ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 419 420 [421] 422 423 ... 708
16801  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 8 อาหารเช้า สลัดความง่วง ปลุกสมองปลอดโปร่ง ! เมื่อ: กันยายน 09, 2014, 10:28:08 am


8 อาหารเช้า สลัดความง่วง ปลุกสมองปลอดโปร่ง.!

เช้าๆ ตื่นมาเหมือนยังไม่ตื่นดี ทั้งงัวเงียและหงุดหงิดง่ายเหมือนนอนได้ไม่เต็มอิ่ม คิดอะไรไม่ค่อยออกหรืออาจจะอึนกันไปตลอดวัน … เป็นแบบนี้ไม่ดีแน่  "ไทยรัฐออนไลน์" ขอเพิ่มความกระชุ่มกระชวย ปลุกความสดชื่นให้คุณในตอนเช้า เติมความปลอดโปร่งให้สมองวิ่งแล่น และเพิ่มพลังงานด้วยอาหารเช้า 8 อย่าง ทั้งอาหารทานเล่นและผลไม้ที่คุณอาจไม่คิดว่ามันช่วยได้จริง แถมที่สำคัญยังทำให้คุณอารมณ์ดีและรู้สึกกระปรี้กระเปร่าตลอดวัน

เดินหน้าสตาร์ตเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย...!

1. อัลมอนด์ 
อาหารทานเล่นที่เป็นแหล่งรวมสารอาหารชั้นยอด อย่างโปรตีนและไขมันต่ำ (ที่ไม่ทำให้อ้วน) นอกจากอัลมอนด์จะช่วยให้พลังงานแก่ร่างกายและช่วยให้สมองไบรท์มากขึ้นแล้ว อัลมอนด์ยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ด้วย จึงเหมาะที่จะทานในตอนเช้าเป็นอย่างยิ่ง คุณอาจจะทานเล่นๆ หรือนำไปมิกซ์ผสมกับอย่างอื่นก็ได้


2. ไข่ไก่ 
เหตุผลที่เรา (ต้อง) กินไข่ไก่ทุกเช้าให้เป็นนิสัย เพราะในไข่ไก่อุดมไปด้วยโปรตีน ซึ่งมีส่วนช่วยในการทำงานของสมอง ให้สมองรู้สึกปลอดโปร่ง คิดและตัดสินใจสิ่งต่างๆ ได้เร็วและง่ายขึ้น รวมทั้งไข่ไก่หนึ่งใบยังให้พลังงานมากถึง 3 เท่า ! คุณสามารถทำอะไรหลายสิ่งอย่างได้ตลอดวัน โดยที่คุณไม่รู้สึกเสียพลังงานเลยแม้แต่น้อย



3. โยเกิร์ต
เลือกทานโยเกิร์ตแบบธรรมดาๆ ในตอนเช้าแทนน้ำผลไม้หวานๆ ที่ใส่น้ำตาล (ที่เป็นสาเหตุให้คุณเหนื่อยง่ายและพลังงานในร่างกายลดลง) โยเกิร์ตจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายดีขึ้น หรือบางทีคุณอาจนำอัลมอนด์มามิกซ์ทานเข้าด้วยกันก็อร่อยไปอีกแบบ  แถมยังช่วยสร้างพลังงานให้กับร่างกายได้ดีจริงเชียว ยิ่งถ้านำโยเกิร์ตไปแช่เย็นก่อนทาน คุณจะรู้สึกสดชื่นแบบสุดๆ


*** ทริคเล็กน้อย ***
โยเกิร์ต สามารถทานได้ตลอดเวลา ยิ่งถ้าคุณทานโยเกิร์ตก่อนนอนทุกคืน ตอนเช้าตื่นมาคุณจะขับถ่ายได้ดีทีเดียวล่ะ

4. แอปเปิ้ล
ทานแอปเปิ้ลแทนกาแฟสักแก้วในตอนเช้า คุณจะไม่เพียงรู้สึกตื่น แต่คุณจะรู้สึกอิ่มท้องด้วย … น้ำตาลธรรมชาติที่อยู่ในแอปเปิ้ลจะทำให้คุณดีดตัว คุณจะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น



5. ผักขมหรือกะหล่ำปลีสีเขียวเข้ม 
รับเช้าวันใหม่ด้วยผักสีเขียวที่ปกคลุมไปด้วยใบ ประโยชน์หลากหลายที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ช่วยให้สมองแล่นพร้อมเปิดรับสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น ในเช้าวันไหนที่คุณเบื่อๆ ลองทำไข่คนใส่ผักขมหรือกะหล่ำปลีสีเข้มๆ ดูสิ รับรอง … มันจะช่วยขับเคลื่อนพลังงานให้คุณอย่างเต็มที่เลยล่ะ


6. ธัญพืช โฮลเกรนต่างๆ
อาหารสมองที่เต็มไปด้วยประโยชน์และคุณค่าทางอาหารมากมาย นอกจากโฮลเกรนจะให้พลังงานมากเท่าที่คุณต้องการแล้ว ยังเป็นอาหารที่ช่วยลดความอ้วนได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย เพราะธัญพืชหรือโฮลเกรนเป็นข้าวที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ (แต่ให้พลังงานสูง) จึงเป็นอาหารยอดนิยมสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ อยากมีหุ่นสวยโดยเฉพาะ อาหารเช้าคุณอาจฉีกกรอบไอเดียเดิมๆ มิกซ์ธัญพืชโฮลเกรนเข้ากับอัลมอนด์ หรือทานคู่กับแอปเปิ้ลก็ได้ ก็อร่อยแถมได้ประโยชน์ไปอีกแบบ …



7. ผลส้ม 
ทานผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีอย่างส้มสัก 1- 2 ผล ในตอนเช้า เพื่อให้ร่างกายของคุณได้เบิร์นไขมันเป็นพลังงาน…ไม่แปลกใจเลยว่า ใครๆ ก็ดื่มน้ำส้มในตอนเช้า !


8. กล้วย 
ผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียมและวิตามินมากมาย กล้วยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่และทำให้การขับถ่ายดีขึ้น ส่วนน้ำตาลในกล้วยจะช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและรู้สึกมีพลังมากขึ้น นอกจากทานกล้วยในตอนเช้าแล้ว ลองเปลี่ยนมาทานกล้วยตอนบ่ายๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่น คลายง่วงแทนการดื่มกาแฟสักแก้ว ก็เวิร์กอยู่นะ !


จริงๆ แล้วคุณสามารถทานกล้วยได้ตลอดเวลา ยิ่งทานกล้วยมากเท่าไร ยิ่งดีต่อสุขภาพเท่านั้น...!


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/448173
16802  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การศึกษาไทยดิ่ง "ลาว-เขมร"แซง เมื่อ: กันยายน 09, 2014, 10:22:03 am


การศึกษาไทยดิ่ง "ลาว-เขมร"แซง

อดีตเลขาฯ สกอ.ยอมรับไทยแพ้ลาวแล้ว หลังเวิลด์อีโคโนมิกฯ เผยการศึกษาไทย อยู่อันดับท้ายๆ ในอาเซียน

เมื่อวันที่ 7 กันยายน นายภาวิช ทองโรจน์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ข้อมูลเปรียบเทียบดัชนีคุณภาพการศึกษาของประเทศสมาชิกทั้งหมด 144 ประเทศทั่วโลก จากรายงานโกลบอล คอมเพทติทีฟ รีพอร์ท 2014-2015 (Global Competitiv Report 2014-2015) โดย เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม (World Economic Forum-WEF) โดยสรุปปรากฏว่า ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย อยู่เป็นอันดับที่ 31 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน ตามหลังประเทศสิงคโปร์ อยู่อันดับ 2 ของโลก และมาเลเซีย อันดับ 20 ของโลก

แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะดัชนีด้านการศึกษาแล้ว จะเห็นว่ามีความน่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคุณภาพของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยอยู่ที่ อันดับ 7 ของอาเซียน จากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับ 6 และเป็นอันดับที่ 86 ของโลก โดยสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ขยับไปแทนที่ในอันดับที่ 6 ของอาเซียน และทิ้งห่างไทยไปอยู่ในอันดับที่ 79 ของโลก

ส่วนคุณภาพของระดับอุดมศึกษาของไทย อยู่ที่อันดับ 8 ของอาเซียน เป็นอันดับที่ 78 ของโลก ตามหลัง สปป.ลาว ที่อยู่อันดับ 6 ของอาเซียน และอันดับที่ 57 ของโลก ส่วนประเทศกัมพูชา อยู่อันดับ 7 ของอาเซียน อันดับ ที่ 76 ของโลก แม้ว่าขีดความสามารถด้านคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์ของไทยจะอยู่อันดับค่อนข้างดี คืออันดับ 5 ของอาเซียน แต่อยู่อันดับ 80 ของโลก


 :49: :49: :49: :49:

"เมื่อวิเคราะห์ถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ต่อจำนวนประชากรของประเทศ พบว่า ไทยมีรายได้ต่อหัวอยู่อันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นอันดับที่ 79 ของโลก เท่ากับว่าประเทศในอาเซียนที่มีจีดีพีต่ำกว่าไทย กลับจัดการศึกษาได้ดีกว่า ประเด็นที่น่าสนใจคือ WEF จัดให้คุณภาพของการศึกษาด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ของสิงคโปร์ เป็นอันดับ 1 ของโลก นอกจากนี้ การศึกษาขั้นพื้นฐานอยู่อันดับต่ำกว่าลาว ขณะที่อุดมศึกษาไทยแพ้ทั้งลาว และกัมพูชา ดังนั้น ที่พูดว่าไทยแพ้ลาวแล้ว ทุกวันนี้จึงไม่ใช่คำพูดเล่นๆ อีกต่อไป" นายภาวิชกล่าว

นายภาวิชกล่าวอีกว่า การศึกษาถือเป็นดัชนีหนึ่งในการชี้อนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว หากการศึกษาไม่ดี เศรษฐกิจก็อาจจะแย่ลง โดยเฉพาะความรู้ในเรื่องวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หากแย่ลงก็จะกระทบต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ดังนั้น ประการแรก จึงควรต้องเพิ่มเรื่องคุณภาพการศึกษา ที่ผ่านมามีประเด็นที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เองไม่ชัดเจน และพูดในเชิงต่อต้านมาตลอดคือ การรื้อหลักสูตร โดยจะต้องเปลี่ยนมาเน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์มากขึ้น ไม่ไช่เน้นเนื้อหาเช่นปัจจุบัน


 :03: :03: :03: :03:

นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ตนทราบรายงานการจัดอันดับของ WEF แล้ว แต่ต้องไปดูรายละเอียด โดยเฉพาะกระบวนการ และวิธีการประเมิน หากผลการจัดอันดับเป็นจริงตามข้อมูลของ WEF สพฐ.คงต้องยอมรับ จากนั้นต้องไปวิเคราะห์เจาะลึกลงไปอีกว่า ไทยอ่อนตรงจุดไหน เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด ที่ผ่านมาได้วางแผนในการแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาไว้เบื้องต้นแล้ว

จากนี้ตนพร้อมผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ.จะเดินหน้าจัดทำแผนยุทธศาสตร์ เพิ่มอันดับการทดสอบในระดับต่างๆ ทั้งการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) หรือคะแนนโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ Programme for International Student Assessment (PISA) จะต้องตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าในปีต่อไปต้องเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ และจะเริ่มเดินตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวทันทีในปีงบประมาณ 2558

"ขณะเดียวกันต้องรอฟังนโยบายของรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ว่ามีทิศทางอย่างไร เพื่อผสานการทำงานตามนโยบายที่ สพฐ.วางไว้ กับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการ ศธ.และรัฐบาลไปด้วยกัน ทั้งนี้ เรื่องที่ สพฐ.อยากให้รัฐบาลช่วยดูแลเรื่องการศึกษา มี 3 เรื่องหลักๆ คือ อยากให้ช่วยผลักดันให้มีคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) ของ สพฐ.เอง เพื่อให้การบริหารจัดการบุคคลของ สพฐ.รวดเร็ว ช่วยดูแลผลักดันเรื่องการยกระดับคุณภาพการศึกษา และเตรียมปรับค่าใช้จ่ายรายหัวของเด็กให้สอดคล้องกับความเป็นจริง รวมถึง ดูแลค่าใช้จ่ายรายหัวให้กับเด็กต่างด้าว ที่เพิ่มมากขึ้นทุกปีด้วย" นายกมลกล่าว


 :41: :41: :41: :41:

นพ.กำจร ตติยกวี เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า WEF เป็นการรายงานข้อมูลโดยใช้ผลความพึงพอใจต่อคุณภาพบัณฑิตของนายจ้างมาเป็นตัวชี้วัดสำคัญ ยอมรับว่าอุดมศึกษาไทยมีปัญหาว่าผลิตบัณฑิตออกมาแล้วไม่สามารถทำงานได้ทันที สถานประกอบการต้องเสียเวลาฝึกงานให้ระยะหนึ่ง อาจทำให้สถานประกอบการของไทย พึงพอใจต่อคุณภาพบัณฑิตค่อนข้างน้อย ส่งผลให้ถูกจัดอยู่ในอันดับท้ายๆ

ส่วนอันดับที่อยู่ท้ายๆ จนตามหลัง สปป.ลาว และกัมพูชานั้น อาจเป็นเพราะทั้ง สปป.ลาว และกัมพูชา ยังมีอุตสาหกรรมน้อยกว่าไทย จึงสามารถเลือกบัณฑิตที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการได้มากกว่า เป็นธรรมดาที่ต้องมีความพึงพอใจมากกว่าอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่พยายามส่งเสริมการเรียนในหลักสูตรทวิภาคี เรียนในสถานประกอบการ หรือเรียนไปทำงานไป เพื่อช่วยเพิ่มทักษะในการทำงานให้กับบัณฑิตมากขึ้น เรื่องนี้คงต้องมีการส่งเสริมในระยะยาวด้วย

"ขณะเดียวกัน อยากรัฐมนตรีว่าการ ศธ.และรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.อีก 2 คน ช่วยผลักดันงบวิจัย เพราะงานวิจัยถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาอุดมศึกษา รวมถึง อยากให้ดูแลงบ ในเรื่องของการส่งเสริมอาจารย์ และบุคลากรต่างๆ ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น เพื่อนำความรู้มาช่วยพัฒนาประเทศด้วย" นพ.กำจรกล่าว


ที่มา : นสพ.มติชน
campus.sanook.com/1373517/การศึกษาไทยดิ่ง-ลาว-เขมรแซง/
16803  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แห่ดู‘ควายแปลก‘ไถ่จากโรงเชือดถวายวัดดังกรุงเก่า เมื่อ: กันยายน 09, 2014, 10:14:43 am


แห่ดู ‘ควายแปลก‘ ไถ่จากโรงเชือดถวายวัดดังกรุงเก่า

วัดดังกรุงเก่า รับเลี้ยงควายไทย 5 ตัวที่มีผู้ไถ่ชีวิตจากโรงเชือด ลักษณะแปลกแตกต่างจากควายทั่วไป มีทั้งควายแคระ ควายเผือก และควายสลับสีขาว-ดำ นัยน์ตาสีฟ้า นักร้องดัง ‘สุรชัย สมบัติเจริญ’ ไปเห็นบอกเป็นโชคดีของควายที่ได้มาอยู่วัด

เมื่อวันที่ 8 ก.ย.57 ที่วัดป้อมรามัญ ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ได้มีประชาชนเดินทางมาทำบุญ และกราบนมัสการพระครูเกษม จันทวิมล หรือพระอาจารย์แดง เจ้าอาวาสพระเกจิชื่อดังของ จ.พระนครศรีอยุธยา ในจำนวนนี้ รวมถึง "สุรชัย สมบัติเจริญ" นักร้องชื่อดัง ที่เดินทางมาทำบุญด้วย

โดยพระอาจารย์แดง ได้พานายสุรชัย สมบัติเจริญ ไปดูควาย 5 ตัว ที่นางสมทรง พันธุ์เจริญวรกุล นายกอบจ.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนายไพศาล ทุ่งทอง อายุ 50 ปี เจ้าของตลาดน้ำทุ่งบัวชมพร้อมครอบครัว ได้ร่วมกันไถ่ชีวิตมาจากโรงเชือดที่จ.ชัยนาท และนำมาถวายพระอาจารย์แดง ซึ่งทั้ง 5 ตัว มีลักษณะแปลกไปกว่าควายทั่วไป โดยมีควายแคระจำนวน 3 ตัว ควายเผือก 1 ตัวและควายทุย 2 ตัว 1 ใน 2 ตัวเป็นควายตัวเมียมีลักษณะตัวใหญ่สวยงาม ลำตัวสีดำ ใบหน้าและหัวสีเผือก ขาสีเผือกเหมือนสวมถุงเท้านักฟุตบอล นัยน์ตาสีฟ้า สร้างความสนใจให้กับประชาชนและญาติโยมที่มาทำบุญที่วัดอย่างมาก



นายสุรชัย สมบัติเจริญ นักร้อง นักแสดง บอกว่าได้เดินทางมาทำบุญที่วัด พบผู้มีจิตศรัทธานำควายมาถวาย จึงมาดู และเห็นมีควายแปลกรูปร่างใหญ่ เขาสวยมีสีขาวสีดำสลับกัน โชคดีที่มาอยู่ที่วัดนี้ไม่ถูกโรงฆ่าสัตว์เชือดไปเสียก่อน และมีชาวบ้านที่ชอบเรื่องหวย เมื่อเห็นของแปลกก็ไม่พลาดที่จะมองหาเลขเด็ด จุดธูปกราบไหว้ เพื่อนำไปเสี่ยงโชค

ขณะที่นายไพศาล ทุ่งทอง เจ้าของควายซึ่งเป็นผู้ไถ่ชีวิตจากโรงฆ่าสัตว์ บอกว่าได้ไถ่ชีวิตควายมาในราคาตัวละ 50,000 บาท เลี้ยงไว้ที่ตลาดน้ำบัวชมได้ประมาณ 6 เดือนจึงปรึกษากับทางครอบครัวว่าถวายควายให้วัดจะเป็นบุญกุศลดีกว่าให้คนอื่น สุดท้ายก็ตกลงว่าจะนำมาไว้ที่วัด

ด้านพระอาจารย์แดง กล่าวว่า ได้รับควายไว้จำนวน 5 ตัว ให้ลูกศิษย์เลี้ยงไว้ในบริเวณวัด ให้ญาติโยมและเด็กๆ ได้เรียนรู้ศึกษาลักษณะของควายไทยต่อไป ส่วนเรื่องความเชื่อของคนชอบหวยก็เป็นเรื่องที่คู่กับคนไทยมานาน แต่ไม่อยากให้งมงายมากนัก อยากให้ทุกคนพึ่งตนเอง ก่อนที่จะพึ่งในสิ่งที่มองไม่เห็น


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/448768
16804  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สิ้น'หลวงพ่อยะ'เกจิดังนครปฐม สิริอายุ 87 ปี เมื่อ: กันยายน 09, 2014, 10:11:37 am

สิ้น'หลวงพ่อยะ'เกจิดังนครปฐม สิริอายุ 87 ปี

สิ้นเกจิพระดังนครปฐม "หลวงพ่อยะ" เจ้าอาวาสวัดท่าข้าม ต.ท่าข้าม อ.สามพราน ด้วยโรคเบาหวานและไตวาย สิริอายุ 87 ปี ประชาชนจำนวนมากแห่ร่วมประกอบพิธีรดน้ำศพ...

