี้ยังไม่มีกำหนดวันสึกแต่อย่างใด

ทั้งนี้ นายจางเจี้ยนมีเจตจำนงในการบริจาคเงินสดเพื่อร่วมสมทบทุนก่อสร้างพระเจดีย์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงท่านที่เป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เผยแผ่ธรรมะในพื้นที่ และยังมีส่วนสร้างเสนาสนะของวัดตั้งแต่ในอดีต สำหรับการสร้างเจดีย์ของวัดนั้นจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 40 ล้านบาท - สำนักข่าวไทย


นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com
ที่มา news.sanook.com/1668279/นักธุรกิจจีนบริจาคเงิน-30-ล้าน-สร้างเจดีย์หลวงปู่เทสก์-เทสรังสี/
16704  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / จาก 'ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น' ถึง 7 นิสัยอันตรายในการเล่นโซเชียลฯ เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 08:40:21 am


จาก 'ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น' ถึง 7 นิสัยอันตรายในการเล่นโซเชียลฯ

ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น (ภาค 2) ถือว่าเป็นซีรีส์ที่สามารถเรียกกระแสจากสังคมได้เป็นอย่างดี แต่ละตอนที่ออนแอร์ไปแล้วก็กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นซีรีส์วัยรุ่นที่ถูกจับตามองเป็นอย่างมากอีกเรื่องหนึ่ง...

โดยในซีซั่นนี้จากตอนที่ผ่านๆ มา ได้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักวัยรุ่น หวานกุ๊กกิ๊ก เซ็กซ์ ชายรักชาย หญิงรักหญิง ยาเสพติด ความรุนแรง และตอนล่าสุดที่พยายามจะสื่อถึงความอันตรายในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ในชื่อตอน "สไปรท์"



EP.9 สไปรท์ แม้ตอนนี้จะไม่หวือหวา หรือกินใจผู้ชมเท่าตอนที่ผ่านๆ มา แต่เชื่อได้เลยว่าตอนนี้ เป็นอีกตอนที่ตีแผ่สังคมในยุคปัจจุบันออกมาได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ช่วยให้คนดูได้คิดและตระหนัก หรือระวังในเรื่องนี้ได้บ้าง

ซึ่งในตอนของ 'สไปรท์' เป็นตอนที่ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแต่อย่างใด ในชีวิตจริงก็มีข่าวเรื่องการสวมรอยเป็นคนอื่นในโลกโซเชียลฯ มีการหลอกเอาทรัพย์สิน หรือเรื่องชู้สาว มีให้เห็นกันบ่อยๆ บางรายถึงขั้นเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตยังเคยมีมาแล้ว ดังนั้น เราต้องระวังถึงภัยที่จะเกิดขึ้นจากการเล่นโซเชียลฯ


ภาพจากซีรีส์ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น


ไทยรัฐออนไลน์ได้นำ 7 นิสัยอันตรายจากการเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก ในแฟนเพจ HormonesTheSeries ซึ่งใครมีข้อไหน หรือต้องระวังเรื่องอะไร ไปอ่านกัน!

1. โพสต์เบอร์โทรศัพท์ - อาจโดนแกล้งหรือคุกคาม
2. โพสต์รูปโชว์ของมีค่า - เพื่อนแปลกหน้าอาจจะกลายเป็นโจรเยี่ยมถึงบ้าน
3. โพสต์บอกเพื่อนว่าเราอยู่ที่ไหน - อาจมีผู้ที่คลั่งไคล้ หรือไม่หวังดีคอยติดตาม
4. โพสต์เยอะเกินไป - เชื่อเถอะว่ามีคนรำคาญคุณ
5. ระบายอารมณ์ - พอใจเย็นแล้ว จะลบก็ไม่ทันแล้วนะ
6. นัดเจอคนแปลกหน้า - รู้หน้าไม่รู้ใจอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
7. เล่นมากเกินไป - อาจจะกระทบกับงานหรือการเรียน


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/450798
16705  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "4 ล." กินเจเพื่อสุขภาพกาย สมาธิที่ดี เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 08:36:32 am


"4 ล." กินเจเพื่อสุขภาพกาย สมาธิที่ดี

อธิบดีกรมอนามัย แนะนำประชาชนกินเจตามหลัก 4 ล. คือ ล้าง ลด เลี่ยง เลือก ตลอดเทศกาลกินเจ ช่วยสุขภาพดี มีสมาธิ

นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เผยถึงช่วงเทศกาลกินเจว่า พ่อค้าแม่ค้ามักมีการปรุงประกอบอาหารจำหน่ายเป็นจำนวนมาก การปรุงประกอบที่ไม่สะอาด ไม่ถูกหลักโภชนาการอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพผู้บริโภค ดังนั้น จึงขอแนะหลัก 4 ล. เพื่อสุขภาพที่ดี

 ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

1. ล.ล้าง ต้องล้างวัตถุดิบที่นำมาปรุงประกอบอาหารเจ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ให้สะอาดเพื่อกำจัดยาฆ่าแมลง

2. ล.ลด อาหารเจที่ปรุงเองหรือปรุงจำหน่าย ต้องคำนึงถึงการเติมสารปรุงแต่งอาหารที่ให้รสเค็มหรือหวาน มากจนเกินไป เพราะความเค็มจะมีโซเดียมสูงที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงและทำให้ไตทำงานหนัก ส่วนความหวานจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวา

3. ล.เลี่ยง ควรเลี่ยงอาหารเจที่มีแป้งมาก ประเภทผัด ทอด เพราะมีไขมันสูง หากได้รับมากเกินความจำเป็นของร่างกายจะทำให้น้ำหนักเกินและอ้วนได้

4. ล.เลือก ควรเลือกอาหารที่มีถั่วหรือผลิตภัณฑ์จากถั่ว อาทิ น้ำเต้าหู้ ฟองเต้าหู้ โปรตีนเกษตร นอกจากนี้ ควรเลือกซื้ออาหารเจจากร้านอาหารหรือแผงลอยมีป้ายสัญลักษณ์ อาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Taste)

 :96: :96: :96: :96:

ทั้งนี้ผู้บริโภคควรเลือกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทั้ง 3 มื้อ เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และควรเลือกบริโภคอาหารประเภทธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้ง อาทิ ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ รวมทั้งเต้าหู้ โปรตีนเกษตรเป็นแหล่งโปรตีนทดแทน

ซึ่งการกินเจนอกจากจะช่วยให้อวัยวะภายในทำงานน้อยลง ยังทำให้อวัยวะได้หยุดพัก สุขภาพกายโดยรวมจะดีขึ้น และช่วยให้มีสมาธิ พลังใจที่เข้มแข็ง ซึ่งการดูแลร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน นำไปสู่การมีสุขภาพที่ดี


ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE1EazFNelUwTkE9PQ==
16706  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘มจร-พศ.’ ใช้นกพิราบนำ "ขันติธรรม" สร้างสันติสุขเออีซี เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 08:32:37 am



‘มจร-พศ.’ ใช้นกพิราบนำ "ขันติธรรม" สร้างสันติสุขเออีซี

‘มจร-พศ.’ใช้นกพิราบนำขันติธรรมสร้างสันติสุขเออีซี ด้าน มมร. เตรียมความพร้อมรับอาเซียนด้วยความเป็นเลิศทางวิชาการ ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยอย่างเหมาะสมภายใต้ความหลากหลา

19 กันยายน2557 ตามที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) จะจัดการประชุมผู้นำศาสนาเพื่อสันติภาพในประชาคมอาเซียน ครั้งที่ 1 เรื่อง ขันติธรรมทางศาสนา ระหว่างวันที่ 24-29 กันยายน พ.ศ.2557  ที่โรงแรมคลาสสิก เคมิโอ จ.พระนครศรีอยุธยา และที่ หอประชุม "มวก ๔๘  พรรษามหาวชิราลงกรณ์"  มจร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 ก.ย.นี้เวลา 14.30 น.ที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม


    :49: :49: :49: :49:

    การจัดการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ประกอบด้วย
    (1) เพื่อสร้างเวทีให้ผู้นำศาสนาต่างๆ ในประชาคมอาเซียน ได้นำเสนอองค์ความรู้ และหลักการสำคัญเกี่ยวกับขันติธรรมทางศาสนาตามที่ปรากฏในคัมภีร์ และความเชื่อของแต่ละศาสนา
    (2) เพื่อให้ผู้นำศาสนาในประชาคมอาเซียนได้ร่วมกันถอดบทเรียนเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันอย่างมีขันติธรรมในประชาคมอาเซียนของแต่ละศาสนิกชนในประชาคมอาเซียน
    (3) เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างผู้นำศาสนาในประชาคมอาเซียน ซึ่งจะเอื้อต่อการเรียนรู้การอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างหลากหลาย ทางด้านศาสนาสังคมและวัฒนธรรมอย่างมีขันติธรรม และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
    (4) เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติเพื่อผลักดันให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาระดับโลกในอนาคต โดยผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรทางพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ทั่วภูมิภาค


 ans1 ans1 ans1 ans1

ล่าสุดคณะกรรมการเตรียมการจัดงานได้จัดทำโลโก้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของงาน เป็นรูปนกพิราบที่สื่อถึงสันติภาพ มีตราสัญลักษณ์ของศาสนา 10 ศาสนาที่มีประชาชนในอาเซียนนับคือจัดวางเป็นรูปวงกลหมุนได้และมีตราสัญลักษณ์อาเซียนคือรวงข้าวอยู่ตรงกลาง โดยสื่อความหมายว่า หลักการทางศาสนาทั้ง 10 ศาสนานี้ โดยเฉพาะหลักขันติธรรมจะนำพาประชาคมอาเซียนให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อยู่กันอย่างมีสันติภาพในภาวะที่แตกต่างกัน

ทั้งนี้ผู้สนใจในสามารถติดต่อสอบถาม หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 035 248098  โครงการปริญญาโทหลักสูตรสาขาสันติศึกษา มจร หรือเว็บไซต์ http://www.relepac.com/2014/en/  รวมถึงเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/pages/Religious-Leaders-for-Peace-in-ASEAN-Community/603335479779064


 :25: :25: :25: :25: :25: :25:

มมร.เตรียมความพร้อมรับอาเซียน

ขณะเดียวกันที่ห้องประชุมอาคารสุชีพ ปุญญานุภาพ มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย(มมร.) ศาลายา จ.นครปฐม สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) ในฐานะนายกสภา มมร. กล่าวให้โอวาทในพิธีเปิดการประชุมเตรียมความพร้อมสู่อาเซียนว่า  ในโอกาสที่มมร.เตรียมความพร้อมเพื่อการรับมือความเปลี่ยนแปลงและเผชิญหน้ากับสังคมที่มีวิถีชีวิตที่แตกต่าง นับเป็นสิ่งที่มมร.