เมื่อตอนบ่ายของวันที่ 8 ก.ย.57 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า พระเกจิดัง พระมงคลสิทธาจารย์ หรือหลวงพ่อยะ เขมปาโร เจ้าอาวาสวัดท่าข้าม ต.ท่าข้าม อ.สามพราน จ.นครปฐม มรณภาพ ขณะนี้นำศพมาตั้งให้ประชาชนรดน้ำศพและตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดท่าข้าม ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบ

จากการตรวจสอบ พบว่าที่ศาลอเนกประสงค์ของวัดท่าข้าม มีประชาชนและข้าราชการจำนวนมากแต่งชุดดำไว้ทุกข์มาร่วมประกอบพิธีรดน้ำศพ โดยศพของหลวงพ่อยะ นอนสงบนิ่งตั้งอยู่บนตั่งไม้ประดับด้วยดอกไม้ เพื่อรอพระราชพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ โดยสมเด็จพระธีรญาณมุณี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ เป็นประธานในพิธีและเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายมนู สร้อยพลอย นอภ.สามพราน เป็นประธานฝ่ายฆราวาส หลังจากประกอบประธานฝ่ายสงฆ์และฆราวาสประกอบพิธีเสร็จ จากนั้นประชาชนทยอยกันเข้าแถวสรงน้ำศพกันยาวเหยียด



พระปลัดณัฐพงษ์ อุปสนะโต รองเจ้าอาวาสวัดท่าข้าม เปิดเผยว่า หลวงพ่อยะ มรณภาพเมื่อวันที่ 6 ก.ย.57 เวลา 20.35 น.ที่ รพ.ธนบุรี 1 ด้วยอาการเบาหวานและไตวาย อายุ 87 ปี 63 พรรษา ท่านป่วยด้วยโรคดังกล่าวมา 4-5 ปี รับการรักษาที่ ร.พ.ธนบุรี 1 เรียกว่าเข้าๆ ออกๆ มาตลอด

โดยหลวงพ่อยะเป็นเกจิดังของนครปฐม ที่มีลูกศิษย์ลูกหามาก ทางด้านเมตตามหานิยม ทำนายทายทักแม่นยำก่อนที่จะเริ่มป่วย เคยทักชาวบ้านหลายรายว่าจะมีโชคลาภ จากการค้าขายและเสี่ยงโชคจนร่ำรวย ซึ่งคนที่ทักเหล่านั้นล้วนประสบผลตามที่ทำนาย จึงมีประชาชนเดินทางมากราบไหว้กันแน่นวัดทุกวัน จนกระทั่งท่านป่วย ทางวัดจึงของดและเยี่ยม

สำหรับศพของท่านนั้นหลังจากพิธีรดน้ำเสร็จสิ้น จะนำศพท่านบรรจุลงในโลงแก้ว จะประกอบพิธีสวดพระอภิธรรมจำนวน 50 วัน ขณะนี้มีเจ้าภาพจองแล้ว 50 วัน หากมีมากก็จะขยายวันสวดพระอภิธรรมออกไปอีก


 :96: :96: :96:

สำหรับประวัติพระมงคลสิทธาจารย์ หรือ หลวงพ่อยะ เขมปาโร อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าข้าม เกิดวันที่ 15 มี.ค. 2470 ปีเถาะ อุปสมบทหลังจากปลดประจำการทหารเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2494 ที่วัดท่าข้าม และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสปี 2517 และได้พัฒนาวัดจนเจริญรุ่งเรืองและมีคนเดินทางมาท่องเที่ยวที่วัดมากขึ้น จนปี 2518 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ชั้นพระครูที่ พระครูเกษมธรรมรักษ์ และปี 2550 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นสามัญ ราชทินนามที่ พระมงคลสิทธาจารย์ ฝ่ายวิปัสสนา ซึ่งหลวงพ่อยะ เป็นที่เคารพนับถือของบรรดาลูกศิษย์และประชาชนโดยทั่วไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/448805
16805  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ร้อง ปปช.สอบ วัดสระเกศ จัดงานสมเด็จเกี่ยวไม่โปร่งใส เมื่อ: กันยายน 08, 2014, 01:07:18 pm

ร้อง ปปช.สอบวัดสระเกศ จัดงานสมเด็จเกี่ยวไม่โปร่งใส

เครือข่าย อพช. ยื่นหนังสือ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณจัดงานศพ สมเด็จพระพุฒาจารย์ชี้ส่อไม่โปร่งใส

เมื่อวันที่ 8 ก.ย. เวลา 10.30 น.ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)นายชัยธนพล ศรีจิวังษา ตัวแทนองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (อพช.) ยื่นหนังสือถึงนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อร้องเรียนกรณีที่พระพรหมสุธี(เสนาะ ปัญญาวชิโร) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการเถรสมาคม

มีพฤติกรรมส่อว่าทุจริตต่องบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นงบประมาณ จำนวน 67,550,000 บาท ที่รัฐบาลอนุมัติเป็นค่าใช้จ่ายในพิธีพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช โดยมีนายนิพนธ์ธรรมศรี ผู้อำนวยการสำนักป้องกันการทุจริตภาครัฐวิสาหกิจและธุรกิจเอกชน สำนักงานป.ป.ช.เป็นผู้รับหนังสือแทน

 :96: :96: :96: :96:

นายชัยธนพล กล่าวว่า ยื่นหนังสือร้องเรียนครั้งนี้พร้อมหลักฐานที่ส่อว่าจะเกิดการทุจริตในการใช้งบประมาณดังกล่าวเพราะพบว่าพระพรหมสุธีอาจจะนำงบฯดังกล่าวไปสนับสนุนธุรกิจเครือญาตในโครงการบ้านจัดสรรที่กำลังดำเนินการอยู่ในพื้นที่ต.สามเรือน อ.บางประอินทร์ จ.พระนครศรีอยุธยา จึงทำให้คณะกรรมการจัดงานพระราชทานเพลิงศพต้องรับสภาพหนี้สินต่อบริษัทที่รับจัดงาน จึงขอให้สำนักงานป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนเพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/สังคม/สังคมทั่วไป/317007/ร้องปปช-สอบวัดสระเกศจัดงานสมเด็จเกี่ยวไม่โปร่งใส
16806  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ด่วน.!! วัดเส้าหลิน รับสมัคร ผู้อำนวยการงานสื่อสารมวลชน เมื่อ: กันยายน 08, 2014, 01:03:06 pm

หลวงจีนวัดเส้าหลินโชว์ลีลามวยกังฟู
ในงานเทศกาลศิลปะประจำปีที่สิงคโปร์เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2552 – แฟ้มภาพเอพี

ด่วน.!! วัดเส้าหลิน รับสมัคร ผู้อำนวยการงานสื่อสารมวลชน

       เอพี - วัดเส้าหลินต้นตำรับมวยกังฟูของจีนประกาศรับสมัครผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารมวลชน หวังสร้างแบรนด์ของวัด ให้ขจรขจายไปไกลยิ่งขึ้น
       
       การประกาศรับสมัครออนไลน์ของทางวัด มีกระแสตอบรับในทันทีจากผู้คน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงชื่อเสียงของวัดเส้นหลิน ซึ่งมีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ถึง 1,500 ปีและเป็นที่เคารพยกย่อง
       
       สำนักข่าวของทางการจีนรายงานเมื่อวันศุกร์ ( 5 ก.ย.) ว่า มีผู้ยื่นใบสมัครแล้วถึง 300 คน ซึ่งรวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับผู้บริหารของบริษัท มืออาชีพด้านสื่อสารมวลชน และผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยระดับท็อปเทนของโลก โดย แม้วัดเส้าหลินมีแต่หลวงจีน แต่ตำแหน่งงานที่ประกาศรับทั้งหมด 2 ตำแหน่งนี้ ผู้หญิงก็สามารถสมัครได้เช่นกัน
       
       เจ้าอาวาสสือ หย่งซิ่น ระบุว่า การรับสมัครผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารมวลชนก็เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมเผยแผ่วัฒนธรรม และแนวคิดทางพุทธศาสนา พร้อมกับชี้แจงต่อข้อกล่าวหาของผู้คนที่ว่า ท่านทำให้วัดเส้าหลินกลายเป็นพุทธพาณิชย์ โดยเจ้าอาวาสสือยืนยันว่า ท่านเพียงแต่ปกป้องชื่อเสียงและส่งเสริมคุณค่าของวัดเส้าหลินเท่านั้น

        :49: :49: :49: :49:

       วัดเส้าหลินตั้งอยู่ลึกเข้าบนเทือกเขาในมณฑลเหอหนัน ทางใต้ของกรุงปักกิ่ง วัดเส้าหลินมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า มีหลวงจีนที่เก่งศิลปะการต่อสู้ และเมื่อหลายร้อยปีก่อนหลวงจีนของวัดเส้าหลินได้สร้างเกียรติประวัติในการช่วยชีวิตฮ่องเต้องค์หนึ่ง กระทั่งมีผู้นำเรื่องราวของวัดมาสร้างเป็นภาพยนตร์ และนำมาเขียนนิยายมากมาย
       
       นับตั้งแต่ท่านสือรับตำแหน่งเจ้าอาวาสเมื่อราว 20 ปีก่อน ท่านได้ขู่ฟ้องร้องบริษัทต่าง ๆ ที่นำชื่อและภาพลักษณ์ของวัดไปใช้ โดยมิได้รับอนุญาต นอกจากนั้น ยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการบริหารการผลิตภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้ ที่อาศัยเนื้อหาเรื่องราวของวัดเส้าหลิน
       
       นอกจากนั้น ทางวัดยังเปิดรับนักเรียนต่างชาติฝึกมวยกังฟู รวมทั้งเปิดเว็บไซต์ภาคภาษาจีนและอังกฤษ


        :96: :96: :96: :96:

       เจ้าอาวาสสือนำรายได้ของวัดมาสร้างและพัฒนาปรับปรุงห้องพักของแขก โดยติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งโทรทัศน์ ทำให้ถูกตำหนิติเตียนจากผู้ที่เคร่งครัดในขนบธรรมเนียม
       
       รายงานข่าวระบุว่า ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารมวลชนจะมีหน้าที่สำคัญคือการเบี่ยงเบนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อมวลชน และข้อกล่าวหาว่า วัดหาผลประโยชน์ โดยคุณสมบัติของผู้สมัคร ซึ่งทางวัดยืดหยุ่นให้อย่างมากนี้แสดงว่า วัดเส้าหลินต้องการคนเก่งมาทำงานนี้จริง ๆ
       
       อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวก็เตือนเช่นกันว่า งานในตำแหน่งนี้อาจไม่ค่อยสนุกนัก เพราะแม้วัดเส้าหลินมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ก็ยังคงเป็นวัด ที่มีการอบรมปฏิบัติ และหลีกหนีวิถีชีวิตของผู้คนในเมือง
       
       “ ถ้าคุณจะทำงานที่วัดเส้าหลิน คุณต้องสามารถอยู่กับความเงียบเหงาได้” หนังสือพิมพ์เซาท์เมโทรโปลิแทนอ้างคำพูดของบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งเคยทำงานอยู่ในวัดเส้าหลินมานานหลายปี
       

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9570000102599
16807  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แม่วัยใสคลอดลูก ทุก 4 นาที 'ด.ญ.แม่' ติดอันดับ 5 ของอาเซียน เมื่อ: กันยายน 08, 2014, 12:11:02 pm



แม่วัยใสคลอดลูก ทุก 4 นาที 'ด.ญ.แม่' ติดอันดับ 5 ของอาเซียน

กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ เผยแม่วัยใสที่เป็นคนไทยคลอดลูก 1 คน ทุก 4 นาที พบในรอบ 10 ปี มีเด็กหญิงแม่เพิ่ม 3 เท่า ติดอันดับ 5 ของอาเซียน...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ณัฐยา บุญภักดี คณะทำงานเรื่องการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (United Nations Population Fund - UNFPA) ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชากร จากรายงานสถานการณ์แม่วัยใส ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ UNFPA ล่าสุด เมื่อปี 2555 พบว่า

ในวัยรุ่นหญิงไทยอายุระหว่าง 15-19 ปี ซึ่งมีอยู่ 2.4 ล้านคน มีอัตราการคลอดลูก 1 คน ในทุก 4 นาที และที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่กลายเป็นเด็กหญิงแม่เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า จาก 1,400 ราย เป็น 3,700 ราย ขณะที่อัตราเกิดของไทยอยู่ที่ 800,000 คนต่อปี ในจำนวนนี้ เป็นแม่วัยรุ่นกว่า 120,000 คน

และยังพบหญิงอายุต่ำกว่า 19 ปี ที่มีการตั้งครรภ์และคลอดซ้ำ มีจำนวนมากถึง 15,000 คนต่อปี ซึ่งอัตราแม่วัยรุ่นของไทยสูงเป็นอันดับที่ 5 ของอาเซียน การมีแม่วัยรุ่นจำนวนมากจะกระทบต่อคุณภาพชีวิตของทั้งแม่และเด็ก เพราะการคลอดในแม่อายุน้อย ทารกที่เกิดมาจะมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะพิการแต่กำเนิด และน้ำหนักตัวน้อยกว่ามาตรฐาน มีโอกาสเจ็บป่วยและเสียชีวิต สูงกว่าทารกที่คลอดจากแม่ที่อายุเลยช่วงวัยรุ่นแล้ว 


แม่วัยใสคลอดลูก ทุก 4 นาที 'ด.ญ.แม่' ติดอันดับ 5 ของอาเซียน

"อัตราการการเป็นแม่วัยรุ่นที่เพิ่มขึ้น มาจากหลายสาเหตุ ทั้งการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในช่วงอายุต่ำลง คือเฉลี่ยอยู่ที่อายุ 13-15 ปี การเพิ่มขึ้นของอัตราวัยรุ่นที่อยู่ด้วยกันก่อนแต่งงาน อัตราการใช้ถุงยางอนามัยในกลุ่มวัยรุ่นต่ำกว่า 50% การใช้สารเสพติด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก เพราะการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและวัยรุ่น มักเกิดจากคนใกล้ตัว ที่สำคัญคือ การขาดความเข้าใจเรื่องเพศอย่างถูกต้องของคนส่วนใหญ่ เด็กและเยาวชนจำนวนมาก ยังขาดโอกาสเรียนรู้ทักษะชีวิตและเพศศึกษา การเข้าไม่ถึงบริการปรึกษาแนะนำที่เป็นมิตร รวมทั้งการหลั่งไหลของวัฒนธรรมยุคออนไลน์ ทำให้เยาวชนเข้าถึงสื่ออย่างไร้ขีดจำกัด" น.ส.ณัฐยา กล่าว

 :41: :41: :41: :41:

ด้าน ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า นานาประเทศตระหนักดีว่า การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เป็นการบั่นทอนคุณภาพประชากรในระยะยาว ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สสส. มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.) มูลนิธิแพธทูเฮลท์ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และภาคีเครือข่าย ได้เห็นตรงกันว่า

"สุขภาวะทางเพศ" นับเป็นประเด็นสำคัญที่ควรได้รับการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องในระดับชาติ เพื่อนำไปสู่การป้องกันและลดปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน จึงได้ร่วมกันจัด "การประชุมระดับชาติเรื่องสุขภาวะทางเพศ ครั้งที่ 1" ประเด็น "การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น" ระหว่างวันที่  8-10 ก.ย. นี้ ที่อิมแพค เมืองทองธานี เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนในสังคมที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มาร่วมระดมพลัง เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งจะมีผู้เข้าร่วมประชุม กว่า 2,000 คน และมีวิทยากรจากทั้งในและต่างประเทศมาร่วมให้ข้อมูล ความรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการแก้ปัญหานี้


 :96: :96: :96: :96:

"การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เป็นภารกิจที่สำคัญของทุกรัฐบาล ที่ผ่านมาทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ได้ดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหา เพื่อลดจำนวนแม่วัยรุ่นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถส่งผลต่อการป้องกันปัญหาได้ชัดเจน ปัจจุบัน สสส.ได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สังเคราะห์แนวทาง "ภารกิจ 9 ด้าน" และสนับสนุนการสร้างเครือข่ายทำงานร่วมกันในการป้องกันปัญหา โดยมีจังหวัดนำร่องแล้ว 20 จังหวัด
     และเริ่มมีสัญญาณที่ดีว่า ในพื้นที่ที่มีการประสานงานและทำงานร่วมกัน โดยใช้ข้อมูลและความรู้เรื่องสุขภาวะทางเพศที่ถูกต้อง มีความร่วมมืออย่างแข็งขันจากทุกภาคส่วน รวมถึงโรงเรียน ท้องถิ่นชุมชนและกลุ่มเยาวชน ส่งผลให้เห็นการลดลงของจำนวนแม่วัยรุ่นอย่างชัดเจน" ทพ.ศิริเกียรติ กล่าว


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/448654
16808  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระออกหน้าช่วย แจกข้าวสาร-อาหาร สุโขทัยน้ำยังท่วม เมื่อ: กันยายน 08, 2014, 12:06:05 pm


พระออกหน้าช่วย แจกข้าวสาร-อาหาร สุโขทัยน้ำยังท่วม

ชาวสวน ต.คลองยาง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ยังไม่พ้นภัยน้ำท่วม เดือดร้อนมานานหลายวัน โดยเจ้าอาวาสวัดต้องนำข้าวสาร-อาหารไปแจกจ่าย...

เมื่อเวลา 06.30 น.วันที่ 8 ก.ย. พระครูพิศาลสุนทรกิจ หรือหลวงน้าเสน่ห์ เจ้าอาวาสวัดสวรรคาราม พร้อมด้วย นายกมล พ่วงหงษ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์ประชากู้ภัยสวรรคโลก อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ได้นำข้าวสารอาหารแห้งจากโครงการพระเยี่ยม นำไปช่วยเหลือชาวบ้าน ต.คลองยาง อ.สวรรคโลก ซึ่งพื้นที่ยังถูกน้ำท่วมจากแม่น้ำยมที่ผันน้ำลงสู่ประตูระบายน้ำบ้านคลองหกบาท เพื่อให้ไหลไปลงสู่แม่น้ำน่านที่ จ.อุตรดิตถ์ ตามโครงการผันน้ำยม-น่าน ไม่ให้น้ำท่วมตัวจังหวัดสุโขทัย

ทั้งนี้ น้ำปริมาณมหาศาลที่ผันลงทางประตูน้ำบ้านคลองหกบาท ได้ทะลักเข้าท่วมพื้นที่ ต.คลองยางกว่า 3 พันไร่ ใน 7 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 200 ครอบครัว


 :96: :96: :96: :96:

นายนะริ ดื่นตา นายก อบต.คลองยาง กล่าวว่า ต.คลองยาง มีเนื้อที่ประมาณ 101 ตารางกิโลเมตร ส่วนใหญ่จะเป็นสวนซึ่งมีลักษณะต่ำ และเส้นทางน้ำที่ไหลมาจากคลองหกบาทด้านในจะเป็นลักษณะคอขวด น้ำไหลเข้ามากแต่ไหลออกช้า เมื่อมีการผันน้ำจากแม่น้ำยมเพื่อให้ไหลลงสู่แม่น้ำน่านในปริมาณมาก จึงทำให้น้ำเอ่อล้นไหลเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรและบ้านเรือนของประชาชน ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก

ด้าน นางสำเนา อ่อนจิต อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 11/3 หมู่ 12 ต.คลองยาง กล่าวว่า น้ำท่วมบ้านมา 4 วันแล้ว และระดับน้ำก็สูงกว่า 1 เมตร ทำให้ตนและหลานต้องขึ้นไปอยู่ชั้น 2 ของบ้าน ส่วนสัตว์เลี้ยงต้องนำไปไว้บนถนนและจะเดินลุยน้ำนำอาหารออกไปให้กิน หลานก็ขาดเรียนมาหลายวันแล้ว ส่วนตนถ้าน้ำท่วมอย่างนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะมีอาชีพทำสวน ที่ผ่านมีแต่นายก อบต.คลองยางเข้ามาช่วยเหลือ แต่เนื่องจากมีผู้ประสบภัยจำนวนมาก จึงยังไม่เพียงพอ

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/448658
16809  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / เบี้ยแก้..หมื่นกันพันแก้ สร้างตามตำรับ 'หลวงปู่รอดวัดนายโรง' เมื่อ: กันยายน 08, 2014, 12:00:58 pm


เบี้ยแก้..หมื่นกันพันแก้ สร้างตามตำรับ 'หลวงปู่รอดวัดนายโรง'
ัคอลัมน์ : พระองค์ครู เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

"เบี้ยแก้" เป็นเครื่องรางของขลังที่นับเป็นภูมิปัญญาของพระเกจิอาจารย์ไทยโดยเฉพาะ สร้างจาก หอยเบี้ยจั่น ที่มีฟันครบ ๓๒ ซึ่งพระเกจิอาจารย์ผู้มีวิชาคาถาอาคมขลัง จะสามารถเสกปรอทขณะกรอกลงปากเบี้ยได้ตามที่ต้องการ จากนั้นจะปิดปากหอยด้วยชันโรง ที่ได้จากใต้ดินในที่โล่งแจ้งเท่านั้น แล้วห่อด้วยแผ่นตะกั่ว ที่ลงอักขระเลขยันต์ตามตำรา เสร็จแล้วจึงถักด้วยด้าย แล้วลงรัก ซึ่งแต่ละขั้นตอนต้องบริกรรมคาถาตลอดเวลา ถึงจะมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ พุทธคุณเบี้ยแก้ป้องกันคุณไสย แก้เสนียดจัญไร รวมทั้งมีเมตตามหานิยมอีกด้วย

   ด้วยพุทธคุณอันลือลั่น คนโบราณกาลที่เคยกล่าวไว้เป็นคำกลอนว่า
   "หมากดีที่วัดหนัง ถ้าเบี้ยขลังวัดนายโรง ไม้ครูคู่วัดอินทร์ ส่วนมีดบินวัดหนองโพธิ์ พิสมรวัดพวงมาลัย ครั่งเหลือร้ายวัดโตนดหลวง ราหูคู่วัดศีรษะทอง แหวนอักขระต้องวัดหนองบัว ลูกแร่ที่วัดบางไผ่ ฤทธิ์เหลือร้ายหาใดปาน ทุกสิ่งล้วนเป็นมงคล ทั่วทุกคนควรค้นหา ติดกายยามญาตตรา ภัยมิกล้ามาแพ้วพาน"


 ans1 ans1 ans1 ans1

เบี้ยแก้หลวงปู่รอด วัดนายโรง นับเป็นหนึ่งในสุดยอดของเครื่องรางที่หาได้ยากมาก ถือเป็นปฐมบทของเบี้ยแก้ หรือ "ราชาแห่งเบี้ยแก้" และถูกจัดให้เข้าอันดับเบญจภาคีของเครื่องราง โดยมีเอกลักษณ์เฉพาะ คือ
     ๑.ใช้เบี้ยที่มีฟันครบ ๓๒ ซี่
     ๒.ใช้ปรอทที่มีน้ำหนักตั้งแต่หนึ่งบาทขึ้นไปมาลงบรรจุในเบี้ย
     ๓.ใช้รังชันโรงที่อยู่ใต้ดิน มาอุดที่ปากเบี้ย เมื่อทำการบรรจุปรอทเสร็จสิ้นแล้ว
     ๔.ใช้ตะกั่วตีเป็นแผ่นเรียบ แล้วมาจารลงอักขระ หรือยันต์ เช่น พระเจ้า 16 พระองค์ ยันต์ตรีนิสิงเห หรือถ้าเป็นสายของหลวงปู่บุญ ก็จะมียันต์พระเจ้าห้าพระองค์ ยันต์เฑาะว์ ตลอดจนมีอักขระขอม เช่น มะ อะ อุ เป็นต้น และใช้ตะกั่วที่มีการลงจารแล้วนั้น นำมาหุ้มที่ตัวเบี้ยอีกชั้น โดยตีรีดแผ่นตะกั่วจนเข้ารูปกับตัวเบี้ย แต่ในบางตัวที่พบกัน อาจใช้ผ้าหุ้มและเขียนยันต์กำกับไว้ก็มี


 :25: :25: :25: :25:

สำหรับภาพพระองค์ครูฉบับนี้ เป็น "เบี้ยแก้หมื่นกันพันแก้ รุ่นแรก" หุ้มตะกรุด ที่จัดสร้างโดย หลวงปู่ทอง วัดหินแร่เก่า อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา โดยได้รวบรวมสุดยอดตะกรุดอีกหลายสิบเกจิ เช่น
     ตะกรุดหลวงพ่อคง วัดซำป่างาม, ตะกรุดหลวงพ่อภู วัดต้นสน, ตะกรุดหลวงปู่รอด วัดนายโรง, ตะกรุดหลวงพ่อมา วัดหาดสูง, ตะกรุดหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ, ตะกรุดหลวงพ่อแดง วัดใหญ่อินทราราม, ตะกรุดหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์,
     ตะกรุดหลวงพ่อแก้ว วัดหนองตำลึง, ตะกรุดหลวงพ่อโต วัดเนิน, ตะกรุดหลวงพ่อเจียม วัดกำแพง, ตะกรุดหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก, ตะกรุดหลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา, ตะกรุดหลวงพ่อดำ วัดศรีมงคล, ตะกรุดหลวงพ่อพุก วัดพระยา, ตะกรุดหลวงพ่อบู่ วัดสระดู่, ตะกรุดหลวงพ่อโชติ วัดชะเอม, ตะกรุดหลวงพ่อแก้ว วัดลาดตะเคียน และอื่นๆ อีกมากมาย

เบี้ยแก้รุ่นแรกหลวงปู่ทองทำตามตำราทุกอย่าง ตัวเบี้ยจะต้องมีฟัน ๓๒ ซี่ แบ่งออกเป็น ๒ แถว แถวละ ๑๖ ซี่ ส่วนปรอทที่ใส่สำคัญต้องบริกรรมพระเวทเรียกปรอทเข้าไปรวมตัวกันอยู่ในเบี้ย ชันโรงใต้ดินอุดเบี้ยอีกทีหนึ่ง โดยชันโรงจะต้องจำกัดชันโรงที่มีรังอยู่ใต้ดินเท่านั้น


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก "www:ompradee.com"
http://www.komchadluek.net/detail/20140902/191281.html
16810  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว พระเกจิชื่อดังกรุงเก่า เมื่อ: กันยายน 08, 2014, 11:49:25 am

หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว พระเกจิชื่อดังกรุงเก่า
คอลัมน์ : มงคลข่าวสด

พระนครศรีอยุธยา มีพระเถระชื่อดังหลายรูป อาทิ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ, หลวงปู่ดู่ วัดสะแก และ หลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราช

"หลวงพ่อเพิ่ม อัตตทีโป" หรือ "พระครูประโชติธรรมวิจิตร" สิริอายุ 88 พรรษา 64 ที่ปรึกษาเจ้าคณะ อำเภอบางไทร และเจ้าอาวาสวัดป้อมแก้ว ต.บ้านกลึง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นหนึ่งในพระเกจิยุคปัจจุบัน เป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวเมืองกรุงเก่า อีกทั้งท่านยังเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มากด้วยพุทธาคมอีกรูปหนึ่ง งานพุทธาภิเษก ณ ที่แห่งใด ต้องมีชื่อของท่านไปร่วมด้วยทุกครั้ง มีนามเดิมว่า เพิ่ม บำรุงสุข เกิดวันที่ 27 มี.ค. 2469 ที่ ต.บ้านกลึง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ในวัยเยาว์ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดบางยี่โท ต.บางยี่โท อ.บางไทร จนสำเร็จการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 ในปี พ.ศ.2480 หลังจากจบการศึกษา หันมาช่วยพ่อแม่ทำนาเลี้ยงชีพ เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้วัด จึงเข้าไปวิ่งเล่นอยู่ภายในวัดมาตั้งแต่เล็ก เห็นการประกอบพิธีบรรพชาและอุปสมบทมาตลอด พร้อมทั้งจดจำการท่องขานนาคได้ตั้งแต่ยังไม่ได้ปลงผมบวช จนอายุครบเกณฑ์เข้ารับราชการทหาร อาสาเข้ารับใช้ชาติ เป็นเวลา 2 ปีเต็ม

เมื่อปลดประจำการได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2493 ณ พัทธสีมา วัดสีกุก ต.น้ำเต้า อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา มีพระครูประโชติวุฒิกร (หลวงพ่อโชติ) วัดป้อมแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูถาวรธรรมคุณ เป็นพระกรรมวาจา จารย์ พระอาจารย์ไพโรจน์ วัดเสาธง อ.บางบาล เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา อัตตทีโป อันมีความหมายว่า ผู้มีตนดังประทีป (แสงสว่าง) หรือผู้มีแสงสว่างแห่งตน

 st12 st12 st12 st12

ระหว่างการครองสมณเพศในระยะแรก ท่านมิได้ตั้งใจว่าจะศึกษาวิชาคาถาอาคม แต่ถูกหลวงพ่อโชติบังคับให้ศึกษาติดต่อกัน จนสำเร็จวิชากรรมฐานและการเขียนอักขระขอม ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย จนกระทั่ง ปี
    พ.ศ.2489 สอบได้นักธรรมชั้นเอก ที่สำนักเรียนวัดป้อมแก้ว ก่อนย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป้อมแก้ว
    พ.ศ.2508 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดป้อมแก้ว
    พ.ศ.2509 เป็นรองเจ้าคณะตำบลบ้านกลึง
    พ.ศ.2510 เป็นเจ้าอาวาสวัดป้อมแก้ว
    พ.ศ.2511 เป็นเจ้าคณะตำบลบ้านกลึง
    พ.ศ.2511 เป็นพระอุปัชฌาย์
    พ.ศ.2519 เป็นประธานหน่วยอบรมประชาชน
    พ.ศ.2541 เป็นเจ้าคณะอำเภอบางไทร

ในช่วงที่เป็นเจ้าอาวาส มีพระภิกษุ-สามเณรได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่สำนักเรียนวัดป้อมแก้วเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อเพิ่มได้ลงมือสอนหนังสือด้วยตนเองอยู่เป็นประจำ พร้อมทั้งเปิดสำนักเรียนธรรมศึกษาและบาลี ด้วยความวิริยะและเอาใจใส่ต่อการศึกษาสงฆ์เมืองอยุธยา ทำให้พระภิกษุ-สามเณรสอบไล่ได้เปรียญธรรมประโยคสูงๆ จำนวนหลายรูป นอกจากนี้ หลวงพ่อเพิ่มยังเป็นพระธรรมทูต ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ออกไปเทศน์และอบรมประชาชนตามอำเภอและบรรยายธรรมตามวัดต่างๆ เป็นประจำจนถึงทุกวันนี้


 :25: :25: :25: :25:

สำหรับงานด้านสาธารณูปการ เป็นพระนักพัฒนา แม้ว่าไม่เคยได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาช่างหรือก่อสร้าง แต่ด้วยประสบการณ์ความรู้ที่ได้ติดตัวมาแต่ช่วงก่อนเข้าอุปสมบท จึงได้นำเอารูปแบบต่างๆ มาสร้างถาวรวัตถุภายในวัด

การปฏิสังขรณ์ภายในวัดป้อมแก้ว เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 เป็นต้นมา ก่อสร้างกุฏิทรงไทย 2 ชั้น สร้างหอสวดมนต์เทพื้นคอนกรีต ถมที่ดินภายในวัด ก่อสร้างห้องน้ำ และสร้างอุโบสถหลังใหม่รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 35 ล้านบาท

งานด้านการศึกษาสงเคราะห์ ส่งเสริมและชักจูงลูกหลานชาววัดป้อมแก้วและตำบลใกล้เคียงเข้าพิธีบรรพชา-อุปสมบท ตามประเพณีอันดีงามแบบ ชาวไทยที่สืบทอดมายาวนาน ทั้งยังได้ตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา รวมทั้งเป็นผู้อุปถัมภ์โรงเรียนวัดป้อมแก้วมาตลอด

ลำดับสมณศักดิ์ที่หลวงพ่อได้รับพระราชทานเริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2516 เป็นพระครูสัญญาบัตรในราชทินนามที่ พระครูประโชติธรรมวิจิตร พ.ศ.2536 ได้เลื่อนเป็นเจ้าคณะตำบลชั้นโท พ.ศ.2541 ได้เลื่อนเป็นเจ้าคณะตำบลชั้นเอกพ.ศ.2545 ได้เลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอชั้นเอก ในราชทินนามเดิม


 :96: :96: :96: :96:

หลวงพ่อเพิ่มมีหลักธรรมประจำตัว คือ ความรู้จักพอ หมายความว่า "ไม่อยากได้มัน จะทำให้เสียหายได้" ส่วนหลักธรรมที่ใช้เทศนาสอนญาติโยมทั่วไป ท่านจะสอนให้ทุกคนมีสัจจะ มีจาคะ มีขันติ ซื่อสัตย์ รู้จักข่มใจให้ตนเองอดทนต่อสิ่งต่างๆ เอื้อเฟื้อ สละอารมณ์ต่างๆ ทิ้งไปให้หมด

วัตรปฏิบัติเรียบง่าย ใจดี พูดจาไพเราะ ใจเย็น ยิ้มแย้มแจ่มใสกับทุกคน เปี่ยมไปด้วยเมตตา

ในปัจจุบันนี้ กล่าวได้ว่านามของหลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว เป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ งานพุทธาภิเษกวัตถุมงคลรุ่นดังแทบทุกรุ่น ต้องมีชื่อของท่านเข้าร่วมพิธีด้วยแทบทุกงาน ทั้งนี้ เนื่องมาจากแรงศรัทธาของประชาชน ที่เชื่อกันว่า ชื่อของหลวงพ่อเพิ่ม เป็นมงคลนาม ใครที่บูชาวัตถุมงคลที่หลวงพ่อเพิ่มเข้าร่วมปลุกเสก ชีวิตมีแต่ "เพิ่ม" ขึ้นในทางที่ดีเสมอ



ที่มา http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE1EQXhORFUzT1E9PQ==&sectionid=
16811  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สมาธิชาวบ้าน : ปัญญาธรรม (2) เมื่อ: กันยายน 08, 2014, 11:39:15 am


สมาธิชาวบ้าน : ปัญญาธรรม (2)

ปัญญาธรรมนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งพอเราอบรมจิตดีแล้วปัญญาธรรมก็จะบังเกิดขึ้นเอง ถ้าเป็นคนที่มีพื้นฐานดี ปัญญาธรรมก็เกิดง่าย แต่ถ้าเป็นคนที่มีพื้นฐานไม่ค่อยดี ปัญญาธรรมก็จะเกิดช้าหน่อย