โดยเฉพาะคณะผู้บริหารจะต้องพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง ต้องอาศัยความร่วมมือกับคณาจารย์ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนนักศึกษาทุกท่านทุกคน ซึ่งจะต้องเดินหน้าไปด้วยกัน ก้าวไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียงด้วยการมีสติและปัญญากำกับเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ คือ ความเป็นเลิศด้านวิชาการ สิ่งเหล่านี้ต้องดำเนินไปด้วยความพร้อมเพรียงของเราทั้งหลาย

             
 :96: :96: :96: :96:

ด้าน พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธัมฺมสากิโย) รักษาการรองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มมร. กล่าวว่า   ในปี 2558 ประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน 10 ประเทศ จะรวมกันเป็นหนึ่งประชาคม ภายใต้คำขวัญที่ว่า “หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม” โดยมีประชากรทั้งหมดกว่า 600 ล้านคน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 4.6 ล้านตารางกิโลเมตร ก็คือประชากรทั้ง 10 ประเทศ จะสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันภายในภาคพื้นอาเซียนอย่างเป็นอิสระ

สามารถที่จะเข้าศึกษาในสถานศึกษา และทำงานในที่ทำการภายในภาคพื้นอาเซียนได้โดยไม่มีข้อจำกัด และเมื่อสภาพของสังคมเปลี่ยนไป จึงจำเป็นที่มมร. จะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่สังคมใหม่นั้นอย่างกลมกลืน และสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงนั้น ให้ดำรงอยู่ในสังคมนั้นอย่างเหมาะสมและมีความสุข

           
 st12 st12 st12 st12
   
“มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาจะต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า จะปรับตัวอย่างไรเพื่อการอยู่รอดอย่างมีศักดิ์ศรี และมีเกียรติ ภายใต้สถานการณ์แข่งขันที่จะรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นการจัดประชุมนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมของบุคลากร โดยมีการกำหนดนโยบายและบทบาทที่ชัดเจน วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาหลักสูตร และส่งเสริมด้านวัฒนธรรมของไทยอย่างเหมาะสมภายใต้ความหลากหลายและแตกต่างทางวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศประชาคมอาเซียน” พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140916/192237.html
16707  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ครูสาวฝันเหยียบโลง ได้ 34ล้าน ญาติเต็มบ้าน-ธนาคารรุมตอม เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 08:25:20 am


ครูสาวฝันเหยียบโลง ได้ 34 ล้าน ญาติเต็มบ้าน-ธนาคารรุมตอม

ครูสาวดวงเฮงถูกรางวัลที่1 และแจ็กพอตรับทรัพย์34ล้าน บอกคืนก่อนวันหวยออกฝันว่าเหยียบโลงศพ ซึ่งเคยฝันแบบนี้แล้วโชคดีได้เงินทุกที เตรียมเข้ากรุงรับเงิน18ก.ย.นี้ มีแขกมาร่วมยินดีเต็มบ้าน ธนาคารกว่า20แห่งรุมจีบให้ฝากเงิน

เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ศรีสะเกษ กรณีนางวรางค์ศิริ หงษาโชติพาณิช อายุ 32 ปี ครู ร.ร.บ้านกะเอิน ต.บุสูง อ.วังหิน จ.ศรีสะเกษ ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 16 ก.ย.57 ชุดที่ 49 และชุดที่ 50 หมายเลข 772269 พร้อมถูกราวัลแจ็กพอต ได้เงินรางวัลรวมถึง 34 ล้านบาท



ที่บ้านเลขที่ 78 หมู่ 3 บ้านหนองคู ต.โพนยาง อ.วังหิน จ.ศรีสะเกษ ของนางวรางค์ศิริ ปรากฏว่าได้มีญาติพี่น้อง พร้อมด้วยชาวบ้านหนองคู และหมู่บ้านใกล้เคียง พากันมาแสดงความยินดีกับนางวรางค์ศิริ และนายสานิตย์ สามีภรรยาผู้โชคดี ซึ่งทั้งสองได้ช่วยกันทำอาหารเลี้ยงบรรดาญาติพี่น้องและชาวบ้านที่มา พร้อมทั้งได้นำเอาสำเนาที่ถ่ายเอกสารลอตเตอรี่ฉบับที่ถูกรางวัลที่ 1 มาให้ผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดีได้ชมเป็นขวัญตาด้วย

ต่อมา ได้มีนายชัยรัตน์ ดวนสูง อายุ 31 ปี ซึ่งเป็นน้องชายของนางวรางค์ศิริ เดินทางมาแสดงความยินดีกับพี่สาว และได้วิ่งเข้าไปกอดนางวรางค์ศิริด้วยความดีใจ ซึ่งนางวรางค์ศิริ บอกว่า น้องชายมีอายุห่างจากตน 1 ปี เวลาไม่มีเงิน ก็จะไปหยิบยืมเงินจากน้องชายคนนี้เพื่อมาใช้จ่ายในการค้าขาย


นางวรางค์ศิริ ว่าที่เศรษฐินี กล่าวต่อไปว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาได้มีบรรดาธนาคารต่างๆ ใน อ.วังหิน และจากที่อื่นกว่า 20 แห่งพากันมาขอให้ตนนำเงินรางวัลที่ได้ไปฝากกับทางธนาคาร แต่ว่าตนยังไม่ตกลงใจว่าจะฝากเงินที่ใด ต้องรอหารือกับสามี และน้องชายก่อนว่า จะดำเนินการอย่างไร อีกทั้งยังมีบริษัทขายรถยนต์ รวมทั้งบริษัทจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ามาติดต่อเพื่อขอให้ซื้อสินค้าหลายราย แต่ตนบอกว่า ยังรอไว้ก่อน

"ก่อนที่จะถึงวันที่ลอตเตอรี่ออกรางวัลนั้น ในช่วงกลางคืนได้ฝันว่า ขึ้นไปเหยียบบนโลงศพ ซึ่งฝันแบบนี้เคยฝันมาก่อน และเมื่อฝันแบบนี้ทีไร ก็จะโชคดีได้เงินทุกครั้ง และพอรุ่งเช้าของวันที่ 16 ก.ย.ซึ่งเป็นวันที่ลอตเตอรี่ออกก็โชคดีจริงๆ เงินที่ได้ก็มากที่สุดในชีวิตถึง 34 ล้านบาท ซึ่งยังยืนยันว่า จะนำเอาเงินที่ได้ไปใช้ในการพัฒนา ร.ร.บ้านกะเอิน ทั้งการติดพัดลม แอร์ รวมทั้งการซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดของโรงเรียนที่กำลังก่อสร้าง และพัฒนาวัดบ้านหนองคู ซึ่งเป็นวัดบ้านเกิดให้มีสภาพดีขึ้นกว่าเดิม"นางวรางค์ศิริ กล่าว และยังบอกด้วยว่า โชคใหญ่ครั้งนี้น่าจะเกิดจากการที่ตนและสามีชอบช่วยเหลือคนทั่วไป และชอบทำบุญทอดกฐิน ผ้าป่า ทำให้กุศลผลบุญหนุนส่งให้ถูกรางวัลแจ็กพอต



อย่างไรก็ตาม นางวรางค์ศิริ กล่าวยืนยันว่า ตนและสามียังคงทำธุรกิจขายพันธุ์หอมแดง ทำสวนปลูกผักขายแบบเดิมต่อไป และได้วางแผนกับน้องชายว่า จะเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อนำลอตเตอรี่ไปขึ้นเงินที่กองสลากฯ ในวันที่ 18 ก.ย.นี้.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/450930
16708  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ต่อยอด สอนศีล 5 เป็นภาษาอังกฤษ เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 08:21:07 am


ต่อยอด สอนศีล 5 เป็นภาษาอังกฤษ

สมเด็จวัดปากน้ำ มอบป้ายหมู่บ้านศีล 5 จังหวัดน่าน ด้านคณะสงฆ์ภาค 6 เตรียมต่อยอดสอนศีล 5 เป็นภาษาอังกฤษให้นักท่องเที่ยว พร้อมรณรงค์ผีตองเหลืองรักษาศีล

วันนี้ (17ก.ย.) สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วงวรปุญฺโญ)เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชกล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีมอบป้ายหมู่บ้านรักษาศีล5จังหวัดน่านโดยมีหมู่บ้านที่ผ่านเกณฑ์โรงเรียน และหน่วยงานภาครัฐเข้ารับป้ายรวม311แห่ง ที่วัดพระธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่าน ว่า ปัจจุบันโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 มีการขับเคลื่อนที่ดีมาก ทราบว่ามีบางจังหวัดที่รณรงค์ไปถึงการเป็นบ้านศีล 5 ด้วย ถือเป็นเรื่องที่ดี ทั้งนี้เป้าหมายของโครงการนี้ใ ห้แต่ละหมู่บ้านมีผู้รักษาศีล 5 เบื้องต้นเพียงร้อยละ 50 แต่หากหมู่บ้านใดจะตั้งเป้าไว้สูงกว่าก็ถือสามารถทำได้ เพราะจะส่งผลให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข สมานฉันท์

 :96: :96: :96: :96:

พระชยานันทมุนี (ธรรมวัตร จรณธมฺโม)เจ้าอาวาสวัดพระธาตุแช่แห้ง ในฐานะเจ้าคณะอำเภอภูเพียง กล่าวว่า จังหวัดน่านถือเป็นจังหวัดแรกในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 6 ที่ดำเนินการหมู่บ้านศีล 5 จนประสบความสำเร็จ โดยเบื้องต้นที่อำเภอแม่จริม และอำเภอบ้านหลวง เป็นหมู่บ้านศีล 5 ทั้งอำเภอแล้ว และคาดว่าภายใน พ.ศ.2560 จังหวัดน่านจะเป็นหมู่บ้านศีล 5 ครบทั้งจังหวัด นอกจากนี้ที่จังหวัดน่านมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยวในแต่ละปีจำนวนมาก ดังนั้นจะมีการสอนพระ เณร ให้สามารถสอนศีล 5 เป็นภาษาอังกฤษให้แก่นักท่องเที่ยวที่สนใจด้วย

พระราชวรมุนี(พลอาภากโร)ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสังเวชวิศยาราม ในฐานะรองเจ้าคณะภาค 6 กล่าวว่า ในจังหวัดน่านมีหลายอำเภอที่มีหมู่บ้านผีตองเหลืองอาศัยอยู่เช่น อำเภอเวียงสา บ่อเกลือ บ้านหลวง เป็นต้น ดังนั้น ในการดำเนินการโครงการหมู่บ้านศีล 5 ก็จะมีการเข้าไปรณรงค์ให้กลุ่มผีตองเหลืองได้ถือปฏิบัติตามหลักศีล 5 ด้วย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/education/267468/ต่อยอดสอนศีล+5+เป็นภาษาอังกฤษ
16709  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรุแตก!วัดดังสุพรรณบุรี พบพระ′ขุนแผนไข่ผ่าซีก-หลวงพ่อคง′ในช่อฟ้ากว่าพันองค์ เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 08:18:34 am