ปัญญาธรรมที่ได้จากการปฏิบัตินั้นเปรียบได้กับมีด ทั่วไปแล้วมีดแต่ละเล่มจะคมไม่เท่ากัน ดังนั้นปัญญาของบางคนก็เป็นมีดที่คม บางคนก็คมน้อย บางคนก็ทื่อไปเลย ปัญญาแต่ละคนก็แหลมคมไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ที่บุญกรรมของแต่ละคนที่ทำสะสมไว้ด้วย


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

อย่างบางครั้งภูมิปัญญาธรรมในระดับที่จะบรรลุพระนิพพานก็ง่ายคล้ายกับหญ้าปากคอก ซึ่งพอเราปฏิบัติไปจนพร้อมแล้ว และพอสภาวะนั้นมาถึงเรากลับสามารถเข้าใจได้โดยง่าย แต่ถ้าหากปฏิบัติยังไม่ถึงก็จะดูว่าซับซ้อนและเข้าใจยาก

นี่เป็นเพราะภูมิปัญญาในการศึกษาธรรมของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน หากเป็นภูมิปัญญาของผู้ที่ศึกษาธรรมมาเยอะ ก็เปรียบได้เหมือนกับการรอน้ำมาเติมเพียงหยดเดียวก็จะเต็ม พอถึงคราวที่มีโอกาสได้ฟังธรรมในข้อที่มาเติมเต็มจึงกระจ่างและเกิดปัญญาธรรมขึ้นมาในใจโดยง่ายดาย เสมือนน้ำหยดสุดท้ายที่หยดลงมาทำให้น้ำในแก้วใบนั้นเต็มพอดี ซึ่งที่ผ่านๆ มาน้ำอาจจะไม่เคยหยดลงแก้วเลยด้วยซ้ำไป



เวลาที่เราปฏิบัติต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จิตก็จะพัฒนาไปเหมือนการได้ส่องกระจก จากที่ปกติเคยมองเห็นแต่คนอื่นเท่านั้น ว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ แต่จะไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นยังไง เพราะไม่มีกระจกมาสะท้อนให้เห็นตัวเอง แต่พอมีกระจกให้ส่องก็ถึงเริ่มรู้เช่นว่า “อ๋อ...ไอ้ความอิจฉาริษยาของเรามันน่าเกียจอย่างนี้นี่เอง” เป็นต้น

ในภาวะปกติที่เรายังมีอารมณ์ต่างๆ ในแต่ละวัน เราย่อมจะไม่สามารถมองเห็นธรรมได้ เพราะมีอารมณ์ไปปกคลุมเอาไว้ แต่เมื่อใดก็ตามที่ใจเราเริ่มได้สมาธิแล้ว ก็จะพบว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเราในแต่ละวันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นธรรมะทั้งสิ้น ซึ่งถ้าเราปฏิบัติไปจนใจมันนิ่งแล้ว อารมณ์ต่างๆ ก็จะไม่สามารถมาปกคลุมใจเราได้อีก แล้วเราก็จะสามารถมองเห็นอาการกิเลสต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอาฆาตพยาบาท หรือความอิจฉาริษยา ฯลฯ ที่เกิดขึ้นกับเราในแต่ละวัน


 :25: :25: :25: :25:

การพิจารณาความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอิจฉาริษยา ฯลฯ ที่เกิดขึ้นกับเราในแต่ละวันนั้นถือเป็นธรรมะในขั้นโลกียธรรม ซึ่งพอเรารู้แล้วเห็นแล้วก็จะทำให้เราสามารถพ้นจากความทุกข์บนโลกได้ เพราะเราจะเท่าทันมัน ทีนี้พอทุกข์เกิดขึ้นมาเราก็จะสามารถดับความทุกข์เหล่านั้นได้เร็วขึ้นกว่าเดิม โลกจึงไม่สามารถทำร้ายเราได้เหมือนแต่ก่อน หรือถ้าจะทำร้ายเราได้ ก็ทำได้น้อยลง

ส่วนคนที่ไม่ได้ฝึกจิต ไม่มีการพิจารณาธรรมดังกล่าว ใจก็จะถูกสมมติบนโลกทำร้าย พาไปสุขไปทุกข์ต่างๆ นานา ตามแต่ที่อารมณ์จะนำพาไป บางคนโดนทำร้ายหนักจนรับไม่ไหว ถึงขั้นเสียสติไปก็มี ฆ่าตัวตายไปก็มี หรือไปฆ่าคนอื่นตายก็มี ทั้งนี้ด้วยเพราะขาดปัญญาธรรมนั่นเอง.


ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/070914/95823
16812  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / กระทำการสิ่งใดจะสำเร็จได้ ต้อง "กตัญญูรู้คุณคน" เมื่อ: กันยายน 08, 2014, 11:31:31 am


กระทำการสิ่งใดจะสำเร็จได้ ต้อง "กตัญญูรู้คุณคน"

เย็นย่ำของค่ำวันหนึ่ง เมื่อเดือนที่แล้วผู้เขียนได้เหลือบไปเห็นหนังสือที่หิ้งในบ้านพักที่มหาวิทยาลัยพะเยา ชื่อว่า "องค์สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย ผู้เป็นเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ (ยุคพระศรีอาจารย์ถึงแล้ว) มีไว้สวดบูชาดีนักแล "พระคุมภีร์คำสอนอันศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้" ถ้าผู้ใดอ่านแล้วประพฤติปฏิบัติธรรมให้คงไว้ซึ่งคุณธรรมประจำใจ จะเป็นการสร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่แก่ตนเอง ครอบครัวของท่านที่ทำบุญให้ทานสร้างกุศลสั่งสมแต่กรรมดี สวรรค์ย่อมประทานเป็นสิริมงคลทุกท่านซึ่งผู้เขียนจะพิจารณาสื่อสารประเด็นพระคัมภีร์คำสอนที่สำคัญๆ ให้กับพวกเราได้ทราบ ความว่า

ยุคนี้ เมืองมนุษย์มีความทุกข์ ความเดือดร้อน องค์สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยได้เสด็จลงมาโปรดสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ (ดอกบัวขาวเกิดแล้ว) พระคัมภีร์เล่มนี้มีพุทธานุภาพมาก สามารถบันดาลให้มนุษย์หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้กล่าวคือ ถ้าภายในจิตใจมีทุกข์เศร้าหมอง แก้ไขมิได้ องค์สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย จะดลใจบุตรีชายหญิงของผู้คนให้กลับตัวกลับใจ ทำตัวเป็นคนดี ถ้าครอบครัวป่วยที่เรื้อรัง ไม่หาย ป่วยจะหายได้ หรือผู้ที่มีชีวิตตกอับมืดมิด จะพบแสงสว่างต่อการดำรงชีวิตได้

การเกิดดับของสัตว์โลกในแต่ละภพ องค์สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยจะทรงกำหนดโดย "ยุติธรรมด้วยพระองค์เอง" พระองค์ทอดพระเนตรเห็นทั่วพื้นภพและสว่างแจ้ง ไม่มีแม้เพียงเศษธุลีใด จะรอดพ้นดวงพระเนตร อีกองค์เทพทุกๆ พระองค์ก็ช่วยดูอยู่ทรงมีเมตตาอันสูงส่ง เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ทางโลกได้ยอมเสียสละตัดเนื้อกายตน อุทิศให้ใช้เป็นยารักษาโรคแก่ผู้ยากไร้ บัดนี้ถึงยุคของศรีอริยเมตไตรยแล้วพระองค์ทรงมุ่งมั่นมาโปรดสัตว์โลก ให้คงความอยู่รอดปลอดภัย พร้อมทั้งร่มเย็นผาสุกโดยทั่วถึงกันหมด

พระองค์ทรงเป็นผู้เป็นเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ พระองค์เสด็จลงมา มือถือพระขรรค์ เพื่อรักษาความปลอดภัย องค์เทพรับสนองตามพระบัญชาของสมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย ฉะนั้นทุกๆ พระองค์จึงได้ลงมาช่วยเหลือเรื่องในทางโลกมนุษย์...


 ans1 ans1 ans1 ans1

หลักคำสอนของพระพุทธศาสนา อบรมสั่งสอนให้ยึดความมี "เมตตากรุณา" และคุณธรรมเป็นหลักต่อการดำรงชีวิตเป็นหลักคำสอนหลักเดียว ธรรมะทั้งหมดต้องเริ่มต้นที่ "ใจ" ก่อนคำสอนบทนี้ ประดุจแสงสว่างของ "พระอาทิตย์" เพราะเป็น "สัจธรรม" ที่ยืนยงอยู่ได้ตลอดกาล ผู้มีคุณธรรมย่อมพ้นภัยพิบัติทั้งปวง และสามารถช่วยเหลือปกปักษ์รักษาสัตว์โลกทั้งมวลให้พ้นทุกข์ได้

พ่อแม่บังเกิดเกล้าเป็นผู้ประทานร่างกาย สังขารให้แก่เรา ฉะนั้นเมื่อเติบใหญ่แล้วจะต้องประพฤติปฏิบัติชอบ ผู้เป็นลูกต้องมีความกตัญญูรู้คุณและเชื่อฟัง ลูกที่เชื่อฟังและกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้าก็เหมือนกับเคารพเทิดทูนสักการบูชาฟ้าดินด้วย

พ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้ามีคุณต่อลูกมากมายเหลือล้นเหนือพรรณนา และตัวเองก็ต้องเป็นพ่อแม่คนต่อไป ฉะนั้นถ้าลูกแช่งด่าพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า ไม่เพียงแต่ต้องถูกขึ้นชื่อว่าเป็น "ลูกทรพี" เท่านั้น หากยังขัดต่อ "อาญาฟ้าดิน" ขัดต่อองค์สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยต่อพระองค์เจ้า ซึ่งต้องรับโทษมหันต์ยิ่งนัก บ้างถึงต้องไปเกิดเป็นสัตว์



คนสมัยโบราณสอนคนให้ยึดความกตัญญู เชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่เป็นที่ตั้ง คนที่มีความกตัญญูเชื่อฟังพ่อแม่นั้นยังความซาบซึ้งปีติอันดีต่อองค์สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยต่อพระองค์เจ้าและเสด็จปู่สวรรค์ เสด็จย่าสวรรค์ เสด็จพ่อสวรรค์ เสด็จแม่สวรรค์ จึงอย่าได้เอาใจออกห่างจาก "ผู้มีพระคุณ" รู้เตือนตัวเตือนตนตลอดเวลา

เมื่อพ่อแม่ให้ความรักความเมตตา ปราณีต่อลูก ลูกต้องย่อมกตัญญู เชื่อฟัง ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพ่อแม่ พี่น้องผ่อนปรน ยึดใจ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรักความสามัคคี ความสุขย่อมเกิดภายในครอบครัวจากการนี้

อนึ่งลูก "อกตัญญู" และไม่เชื่อฟังคำกล่าวตักเตือน ทำให้ผู้เป็นพ่อแม่ต้องทนทุกข์ลำบากใจเป็นที่สุด จากพฤติกรรมอันมิชอบของผู้ที่เป็นลูกนี้จะมีอันเป็นไปดัง "กงเกวียนกำเกวียน" หมุนเวียนเหมือนวัฏจักรของฟ้าดิน กล่าวคือ ผู้ที่เป็นลูกอกตัญญูจะต้องรับกรรมอันเป็นบาปหนายิ่งโทษทุกข์ในชาติปัจจุบันจะเป็นทวีคูณไปตลอดชั่วชีวิต

 st12 st12 st12 st12

ฉะนั้นถ้าผู้ใดรู้สึกนึกผิด จะเร่งรีบกลับตัวกลับใจทำตนให้เป็นคนดีเสียใหม่โดยเร็วที่สุดให้ประพฤติปฏิบัติชอบ อ่านคัมภีร์สั่งสมบุญกุศลเอาไว้ การทำความดีหรือความชั่วก็ตามอย่าคิดว่า "ฟ้าดินไม่รู้" เพียงแต่ผลกรรมจะติดตามมาสนองช้าหรือเร็วเท่านั้น คนทำดีพระเจ้าช่วยคุ้มครอง และประทานความเป็นสิริมงคลมาให้ ส่วนคนทำชั่วต้องถูกลงโทษด้วยกรรมตามสนอง

เรื่องการทำความดีก่อกรรมทำความชั่วจงจำใส่ใจและให้ระลึกไว้อยู่เสมอของการดำรงชีวิต ให้นั่งสงบนิ่งแล้วคิด "ทบทวน" ความผิดพลาดของตนเองเพื่อแก้ไขทำตัวเสียใหม่ กลับใจเป็นคนดี เริ่มได้ทันทีไม่มีอะไรจะสายเกินไป สำหรับชีวิตเรา...

จงอย่าพูดคุยเรื่องไร้สาระกล่าวโทษผู้อื่นเกินข้อเท็จจริง เพ้อเจ้อ ส่อเสียด ใส่ร้ายผู้อื่น หาควรไม่เพราะ "ความยุติธรรมมีอยู่พร้อมแล้วตามกฎธรรมชาติ ถ้ายังไม่ขัดเกลานิสัยจิตใจของตนเองให้เป็นคนดีมีศีลธรรม ความทุกข์และภัยร้ายย่อมจะมาถึงตนอย่างร้ายแรง ทั้งนี้รวมถึงการกุข่าวก่อให้เป็นเรื่องเป็นราว ให้ภัยผู้อื่นปราศจากความจริง ยังความเสียหายและโกรธแค้นแก่ผู้เสียหาย ผู้ที่มีการกระทำอันมิชอบดังกล่าว ภัยร้ายแล้วทั้งโทษทุกข์จักท่วมท้นจะกลับตอบสนองแก่ตนเองทั้งสิ้น


 :49: :49: :49: :49:

คนที่ใจร้าย อารมณ์ฉุนเฉียว มักจะมีแต่เรื่อง ปัญหาอันมิชอบ อีกโทษทุกข์ภัยร้ายจะมาก มีทั้งอริศัตรูจะมีไปทั่วทุกแห่ง ฉะนั้นต้องระวังยับยั้งอารมณ์ของตน ด้วยความอดทนอดกลั้นตั้งสติอย่าให้เกิดปากเสียงทะเลาะวิวาทหรือคติความใดๆ ไม่ว่าจะแพ้ชนะก็ตาม ในที่สุดก็จะมีแต่ "ความว่างเปล่า"

ด้วยเหตุนี้การควบคุมสติให้มีสมาธิ อดทนอดกลั้นต่อความมิชอบทั้งปวงฟ้าดินย่อมรู้เห็น บุคคลที่มีใจเป็นกุศล นิสัยดีสุขุมรอบคอบเยือกเย็นใครๆ ก็ยอมรับนับถือและเกรงใจ มีนิสัยใจคอกว้างขวางละเอียดอ่อน แม้นจะทำการใดๆ ย่อมสำเร็จได้

ผู้ที่รู้จักให้ "อภัย" ก็คือผู้มีเมตตาธรรม ฉะนั้นจึงควรดับความใจร้อนและอารมณ์ฉุนเฉียวของตนด้วยตนเอง



สำหรับข้าวปลาอาหารและเครื่องบริโภคทั้งปวงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ องค์สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย ทรงสอนว่า "อย่ากินทิ้งกินขว้าง" หรือทำให้สูญเสียหมดเปลือง ถ้าใช้จ่ายเกินความพอดี จะเป็นหนี้ตลอดชีวิต จะเป็นผีตายอดอีกด้วย

จงระลึกเสมอว่า พืชไร่ที่เป็นอาหารถึงแม้จะเกิดจากพื้นดิน แต่จงรู้ไว้ด้วยว่า กว่าจะเจริญเติบโตผลิดอกออกผลได้ก็ด้วยความยากลำบาก สัตว์เลี้ยงก็เช่นกัน จงอย่าฆ่าทำลายชีวิตสัตว์ตามใจชอบ เว้นแต่มีเหตุอันควร จึงฆ่าได้ด้วยความจำเป็น ถ้าไม่เช่นนั้น หากทำด้วยไม่ชอบด้วยเหตุผลกรรมจะตามสนอง

ทรงสั่งสอนให้คนประพฤติดีปฏิบัติชอบ ประกอบสัมมาชีพโดยธรรมแล้วแม้บุญกับบาป ไม่มีรูปร่างตัวตน แม้ร่องรอยไม่เห็น แม้ไม่ประกอบอาชีพ โดยถูกต้องแล้ว สักวันต้องพบกับความ "หายนะ" ที่รออยู่ข้างหน้า


 :25: :25: :25: :25:

การมีความรักสามัคคีต่อกันภายในครอบครัว เป็นสิ่งอันประเสริฐสุด พึงนับได้ว่าเป็น "ความสุข" อันดับ "แรก" ของครอบครัว นอกจากนี้ให้มีความขยันหมั่นเพียรต่อสัมมาชีพ ประหยัดมัธยัสถ์ ซึ่งเป็นคุณงามความดี ที่ไม่อาจประเมินคุณค่าได้

การผูกมิตรคบค้าสมาคมต้องมีความซื่อสัตว์สุจริตต่อกัน อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ฝ่ายเดียว คนที่โลภมากมักใหญ่ใฝ่สูง โดยไม่ประมาณตนเองจะนำความผิดพลาดและไม่สมหวังมาสู่ตนเอง เพราะความสุขที่แท้จริงหาใช่อยู่ที่การมีเงินมีทองมากมาย ความสุขสบายที่แท้จริงคือความ "ภาคภูมิใจ" อยู่ที่การมี "บุตรหลาน เป็นคนดีมีสติปัญญา"

 st11 st11 st11 st11

อนึ่งครอบครัวมีฐานะดี มั่งมีศรีสุข ก็อย่าได้คุยโอ้อวด เพราะผู้ที่อวดตัวทระนงหยิ่งยโส ส่วนมากจะอยู่ได้ไม่นาน ผู้มีใจเมตตา ซื่อสัตย์ ใจสงบเสงี่ยมเจียมตัว อ่อนน้อมถ่อมตนจะเป็นบุคคลที่มี "เสน่ห์" แก่ผู้คนที่ได้พบเห็น อยากคบค้าสมาคมด้วย

โดยสรุปพระคัมภีร์ พระคาถา พระองค์สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยทรงเน้น 2 ประการ คือ ให้คนยึด "คุณธรรม" และ "เมตตากรุณา" เป็นหลักสำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิตความเป็นมนุษย์ การดำรงชีวิตของคนต้องใช้ความนึกคิด จิตใจ สติปัญญา ไตร่ตรองในกิจการนั้นๆ ให้ถ่องแท้รอบคอบเสียก่อน โดยต้องเริ่มต้นจากการเป็นผู้มีใจ "กตัญญูรู้คุณคน" หากเป็นผู้ที่ไม่มีกตัญญูรู้คุณคนแล้ว จะกระทำการสิ่งใดก็ยากจะสำเร็จได้นะครับ



บทความ โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ที่มา:มติชนรายวัน 3 กันยายน 2557
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1409743921
16813  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / 'มาสก กหาปณะ' เมื่อ: กันยายน 08, 2014, 11:16:30 am


'มาสก กหาปณะ' : คำวัด โดยพระธรรมกิตติวงศ์

ตำรวจโพนพิสัยบุกรวบพระลูกวัดยอดแก้ว หลังใช้เด็กวัยเพียง ๑๓-๑๖ ปี ตระเวนลักทรัพย์ตามบ้านเรือนชาวบ้าน

ตำรวจสืบเมืองจับพระวัดหนองปลิงไปสึก หลังก่อเหตุลักทรัพย์ภายในวัดกลางดึก ๒๗ ปี อดีตพระลูกวัดบางเดื่อ หมู่ ๔ ต.บางเดื่อ พร้อมตู้รับบริจาคสเตนเลส

จับพระเสพยาบ้า ฉกกุญแจบ้านพระพี่เลี้ยงไปไขกุญแจกวาดทรัพย์ ทองรูปพรรณ และปืน เร่ขายเอาเงินมาให้แฟนรักษาสิว

 :96: :96: :96: :96:

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของ "พระก่อคดีลักทรัพย์" ที่มีพฤติกรรมไม่ต่างจากฆราวาส ซึ่งในสิกขาบทปาราชิกที่ ๒ ภิกษุถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นด้วยอาการแห่งขโมย ด้วยมูลค่าของทรัพย์ ๕ มาสก จึงเป็นที่ตั้งของอาบัติปาราชิก ถ้าต่ำกว่านั้นไม่ถึงอาบัติปาราชิก แต่เป็นอาบัติรองลงมา คือ อาบัติถุลลัจจัย และทุกกฏ

การกำหนดโทษที่หนัก คือ ขาดจากความเป็นพระภิกษุ (ปาราชิก) ต้องมีมูลค่าสูง คือ ยุคนั้น ทางบ้านเมืองกำหนดโทษของผู้ที่ขโมยของผู้อื่น สิ่งของนั้นจะต้องมีมูลค่า ๕ มาสกขึ้นไป สำหรับทางธรรมก็เช่นกัน จะต้องโทษหนัก วัตถุที่ขโมยต้องมีมูลค่า ๕ มาสก  จึงเป็นวัตถุแห่งปาราชิก

สำหรับการเทียบราคาในปัจจุบัน มีการวินิจฉัยที่แตกต่างกันตามยุคสมัย แต่ที่ถือเป็นมาตรฐานทุกยุคคือ น้ำหนักทองคำกับข้าวเปลือก ๒๐ เมล็ด คือ เอาข้าวเปลือก ๒๐ เมล็ดมาชั่ง ได้น้ำหนักเท่าไรให้คำนวณเป็นมูค่าเงิน


 ans1 ans1 ans1 ans1

คำว่า มาสก (มา-สก) พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้ให้ความไว้ว่า เป็นชื่อมาตราสกุลเงินที่ใช้ในสมัยพุทธกาลเช่นเดียวกับคำว่า กหาปณะ

มาสก มีอัตราเทียบเงินไทย คือ ๑ มาสกเท่ากับ ๒๐ สตางค์ ๕ มาสก เท่ากับ ๑ บาท

มาสก ถูกกำหนดในพระธรรมวินัยที่ว่าด้วยเรื่องการลักทรัพย์ โดยตีราคาของเป็นมาสก กล่าวคือ ภิกษุลักสิ่งของที่เจ้าของมิยินยอมให้อันมีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป เป็นความผิดสูงสุด คือ ต้องอาบัติปาราชิกขาดจาดความเป็นพระ หากสิ่งของนั้นมีค่าต่ำกว่า ๕ มาสก มีความผิดลดหลั่นลงมา


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ส่วนคำว่า "กหาปณะ" (สันสกฤต : กษาปณ) เจ้าคุณทองดีได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นคำเรียกเงินตราทำด้วยโลหะที่ใช้ในสมัยพุทธกาล เป็นเงินตราโลหะชนิดแรกของอนุทวีปอินเดีย เทียบคำว่า กษาปณ์ ในปัจจุบัน

กหาปณะ มีอัตราเทียบเท่ากับ ๒๐ มาสก หรือ ๑ ตำลึง หรือ ๔ บาทไทย

กหาปณะ มีปรากฏอยู่ในพระวินัยว่าด้วยเรื่องการลักทรัพย์ คือภิกษุจงใจลักทรัพย์ที่มีราคา ๕ มาสก หรือ ๑ บาทขึ้นไป ต้องอาบัติสูงสุดคือปาราชิก หากมีราคาต่ำกว่านั้นก็มีความผิดลดหลั่นลงมาตามราคาทรัพย์


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140905/191509.html
16814  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เครื่องตรวจจับการนอน เสี่ยงทำคุณภาพการหลับลดลง เมื่อ: กันยายน 08, 2014, 11:10:43 am


เครื่องตรวจจับการนอน เสี่ยงทำคุณภาพการหลับลดลง

เพื่อที่จะดูว่าตอนกลางคืนเรานอนหลับเป็นอย่างไร หลายคนจึงเลือกที่จะโหลดแอพพลิเคชั่นตรวจจับการนอนหลับมาไว้ในสมาร์ทโฟนเพื่อเช็ค

แต่ใช่ว่า การตรวจจับแบบนี้จะเป็นเรื่องดีเสมอไป เมื่อ ดร. ไอร์ชาด อิบราฮิม จากศูนย์การนอนหลับแห่งลอนดอน ระบุว่า อุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจจับการนอนนั้นทำให้ผู้ที่ใช้มีคุณภาพการนอนที่ลดลงได้

ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ ระบุว่า เพราะมีอุปกรณ์หรือสิ่งที่คอยตรวจจับการนอน จึงเป็นสาเหตุให้ผู้ใช้มีความหมกมุ่น และกังวลอยู่แต่กับการนอนหลับ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้การนอนมีคุณภาพลดลง

งานนี้ ด็อกเตอร์จากอังกฤษรายนี้จึงแนะว่า สิ่งที่ทำให้รู้สึกสดชื่นเวลาตื่นนอนขึ้นมาในตอนเช้า เป็นสิ่งที่ผู้คนควรให้ความสำคัญมากกว่า เพราะคุณภาพการนอนที่ดีนั้นสำคัญกว่าระยะเวลาที่ได้นอนเสียอีก


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/ไลฟ์สไตล์/สุขภาพ/316749/เครื่องตรวจจับการนอนเสี่ยงทำคุณภาพการหลับลดลง
16815  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อายุ 50 ปีขึ้นไป กินไข่ดีหรือเปล่า.? เมื่อ: กันยายน 08, 2014, 11:06:34 am


อายุ 50 ปีขึ้นไป กินไข่ดีหรือเปล่า.?
       
       เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2530 วารสารแห่งสมาคมแพทย์อเมริกัน ได้ตีพิมพ์บทความ เรื่อง คอเลสเตอรอล และอัตราการเสียชีวิต โดยติดตามผล 30 ปี ติดต่อกันจากการศึกษาของฟรามิงแฮม “Cholesterol and mortality 30 years of follow-up from the Frmingham Study” จัดทำโดย แอนเดอร์สัน (Keaven M. Anderson) และคณะ เอาไว้อย่างน่าสนใจเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างอายุของคนกับการมีคอเลสเตอรอลซึ่งสรุปเอาไว้สำหรับคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไปว่า
       
       “เมื่อระดับคอเลสเตอรอลลดลง 1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร กลับทำให้อัตราการเสียชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้น 11% และอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจเพิ่มขึ้น 14% หรืออีกนัยหนึ่ง หากคอเลสเตอรอลลดลงไป 1 มิลลิโมลต่อลิตร (ลดไป 38 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) ความเสี่ยงในการเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นถึง 429%”


        ans1 ans1 ans1 ans1

       สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ก่อนอายุ 50 ปี คอเลสเตอรอลสูงไม่ดี แต่ถ้าอายุ 50 ปีขึ้นไป จะต้องอย่าให้คอเลสเตอรอลตกลง ยิ่งตกลงมากก็แปลว่าใกล้ที่จะเสียชีวิตมากขึ้นไปเรื่อยๆ
       
       เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าคอเลสเตอรอลนั้น ส่วนใหญ่สังเคราะห์มาจากตับ มีประโยชน์ต่อร่างกายในการถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการสังเคราะห์ต่อเป็นฮอร์โมนที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนต้านความเครียด ฮอร์โมนต้านการอักเสบ น้ำดี วิตามินดี เยื่อหุ้มเซลล์ (โดยเฉพาะเซลล์สมอง) และฉนวนหุ้มปลายประสาท นั้นคือเหตุผลว่าทำไมคนที่มีคอเลสเตอรอลต่ำลงคือคนที่มีตับสังเคราะห์คอเลสเตอรอลได้ลดน้อยลง และเป็นสัญญาณความเสี่ยงที่ใกล้จะเสียชีวิตมากขึ้นนั่นเอง
       
       แต่เราก็ไม่ควรหวังการเพิ่มสูงของคอเลสเตอรอลแต่เพียงอย่างเดียว เพราะต้องพิจารณาจากไขมันตัวดี HDL (High Density Lipoprotein) ประกอบกันด้วย เพราะ HDL ก็เป็นไขมันตัวดีที่ตับสังเคราะห์เช่นกัน โดยจะมีหน้าที่ ไปเก็บไขมันตามหลอดเลือดเอามาให้ตับสังเคราะห์ต่อเป็นฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนต้านความเครียด ฮอร์โมนต้านการอักเสบ น้ำดี วิตามินดี เยื่อหุ้มเซลล์ (โดยเฉพาะเซลล์สมอง) และฉนวน หุ้มปลายประสาท จากสถิติพบว่าคนที่มีความเสี่ยงในการจะเป็นโรคหัวใจ ก็คือ คนที่มีคอเลสเตอรอลเกิน 5 เท่าของ HDL ในช่วงหลังเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจึงกำหนดให้น้อยลงไปให้ไม่เกิน 4 เท่าตัว ของ HDL แปลว่าถ้าได้ตัวเลขต่ำกว่า 4 ก็จะปลอดภัยจากโรคหัวใจ แม้ว่าจะมีคอเลสเตอรอลสูงและไขมัน ตัวไม่ดีสูงก็ตาม หรือถ้าจะเทียบกับไขมันตัวเลว LDL (ซึ่งจริงๆ แล้วตัวมันก็มีประโยชน์เหมือนกัน) ก็คือ LDL ไม่ควรเกิน 3 เท่าตัวของ HDL


        :96: :96: :96: :96:

       หมายความว่าตับมีหน้าที่สังเคราะห์คอเลสเตอรอล และสังเคราะห์ไขมันตัวดีด้วย ดังนั้น ถ้าอัตราการเผาผลาญต่ำลง นอกจากจะสังเคราะห์คอเลสเตอรอลได้น้อยลงแล้ว ตับก็จะสังเคราะห์ HDL ได้น้อยลงด้วย นั่นคือสาเหตุว่าเหตุใดคนที่คอเลสเตอรอลต่ำถึงป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้
       
       ไข่ เป็นอาหารที่มีคอเลสเตอรอลเป็นวัตถุดิบอยู่มาก โดยไข่แดงเป็นแหล่งอาหารของคอเลสเตอรอล แต่ไข่ขาวแทบไม่มีคอเลสเตอรอล ทั้งนี้ แคลอรีเกินครึ่งหนึ่งของไข่มาจากไขมันที่อยู่ในไข่แดง


        :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

       จากข้อมูลข้างต้นถ้าจะสรุปให้สั้นที่สุดเกี่ยวกับไข่มีข้อคิดดังนี้ ถ้าอายุ 50 ปีขึ้นไป (สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ) ควรรับประทานไข่วันละ 1 ฟอง ถ้าเลือกได้รับประทานไข่เป็ด (เพราะเป็ดกินอาหารหลากหลายมากกว่า) ถ้าเลือกให้ดีกว่านั้นควรเลือกไข่ที่ไม่เลี้ยงเป็นฟาร์มปล่อยสัตว์ปีกเป็นอิสระ (ไม่เครียด)
       
       อย่างไรก็ตาม คนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป บางคนไม่ควรรับประทานไข่เลย เพราะเป็นภูมิแพ้อาหารแฝงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งก่อให้เกิดอาการได้หลากหลายชนิด เช่น ปวดหัว ปวดหัวไมเกรน นอนไม่หลับ ผื่นขึ้น หอบหืด ท้องผูก ท้องเสีย อารมณ์แปรปรวน ฯลฯ ซึ่งหากมีเวลาก็ควรตรวจภูมิแพ้อาหารแฝงจากภูมิคุ้มกันในระบบ IGG ซึ่งสามารถตรวจได้ที่ Man Nature Lab Center ติดต่อได้ทุกวันอังคาร-อาทิตย์ ที่หมายเลขโทรศัพท์ 096-065-3684 และ 096-065-3685

        :49: :49: :49: :49:

       วิธีการรับประทานไข่สดที่ไม่ผ่านความร้อนจะสามารถรักษาไขมันโอเมกา 3 และวิตามินได้ดีกว่าการโดนความร้อนแต่ก็มีความเสี่ยงสูงหากไข่มีเชื้อก่อโรคปะปน ดังนั้น ถ้าจะเลือกไข่ให้โดนความร้อนก็ควรให้ไข่แดงไม่สุกมากเกินไป ในขณะเดียวกัน หากจะทอดก็ควรจะใช้น้ำมันมะพร้าวที่จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้ไขมันตัวดีเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กับคอเลสเตอรอลด้วย โดยห้ามผัดทอดกับมาการีนเด็ดขาด และหลีกเลี่ยงไขมันไม่อิ่มตัว (น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว) เพราะจะก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดตามมาได้
       
       แม้ไข่จะมีประโยชน์อยู่มาก แต่บางคนรับประทานไม่ได้เพราะเป็นภูมิแพ้อาหารแฝง หรือรับประทานอาหารมังสวิรัติชนิดที่ไม่รับประทานผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ก็ควรจะรักษาระดับอัตราการเผาผลาญไม่ให้ตกลงด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ และดื่มน้ำมันมะพร้าวเพิ่มประสิทธิภาพของตับให้สามารถสังเคราะห์คอเลสเตอรอลและไขมันตัวดีให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาวะร่างกาย


ข้อมูลจากคอลัมน์ “ธรรมชาติบำบัด” โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เซกชัน Good Health Smart Life ของ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6-12 กันยายน 2557
ที่มา http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000102188
16816  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บนเกจิ..ขอสะพานใหม่ ชาวบ้านอยุธยาสิ้นหวัง สะพานไม้เก่า 40 ปีจะพัง ขอมา 25 ปีแล้ว เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 10:31:50 pm


บนเกจิ..ขอสะพานใหม่.! ชาวบ้านอยุธยาสิ้นหวัง
สะพานไม้เก่า 40 ปีจะพัง กำนันพ้อขอมา 25 ปี ยังไม่มีงบ

วันที่ 6 กันยายน 57 นายสุรัตน์ จริตพันธุ์ กำนันตำบลวัดยม อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า พื้นที่แห่งนี้น้ำท่วมซ้ำซากทุกปี  เพราะลุ่มต่ำอีก และมีคลองบางบาล ซึ่งเป็นลำคลองขนาดใหญ่  รับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา  ไหลไปออกที่แม่น้ำน้อย ตรงบ้านสีกุก

โดยหลังน้ำท่วมทุกปี สิ่งที่ชาวบ้านร้องขอให้ภาครัฐ เข้ามาซ่อมแซมคือ สะพานไม้เก่าอายุ 40 ปี ข้ามคลองบางบาลตรงหน้าวัดนกกระจาบ ซึ่งใช้งานมานานและชำรุดอย่างหนัก ด้วยทุกปีถูกน้ำท่วมและกระแสน้ำที่ไหลแรง  จะพัดพาเอาผักตบชวามาอัดแน่นหน้าสะพาน จนต้านน้ำและส่งผลให้สะพานพังมากยิ่งขึ้น และคาดว่าฤดูน้ำหลากปีนี้ คงพังจมลงน้ำทั้งหมด

ซึ่งตนเองเคยร้องเรียนเพื่อขอร้องให้สร้างสะพานใหม่ มาตั้งสมัยเป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อปี 2532 ถึงปัจจุบันเป็นกำนันจนจะเกษียรแล้ว ผ่านมา 25 ปี ไม่มีหน่วยงานใด หรือนักการเมืองคนใดสนใจจะมาช่วยเหลือ


 :96: :96: :96: :96:

ล่าสุดตนเองพาชาวบ้านพากันไปบนรูปหล่อหลวงพ่อขันธ์ วัดนกกระจาบ เกจิชื่อดังสมัยรัชกาลที่ 5 ว่าหากได้สะพานใหม่  จะโกนหัวบวชแก้บนกัน และจะปิดหมู่บ้านทำบุญเลี้ยงฉลอง