กรุแตก!วัดดังสุพรรณบุรี พบพระ′ขุนแผนไข่ผ่าซีก-หลวงพ่อคง′ในช่อฟ้ากว่าพันองค์

วันที่ 17 กันยายน ที่วัดแค ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ขณะคนงานก่อสร้างกำลังทยอยรื้อหอสวดมนต์ไม้หลังเก่าอายุกว่า 50 ปีเพื่อสร้างหอสวดมนต์หลังใหม่มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท พบพระเครื่องจำนวนกว่าพันองค์ ที่บริเวณช่อฟ้าทั้ง 2 ด้านเป็นพระขุนแผนไข่ผ่าซีกและหลวงพ่อคง เป็นเนื้อดินเผาเชื่อว่าอายุมากกว่า 50 ปี


พระครูไพศาลธรรมวงศ์ เจ้าอาวาสวัดแค กล่าวว่า ขณะช่างที่มารับเหมารื้อหอสวดมนต์หลังเก่า กำลังเตรียมรื้อช่อฟ้าพบพระเครื่องจำนวนมากอยู่ในช่อฟ้าเชื่อว่าอดีตเจ้าอาวาสได้นำไปใส่ไว้ช่วงที่สร้างหอสวดมนต์ พบพระเนื้อดินเผาเป็นพระขุนแผนไข่ผ่าซีกหลวงพ่อคงและยังมีพระอย่างอื่นบ้างประปราย ต้องรอกรรมการวัดเพื่อหารือเตรียมดำเนินการต่อไป

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1410943197
16710  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สิ้นเดือนนี้รู้ผล ‘หลวงพ่อพิมพ์’ ลงโลง ผิด-ไม่ผิด เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 08:14:27 am


สิ้นเดือนนี้รู้ผล ‘หลวงพ่อพิมพ์’ ลงโลง ผิด-ไม่ผิด

คณะสงฆ์ชัยภูมิตั้ง‘กรรมการพระ’สอบสวนกรณีหลวงพ่อพิมพ์ สมภารคนดังลงนอนโลงประกาศละสังขาร รวมทั้งบัญชีเงินฝากของวัด ชี้หากพบผิดวินัย‘อวดอุตริ’จริง สั่งลงดาบเอาผิดได้ไม่เกินสิ้นเดือน ก.ย.นี้

เมื่อวันที่ 17 ก.ย.57 จากกรณีที่ พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์ ผบก.ภ.ชัยภูมิบุกเข้าช่วยเหลือหลวงพ่อพิมพ์ จันทรังษี อายุ 65 ปี เจ้าอาวาสวัดเวฬุวัน บ้านท่าเริงรมย์ หมู่ 4 ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ออกจากโลงศพและล้มเลิกพิธีละสังขารเมื่อวันที่ 10 ก.ย.ผ่านมา นำตัวส่ง รพ.คอนสาร และถูกส่งต่อมารักษาตัวที่ รพ.ชัยภูมิ ตั้งแต่เย็นวันที่ 11 ก.ย.จนถึงปัจจุบัน

 :96: :96: :96: :96:

โดยหลวงพ่อพิมพ์รักษาตัวอยู่ที่ชั้น 7 ตึก 8 ชั้น ห้องพิเศษ 1704 และอาการดีขึ้นมากแล้วแต่หลวงพ่อยังขออยู่โรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวต่ออีกระยะ และไม่ให้ใครเข้าเยี่ยมนอกจากลูกศิษย์ใกล้ชิด โดยเฉพาะสื่อมวลชนที่ต้องการทำข่าว ถูกสั่งห้ามเด็ดขาด

ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานจากการเปิดเผยของ ผอ.สำนักพุทธศาสนาจ.ชัยภูมิ ว่า ขณะนี้ทางพระราชภาวนาวราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ ผู้ปกครองคณะสงฆ์สูงสุดของจังหวัดชัยภูมิ ได้มีการสั่งตั้งคณะกรรมการสงฆ์ระดับจังหวัด และพระวินยาธิการ หรือตำรวจพระ เร่งลงพื้นที่สอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีของหลวงปู่พิมพ์ทั้งหมดแล้ว ซึ่งรวมทั้งเรื่องเงินบริจาค และการดำเนินการเอาผิดทางวินัยสงฆ์กรณีอวดอุตริมนุสธรรมด้วย คาดว่าจะมีผลออกมาชัดเจน และแจ้งให้ทราบได้ไม่เกินสิ้นเดือน ก.ย.นี้.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/450916
16711  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บาปหนา.! พบพระ-รุกขเทวดาอุโบสถวัดเก่าพิษณุโลก นับร้อยองค์ ถูกตัดเศียรเกลี้ยง เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 07:48:02 am


บาปหนา.! พบพระ-รุกขเทวดาอุโบสถวัดเก่าพิษณุโลก นับร้อยองค์ ถูกตัดเศียรเกลี้ยง

พิษณุโลก - พบปฏิมากรรมหน้าบันพระอุโบสถวัดเก่าแก่เมืองสองแคว อายุกว่า 100 ปี ถูกโจรบาปตัดเศียรเกลี้ยงกว่า 100 องค์ คาดถูกนำไปทำมวลสารวัตถุมงคลจนถูกวิจารณ์กันมานานหลายปี ล่าสุดเจ้าอาวาส-คณะศรัทธา วอนกรมศิลป์และชาวพุทธช่วยบูรณะด่วน
       
       วันนี้ (17 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้คณะศรัทธา ตลอดจนพระจุฬา ชินวโร หรือหลวงพ่อแตงโม เจ้าอาวาสวัดเกาะแก้ว หมู่ 4 ต.ปากโทก อ.เมือง จ.พิษณุโลก ที่เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองสองแคว กำลังหาทางบูรณะพระอุโบสถทรงมหาอุด อายุกว่า 100 ปี ที่ถูกโจรใจบาปทำลายปฏิมากรรมหน้าบันไปเมื่อหลายปีก่อน เพื่อให้เป็นสถานที่ศึกษาและเป็นแหล่งเรียนรู้แก่เยาวชนรุ่นหลัง อีกทั้งส่งเสริมให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดต่อไป
       
       โดยพระอุโบสถดังกล่าวถือเป็นพระอุโบสถเก่าแก่ยุคปี 2457 แต่เศียรรูปปั้นพระพุทธเจ้า รุกขเทวดา นางฟ้า ตลอดจนพระพุทธเจ้าปางต่างๆ กลับถูกตัดทำลายไปจำนวนมาก สร้างความแปลกใจ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มานานหลายปี

       


       โดยผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบ พบกับพระจุฬา ชินวโร หรือหลวงพ่อแตงโม เจ้าอาวาสวัดเกาะแก้ว ซึ่งกล่าวว่า รูปปั้นพระพุทธเจ้า รุกขเทวดา นางฟ้าที่หน้าบันพระอุโบสถ อายุเก่าแก่กว่า100 ปี ลักษณะถูกตัดเศียรไปจริง ซึ่งรูปปั้นตอนพระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (เปิดโลก) วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 (เทโวโรหนะ) ลงสีฝุ่นประดับกระเบื้องสี เป็นฝีมือช่างชาวไทยเชื้อสายจีนราวปี 2457 หรือสมัยรัชกาลที่ 6 ประดิษฐานอยู่ที่หน้าบันพระอุโบสถ อายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ถูกคนร้ายขโมยตัดเอาเศียรไป 69 องค์ เป็นเศียรพระพุทธเจ้า 35 องค์ หัวไก่กว่า 10 หัว
       
       ซึ่งอาตมามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสเมื่อปี 2550 จึงไม่ค่อยทราบรายละเอียดมากนัก แต่จากการสอบถามผู้สูงอายุ ทราบว่าพระอุโบสถดังกล่าวก่อสร้างในสมัยหลวงพ่อแจง ธรรมโชโต อดีตเจ้าอาวาส พระเกจิชื่อดังของเมืองพิษณุโลกที่มรณภาพไปนานแล้ว หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนร้ายแอบเข้ามาลักลอบตัดเศียร คาดว่าจะนำไปบดทำมวลสารสร้างวัตถุมงคล เนื่องจากพระอุโบสถดังกล่าวเป็นพระอุโบสถทรงมหาอุด คือมีประตูเพียงบานเดียวเท่านั้น สมัยก่อนก็จะมีพระเกจิอาจารย์มานั่งสวดมนต์อธิษฐานจิตเป็นประจำ

       


       อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกตัดเศียรพระ เทวดา และนางฟ้าไปแล้ว ก็อยากให้กรมศิลปากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ใจบุญช่วยบูรณะหรือตกแต่งให้สมบูรณ์ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้แก่เยาวชนรุ่นหลัง อีกทั้งส่งเสริมให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดต่อไปในอนาคต
       
       นอกจากนี้ ทางวัดยังต้องก่อสร้างศาลาปฏิบัติธรรมหลังใหม่ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนมาร่วมประกอบศาสนกิจ ทำบุญ และปฏิบัติธรรมอีกด้วย ซึ่งหากพุทธศาสนิกชนที่มีจิตศรัทธาส่งเสริมพุทธศาสนาสามารถติดต่อร่วมทำบุญกับทางวัดได้ เพื่อเป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ของชาวพุทธด้วยกันอีกด้วย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000106973
16712  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แขกแห่บูชาวัว 3 ตา เชื่อเป็น "พระศิวะอวตาร" เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 07:43:09 am


แขกแห่บูชาวัว 3 ตา เชื่อเป็น "พระศิวะอวตาร"

ชาวอินเดียในรัฐทมิฬนาฑู แห่บูชาลูกวัวแปลกอายุ 2 สัปดาห์ ซึ่งมีตาที่สามงอกออกมาจากกลางหน้าผาก เชื่อเป็นพระศิวะอวตารลงมา

 เว็บไซต์ข่าวแท็บลอยด์อังกฤษ “เดอะ มิรเรอร์” รายงานจากรัฐทมิฬนาฑู  ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ว่า ชาวบ้านหลายร้อยรายในรัฐทมิฬนาฑู ทางตอนใต้ของอินเดีย แห่เดินทางมาดูและบูชาลูกวัว 3 ตา เพศเมีย อายุ 2 สัปดาห์ ที่มีตาที่สามงอกออกมากลางหน้าผาก ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่า เป็นพระศิวะ  เทพเจ้า 3 ตา หนึ่งในตรีมูรติ หรือเทพเจ้าสูงสุดสามพระองค์ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อวตารลงมาเกิด




    นายเมกาลา ผู้เป็นเจ้าของ ภาคภูมิใจในลูกวัวตัวดังกล่าวมาก เขากล่าวว่า มันเป็นเหมือนปาฏิหาริย์ ที่ดึงดูดผู้คนทั่วทุกสารทิศมาเคารพบูชา ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่เดินทางมา จะแตะหัวของลูกวัว ตามความเชื่อที่อ้างว่า จะทำให้พวกเขาโชคดี  นอกจากนี้ ชาวบ้านยังเชื่อว่า ลูกวัวถูกส่งลงมาจากสวรรค์เพื่ออำนวยพรให้แก่หมู่บ้าน ดังนั้น พวกขาจึงบูชามันด้วยความเคารพเสมือนเป็นตัวแทนของเทพ





ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/foreign/267383/แขกแห่บูชาวัว3ตาเชื่อเป็นพระศิวะอวตาร
16713  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / การบินไทยออกกฎเรื่องการนำ Powerbank ขึ้นเครื่องบิน.!! เมื่อ: กันยายน 17, 2014, 11:53:55 am



การบินไทยออกกฎเรื่องการนำ Powerbank ขึ้นเครื่องบิน.!!