ด้านนายวิชา ใจกล้า นายกเทศบาลตำบลมหาพราหมณ์ ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่นี้ยืนยันว่า สะพานไม้นั้นมีสภาพเก่าจริง และมีสภาพใกล้พัง แต่ไม่มีสิ่งที่จะมาซ่อมแซมครั้งใหญ่หรืองบสร้างใหม่ เพราะขาดงบประมาณ ก่อนหน้านี้เคยจัดงบประมาณไม่มากนัก มาซ่อมแบบชั่วคราว แต่คราวนี้สะพานก็เดูจะชำรุดเกินซ่อมแซมแล้วเช่นกัน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1409991218
16817  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อีกไม่ช้า เงินของคุณ..จะอยู่ที่ลายเส้นเลือดในนิ้วมือ เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 09:57:17 pm



อีกไม่ช้า เงินของคุณ..จะอยู่ที่ลายเส้นเลือดในนิ้วมือ

ธนาคารบาร์เคลย์ในอังกฤษกำลังเตรียมนำเทคโนโลยีระบุตัวตนโดยลายเส้นเลือดในน้ิวมือมาใช้เพื่อทำธุรกรรมซึ่งในชั้นแรกจะให้ลูกค้าประเภทธุรกิจก่อนแล้วค่อยขยับไปหาลูกค้าประเภทบุคคลทีหลังเพราะค่าใช้จ่ายยังสูง

เทคโนโลยีชี้ตัวด้วยลายเส้นเลือดหรือ finger vein authentication นี้พัฒนาโดยบริษัทฮิตาชิของญี่ปุ่่นและขณะนี้มีใช้แล้วในญี่ปุ่นกับโปแลนด์

ข้อแตกต่างระหว่างเทคโนโลยีดูลายนิ้วมือกับดูลายเส้นเลือดคือลายเส้นเลือดจะต้องมาจากคนเป็นๆเท่านั้น ผู้ร้ายจะเที่ยวตัดนิิ้วมือคนมาผ่านเครื่องเพื่อเบิกเงินย่อมไม่ได้

ลายเส้นเลือดนี้ผู้พัฒนาเทคโนโลยีชี้ว่าเริ่มมีมาตั้งแต่ในครรภ์และแทบจะไม่เปลี่ยนเลยตลอดชีวิต และข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะเก็บไว้ในชิพภายในเครื่องแสกนซึ่งต่อไปจะทำให้เล็กลงในราคาที่ถูกลงเพื่อให้บุคคลทั่วไปเอาไปใช้ได้


ที่มา บีบีซีไทย
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd09Ua3pOVEU1Tnc9PQ==&sectionid=
16818  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 9 มหัศจรรย์ “เมืองปากน้ำ” เที่ยวได้ทั้งปี เที่ยวดีทั้งเมือง เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 09:46:41 pm

พระสมุทรเจดีย์

9 มหัศจรรย์ “เมืองปากน้ำ” เที่ยวได้ทั้งปี เที่ยวดีทั้งเมือง

       หลายครั้งหลายคราที่ฉันได้มาเที่ยวที่ จ.สมุทรปราการ หรือ “เมืองปากน้ำ” ก็รู้สึกว่ายังเที่ยวได้ไม่หมดสักที นั่นก็เพราะว่าที่เมืองปากน้ำแห่งนี้ เขามีที่เที่ยวมากมาย มีที่เที่ยวหลากหลายสไตล์ คนทั่วไปอาจจะมองเห็นว่าสมุทรปราการเป็นเมืองอุตสาหกรรม แต่อันที่จริงแล้วก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจซ่อนอยู่ด้วย
       
       และเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้และได้เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ ทาง จ.สมุทรปราการ จึงได้จัดทำโครงการ “9 Wonder : 9 อัศจรรย์สมุทรปราการเที่ยวได้ตลอดปี” เขิญชวนให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่สามารถมาเที่ยวกันได้ตลอดทั้งปี
       
       ในฐานะนักเที่ยวตัวยงอย่างฉัน ก็ต้องไม่พลาดที่จะลองมาเที่ยวตามโครงการนี้อยู่แล้ว โดยเริ่มจากที่แรก “พระสมุทรเจดีย์” ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองสมุทรปราการ และถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของจังหวัดอีกด้วย คนทั่วไปมักจะเรียกองค์พระสมุทรเจดีย์ว่า “พระเจดีย์กลางน้ำ” นั่นก็เพราะในสมัยก่อน ช่วงที่สร้างพระสมุทรเจดีย์ พื้นที่ในบริเวณนั้นเป็นเกาะมีน้ำล้อมรอบ ต่อมาแม่น้ำตื้นเขิน ชายตลิ่งงอกออกมา จนทำให้เกาะนั้นเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่จนเป็นผืนเดียวกัน


พระประธานในพระอุโบสถ วัดโปรดเกศเชษฐาราม

       องค์พระสมุทรเจดีย์สีขาวสะอาดตา ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมน้ำ ใครได้มาเยี่ยมชมความงดงามแล้ว ก็ต้องเข้าไปสักการะพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ที่ประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหารหลวง นอกจานี้ ภายในบริเวณเดียวกันก็ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ศาลาทรงยุโรป ที่ภายในประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รอบๆ องค์พระสมุทรเจดีย์จะมีเก๋งจีน หอระฆัง หอเทียน และหลักผูกเรือ
       
       และในทุกๆ ปี ก็จะมีงานประจำปีคือ งานนมัสการองค์พระสมุทรเจดีย์ ที่จะจัดขึ้นตั้งแต่วันแรม 5 ค่ำเดือน 11 เป็นต้นไป เป็นเวลา 12 วัน 12 คืน มีกิจกรรมนมัสการพระปางห้ามสมุทร ประเพณีการห่มผ้าแดงให้แก่องค์พระสมุทรเจดีย์ โดยชาวบ้านจะช่วยกันเย็บผ้าแดงผืนใหญ่ จากนั้นก็จะมีการบวงสรวงและแห่ผ้าแดงทั้งทางบกและทางน้ำ ก่อนจะนำขึ้นห่มพระเจดีย์ ใครที่สนใจก็วงปฏิทินไว้แล้วเข้ามาร่วมงานกันได้เลย


ป้อมพระจุลจอมเกล้า

       จากพระสมุทรเจดีย์ ก็เข้ามาสู่ความมหัศจรรย์ที่ 2 “ตระการตาจิตรกรรมศิลป์ 200 ปี” ซึ่งสามารถมาชมได้ที่วัดโปรดเกศเชษฐาราม วัดบางน้ำผึ้งนอก และ วัดสร่างโศก
       
       สำหรับที่ “วัดโปรดเกศเชษฐาราม” เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 และยังถือว่าเป็นวัดพุทธไทยแห่งเดียวในย่านพระประแดง ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย และยังโดดเด่นด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง ฝีมือของขรัวอินโข่ง ช่างเขียนชั้นครูในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการเขียนภาพแบบตะวันตกที่ประดับอยู่ภายในพระอุโบสถและพระวิหาร
       
       “วัดบางน้ำผึ้งนอก” อยู่ใกล้กับตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง เป็นวัดเก่าแก่เช่นกัน แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยใด ภาพจิตรกรรมที่น่าสนใจอยู่ภายในพระอุโบสถและพระวิหารหลังเก่า เชื่อกันว่าเป็นภาพจิตรกรรมฝีมือจิตกรชั้นเอกในสมัยนั้น ภาพเด่นก็คือภาพหญิงชายชาวมอญในยุคต้นรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะภาพหญิงชาวมอญแนวอีโรติคคลาสสิก ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเพชรน้ำเอกอีกเม็ดหนึ่งของจิตรกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
       
       “วัดสร่างโศก” ภายในวัดมีโบสถ์เก่าแก่อายุกว่า 200 ปี บริเวณยอดโบสถ์ประดับด้วยพญานาครอบทิศ ส่วนบริเวณจั่วนั้นจะมองเห็นเทพพนมที่ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม


เจดีย์เอียง วัดสาขลา

       อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของ จ.สมุทรปราการ ที่ฉันคิดว่าเมื่อเห็นแล้วใครๆ ก็ต้องนึกถึงจังหวัดนี้ นั่นคือ “ป้อมพระจุลจอมเกล้า” ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และถือว่าเป็นป้อมปราการทางน้ำที่มันสมัยที่สุดในเวลานั้น ป้อมแห่งนี้มีชื่อเสียงมากจากการที่ใช้เป็นสถานที่ยิงต่อสู้กับเรือรบฝรั่งเศสในวิกฤติการณ์ ร.ศ.112
       
       ภายในบริเวณป้อมมีพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดจอมทัพเรือ พระหัตถ์ถือกระบี่ และปัจจุบันก็เปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์เรือหลวงแม่กลอง เรือรบที่มีความเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลก และยังสามารถเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือ และกลุ่มปืนเสือหมอบได้อีกด้วย
       
       มหัศจรรย์ที่ 4 คือ “เจดีย์เอียง 200 ปี ชุมชนบ้านสาขลา” ซึ่งเจดีย์เอียงนั้นตั้งอยู่ภายในวัดสาขลา เกิดจากการทรุดตัวลงของแผ่นดินจากน้ำท่วมขังเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เจดีย์จึงเอียงลงตามสภาพที่เห็น แต่ก็มิได้ล้มลงแต่อย่างใด ส่วนภายในวัดสาขลานั้นยังสามารถเข้าไปสักการะหลวงพ่อโต ที่ประดิษฐานอยู่บนพระอุโบสถ ร่วมลอดโบสถ์เพื่อความเป็นสิริมงคล และชมพิพิธภัณฑ์บ้านสาขลา ที่เก็บรวบรวมของเก่าทรงคุณค่าวมากมาย
       
       ส่วนชุมชนบ้านสาขลา เป็นชุมชนชาวประมงเก่าแก่ริมปากอ่าวไทย ที่ในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีวิถีชีวิตชาวประมงอยู่เช่นเดิม นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาเยี่ยมชมชุมชน เดินพูดคุยกับชาวบ้าน หรือจะออกไปล่องเรือชมป่าชายเลน ชมความอุดมสมบูรณ์บริเวณปากอ่าวไทยก็ได้ และในชุมชนนี้ก็ยังมีตลาดโบราณ ที่จะเปิดขายทุกวัน เสาร์-อาทิตย์


ประเพณีรับบัว-โยนบัว วัดบางพลีใหญ่ใน

       มหัศจรรย์ที่ 5 “วัดบางพลี ประเพณีโยนบัว” ที่จัดขึ้นใน “วัดบางพลีใหญ่ใน” พุทธศาสนิกชนนิยมมาสักการะและขอพรหลวงพ่อโตกันที่นี่ ซึ่งในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี จะมีการจัดประเพณีรับบัว-โยนบัวขึ้น โดยจะมีขบวนแห่หลวงพ่อโตจำลองทั้งทางบกและทางน้ำ ผู้คนที่ไปร่วมงานก็จะโยนบัวลงในเรือที่แห่หลวงพ่อโต ซึ่งถือเป็นการบูชาหลวงพ่อโตนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการแข่งขันแบบพื้นบ้าน เช่น การประกวดเรือต่างๆ การแสดงการละเล่นพื้นบ้าน
       
       ส่วนใกล้ๆ วัด ก็จะมี “ตลาดโบราณบางพลี” เป็นตลาดโบราณริมน้ำ ที่เปิดขายทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. แต่ตลาดจะคึกคักมากในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เนื่องจากมีร้านค้ามาเปิดขายมากกว่า ของที่ขายก็มีทั้งอาหารต่างๆ ขนมหวาน ขนมโบราณ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ


ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง

       มหัศจรรย์ที่ 6 เป็นเรื่องของตลาดน้ำที่ยังคงสะท้องวิถีชีวิตชาวบ้านได้อย่างดี นั่นก็คือ “ตลาดน้ำคลองสวนร้อยปี” ที่ตั้งอยู่ริมคลองประเวศน์บุรีรมย์ สมัยก่อนเป็นเส้นทางเดินเรือจากฉะเชิงเทราเข้าสู่กรุงเทพฯ ที่รวดเร็วที่สุด เป็นจุดแวะพักและแลกเปลี่ยนสินค้าที่สำคัญ ทำให้ปัจจุบันก็ยังคงเป็นตลาดที่เป็นจุดพบปะของผู้คนอยู่
       
       สิ่งที่สำคัญก็คือ ตลาดแห่งนี้มีวิถีชีวิตของทั้งชาวไทยจีน ไทยพุทธ และไทยมุสลิม ที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ในส่วนของอาหารการกินก็มีทั้งของคาวและของหวานที่เป็นสูตรดั้งเดิม มีของใช้ในชีวิตประจำวัน ของเก่าที่หายาก ทั้งหมดนี้อยู่ในบรรยากาศเรือนไม้ริมน้ำ ตลาดแห่งนี้เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. และจะคึกคักในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์
       
       ตลาดน้ำอีกแห่งหนึ่งก็คือ “ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง” ที่มีความน่าสนใจอยู่ที่วิถีชีวิตชาวบ้านริมคลอง ที่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวไทยเชื้อสายมอญ ส่วนของที่ขายในตลาดก็จะเป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้านและอาหารที่มีชื่อเสียงของชุมชน เช่น ดอกไม้เกล็ดปลา ธูปสมุนไพร หอยทอดครก เป็นต้น นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังมาสามารถมานั่งเรือพาย ชมบรรยากาศตลาดริมน้ำ เช่าจักรยานปั่นผ่านสวนและชุมชนสัมผัสธรรมชาติ สำหรับตลาดน้ำบางน้ำผึ้งจะเปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.00-15.00 น.


สถานตากอากาศบางปู

       มหัศจรรย์ที่ 7 “สถานตากอากาศบางปู” ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นสถานตากอากาศมานานแล้ว โดยที่นี่จะมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีป่าชายเลนรอบๆ สามารถชมปลาสองน้ำได้เพราะเป็นเขตรอยต่อของปากแม่น้ำกับทะเลอ่าวไทย มีสะพานทอดยาวออกไปในทะเล ระยะทางประมาณ 500 เมตร ทำให้เป็นจุดชมนกและชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามแห่งหนึ่ง
       
       โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม จะมีเหล่านกนางนวลอพยพหนีหนาวมา ทำให้บางปูกลายเป็นแหล่งดูนกนางนวล และมาให้อาหารนกนางนวลกัน นอกจากนี้ ภายในสถานตากอากาศบางปูยังมีร้านอาหารและที่พักไว้ให้บริการ ส่วนในศาลาสุขใจ ซึ่งเป็นร้านอาหารนั้น ในทุกวันเสาร์จะมีกิจกรรมเต้นรำและลีลาศ ตั้งแต่เวลา 17.00-21.00 น.


บางกะเจ้า ปอดของคนกรุงเทพฯ

       มหัศจรรย์ที่ 8 “กระเพาะหมู เกาะสีเขียว ปอดแห่งมหานคร” ในพื้นที่ของ “บางกะเจ้า” เป็นเกาะที่มีลักษณะคล้ายกับกระเพาะหมู และเป็นผืนป่าธรรมชาติผืนเดียวที่อยู่ติดกับเมืองหลวง ด้วยความสมบูรณ์ของธรรมชาติ จึงทำให้บางกะเจ้ากลายเป็นปอดของคนกรุงเทพฯ เป็นแหล่งดูนกที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง นักท่องเที่ยวนิยมมาปั่นจักรยานลัดเลาะชุมชนในบางกะเจ้า ปั่นลัดเลาะสวน ลัดเลาะป่า สูดอากาศบริสุทธิ์สดชื่น
       
       มหัศจรรย์ที่ 9 “สุดยอดของฝากเมืองปากน้ำ” ซึ่งเมื่อมาเที่ยวที่ จ.สมุทรปราการ แล้ว ก็ไม่ควรพลาดที่จะหาซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านด้วย เริ่มต้นจาก “กุ้งเหยียด” ของฝากจากบ้านสาขลา ซึ่งถือว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อประจำหมู่บ้าน ทำมาจากกุ้งสดที่ต้มใส่น้ำตาลและเกลือโดยไม่ต้องใส่น้ำ ทำให้ได้รสชาติความหวานของเนื้อกุ้งแท้ๆ และความกรอบของเปลือกกุ้งที่สามารถกินได้ทั้งตัว


กุ้งเหยียด ของฝากจากเมืองปากน้ำ

       “ปลาสลิดบางบ่อ” สุดยอดปลาสลิดที่โด่งดังไปทั่วประเทศ ปลาสลิดของที่นี่แตกต่างจากที่อื่นเนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ ทำให้ได้ปลาสลิดเนื้อแน่น กลิ่นหอม มันไม่แตก และไม่เค็มจนเกินไป “ขนมจากลิ้มดำรงค์” รสชาติหอมนุ่มนวล ขนมจากของที่นี่ทำจากแป้งต่างๆ ผสมกันใส่เนื้อมะพร้าวทึนทึก เติมน้ำตาลมะพร้าวและเนื้อมะพร้าวอ่อน ห่อด้วยใบจาก และปิ้งบนเตาถ่านไม้โกงกาง
       
       “มะม่วงน้ำดอกไม้” ที่ถือกำเนิดจากคุ้งบางกะเจ้า ได้รับการจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นพืชเฉพาะถิ่นของสมุทรปราการ มีความหอมเฉพาะตัว ผลอวบ เต่งตึง เนื้อสีเหลืองจำปา มีรสชาติหวานอร่อย
       
       ทั้งหมดนี้คือ 9 มหัศจรรย์แห่งเมืองปากน้ำ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว วัดวาอาราม และของฝากที่ขึ้นชื่อ ซึ่งฉันเชื่อว่า หากใครได้มาเยือน จ.สมุทรปราการ แล้ว ก็คงจะต้องติดใจ อยากกลับไปอีกหลายๆ รอบเหมือนกับฉันแน่ๆ


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000099244
16819  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / น่ารักดี! “เต่า“ เมืองสองแคว ชอบกิน“กาแฟ“ตอนเช้า เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 09:33:28 pm


น่ารักดี! “เต่า“ เมืองสองแคว ชอบกิน“กาแฟ“ตอนเช้า

ผู้สื่อข่าวรายงานเรื่องที่มุมแปลกๆ ของเต่าตัวหนึ่ง ซึ่งชอบกินกาแฟกับเจ้าของในตอนเช้า ซึ่งเต่าตัวดังกล่าวนั้นเป็นของ นายธีระ และ นางสุนันท์ ธนสภาพร สองสามีภรรยา เจ้าของร้านอะไหล่ยนต์แห่งหนึ่งใน จ.พิษณุโลก

ซึ่งเจ้าเต่าตัวดังกล่าวนั้น มีลักษณะเป็นเต่าขนาดใหญ่ มีน้ำหนักตัวประมาณ 13 กก. มีความยาวตั้งแต่หัวถึงหางยาว 3 ฟุต แต่ไม่ทราบชนิดพันธุ์ กำลังคลานต้วมเตี้ยมออกมาจากใต้ชั้นวางอะไหล่ โดยมีเจ้าของร้านนำกาแฟมาเทใส่ถาดสังกะสีไว้รอ ซึ่งเต่าตัวดังกล่าวได้คลานออกมากินกาแฟอย่างหิวกระหาย และเมื่อกินจนอิ่มท้องแล้ว ก็ได้คลานกลับเข้าไปยังใต้ชั้นวางอะไหล่ที่เดิม เป็นภาพแปลกตาสำหรับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก เพราะโดยปกติทั่วไปเต่ามักจะชอบกินแต่ผักเท่านั้น


 :49: :49: :49: :49:

โดยนายธีระ เจ้าของเต่า เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า เมื่อ 3 ปี ที่ผ่านมา ช่วงกลางดึกคืนวันฝนตกหนัก ขณะที่ตนเองและภรรยากำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ภายในร้านชั้นล่าง ได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊กที่หน้าประตูร้าน จึงลุกขึ้นออกมาดูเพราะนึกว่าเป็นโจรมางัดร้าน แต่ก็พบว่ามีเต่าไม่ทราบชนิดคลานมาหลบฝนอยู่ แต่ตนก็ไม่ได้สนใจอะไร จึงกลับเข้าไปนอนต่อ จนกระทั่งรุ่งเช้าตนตื่นมาเปิดร้านขายของตามปกติ พบว่าเต่าตัวดังกล่าวยังอยู่ที่เดิม จึงตัดสินใจอุ้มเต่านำมาเลี้ยงดูเอาไว้และตั้งชื่อให้ว่า "เจ้าอั่งเปา"

แต่ลักษณะของเต่าตัวนี้จะไม่เหมือนเต่าปกติทั่วไปที่ชอบกินพืชผักแต่จะชอบกินมะละกอสุกกับแคนตาลูปเท่านั้นและที่แปลกไปกว่านั้นคือในทุกๆเช้าตนและภรรยาจะเป็นคนชอบดื่มกาแฟ "เจ้าอั่งเปา" ก็จะคลานออกมาจากใต้ชั้นวางอะไหล่ มารออยู่ใกล้ๆ เหมือนจะอยากร่วมวงดื่มกาแฟด้วยกัน

ตนจึงทดลองเทกาแฟแบ่งใส่ถาดสังกะสีให้ลองกินดูบ้างแต่ก็ต้องตกใจเพราะเจ้าอั่งเปากินกาแฟจนหมดถาดภายในพริบตาตั้งแต่นั้นมาทุกๆเช้า"เจ้าอั่งเปา"จะคลานออกมารอตนเทกาแฟให้กินเป็นประจำ ซึ่งลักษณะนิสัยของเจ้าอั่งเปาไม่ดุร้าย และไม่เคยกัดหรืองับมือเจ้าของ อีกทั้งยังมีนิสัยเชื่องมาก ทางครอบครัวของตนจึงรักเจ้าอั่งเปาเสมือนลูกแท้ๆ เช่นกัน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
news.sanook.com/1662649/น่ารักดี-เต่า-เมืองสองแคว-ชอบกินกาแฟตอนเช้า/
16820  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5W 1H แห่งความฝัน สู่การมองเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 09:28:42 pm


5W 1H แห่งความฝัน สู่การมองเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่
โดย...จตุรภัทร หาญจริง ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์

พนักงานบริษัทอย่างเราๆ ท่านๆ เมื่อทำงานนานวันเข้า มักมีสภาพจิตใจที่เหี่ยวเฉา บางครั้งก็ไม่สมประดี (พูดภาษาบ้านๆ ก็เวิ่นเว้อนั่นแหละ) ยิ่งทำงานนานวันเข้า ยิ่งค้นพบว่าตัวเองเหมือนใช้ชีวิตวนอยู่ในอ่าง จนเกิดคำถามกับตัวเองว่า “เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร”

ผมมีหลัก “5W 1H แห่งความฝัน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎี “บิ๊ก พิคเจอร์” จากหนังสือเล่มที่มีชื่อว่า “ปาฏิหาริย์จากการต่อจิ๊กซอว์ชีวิต” มาฝาก ทฤษฎีนี้ได้นิยามคำว่าบิ๊ก พิคเจอร์ ไว้ว่า เป็นภาพขนาดใหญ่ของชีวิต ที่ทำให้เรามองเห็นอนาคตของตัวเราเอง ที่สำคัญที่สุด ชีวิตของเราไม่ได้เกิดจากภาพเล็กๆ เพียงภาพเดียว แต่เกิดจากภาพย่อยๆ ที่ต่อรวมกันเหมือนจิ๊กซอว์ จนกลายเป็นรูปภาพขนาดใหญ่ของชีวิต ซึ่งรูปภาพขนาดใหญ่รูปนี้นี่แหละ จะทำให้เราค้นพบคุณค่าของการมีชีวิตอยู่

 ans1 ans1 ans1 ans1

ในฐานะคนทำงาน หากเราให้โอกาสตัวเองได้ลองตอบคำถามตามหลัก 5W 1H แห่งความฝัน ไม่ว่าจะเป็น

Why (for what) : เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เชื่อไหมว่าทุกวันนี้ เรามักลืมตั้งคำถามกับตัวเองว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพื่อทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น หรือเพื่ออยู่แบบซังกะตาย หรือเพื่อมีชีวิตอยู่ไปวันๆ ถ้าเราฝันอยากมีชีวิตอยู่เพื่อทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น ไม่ใช่แย่ลง นี่นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะก้าวไปสู่การตอบคำถามข้อต่อไปแล้วล่ะ

Who : ใครคือเจ้าของความฝัน หากการมีชีวิตอยู่เพื่อทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น คือความฝันของตัวเราเอง แล้วเราจะมัวแต่คิดว่า เจ้าของบริษัท หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน หรือลูกน้องบริวาร คือคนที่มีอิทธิพลเหนือกว่าความฝันนี้ของเราไปเพื่ออะไร ในเมื่อเราคือเจ้าของความฝัน เราต้องรับผิดชอบต่อความฝันของเรา เหมือนเราทำงาน หากไม่มีความรับผิดชอบ งานก็ล้มเหลว เช่นเดียวกัน การไม่รับผิดชอบต่อความฝัน ความฝันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง

When : จะทำเมื่อไร บอกเลยว่า “เดี๋ยวนี้” คือคำตอบเดียวเท่านั้น การเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการรับผิดชอบต่อความฝันของตัวเองไว้ในจิตใต้สำนึก และคอยหมั่นรดน้ำพรวนดินตั้งแต่ตอนนี้ มันจะช่วยทำให้เราไม่คอยแต่บ่นแบบเบื่อๆ กับงานที่ทำอยู่ ไม่ค่อยแต่ผัดวันประกันพรุ่ง และไม่คอยแต่คิดเล็กคิดน้อย จนกลายเป็นคนไม่มีความสุขกับชีวิต

Where : จะทำที่ไหน เราทำงานที่ไหน ก็ให้เริ่มต้น ณ ที่แห่งนั้น ถึงจะเริ่มไม่รู้สึกรักที่แห่งนั้นแล้วก็ตามทีเถอะ อย่าลืมว่า คนเราสามารถประสบความสำเร็จกับงานได้ แม้ว่าจะอยู่ในที่ทำงานที่ไม่ได้รัก หากเรารักงานที่ทำเสียอย่าง เชื่อเถอะว่าเมื่อเราทำงานจนประสบความสำเร็จ ความรักต่อที่ทำงานมันจะค่อยๆ เกิดขึ้นมาเอง โดยที่เมื่อเรารู้สึกตัว เราก็รักที่ทำงานนั้นจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว

What : จะทำอะไร มาถึงคำถามสำคัญที่ว่า เราจะทำอะไร (ต่อไป) การรับผิดชอบต่อความฝันที่อยากมีชีวิตอยู่เพื่อทำชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น ในสถานที่ที่ตัวเองเริ่มไม่รู้สึกรักแล้วนั้น เราสามารถทำได้ด้วยการทบทวนตัวเอง แล้วเขียนลงไปบนกระดาษเป็นสองฝั่ง ฝั่งซ้ายมือ ให้เขียนว่า ทำสิ่งนี้แล้วชีวิตดีขึ้น จะกี่ข้อก็ลองเขียนมาดู แล้วลองมาเขียนฝั่งขวาว่า ทำสิ่งนี้แล้วทำให้ชีวิตแย่ลง จะกี่ข้อก็ให้เขียนลงไป

How : จะทำอย่างไร เมื่อเขียนได้แล้ว ก็ให้ขยายความในแต่ละข้อถึงวิธีการทำ เสร็จแล้วก็เลือกทำในสิ่งที่ทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นให้มากที่สุด และลดทอนการทำสิ่งที่ทำให้ชีวิตตัวเองแย่ลงให้มากที่สุดเช่นกัน เมื่อไรที่เราเผลอลืมทำฝั่งขวามากกว่าฝั่งซ้าย ก็ให้รีบมาอ่านวิธีการทำใหม่อีกรอบ อย่าลืมว่าชีวิตคือการทบทวนชีวิตตัวเองเสมอ

 :96: :96: :96: :96:

เมื่อตอบคำถามตัวเองได้ทุกข้อแล้ว ไม่ว่าตัวเราจะทำงานในด้านไหน สาขาใด ณ องค์กรใด เหี่ยวเฉา เวิ่นเว้อ หรือไม่สมประดีมากแค่ไหน เราจะมองเห็นภาพขนาดใหญ่ของตัวเราเองในมุมมองใหม่ที่มีเป้าหมายชีวิตชัดเจนขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นนักการตลาด ที่ไม่ได้เป็นแค่นักการตลาดธรรมดาๆ ทั่วไปนะจ๊ะ ขอบอก แต่เราเป็นนักการตลาดที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจกับสินค้าหรือองค์กรของเราอย่างสูงสุด ยิ่งกว่าที่เขาคาดหวังไว้เสียอีก เห็นไหมว่า เมื่อเราได้พบเคล็ดลับในการหาคุณค่าจากงานที่ทำอยู่ในลักษณะนี้ มันเป็นการค้นพบที่ไม่ได้ทำให้ความหมายในชีวิตของเราหายไปด้วย ซึ่งมันดีกับชีวิตของตัวเราเองอยู่มิใช่น้อย แถมหน้าตาของมันก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เสียด้วยสิ


ขอบคุณภาพและบทความจาก
job.posttoday.com/รอบรู้เรื่องงาน/315612_5w-1h-แห่งความฝัน-สู่การมองเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่.html
16821  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นิสัยใช้เงิน บอกทางเดินชีวิต เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 09:19:44 pm


นิสัยใช้เงิน บอกทางเดินชีวิต

เชื่อหรือไม่.!! หาเงินได้เท่าไหร่ไม่สำคัญ สำคัญที่ใช้เท่าไหร่ต่างหาก เพราะในแต่ละเดือน เงินจะพอหรือไม่พอขึ้นอยู่กับ “นิสัยใช้เงิน” ของแต่ละคน




แล้วคุณล่ะ... อยากมีทางเดินชีวิตแบบไหน ล้มละลายหรือเศรษฐีเงินล้าน.??


ที่มา http://www.tsi-thailand.org/index.php?option=com_content&task=view&id=1527&Itemid=1432
money.sanook.com/212933/นิสัยใช้เงิน-บอกทางเดินชีวิต/
16822  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 อาหารสำคัญสำหรับคนนอนดึกที่ขาดไม่ได้ เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 09:15:20 pm


5 อาหารสำคัญสำหรับคนนอนดึกที่ขาดไม่ได้

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีไลฟสไตล์ชอบนอนดึก หรือไม่ก็อาจจะประกอบอาชีพที่หลีกเลี่ยงการนอนดึกไม่ได้ และสิ่งที่ตามมาคือระบบในร่างกายมันจะฟ้องออกมาด้วยอาการเจ็บป่วย เช่น มึนศีรษะ, เวียนหัว, คลื่นไส้, เป็นหวัดง่าย, ภูมิแพ้กำเริบ ดังนั้น คนนอนดึกควรหันมาดูแลตัวเองให้มากกว่าคนปกติ เริ่มจากอาหารการกินเลย ต่อจากนี้ คืออาหารเฉพาะสำหรับคนนอนดึกที่ควรรับประทาน

1. เนื้อสีขาว  หาเนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ ทานบ้าง  เพราะจะช่วยสร้าง “เคมีสมอง” ที่จำเป็นสำหรับคนนอนดึก  ได้แก่ โดพามีน,เอพิเนฟริน

2. ข้าวกล้องงอก หรือ ถั่วดำ ถั่วแดง ลูกเดือย เพราะธัญพืชพวกนี้จะมี กาบ้า (GABA)  เป็นสารช่วยสื่อประสาทสมองทำให้ความจำดีคิดอ่านได้ว่องไว

3.ช็อกโกแลตดำ(Dark Chocolate)  เป็นเสมือนเครื่องดื่มชูกำลังเสริมสร้างเรี่ยวแรงอย่างหนึ่ง แทนเพราะมี “ฟลาโวนอยด์” ช่วยให้เลือดไหลลื่นในสมองป้องกันเส้นเลือดอุดตัน

4.ใบบัวบก  ซึ่งเป็นคลอโรฟิลล์จากธรรมชาติและยังมีสารช่วยลดการอักเสบของร่างกายจากภาวะนอนดึก  หาบัวบกรับประทานสดหรือเอามาปั่นเป็นน้ำคั้นสีเขียวดื่มบ่อยๆ  จะช่วยให้สดชื่นตื่นตัวดี

5. ดื่มน้ำให้มาก  ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆที่สุดแต่มักถูกมองข้าม การ “ดื่มน้ำสะอาด”  ดีต่อสมองเป็นที่สุดเพราะก้อนสมองต้องอาศัยน้ำในการบำรุงเช่นเดียวกับร่างกายที่นอนดึก  คนนอนดึกจะปากแห้งเพราะร่างกายคนนอนดึกไม่ได้พักจึงมีการสูญเสียน้ำไปจนปากคอแห้งเป็นผงนั่นเอง


รายการ “กาละแมร์”
ที่มา ch3.sanook.com/32335/กาละแมร์-อาหารสำหรับคน
ภาพจาก http://img.kapook.com/
16823  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อาหารหมักดอง ก็มีประโยชน์.! เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 09:10:34 pm


อาหารหมักดอง ก็มีประโยชน์.!

อย่าละเลยสิ่งดีๆ ให้ร่างกายได้มี “โปรไบโอติกส์” จากอาหารหมักดองกันนะคะ

ผู้เขียนมีเพื่อนที่รักและใส่ใจสุขภาพบางคน ที่จะไม่แตะต้องอาหารหมักดองกันเลยทีเดียว เธอมักมีอาการท้องผูก และต้องพึ่งยาระบายอยู่เสมอๆ ถึงขนาดขาดยาระบายเมื่อไหร่ ถึงขั้นถ่ายไม่ออกกันเยทีเดียว ผู้เขียนจึงแนะนำให้เธอหันมามองอาหารกลุ่มหมักดองบ้าง นมเปรี้ยว หรือโยเกิร์ตบ้าง เพื่อให้ร่างกายได้รับจุลินทรีย์ชนิดดีที่ยังมีชีวิต เพื่อช่วยระบบย่อยอาหาร อีกทั้งการดูดซึม ไปจนถึงระบบการขับถ่าย บทความเพื่อสุขภาพฉบับนี้ จึงขอนำความรู้เรื่องโปนไบโอติกส์ ที่มีอยู่ในอาหารหมักดองมาให้คุณผู้อ่านที่รักสุขภาพได้อ่านกันอีกครั้ง

ยุคนี้ เป็นยุคสมัยที่คำว่าโปรไบโอติกส์ เข้ามาผ่านหู ผ่านตา ให้ได้ยินได้เห็นกันเป็นระยะๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทนมเปรี้ยว และโยเกิร์ต ก็ได้นำเอา เจ้าโปรไบโอติกส์ มาเป็นจุดเด่นในการนำเสนอ รวมถึงวงการของคนที่ดูแลสุขภาพก็ยังพูดถึงกันอย่างแพร่หลาย แม้แต่วงการแพทย์ก็ยังมีการพูดถึงกันว่า โปรไบโอติกส์นี้ อาจกลายมาเป็นยาปฏิชีวนะในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 21 กันเลยทีเดียว เห็นทีแฟนๆคลับสุขภาพของเดลินิวส์ออนไลน์ที่รักสุขภาพทั้งหลาย จะตกข่าว พลาดข้อมูลกับสิ่งที่เป็นประโยชน์กับร่างกายอย่างเจ้าโปรไบโอติกส์นี้ไม่ได้ซ้ะแล้ว วันนี้เรามาทำความรู้จักกับเจ้า”โปรไบโอติกส์”กันดีกว่าค่ะ

 :49: :49: :49: :49:

โปรไบโอติกส์ (Probiotics) คือ แบคทีเรียที่ไม่ก่อให้เกิดโรคที่ปะปนอยู่ในอาหาร เมื่อรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว แบคทีเรียพวกนี้ทนกรด ทนด่างในกระเพาะและลำไส้เล็ก สามารถผ่านไปสู่ลำไส้ใหญ่ได้ ทำให้ประชากรแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่เพิ่มจำนวนขึ้น เป็นประโยชน์ต่อระบบการย่อยอาหาร การดูดซึมอาหาร และการขับถ่าย ทั้งยังช่วยเข้าไปปรับปริมาณของปริมาณของจุลินทรีย์ในร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่สมดุล โปรไบโอติกนั้น เป็นแบคทีเรียกลุ่มที่สามารถที่ผลิตกรดแลคติกได้ เราเรียกกรดนี้ว่า แลคติกแอซิด แบคทีเรียที่ดีเหล่านี้ได้แก่