เพื่อความเข้าใจในกฏดังกล่าวทางสายการบินไทยจึงได้จัดทำ Infographic เกี่ยวกับการนำ Powerbank ขึ้นเครื่องบิน ซึ่งผู้โดยสารสามารถพกแบตเตอรี่สำรองได้แบบมีความจุไฟฟ้าน้อยกว่า 20,000 mAh  ไปจนถึงความจุไฟฟ้าน้อยกว่า 32,000 mAh  ไม่เกิน 2 ก้อน ขึ้นเครื่องได้ และต้องใส่กระเป๋าเล็กหรือพกติดตัวขึ้นเครื่อง ซึ่งในการออกกฎครั้งนี้เนื่องก่อนหน้านี้เคยมีเคสในต่างประเทศว่า Powerbank จัดเป็นวัตถุอันตราย ถึงขั้นไม่สามารถนำ Powerbank ขึ้นเครื่องได้ในบางสายการบิน

ขณะเดียวกันยังเคยเกิดเหตุการณ์ Powerbank ลุกไหม้ในสายการบินต่างชาติมาแล้ว จึงออกมาตรการนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารที่อยู่บนเครื่องบิน ซึ่งเป็นไปตามประกาศของกฏมาตรฐานความปลอดภัย( IATA ) และ  Powerbank ก็จัดเป็นวัตถุอันตรายด้วย เพราะแบตลิเธียมเมื่อเกิดความร้อนสูงเกินไป สามารถนำไปสู่การติดไฟได้เช่นกัน


ที่มา krobkruakao
hitech.sanook.com/1391697/การบินไทยออกกฎเรื่องการนำ-powerbank-ขึ้นเครื่องบิน/
16714  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / 'พ่อจง' วัดสังฆาราม เกจินักพัฒนา ศิษย์เอกหลวงพ่อปี้ ทินฺโน เมื่อ: กันยายน 17, 2014, 11:26:44 am


'พ่อจง' วัดสังฆาราม เกจินักพัฒนา ศิษย์เอกหลวงพ่อปี้ ทินฺโน
รื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

พระสุขวโรทัย (จง จัตตมโล) เจ้าอาวาสวัดสังฆาราม (บ้านด่าน) อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย เจ้าคณะพระสังฆาธิการสายปกครอง รองเจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย  ท่านเป็นเกจิอาจารย์ร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงรูปหนึ่ง มีผู้เคารพนับถืออย่างกว้างขวางในจ.สุโขทัยและจังหวัดใกล้เคียง เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนปริยัติสามัญวัดสังฆาราม อุทยานพระพุทธศาสนา และสร้างพระร่วงองค์ใหญ่ประจำจังหวัดสุโขทัย

ท่านเป็นศิษย์เอกของพระครูสุวิชานวรวุฒิ (หลวงพ่อปี้ ทินฺโน) แห่งวัดด่านลานหอย อดีตพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาญาณสูง มีอภินิหารมากมาย อาทิ อาบน้ำในขวด และย่นระยะทางได้อย่างน่าอัศจรรย์  โดยหลวงพ่อจงได้ปฏิบัติตนตามแม่แบบคือหลวงพ่อปี้ทุกประการ คือไม่ว่าในด้านการปฏิบัติ-ปริยัติ ตลอดจนการพัฒนา ท่านมีความสามารถทุกๆ ด้านจนเป็นที่เลื่องลือ


 :25: :25: :25: :25:

หลวงพ่อจงเกิดเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๔๗๗ ที่บ้านด่าน ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย โยมบิดาชื่อ “นายชื้น” โยมมารดาชื่อ “นางมุด” นามสกุล “สุขอิ่ม” มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๗ คน หลวงพ่อจงเป็นคนโต” เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ได้เข้าอุปสมบท ณ อุโบสถวัดสังฆาราม อันเป็นวัดบ้านเกิดของท่าน โดยมีพระครูสุวิชานวรวุฒิ (หลวงพ่อปี้ ทินฺโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “จัตตมโล”

หลังจากบวชพระแล้วท่านได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อปี้มาตลอด โดยหลวงพ่อปี้ได้ถ่ายทอดในการปฏิบัติและการศึกษาวิชาอาคมต่างๆ ให้จนหมดสิ้น จนถือได้ว่าหลวงพ่อจงเป็นศิษย์เอกผู้มีความเชี่ยวชาญทุกๆ ด้านอย่างแท้จริง นอกจากมีความรู้ความสามารถในทางการศึกษาทั้งปริยัติและปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อจงยังมีความสามารถในเชิงช่างอีกด้วย กล่าวคือไม่ว่าจะเป็นการทำตู้โบราณ, ทำโต๊ะเรียน ทำเก้าอี้ หรือสร้างศาลาการเปรียญ หลวงพ่อจงท่านทำเป็นหมด นับได้ว่าท่านมีพรสวรรค์ในทางช่างโดยแท้ ที่สำคัญในการเย็บปักถักร้อยนั้น หลวงพ่อจงท่านก็มีความสามารถเป็นพิเศษ จะเห็นได้จากเมื่อผ้าจีวรผ้าสบง ผ้าอังสะหรือผ้าสังฆาฏิขาด ท่านก็ตัดเย็บเพื่อห่มเองเป็นประจำ

 st12 st12 st12 st12

วิทยะฐานะ พ.ศ. ๒๔๘๙ สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนวัดสังฆาราม อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย พ.ศ. ๒๕๐๓ สอบได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนคณะจังหวัดสุโขทัย งานปกครอง พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม พ.ศ.๒๕๐๑ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พ.ศ.๒๕๐๓ เป็นเจ้าอาวาสวัดสังฆาราม พ.ศ.๒๕๑๐ เป็นเจ้าคณะตำบลบ้านด่านลานหอย พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.๒๕๒๙ เป็นเจ้าคุณะอำเภอบ้านด่านลานหอย พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาฯวัดสังฆาราม พ.ศ.๒๕๔๘ เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย

วันพฤหัสบดีที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ หลวงพ่อจงจะมีอายุครบ ๘๐ ปี คณะศิษยานุศิษย์นำโดยพระโสภณธรรมวงศ์ (เจ้าคุณถนอม) ประธานฝ่ายสงฆ์ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ประธานฝ่ายคฤหัสถ์ ได้ร่วมกันจัดงานบำเพ็ญกุศลอายุวัฒนมงคล ๘๐ ปี ซึ่งมีกำหนดการบำเพ็ญกุศลทำบุญตักบาตร กราบอาราธนาพระมหาเถรานุเถระ มาเจริญพระพุทธมนต์รับทักษิณานุประทานฉันภัตตาหารเพล



บุญฉลองมงคลอายุครบ ๘๐ ปี

ในมงคลโอกาสนี้ ได้มีการสร้างวัตถุมงคลฉลองมงคลอายุ ๘๐ ปี ชื่อรุ่น “จงได้ จงรวย จงเจริญ” ออกแบบมีพุทธศิลป์มงคลศิลป์อันงดงาม สร้างมวลสารอันยอดเยี่ยม ประกอบด้วยสมเด็จจงได้ ด้านหน้า เป็นพระพิมพ์สมเด็จเส้นด้าย ด้านหลัง เป็นรูปเหมือนหลวงพ่อจง เต็มองค์รวดลายงดงาม จารึกอักขระเข้มขลังของหลวงพ่อจง ขนาด ๓x๒.๓ ซม. เท่าองค์พระสมเด็จทั่วไป มี ๔ เนื้อ คือ เนื้อทองคำลงยา เนื้อเงินลงยา เนื้อนวโลหะ และเนื้อทองแดงจ่าเงา พิมพ์พิเศษ เรียกว่าพิมพ์ “คะแนนจงได้” แตกต่างกันที่ด้านหลังเป็นรูปหลวงพ่อจง แบบครึ่งองค์ ขนาด ๑x๑,๕ ซม.
 
พระกริ่งจงรวย เป็นรูปเหมือนของหลวงพ่อจง นั่งบนฐานเขียงรวยลายงดงาม มีฝากริ่งจารึก “สิงห์” และคำว่า “รวย” องค์พระมีเนื้อนวะโหละลงหินเนื้อเดียว แยกฝากริ่ง ๓ เนื้อ ประกอบด้วย ทองคำ เงิน และทองแดงจ่าเงา
 
เหรียญจงเจริญ เป็นเหรียญหล่อโบราณ ลวดลายกนกสวยงามจารึกคำว่า จงเจริญ ด้านหลังเป็นรูป “สิงห์” สัญลักษณ์แห่งอำนาจบารมี ล้อมรอบไปด้วยอักขระอันศักดิ์สิทธิ์ประจำองค์หลวงพ่อท่าน มี ๓ เนื้อคือ เนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ และเนื้อทองแดงจ่าเงา

 
 :96: :96: :96: :96:

พิธีพุทธาภิเษกใหญ่ ในวันอาทิตย์ที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๔.๑๙ น. ภายในหอพระไตรปิฎกกลางน้ำ เฉลิมพระเกียรติ ประกอบด้วย พระธรรมวิสุทธิวงศ์ (โล๊กโอวอุดมุต) อายุ ๘๒ ปี เมืองพระตาบอง ประเทศกัมพูชา, พระราชวิทยาคม (ครูบาสายทอง) อายุ ๗๗ ปี วัดท่าไม้แดง อ.เมือง จ.ตาก, พระวรญาณมุนี (หลวงตาละมัย) อายุ ๙๒ ปี วัดอรัญญิก อ.เมือง จ.พิษณุโลก, พระมงคลสุธี (หลวงพ่อแขก) อายุ ๙๐ ปี วัดสุนทรประดิษฐ์ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก, พระครูวรธรรมประยุต (หลวงพ่อทุเรียน) อายุ ๘๑ ปี วัดท่าดินแดง อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย, พระครูนันทสีลาจาร (หลวงพ่อบุญมี) อายุ 85 ปี วัดโบสถ์ อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย

พระครูสิริศีลสังวร (ครูบาน้อย) อายุ ๖๓ ปี วัดศรีดอนมูล อ.สารภี จ.เชียงใหม่, ครูบาบุญยัง ปุญฺญํกโร อายุ ๗๘ ปี วัดห้วยน้ำอุ่น อ.ลี้ จ.ลำพูน, พระครูนิวิฐมณีวง (หลวงพ่อสะอาด) อายุ ๘๐ ปี วัดเขาแก้ว องพยุหะคีรี จ.นครสวรรค์, พระครูปัญญาสิริไพรตาน อายุ ๘๓ ปี วัดตาศาญทมัย พระตาบอง ประเทศกัมพูชา, พระครูโกศลพัฒนกุล (พระอาจารย์เสนาะ) อายุ ๕๒ ปี วัดพงท่าข้าม อ.สูงเม่น จ.แพร่ ฯลฯ พระพิธีธรรมสาธยายพระคาถาพุทธาภิเษก นำโดย พระครูนิสัยสรนาท (มหาวีระพงษ์) วัดนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์



สร้างพระถวายเจ้าพ่อหลวงของแผ่นดิน

ตามหลักฐานในหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักรไทย กล่าวว่า "วัดสังฆาราม" ตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี ๑๙๓๒ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อประมาณปี ๑๙๒๗ เป็นศูนย์รวมใจของชาวบ้านด่านลานหอยอีกหนึ่งแห่ง

ด้วยผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ ในปี ๒๕๐๑ หลวงพ่อจงท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดสังฆาราม ซึ่งเมื่อท่านได้รับมอบหมายและความไว้วางใจจากพระผู้ใหญ่แล้ว ท่านก็พัฒนาปฏิสังขรณ์เสนาสนะภายในวัดสังฆารามเป็นการใหญ่ เช่น สร้างศาลาการเปรียญ กุฏิ-วิหาร และอุโบสถ ตลอดจนดูแลวัดในเขตการปกครองของท่านอย่างเสมอต้นเสมอปลาย อาทิ  วัดหนองจิกตีนเนิน, วัดเชิงคีรี, วัดวังลึก และวัดวังแดง เป็นต้น

 
 st11 st11 st11 st11

เมื่อหลวงพ่อจงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะอำเภอบ้านด่านลานหอย ทำให้ท่านยิ่งให้ความสำคัญในการพัฒนาวัดต่างๆ ที่อยู่ในความดูแลของท่านเพิ่มมากขึ้นด้วยการให้การศึกษา และการพัฒนาเป็นหลักใหญ่ ที่สำคัญขณะนี้ได้รับผิดชอบเป็นผู้อำนวยการโครงการ “สร้างพระถวายเจ้าพ่อหลวงของแผ่นดิน” ตามมติมหาเถรสมาคม มติที่ ๔๕๒/๒๕๕๐ สร้างพระพุทธรูปปางประทับยืน สูง ๓๒ เมตร งบประมาณ ๑๐๐ กว่าล้าน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถวายเป็นพระราชอุทิศ
 
ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญโดยเปิดให้สั่งจองในวันอังคารที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ณ วัดสังฆาราม (บ้านด่าน) ศาลาวัตถุมงคลหอพระไตรปิฎกกลางน้ำ โทร.๐๘-๒๗๖๘-๖๖๘๘, ๐๘-๑๖๐๔-๖๙๓๓ และวัดคูหาสุวรรณ ศาลาการเปรียญหลวงพ่อห้อม พระโอฬาร โทร.๐๘-๑๕๓๒-๙๐๖๐ และ ๐๘-๖๙๓๙-๖๐๑๕ หรือ เข้าดูรายเอียดเพิ่มเติม : www.spdr80.com


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140915/192084.html
16715  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ปฏิบัติธรรม กับ อาการทางจิต เมื่อ: กันยายน 17, 2014, 11:17:46 am


ปฏิบัติธรรม กับ อาการทางจิต

ข่าวการตายของโรบิน วิลเลียมส์ สร้างความรู้สึกสะเทือนใจให้แก่ผู้คนจำนวนมากราวกับสูญเสียญาติมิตรใกล้ชิด ผลงานสร้างสรรค์ที่เขามอบไว้แก่โลกนี้ยังประทับอยู่ในใจ และเป็นส่วนสำคัญของชีวิตและการเดินทางภายในของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ น่าแปลกที่ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่พระ ไม่ใช่บาทหลวง ไม่ใช่ครูสอนศาสนา หรือผู้นำทางจิตวิญญาณ กลับมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของคนทุกชาติทุกภาษาได้มากมายถึงเพียงนี้

ช่วงนั้นผมมีโอกาสได้อ่านข้อเขียนและบทความหลายชิ้นที่แสดงความเห็นต่อการตายของโรบิน วิลเลียมส์ น่าเศร้าที่ชาวพุทธไทยจำนวนไม่น้อย พุ่งเป้าไปที่การเทศนาสั่งสอนเรื่องความผิดบาปจากการฆ่าตัวตายครั้งนี้อย่างไร้ความรู้สึก? บ้างก็ว่าการเป็นนักแสดงของเขาไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าถึงธรรมะอย่างแท้จริง บ้างก็ว่าทำไมคิดสั้น ทำไมไม่รักตัวเอง บ้างก็เตือนเด็กและเยาวชนว่าไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง บ้างก็ว่าเขาจะต้องตกนรกไม่ได้ผุดได้เกิด

และนี่เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่า โลกทรรศน์แบบศาสนาเป็นศูนย์กลาง ช่างหยาบกระด้าง ไร้หัวใจเกินกว่าจะเข้าใจชีวิต และมีกรอบความคิดที่คับแคบเกินกว่าจะเข้าใจโลก


 :49: :49: :49: :49:

ในบรรดาข้อเขียนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผมสะดุดเข้ากับบทความในเว็บไซต์ของ Huffington Post ที่ชื่อ "Meditation is not enough: a Buddhist perspective on suicide" เขียนโดย Lodro Linzler (ฉบับแปลเป็นภาษาไทย ตีพิมพ์ในนิตยสาร way ฉบับที่ 77)

โลโดร รินสเลอร์ เป็นชาวพุทธรุ่นใหม่และผู้ปฏิบัติธรรมชาวอเมริกัน เขายังเป็นครูสอนภาวนา และนักเขียนหนังสือธรรมะเบสต์เซลเลอร์ในอเมริกา ชื่อหนังสือของเขาไม่ว่าจะเป็น "Buddha in the Bar" หรือ "Buddha in the Office" สะท้อนความเป็นสมัยใหม่ของนักเขียนชาวพุทธคนนี้ได้เป็นอย่างดี โลโดรไม่ได้แยกธรรมะออกจากโลกและไม่ปรารถนาจะใช้ชีวิตทางศาสนาอย่างตัดขาดจากผู้อื่น

นอกจากจะเป็นผู้สนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง โลโดรยังสื่อสารประสบการณ์ของเขาในฐานะครูสอนภาวนา ชี้แนะแนวทางให้ผู้คนเดินบนเส้นทางปฏิบัติธรรมไปพร้อมๆ กับการเผชิญชีวิตการงาน ชีวิตความสัมพันธ์ ชีวิตครอบครัว ในฐานะส่วนหนึ่งของเส้นทางปฏิบัติธรรม

ทว่า ในบทความชิ้นนี้ โลโดรออกมายอมรับว่า เมื่อไม่นานมานี้ เขาเคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และเคยคิดที่จะฆ่าตัวตาย...


 :96: :96: :96: :96:

โลโดรเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาในครั้งนั้นอย่างไม่อาย ด้วยเห็นว่ามันน่าจะช่วยสื่อสารแง่มุมที่เป็นประโยชน์ต่อชาวพุทธในการเข้าใจผู้คนที่ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้ามากขึ้น เขาตั้งข้อสังเกตว่า อาจารย์สอนธรรมะส่วนใหญ่มักมองโรคซึมเศร้าเป็นรูปแบบความทุกข์ใจอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถเผชิญได้ด้วยการปฏิบัติธรรม มุมมองเช่นนั้นอาจทำให้เรามองข้ามความซับซ้อนของอาการซึมเศร้า และขาดการตระหนักรู้ถึงวิธีการให้ความช่วยเหลืออื่นๆ เช่น การพูดคุย เทคนิคจิตบำบัด หรือการใช้ยารักษา

นอกจากนั้นยังมีแนวโน้มการตัดสินผู้มีอาการทางจิตอย่างเหมารวมว่า "เสียสติ" หรือ "บ้า" หรือมองคนที่พยายามฆ่าตัวตายว่าเป็นพวกคิดสั้นหรือมิจฉาทิฐิ ทั้งหมดถูกสรุปง่ายๆ ว่าเป็นสิ่งที่ "ไม่ควร" เกิดขึ้นกับคนที่ศึกษาและปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ ซึ่งควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คนอื่น มุมมองอันมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์และเป้าหมายของการปฏิบัติตนตามหลักศาสนาเช่นนี้เองที่มีส่วนเพิ่มความตึงเครียด จนกลายเป็นแรงบีบคั้นตัวเองและคนรอบข้างอย่างปราศจากความอ่อนโยนและเป็นมิตร

...และกว่าจะรู้ตัวว่าต้องการความช่วยเหลือ มันก็อาจสายไปเสียแล้ว



ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรือเป็นครู ไม่ว่าจะมีประสบการณ์บนเส้นทางธรรมมาอย่างโชกโชนหรือเพิ่งเริ่มต้น ทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์ ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับความทุกข์อย่างรู้ตัวที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในยามที่อะไรๆ ถาโถมเข้ามาพร้อมๆ กันราวกับพายุ เรือลำน้อยก็อาจหลุดจากการประคองแล้วพลิกคว่ำลงได้เป็นธรรมดา การศึกษาธรรมะไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าเราจะปลอดภัย เช่นเดียวกับการเป็นนักปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าเราจะรอดตายหรือได้รับการคุ้มครองปกป้อง

ในโลกสมัยใหม่ ความเป็นปัจเจกบุคคลทำให้ทุกคนเหมือนตกอยู่ในเรือลำเดียวกัน เรือน้อยที่ลอยล่องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ด้านหนึ่ง เสรีภาพทางความคิด คำพูด และการกระทำ ทำให้การเดินทางทั้งภายนอกและภายในสามารถเกิดขึ้นได้อย่างไม่มีขีดจำกัด คุณค่าใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นพร้อมกับปัญหาและความทุกข์ทางใจซับซ้อนแบบใหม่ๆ ที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน หากภาวะปีติสุขคือประสบการณ์ภายในอย่างหนึ่งของการปฏิบัติธรรม การจมดิ่งสู่ความมืดมิดแห่งภาวะซึมเศร้าก็คือประสบการณ์อีกด้านหนึ่งซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนเช่นกัน โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมในโลกความเป็นจริงที่ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในกำแพงวัด


 :29: :29: :29: :29:

จากประสบการณ์การทำงานในแวดวงศาสนา ผมพบว่ามีคนไทยจำนวนมากประสบปัญหาอาการทางจิต แต่เลี่ยงไม่ไปพบจิตแพทย์ พวกเขาเลือกหันหน้าเข้าหาวัดและสถานปฏิบัติธรรมแทน โดยเชื่อว่าศาสนาและการปฏิบัติธรรมจะช่วยรักษาอาการทางจิตอย่างได้ผล สิ่งแวดล้อมในวัดช่วยสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้แก่พวกเขาได้ในช่วงเวลายากลำบาก อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่ามีที่พึ่ง บ้างก็เป็นโอกาสดีในการถอนตัวเองออกจากปัญหา พาตัวเองออกไปจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ได้ฝึกฝนเทคนิคการภาวนาที่ช่วยปล่อยวางความคิด ความกังวล การยึดมั่นถือมั่น และเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาอยู่กับตัวเอง

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ กิจกรรมและกระบวนการหลายอย่างที่เกิดขึ้นในวัดและศูนย์ปฏิบัติธรรมในปัจจุบันนั้น นอกจากจะไม่ได้เป็นไปเพื่อการทำความเข้าใจและให้ความเข้าใจคนที่มีอาการทางจิตแล้ว บ่อยครั้งกลับแฝงไว้ด้วยมายาคติทางเพศ ทางชนชั้น ค่านิยมทางสังคม ประเพณี ความเชื่อ ภายใต้กรอบคิดทางศาสนาอย่างสุดโต่ง ทัศนคติเหล่านั้น

นอกจากจะไม่ช่วยให้อาการทางจิตดีขึ้น ยังบีบคั้นทำให้อาการเหล่านั้นเก็บกดรุนแรงอยู่ลึกๆ เทคนิคการเทศนาสั่งสอนเพื่อเสริมสร้างความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ความรู้สึกผิดบาป แล้วดึงคนให้หันมาใช้ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแทนนั้น ยังเป็นกลวิธีที่ใช้ได้ผลอยู่เสมอๆ โดยที่น้อยคนจะกล้าตั้งคำถามว่า วิธีการเหล่านั้นเป็นไปเพื่อช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างแท้จริง หรือเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสถาบันศาสนาเองกันแน่?

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

แต่ที่แน่ๆ อาการทางจิตที่ไม่ได้รับการเยียวยาอย่างตรงจุด แต่ถูกกดข่มไว้ด้วยกรอบคิดดีชั่วทางศาสนา มีส่วนสำคัญที่ทำให้ภาวะทางอารมณ์ของพุทธศาสนิกชนมีความรุนแรงมากขึ้น ภายใต้รอยยิ้มและบุคลิกกันเยือกเย็นน่าเกรงขาม หากมีผู้เห็นต่างจากความเชื่อที่ตนยึดถือ กล้าดีมาวิพากษ์วิจารณ์ครูบาอาจารย์ ดูหมิ่นพระพุทธเจ้า ลบหลู่พระไตรปิฎก พายุทางอารมณ์ก็สามารถก่อตัวขึ้น พัฒนาเป็นความรุนแรงเพื่อการปกป้องคุ้มครองที่ยึดเหนี่ยวสูงสุดนั้น

หลายครั้งภาวะศรัทธาอย่างสุดโต่งเป็นสิ่งที่สถาบันศาสนาหรือสำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ ปลูกฝังและส่งเสริมเสียด้วยซ้ำ นักบวชและครูบาอาจารย์ทางศาสนาเก่งแต่เทศนาแต่ไม่มีทักษะในการรับฟัง เทคนิคการปฏิบัติธรรมต่างมุ่งเป้าไปที่การสร้างสภาวะความสุข แต่ไม่ช่วยให้เข้าใจและอยู่กับสภาวะจิตที่ตนประสบอยู่ ไม่ได้ช่วยให้ยอมรับความเป็นมนุษย์ และผ่อนคลายกับตัวเองตามที่เป็นได้มากขึ้น

ผลคือ ความทุกข์ของปัจเจกบุคคลไม่ได้ถูกปลดปล่อยและคลี่คลายที่ต้นเหตุ แต่กลับถูกเบี่ยงไปฉวยใช้ในทิศทางอื่น...



แน่นอน การปฏิบัติธรรมฝึกให้เราเผชิญปัญหาด้วยตัวเอง แต่บางครั้งปัญหามันก็หนักหนาเกินกว่าคนคนหนึ่งจะรับไหว แม้จะรู้แจ้งในธรรมมามากเท่าไร ผู้ปฏิบัติธรรมก็สามารถโอนเอนไปกับความทุกข์ถาโถมได้เหมือนกับคนอื่นๆ อุดมคติสูงส่งทางศาสนา ไม่ควรมาลดทอนความสำคัญของการร่วมทุกข์ร่วมสุขและการหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือ

และนั่นคือความหมายของคำว่า "สังฆะ" ซึ่งไม่ใช่สถาบันศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง แต่คือมิตรภาพของเพื่อนร่วมทางและเพื่อนร่วมทุกข์ ในบริบทของโลกสมัยใหม่ เราไม่อาจนำเอาทุกปัญหามาสู่การปฏิบัติธรรม แล้วหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ไม่สามารถนำหลักธรรมไปเทศนาสั่งสอนทุกคน แล้วหวังว่าพวกเขาจะหลุดพ้นจากความทุกข์

 :03: :03: :03: :03:

...ธรรมะไม่ใช่ยาพาราเซตามอล

ในโลกตะวันตก มีคนจำนวนมากป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และพุทธศาสนาก็ดูจะเข้าไปมีบทบาทกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกันครับ แต่มักเป็นแนวทางแบบมหายานที่เน้นการร่วมทุกข์ร่วมสุขมากกว่าการพิพากษาหรือเทศนา แม้จะไม่ได้มีวัดหรือศูนย์ปฏิบัติธรรมมากมายอย่างในบ้านเรา

ทว่า ชาวพุทธผู้ปฏิบัติธรรมจำนวนมากประกอบอาชีพเป็นนักจิตบำบัด มีทักษะในการฟัง และสะท้อนความรู้สึกความต้องการของคนที่มีความทุกข์โดยไม่เอาความคิดของตัวเองไปตัดสิน ส่วนเรื่องสติและสมาธิที่ฝึกๆ กัน ก็เพื่อที่จะ "ว่าง" และ "อยู่" กับความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ตรงหน้าให้ได้ โดยที่ไม่ไปก้าวก่ายการเดินทางภายในของเขา

นอกจากนั้น ยังมีกิจกรรมจิตบำบัดอื่นๆ ที่เป็นวิทยาศาสตร์ รวมถึงการให้ยาเพื่อปรับสมดุลของเคมีในสมอง และอื่นๆ ที่ช่วยให้คนที่มีอาการซึมเศร้าค่อยๆ กลับคืนสู่สมดุลชีวิตได้ด้วยตัวเขาเอง ส่วนการฝึกภาวนานั้นก็เป็นหนทางหนึ่งที่อาจนำมาใช้เพื่อให้ผ่อนคลายกับตัวเองมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติธรรมอย่างเดียวจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด

 ans1 ans1 ans1 ans1

สภาพสังคมเป็นแบบนี้ ในอนาคตอันใกล้เตรียมรับมือกับโรคซึมเศร้ากันไว้ได้เลยครับ ในความเห็นของผม สิ่งที่สังคมไทยต้องการในตอนนี้น่าจะเป็นนักจิตบำบัดที่ถูกฝึกฝนมาอย่างมีทักษะ ไม่ใช่พระหรือคอร์สปฏิบัติภาวนา และหากชาวพุทธไทยจะหาทางพ้นทุกข์ให้น้อยลง ฝึกอยู่กับทุกข์ให้มากขึ้น ฝึกเทศน์ให้น้อยลง ฟังให้มากขึ้น ก็น่าจะเป็นประโยชน์อยู่ไม่น้อย

ที่มา : คอลัมน์ ธรรมนัว มติชนรายวัน โดย วิจักขณ์ พานิช
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1410674898
16716  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทาน ทานวัตถุ ทานมัย เมื่อ: กันยายน 17, 2014, 11:02:01 am



ทาน-ทานวัตถุ : คำวัด
โดย พระธรรมกิตติวงศ์

พระครูประชาธรรมนาถ หรือหลวงพ่อแฉ่งของชาวราษฎร์นิยม อดีตเจ้าอาวาสวัดราษฎร์นิยม ต.ราษฎร์นิยม อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ท่านได้ละสังขารในวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๓๘ ด้วยอาการสงบ เกือบ ๒ ทศวรรษแห่งการมรณภาพ ลูกศิษย์ยังสำนึกในบุญคณ ครั้นเมื่อถึงวันที่ ๙ กันยายน ของทุกปี ศิษย์จากทั่วสารทิศจะกลับมาทำบุญที่วัดด้วยการ "ตั้งโรงทาน" โดย "เด็กวัด" ที่ออกไปได้ดิบได้ดีกลับมาร่วง "ตั้งโรงทาน" อย่างต่อเนื่อง

สำหรับคำว่า "ทาน" พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้ให้ความไว้ว่า การให้, การแบ่งปัน, การเสียสละ, การเอื้อเฟื้อ หรืออีกความหมายหนึ่งคือ วัตถุที่พึงให้

 ans1 ans1 ans1 ans1

ทาน ที่แปลว่า การให้, การแบ่งปัน, การเสียสละ, การเอื้อเฟื้อ หมายถึง การให้ทานด้วยจิตใจที่ดีงาม มุ่งเพื่อบูชาพระคุณ เช่นที่ให้แก่บิดามารดา ถวายแก่พระสงฆ์ เป็นต้นบ้าง มุ่งเพื่อสงเคราะห์ เช่นที่ให้แก่คนตกทุกข์ได้ยาก ให้แก่คนทั่วไปด้วยความกรุณาสงสารบ้าง

ทาน ที่แปลว่า วัตถุที่พึงให้ ย่อมาจาก "ทานวัตถุ" หมายถึง สิ่งของสำหรับให้สำหรับเสียสละให้ผู้อื่น ได้แก่สิ่งของที่ถวายพระ สิ่งของที่ควรนำไปให้เพื่อตอบแทนบุญคุณแก่ผู้มีพระคุณ เช่น พ่อแม่ ครู อาจารย์ ญาติผู้ใหญ่ เรียกว่าไทยทานบ้าง ไทยธรรมบ้าง มี ๑๐ อย่าง
    ทานสูตร ได้แก่ อาหาร, น้ำ, เครื่องนุ่งห่ม, ยานพาหนะ, มาลัยและดอกไม้, ของหอม (ธูปเทียน), เครื่องลูบไล้ (สบู่เป็นต้น), ที่นอน, ที่อยู่อาศัย, และประทีป (ไฟหรือไฟฟ้า)
    การให้ทานวัตถุ ๑๐ อย่างนี้มีผลอานิสงส์มากเพราะเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์อย่างเดียว ไม่มีโทษ ไม่มีพิษภัยแก่ผู้รับ การเลือกของที่จะให้บัณฑิตสรรเสริญ ด้วยจิตใจที่ดีงาม


ทานเป็นบุญอย่างหนึ่ง เรียกว่า "ทานมัย" คือ บุญที่เกิดจากการให้ เป็นสังคหวัตถุ คือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจกันไว้ได้ และเป็นบ่อเกิดแห่งบารมีที่เรียกว่า ทานบารมี

การให้ทานมีวัตถุประสงค์สำคัญในการคลายความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว ความโลภในจิตใจมนุษย์ ส่งผลให้เกิดความ ใส สว่าง สะอาดของจิตใจขึ้นมา

      :25: :25: :25: :25:

     ส่วนประเภทของทานมี ๔ ประเภท คือ
     ๑. ทานที่เป็นอามิส หรืออามิสทาน คือ การให้วัตถุสิ่งของ
     ๒. ทานที่ไม่เป็นอามิส หรือธรรมทาน คือการให้ที่ไม่เป็นวัตถุสิ่งของ ได้แก่ ให้สติ ให้ธรรมะ สอนคุณธรรม ให้กำลังใจ ให้อภัย (อภัยทาน) ให้วิทยาทาน
     ๓. อภัยทาน คือการยกโทษด้วยการไม่พยาบาทจองเวร บัณฑิตกล่าวเป็นทานที่ให้ได้ยากที่สุด โดยเฉพาะการให้อภัยศัตรูหรือผู้ที่ทำร้ายตนอย่างสาหัส
     ๔. วิทยาทาน คือการให้ความรู้ทางโลก


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140912/191938.html
16717  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / 'เฟซบุ๊ก' ยอดฮิตใน 'แอฟริกา' ยอดผู้เข้าใช้พุ่งถึง 100 ล้านคน! เมื่อ: กันยายน 17, 2014, 10:52:46 am


'เฟซบุ๊ก' ยอดฮิตใน 'แอฟริกา' ยอดผู้เข้าใช้พุ่งถึง 100 ล้านคน!

"เฟซบุ๊ก" (Facebook) เผยสถิติการใช้งานในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ พบมีจำนวนผู้ใช้กว่า 1,320 ล้านคน! จากทั่วโลกแห่เข้าระบบ ส่วนทวีปแอฟริกามีจำนวนผู้เข้าใช้เฟซบุ๊กคิดเป็นครึ่งหนึ่งของผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ต…

แม้ว่า "เฟซบุ๊ก" เป็นโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้เป็นจำนวนมาก ทั้งเพื่อการติดต่อสื่อสาร การค้าขาย หรือแม้แต่ใช้เพื่อสร้างและเสพความบันเทิง แต่คุณรู้หรือไม่ว่า... ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ พื้นที่ใดในโลก ที่มีการใช้งานเฟซบุ๊กมากเป็นจำนวนถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ต คำตอบคือ "ทวีปแอฟฟริกา"

เฟซบุ๊ก ได้ประกาศความสำเร็จในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยระบุว่า อัตราการเข้าถึงเฟซบุ๊กของผู้ใช้ทั่วโลกนั้น มีจำนวนถึง 1,320 ล้านคนต่อเดือน ส่วนการเข้าถึงเฟซบุ๊กผ่านโทรศัพท์มือถือนั้นก็มีไม่น้อย ด้วยจำนวนกว่า 1,070 ล้านคนต่อเดือน

อินโฟกราฟิคแบบเท่ๆ ต่อการใช้งานเฟซบุ๊กในทวีปแอฟริกา

กลับมาที่ข้อมูลน่าสนใจของทั่วทั้งทวีปแอฟริกา ซึ่งมีผู้เข้าใช้งานเฟซบุ๊กราว 100 ล้านคนต่อเดือน หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของผู้ที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตในทวีปดังกล่าว ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 200 ล้านคน โดยมากกว่า 80% ของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กยังเข้าใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือในทุกเดือน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริง ว่าประชากรในประเทศที่มีการเติบโตสูงต้องการที่จะเชื่อมต่อกับทั่วโลก และโทรศัพท์มือถือก็กลายเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้พวกเขาสามารถเชื่อมต่อกับโลกรอบๆ ตัวได้สำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แสดงให้เห็นว่ามือถือเป็นมากกว่าอุปกรณ์ที่ใช้โทร.ติดต่อและส่งข้อความ แต่ถือเป็นช่องทางที่สำคัญในการเข้าถึงข่าวสาร การทำธุรกรรมทางการเงิน และอาชีพการงาน ทั้งยังเป็นช่องทางเชื่อมต่อกับแบรนด์และผู้ซื้อโฆษณาต่างๆ


 :49: :49: :49: :49:

อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊ก ได้พัฒนาประสบการณ์การใช้งานเฉพาะบุคคลขึ้น โดยอ้างอิงจากข้อมูลเชิงลึกของประชากรในประเทศที่มีการเติบโตสูง โดยมีการเปิดตัวทางออกสำหรับโฆษณาที่เรียกว่า "click to missed call" ในประเทศอินเดีย เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา และเมื่อไม่นานมานี้ เฟซบุ๊ก ยังได้ประกาศใช้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายด้วยแบนด์วิธสำหรับนักโฆษณาทั่วโลก ในประเทศที่กำลังพัฒนาและมีอัตราการใช้งานเฟซบุ๊กเติบโตสูงอีกด้วย.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/450614
16718  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ‘e-Book’ สอวน. ครั้งแรกของไทย - ฉลาดสุดๆ เมื่อ: กันยายน 17, 2014, 10:46:28 am


‘e-Book’ สอวน. ครั้งแรกของไทย - ฉลาดสุดๆ

ประเทศไทยได้ส่งเด็กนักเรียนเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกวิชาการระหว่างประเทศในทุกปี และสามารถคว้าเหรียญรางวัลกลับมาทุกครั้ง สร้างชื่อเสียงให้ประเทศทุกปี

ประเทศไทยได้ส่งเด็กนักเรียนเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกวิชาการระหว่างประเทศในทุกปี และสามารถคว้าเหรียญรางวัลกลับมาทุกครั้ง สร้างชื่อเสียงให้ประเทศทุกปี

ศูนย์หนังสือจุฬาฯ จึงร่วมกับ มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (สอวน.) นำหนังสือวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่นักเรียนสายวิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มาพัฒนาเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์  (eBook) เพื่อเป็นคลังความรู้ แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีมาตรฐานสากล ใช้เสริมความรู้และพัฒนาตนเองให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้อย่างทัดเทียม


 :49: :49: :49: :49:

รองศาสตราจารย์ ดร.กำจัด มงคลกุล เลขาธิการมูลนิธิ สอวน. กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยส่งนักเรียนแข่งขันโอลิมปิกวิชาการสาขาต่าง ๆ จำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าเด็กไทยไม่เป็นรองใคร ซึ่งในการแข่งขันหลักสูตรจะมีการพัฒนาและมีความก้าวหน้าอยู่เสมอ การพัฒนาตำราวิชาการของ สอวน. จะเป็นตำราสำหรับเด็กชั้นมัธยมทุก ๆ คน หลักสูตรมีความทันสมัย เด็กที่เรียนวิชาเหล่านี้ก็สามารถอ่านได้ ไม่ใช่เฉพาะสำหรับเด็กเก่งเท่านั้น ส่วนครูอาจารย์ก็สามารถนำไปปรับใช้ในการเรียนการสอนในห้องเรียนได้ด้วย

“การนำตำราวิชาการของ สอวน. มาพัฒนาเป็นอีบุ๊ก มีทั้งหมดจำนวน 21 เล่ม ครอบคลุมในวิชาที่มีการจัดแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ คือ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คอมพิวเตอร์ ดาราศาสตร์ และอนาคตจะเพิ่มในวิชาภูมิศาสตร์ด้วย”

ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.ไพศาล นาคมหาชลาสินธุ์ ผู้ได้รับเหรียญรางวัลการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ คนแรกของประเทศไทย และอาจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตำราวิชาการชุดนี้ไม่ได้เขียนมาเพื่อเด็กที่แข่งโอลิมปิกวิชาการเท่านั้น เด็กที่เรียนในห้องเรียนปกติก็สามารถนำไปใช้เรียนเสริม หรือเตรียมความรู้เพื่อเข้าสู่ระดับอุดมศึกษาได้


 :96: :96: :96: :96:

ด้าน นายเกรียงศักดิ์ หรรษาเวก รองผู้จัดการศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากแนวคิดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีปณิ ธานในการเป็น “เสาหลักของแผ่นดิน” จึงมีโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้องค์ความรู้ที่มีอยู่เหล่านี้จะถูกเผยแพร่ให้มากที่สุด ทางศูนย์หนังสือจุฬาฯ จึงเริ่มทำร้านหนังสือออนไลน์ สามารถสั่งทางออนไลน์แล้วส่งหนังสือทางไปรษณีย์ เมื่อประมาณ 10 ปี ที่แล้ว และ 2 ปีที่แล้วก็เริ่มโครงการ CU- eBook Store ซึ่งได้รวบรวมหนังสือและตำราวิชาการต่าง ๆ จากคณาจารย์และหลายสำนักพิมพ์เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ที่สอดคล้องกับยุคดิจิตอล

“หนังสือของ สอวน.ส่วนใหญ่จะเป็นที่รู้จักเฉพาะกลุ่มนักเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของ กทม. นักเรียนในต่างจังหวัดยังเข้าไม่ถึง จึงนำโครงการที่จะจัดทำในรูปแบบอีบุ๊ก ไปเสนอ มูลนิธิ สอวน. ซึ่งก็มีความเห็นที่ตรงกัน เพราะจะทำให้นักเรียนทั่วประเทศสามารถเปิดอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ซึ่งเนื้อหาสาระที่ครบถ้วน สมบูรณ์ ของอีบุ๊ก สามารถตอบสนองต่อโครงการสมาร์ท คลาสรูม ของรัฐบาลใหม่ได้เป็นอย่างดี”


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

การจัดทำอีบุ๊กจะใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์เท่านั้น ก็สามารถนำขึ้นขายได้ เนื่องจากไฟล์หนังสือส่วนใหญ่จะจัดทำเป็นไฟล์ดิจิตอลเพื่อนำไปเตรียมพิมพ์อยู่แล้ว เพียงแค่เอามาใส่รหัสเพื่อป้องกันปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์เท่านั้น สำหรับการใช้งานผู้ที่ต้องการซื้ออีบุ๊กจะต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น CU-eBook Store จากแอพสโตร์ สำหรับระบบปฏิบัติ

การไอโอเอส และจาก เพลย์สโตร์ สำหรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เมื่อเปิดใช้งานจะมีชั้นหนังสือให้เลือก นอกจากหนังสือของมูลนิธิ สอวน. แล้วยังมีหนังสืออื่นอีก 4,000 ปก โดย 60% เป็นหนังสือวิชาการ และอีก 40% เป็นหนังสือทั่วไป


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

“เมื่อกดเลือกซื้อหนังสือจากชั้นแล้ว การชำระเงินจะผ่านระบบของแอพสโตร์ด้วยการใช้บัตรเครดิต เมื่อเปิดอ่านไม่จบสามารถทำบุ๊กมาร์คเพื่อเวลาเปิดอ่านอีกครั้งให้กลับมาที่หน้าเดิม และเมื่ออ่านจบแล้วสามารถนำไปเก็บไว้บนคลาวด์เพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่ของเครื่องและหากต้องการอ่านใหม่ก็สามารถดาวน์โหลดมาอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา”

ในอนาคตทางศูนย์หนังสือจุฬาฯ จะพัฒนาอีบุ๊กให้มีภาพและเสียงแบบมัลติ มีเดีย เพื่อให้เป็นตำราวิชาการที่อ่านแล้วไม่เบื่อ และมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น.


จิราวัฒน์ จารุพันธ์
JirawatJ@dailynews.co.th


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.dailynews.co.th/Content/IT/266766/‘eBook’+สอวน.+ครั้งแรกของไทย+-+ฉลาดสุดๆ
16719  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เอาไปเอามา ชาวลาวจะได้นั่ง "รถไฟความเร็วสูง" ก่อนใคร สาย.สะหวันนะเขต-เวียดนาม เมื่อ: กันยายน 17, 2014, 10:43:23 am
พิธีเซ็นสัญญากับบริษัทที่ปรึกษา จัดขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 11 ก.ย. สื่อของทางการเพิ่งจะรายงานในวันจันทร์ 15 ก.ย.นี้ ซึ่งทำให้โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงรางคู่ลาว-เวียดนาม ใกล้ความเป็นจริงเข้ามาอีกขั้น ในพิธีเดียวกันนี้บริษัทจากมาเลเซียได้มอบเช็คเงิน ให้แก่กระทรวงศึกษาธิการและการกีฬาลาว สำหรับโครงการพัฒนาด้านการศึกษาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ตามรายทางที่กำลังจะก่อสร้างทางรถไฟ อีกจำนวนหนึ่งมอบให้แก่องค์การพัฒนาของภาคเอกชนจากมาเลเซียที่ดำเนินงานอยู่ในลาว ดร.พันคำ วิพาวัน รองนายกฯ และ รมว.ศึกษาธิการฯ ร่วมเป็นสักขีพยาน. -- ภาพ: หนังสือพิมพ์ออนไลน์ "ปะเทดลาว".
       

เอาไปเอามาชาวลาวจะได้นั่งรถไฟความเร็วสูงก่อนใคร
สาย : สะหวันนะเขต-เวียดนาม เริ่มออกแบบ

ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงรางคู่ ระยะทาง 220 กิโลเมตร จากชายแดนไทย ที่เมืองไกสอน พมวิหาน แขวงสะหวันนะเขต ไปยังด่านลาวบ๋าว ชายแดนเวียดนาม ใกล้ความจริงเข้ามาอีกขั้นหนึ่งในขณะนี้ หลังจากบริษัทไจแอ้นท์เรล (Giant Rail Co) เจ้าของสัญญาสัมปทาน ได้เซ็นความตกลงว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาจากมาเลเซีย ให้ออกแบบในรายละเอียดของโครงการตลอดระยะทาง
       
       บริษัทดิจิแม็ป (Digimap Snd Bhd) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาโครงการอยู่แล้ว จะทำการออกแบบรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้สามารถเริ่มการก่อสร้างได้ในปี 2558 นี้ สื่อของทางการลาวรายงานในวันจันทร์ 15 ก.ย.นี้ เกี่ยวกับพิธีเซ็นสัญญาระหว่างสองฝ่ายที่จัดขึ้นในนครเวียงจันทน์ เมื่อวันที่ 11 สำหรับรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่มีระยะเวลาสัมปทาน 50 ปี มูลค่าราว 5,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมทั้งมูลค่าการลงทุนพัฒนาสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ด้วย


        :49: :49: :49: :49:

       ไจแอ้นท์เรล ซึ่งเป็นบริษัทลูกของไจแอ้นท์คอนโซลิเดทเต็ด กับดิจิแม็ปเบอร์ฮาร์ด ได้เซ็นความตกลงสัญญาหลักระหว่างกันเมื่อวันที่ 5 พ.ย.2555 ในช่วงที่มีการประชุมผู้นำอาเซียน ที่ลาวเป็นเจ้าภาพ โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัค ในขณะนั้น กับ นายกรัฐมนตรีลาวทองสิง ทำมะวง ร่วมเป็นสักขีพยาน สำหรับการก่อสร้างโครงการ ที่จะช่วยเปลี่ยนลาวจากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เป็นประเทศแห่งการต่อเชื่อมอนุภูมิภาค
       
       ทางการลาว กับบริษัทไจแอ้นท์เรล ได้จัดพิธีเปิดหน้าดินขึ้นในแขวงสะหวันนะเขต ในเดือน ม.ค.ปีนี้ โดยหวังว่าจะสามารถเริ่มการก่อสร้างได้ทันที หลังจากล่าข้ามานานแรมปี แต่ในที่สุดก็ยังไม่สามารถลงมือได้ ฝ่ายผู้ลงทุนอ้างว่า ระหว่างการการสำรวจความเป็นไปได้ของโครงการนั้น ได้พบวัตถุระเบิดที่หลงเหลือตั้งแต่ครั้งสงครามจำนวนมาก ตามเส้นทางรถไฟฟ้าที่จะสร้างขนานไปกับทางหลวงเลข 9 ซึ่งจะต้องเก็บกู้ให้หมดเสียก่อน
       
       บริษัทจากมาเลเซีย เคยแถลงในเดือน พ.ย.2555 ภายหลังการเซ็นสัญญากับรัฐบาลลาว โดยระบุว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ทันทีในปี 2556 การเซ็นข้อตกลงกับบริษัทที่ปรึกษา เพื่อให้ออกแบบโครงการในรายละเอียดเมือสัปดาห์ที่แล้ว ถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญสำหรับโครงการ ในขณะที่งานด้านอื่นๆ ซึ่งรวมทั้งการเก็บกู้วัตถุระเบิด ได้ดำเนินคู่ขยนานกันไป สื่อของทางการกล่าว






ในเดือน ก.ค.ปีนี้ ทางการลาวกับบริษัทผู้ลงทุน ได้จัดการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เกี่ยวกับโครงการทางรถไฟความเร็วสูงลาว-เวียดนาม ยืนยันในความพร้อมของเงินลงทุน และให้ความมั่นใจแก่ทุกฝ่ายว่า โครงการยังคงเดินหน้าต่อไป แม้ว่าที่ผ่านมาจะเกิดการติดขัดที่ไม่คาดคิดหลายประการตามที่กล่าวมาแล้ว
       
       อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ทางรถไฟความเร็วสูงรางมาตรฐานขนาด 1.435 เมตร ที่ออกแบบเพื่อการคมนาคมและการขนส่งสินค้านี้ จะไปเชื่อมต่อกับระบบรถไฟในเวียดนาม ที่ยังใช้รางกว้างเพียง 1 เมตรอย่างไร และจะก่อสร้างต่อไปอย่างไร หลังจากไปถึงชายแดนเวียดนาม


        :49: :49: :49: :49:

       ตามรายงานก่อนหน้านี้ ไจแอ้นท์คอนโซลฃิเดทเต็ด ได้เปิดการเจรจากับทางการเวียดนาม เกี่ยวกับการก่อสร้างทางรถไฟอีกช่วงหนึ่ง ไปเชื่อมต่อกับระบบรถไฟเวียดนามที่ จ.กว๋างจิ โดยหวังว่าจะสามารถสร้างการเชื่อมต่อไปไปจนถึงท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ ทางตอนเหนือของนครด่าหนัง ที่อยู่ใต้ลงไปได้
       
       เมื่อมองในเชิงยุทธศาสตร์ ทางรถไฟลาว-เวียดนาม สอดคล้องต่อแผนการก่อสร้างระเบียงขนส่งแนวตะวันออก-ตะวันตก ที่ทะลุเข้าสู่ดินแดนไทย ไปออกทะเลในอ่าวเมาะตะมะของพม่า เช่นเดียวกันกับทางหลวงเลข 9 ที่สามารถทะลุเข้าสู่ไทยได้ในที่สุด และปัจจุบันรอเชื่อมกับทางหลวงสายแม่สอด-มะละแหม่ง ในพม่า ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนี้เท่านั้น.

       .
เจ้าหน้าที่มาเลเซียแสดงแผนที่และเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงรางคู่ ลาว-เวียดนามมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์ ระหว่างการแถลงข่าวนัดหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว เป็นภาพจากเว็บไซต์บริษัทดิจิแม็ปเบอร์ฮาร์ด แห่งมาเลเซีย โครงการนี้ใกล้คสวามจริงเข้ามาอีกขั้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9570000106202
16720  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไอเดียเจ๋ง ทำโลงศพเป็น "บ้านหลังสุดท้าย" เมื่อ: กันยายน 17, 2014, 10:36:36 am


ไอเดียเจ๋ง ทำโลงศพเป็น "บ้านหลังสุดท้าย"

เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 57  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีร้านขายหีบศพ ซึ่งเป็นบ้านหลังสุดท้ายของคนตาย มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกสรรค์ เพราะที่นี้เขามไอเดียใหม่สำหรับคนตายครับ  ร้านนี้เป็นร้านของนางสาวจันทรา  เปลี่ยนสมัย  อายุ 37 ปี  เปิดเป็นร้านขายหีบศพ  อยู่ที่อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี

โดยนางสาวจันทรา กล่าวว่า เป็นผู้ทำหีบโลงศพเป็นบ้านหลังสุดท้าย แห่งแรกในจังหวัดราชบุรี เพราะธุรกิจขายหีบศพเริ่มก่อตั้งขึ้นมาประมาณ 10 กว่าปี ก็อยากให้เปลี่ยนแบบรูปแบบใหม่ๆ ดูบ้าง ไม่อยากให้มีแต่โลงศพแบบเดิมๆ อย่างหีบศพเทพพนม หีบศพแบบมุข โดยอยากจะเปลี่ยนเป็นวัฒนกรรมใหม่ ๆ ที่ทันสมัยขึ้น แบบไม่เครียด และดูไม่น่ากลัว  จึงได้ไอเดียเก๋ๆที่ไม่เหมือนใคร โดยทำรูปแบบหีบศพเป็นบ้านและคอนโด ออกมาให้กับผู้เสียชีวิตที่อยากจะมีบ้านหลังสุดท้ายสวยๆ




โดยการออกแบบสร้างโลงศพนั้น ก็จะมีแบบบ้านเดี่ยว, บ้าน 2 ชั้น, คอนโด โดยทั้งหมดนั้นจะทำลวดลายให้เหมือนบ้าน และใส่หลังคาบนหีบศพ ซึ่งคนนั้นเริ่มมีความคิดที่จะผลิตโลงศพลักษณะนี้ ออกมาเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว และก้ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนราคานั้นมีตั้งแต่ 11,000 จนไปถึง 18,000 บาท แล้วแต่แบบรูปทรงบ้านที่ออกแบบ

นอกจากนี้ นางสาวจันทรายังกล่าวอีกว่า ในอนาคตนั้นจะออกแบบโลงศพเป็นแบบบ้านทรงไทย และโลงสุนัขออกมาสำหรับคนรักสัตว์ ซึ่งการเกิดแก่เจ็บตาย เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกสิ่งที่เกิดมาบนโลก ทุกคนรู้ว่าเกิดมาเมื่อไหร่ แต่เราไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ อย่างน้อยในวันที่เราตาย เราก็คงอยากได้โลงศพสวยๆ มาไว้ใส่ร่างของเราในวาระสุดท้าย เพราะ บางครั้งการตาย ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าเสมอไป มันเป็นการพ้นทุกข์

จุดประสงค์ของเราคืออยากจะเปลี่ยนโลงที่ดูน่ากลัว ให้กลายเป็นโลงที่สวยงาม และแม้ในที่สุดโลงก็จะต้องมอดไหม้ไปพร้อมกับร่างที่อยู่ภายใน แต่อย่างน้อยมันก็เป็นการส่งผู้ล่วงลับไปสู่สุขคติเป็นครั้งสุดท้าย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1410752070
หน้า: 1 ... 416 417 [418] 419 420 ... 708