แลคโตบาซิลลัส อะซิโดฟิลลัส (Lactobacillus acidophilus), เอนเทอโรคอคคัส (Enterococcus Faecalis), สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลัส (Streptococcus thermophilus), ไบฟิโดแบคทีเรียม ไบฟิดัม (Bifidobacterium bifidum) แบคทีเรียที่ดีเหล่านี้ อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ของเราตั้งแต่เราเป็นทารกนะคะ จะทำหน้าที่ช่วยย่อยอาหารและผลิตสารอาหารที่ดีมีประโยชน์ให้กับเรา ได้แก่ กรดอะมิโน กรดแลคติก พลังงาน วิตามินเค วิตามินบี และสารปฏิชีวนะธรรมชาติหลายชนิด ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับร่างกาย ดังนี้


 ans1 ans1 ans1 ans1

1. กรดแลคติกที่แบคทีเรียผลิตออกมา จะทำให้สภาวะในลำไส้ มีความเป็นกรดมากพอที่จะยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียก่อโรค
2. ทำให้ระบบขับถ่ายดี ไม่เกิดการหมักหมมของของเสียในร่างกาย เป็นการลดอัตราเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มะเร็งลำไส้และมะเร็งตับ
3. วิตามินบีที่ได้ จะทำให้เซลล์ในระบบภูมิต้านทาน ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยังทำให้มีการเม็ดเลือดแดงดีอีกด้วย
4. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และกำจัดสารก่อมะเร็งบางชนิด
5. แลคติกแอซิดแบคทีเรีย ยังช่วยลดระดับน้ำตาลและคลอเรสเตอรอลในเลือดด้วย
6. นอกจากนี้ยังผลิตเอนไซม์แลคเตส ซึ่งช่วยย่อยน้ำตาลในนม ทำให้เราไม่มีอาการท้องอืดหรือท้องเสียจากการดื่มนม และยังช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น

เมื่อรู้จักเจ้าโปรไบโอติกส์กันมาบ้างแล้ว ผู้เขียน อยากแนะนำให้รู้จักเจ้าพรีไบโอติกกันด้วยนะคะ เพราะมีความเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อกันค่ะ


 :96: :96: :96: :96:

พรีไบโอติก (Pre-biotic) คือ สารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถจะย่อยได้ เมื่อผ่านเข้าไปถึงบริเวณลำไส้ใหญ่จะกลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย ส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ สารกลุ่มนี้ได้แก่ อินูลิน (inulin) และ โอลิโกฟรุคโตส ดังนั้นพรีไบโอติก จึงเป็นประโยชน์ต่อแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ เพราะมันจะกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่นั่นเองค่ะ สารอาหารที่มีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติก ได้แก่ โอลิโกฟรุกโตส ซึ่งมีอยู่ในพืช เช่น หัวหอม กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง และกล้วย สามารถส่งเสริมให้จุลินทรีย์สุขภาพมีการเจริญเติบโต เพิ่มจำนวนและแข็งแรงมากยิ่งขึ้น สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

โดยเฉพาะชนิด บิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) และ แลคโตแบซิไล (Lactobacili) ในทางเดินอาหารของมนุษย์มีแบคทีเรียที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ดีขึ้น ป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียตัวร้ายที่จะทำให้ร่างกายเรานั้นเกิดโรคต่างๆได้ เช่น โรคอาหารเป็นพิษ เป็นต้น ที่สำคัญคือ ในร่างกายเรามีแบคทีเรียทั้งสองประเภทอยู่ด้วยกัน การรักษาสมดุลของเจ้าตัวดีและตัวร้าย จึงมีความสำคัญและจำเป็นมากต่อสุขภาพที่ดีนะคะ

 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

สรุปแล้วโพรไบโอติก และพรีไบโอติก จึงมีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด หากร่างกายได้รับทั้งจุลินทรีย์เพื่อสุขภาพ และใยอาหาร พรีไบโอติก ที่เหมาะสม จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ดังนี้ คือ ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน, ป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคติดเชื้อในทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย, ช่วยลดสารพิษหลายชนิด, ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น, ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม ซึ่งแก้ปัญหาแน่นท้องหรือท้องเสียได้, ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหาร โดยเฉพาะแคลเซียมและเหล็กได้ดี

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากจะรีบหาอาหารที่มีโปรไบโอติกส์มาทานกันแล้วใช่ไหมค่ะ ไม่ใช่เพียงแค่นมเปรี้ยว และโยเกิร์ตเท่านั้นนะคะที่จะมี อาหารที่ผ่านกระบวนการหมักดองบางประเภทที่ยังคงมีจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่ เช่น นัตโตะ(ถั่วเหลืองหมักของญี่ปุ่น), กิมจิ(ผักดองของเกาหลี) หรือ เทมเป้(ถั่วหมักของอินโดนิซีย) ก็ล้วนแล้วแต่มีเจ้าโปรไบโอติกส์ปะปนอยู่ทั้งนั้น รวมถึง ผัก ผลดองของไทยเราก็เช่นเดียวกันนะคะ แต่จะเลือกเสริมโปรไบโอติกส์ให้ร่างกายด้วยอาหารชนิดไหน ก็ต้องระวังเรื่อง ความสะอาด ไม่ใส่สี แต่งกลิ่นด้วยสารเคมี และถูกสุขลักษณะกันด้วยนะคะ ไม่เช่นนั้นแล้วอาจกลายเป็นท้องเสียเพราะทานอาหารที่ไม่สะอาดแทน หรือได้รับสารเคมีเข้าร่างกายและก่อให้เกิดโรคในระยะยาวได้


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

เห็นไหมค่ะว่าเจ้าโปรไบโอติกส์จากอาหรหมักดองนั้นมีประโยชน์มากมายต่อร่างกายเรามากขนาดไหน คอยเสริมเติมโปรไบโอติกส์ ควบคู่ไปกับพรีไบโอติกให้ร่างกายกันอยู่เป็นระยะๆนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของเราในระยะยาวกันค่ะ อย่าลืมนะคะว่า You are what you eat เลือกทานอะไรดีๆ จะได้มีร่างกายที่แข็งแรงกันนะคะ

โดย “PrincessFangy”
Twitter @Princessfangy
เนื้อหาบางส่วนจาก http://www.myprimelife.com/thailand


ขอบคุณภาพและบทความ
www.dailynews.co.th/Content/Article/264527/อาหารหมักดองก็มีประโยชน์!
16824  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ฤา Smart Watch จะครองโลก.? เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 09:36:35 am


ฤา Smart Watch จะครองโลก.? - 1001

คอมพิวเตอร์สวมใส่ได้มีหลายชนิด ตั้งแต่เป็นแว่นตา นาฬิกา เสื้อผ้า รองเท้า บริษัทกูเกิลพยายามทำ Glass เป็นแว่นตา แสดงจอโทรศัพท์ขึ้นให้เห็นในแว่นได้

คอมพิวเตอร์สวมใส่ได้มีหลายชนิด ตั้งแต่เป็นแว่นตา นาฬิกา เสื้อผ้า รองเท้า บริษัทกูเกิลพยายามทำ Glass เป็นแว่นตา แสดงจอโทรศัพท์ขึ้นให้เห็นในแว่นได้ และมีกล้องถ่ายทอดทุกอย่างที่ผู้สวมใส่มองเห็นอยู่ออกอากาศได้ แต่สังคมยังไม่ยอมรับ และการใช้งานยังมีปัญหากับราคาแพง จึงยังขายไม่ออก ที่เป็นรองเท้าก็เริ่มมีติดมากับรองเท้ากีฬาเพื่อติดตามตำแหน่งที่อยู่ เป็นการบันทึกข้อมูลการออกกำลังกายตลอดเวลา และยังมีคอมพิวเตอร์ที่ฝังตัวอยู่กับเสื้อผ้า  เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ล่าสุด สามารถบันทึกข้อมูลการเคลื่อนไหวร่างกายของผู้สวมใส่ อยู่ในระหว่างการพัฒนา เลยยังไม่รู้ชัดเจนว่าทำอะไรได้บ้าง ดาราเอกของเราในวันนี้ จึงเป็น นาฬิกาฉลาดครับ

นักประดิษฐ์ทั้งหลายใช้ความพยายามย่อส่วนคอมพิวเตอร์ทุกอย่างลงไปจนสามารถบรรจุลงในนาฬิกาข้อมือได้ โดยที่ยังทำงานเหมือนระบบคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ นั่นคือ สามารถใช้ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ได้ ในปี ค.ศ. 2000 อาจารย์ สตีฟ มัน (Steve Man  บิดาแห่งคอมพิวเตอร์สวมใส่ ผมเคยเขียนถึงเขาที่นี่เมื่อหลายเดือนมาแล้ว) ได้ประกาศผลงานนาฬิกาข้อมือลินุกซ์ของเขาในงานประชุมวิชาการนานาชาติ IEEE ISSCC  (Solid-State)  ก่อนหน้านี้ มีการประดิษฐ์นาฬิกาข้อมือที่มีชิปคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วมาแล้ว แต่พลังน้อย เลยยังทำอะไรไม่ได้เท่าไร


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

ในปีเดียวกัน บริษัทไอบีเอ็ม แสดงต้นแบบนาฬิกาข้อมือที่บรรจุคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบลินุกซ์เช่นกัน และได้พยายามพัฒนาให้เป็นสินค้า แต่ไม่สำเร็จ (อาจจะเป็นเพราะจอเล็กจนมองยาก และแบตเตอร่ีอยู่ได้ไม่นาน แถมราคาแพง) ระหว่างปี ค.ศ.2000 ถึงปัจจุบัน มีความพยายามเอาความฉลาดใส่นาฬิกาข้อมือจนนับแทบไม่ถ้วน แต่ไม่มีชิ้นไหนที่มีผลกระทบในวงกว้าง

เดี๋ยวนี้คนพูดถึง Smart Watch กันมาก เพราะเอามาผสาน (สังเกตว่าผมใช้คำว่าผสาน) กับโทรศัพท์มือถือ เกิดเป็นนาฬิกาข้อมูลฉลาดพันธุ์ใหม่ ประกอบกับความพยายามทางด้านการตลาดอย่างจริงจัง จึงมีผลให้สาธารณชนสนใจ


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

นาฬิกาฉลาดปัจจุบันทำอะไรได้บ้าง มีประโยชน์อย่างไร แน่นอนอย่างแรก สามารถบอกเวลา นอกจากนั้นสามารถติดต่อกับโทรศัพท์มือถือ เพื่อแสดงการแจ้งเตือน บนจอนาฬิกา เช่น มีสายเข้า มีข้อความเข้า ถึงเวลานัดหมาย อาจจะรวมไปถึง เช็กอีเมล ดูข้อความจากเฟซบุ๊ก (เนื่องจากจอมีขนาดเล็ก คงจะเหมาะกับวัยรุ่นที่สายตายังดีอยู่ มากกว่าวัยสว.) นาฬิกาฉลาดเป็นจอสัมผัสจึงใช้งานง่ายเหมือนโทรศัพท์มือถือ ดู ๆ แล้วการผสานกับโทรศัพท์มือถือทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ออกมา ก็สามารถดูและตอบโต้โดยแตะจอนาฬิกาข้อมือเลย

การใช้งานอื่น ๆ ก็มี  เช่น เจาะจงเรื่องการออกกำลังกาย โดยบันทึกตำแหน่ง สถานที่ เวลาและระยะทางของนักวิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน แม้กระทั่งวัดอัตราเต้นของหัวใจ ข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากกับผู้ออกกำลังกาย และสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาสมรรถนะของนักกีฬา นาฬิกาฉลาดทำงานเหล่านี้ได้โดยมีเซ็นเซอร์หลายอย่างในตัว เช่น จีพีเอสบอกตำแหน่ง ไจโรสโคป และตัววัดความเร่ง สามารถบอกความเคลื่อนไหว อาจติดเซ็นเซอร์วัดอัตราเต้นหัวใจ โดยรัดไว้รอบอก และติดต่อกับนาฬิกาฉลาดอีกทีหนึ่ง แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่ในโทรศัพท์มือถือ แต่นาฬิกาข้อมือติดตัวนักกีฬาสะดวกกว่ามาก (โดยเฉพาะนักว่ายน้ำเช่นผม)

 :96: :96: :96: :96:

แล้วนาฬิกาฉลาดจะมาครองโลก แทนที่โทรศัพท์มือถือได้ไหม มีหลายคนเริ่มเห็นว่า โทรศัพท์มือถือมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ยากที่จะมีการพัฒนาอะไรใหม่ ๆ แบบก้าวกระโดด ดังนั้นนาฬิกาฉลาดดูเป็นความหวังที่มีอนาคตสดใส ถ้าปัจจุบันทำงานแบบผสานกับโทรศัพท์ คือ ต้องใช้คู่กันแต่ต่อไป “บินเดี่ยว” ก็เป็นไปได้อย่างยิ่ง

ทำไมยังไม่ซื้อมาใช้สักเรือนล่ะ ผมตื่นเต้นมากตั้งแต่ปีค.ศ.2000 ที่เห็นต้นแบบนาฬิกาลินุกซ์ของไอบีเอ็ม และเป็นแรงบันดาลใจให้ผมทำวิจัยอยู่ในสายนี้ แต่ผมใส่นาฬิกาเพื่อเหตุผลสองข้อ
   1) ดูเวลา เพื่อควบคุมเวลาในห้องบรรยายและเพื่อปรับจังหวะของการบรรยายให้เหมาะสมกับเวลาที่เหลือ
   2) เป็นแฟชั่น เป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

ปัจจุบัน นาฬิกาฉลาดยังไม่ลงตัวว่าควรใช้ทำอะไรได้บ้าง เมื่อบริษัทผลิตออกมา มีผู้บริโภคใช้งานอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ผลิตภัณฑ์ก็จะถูกปรับปรุงไปตามความต้องการของผู้ใช้ ยังไม่มีใครบอกได้ตอนนี้ อีกสองสามปีก็จะเห็น แต่จุดอ่อนที่สุดเห็นจะเป็นมุมมองของเครื่องประดับ ซึ่งโดยธรรมชาติต้องมีหลายหลาก ทั้งเรื่องรูปร่าง วัสดุ สีสัน สัมผัส นาฬิกาฉลาดในปัจจุบันยังเทียบรุ่นไม่ได้กับนาฬิกาข้อมือแฟชั่นที่มีวางขายเป็นพัน ๆ รูปแบบในท้องตลาด

ผมควรจะฝันถึง iWatch ที่มีข่าวว่า บริษัทแอปเปิล จะเปิดตัวในวันที่  9 กันยายนนี้ หรือมองหา G-SHOCK ในฝันที่ลูกสาวคนเล็กบอกว่า “เหมือนที่เพื่อนหนูใส่เลย” อีกสักเรือนหนึ่งดี?.


ประภาส จงสถิตย์วัฒนา
ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.dailynews.co.th/Content/IT/264348/ฤา+Smart+Watch+จะครองโลก%3F+-+1001
16825  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หอมกลิ่นป่า มหาเจดีย์ ร้อยเอ็ด เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 09:20:43 am


หอมกลิ่นป่า มหาเจดีย์ ร้อยเอ็ด
ชวนเที่ยว : หอมกลิ่นป่า มหาเจดีย์ ร้อยเอ็ด : เรื่อง/ภาพ...นพพร วิจิตร์วงษ์

พูดถึงร้อยเอ็ด ใครๆ ก็ว่า เป็นเมืองแห้งแล้ง เป็นเมืองแห่งทุ่งกุลาร้องไห้ที่แสนจะแห้งแล้ง โดยเฉพาะพื้นที่ของทุ่งกุลาฯ เกือบ 2 ใน 3 อยู่ในเขตของจังหวัดร้อยเอ็ด
 
ก็จริงนะ!!  ถ้าเดินทางไปฤดูร้อน นอกฤดูทำนา ก็อาจจะได้เห็นภาพท้องทุ่งแห้งแล้ง กว้างไกลสุดตา แต่ในช่วงฤดูฝนมาเยือน ร้อยเอ็ดก็เปลี่ยนตัวเองเป็นเมืองที่เขียวชอุ่ม ด้วยเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ 105 แห่งทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นข้าวที่ขึ้นชื่อลือชาของจังหวัดร้อยเอ็ดและของประเทศ ขนาดว่าเป็นถิ่นข้าวหอมมะลิโลกก็ไม่ผิดปากว่า เพราะข้าวหอมที่นี่ วิจัยออกมาแล้วพบว่า มีความหอมมากกว่าที่ที่อื่นถึง 2 เท่า (2PPA)
 
แต่นอกเหนือจากความเขียวสดของทุ่งนาข้าวสุดหูสุดตาแล้ว ป่าเขียวๆ ของจังหวัดร้อยเอ็ด ก็อุดมสมบูรณ์ หนาแน่นไม่แพ้ที่ไหน เป็นป่าผืนสุดท้ายของร้อยเอ็ด และเป็นป่ารอยต่อ 3 จังหวัด คือร้อยเอ็ด มุกดาหารและกาฬสินธุ์ คือ บริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาน้ำทิพย์ ครอบคลุมพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงมะอี่ และ เทือกภูเขียว มีจุดชมวิว ผาหมอกมิวาย และที่นี่เอง ยังได้ชื่อว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์ร้อยเอ็ด ... กลิ่นป่านี้เองกระตุ้นเลือดในกาย จนอยู่นิ่งไม่ได้แล้ว

 
 :49: :49: :49: :49:

เดี๋ยวนี้ ร้อยเอ็ดเดินทางแสนสบาย ทั้งทางรถยนต์ และเครื่องบิน ฉันเลยได้นั่ง "นกบุษราคัม" นกแอร์ลำใหม่ 737-800 ฉลอง 10 ปี ที่เพิ่งเข้าประจำการไม่นาน  แค่ชั่วโมงเดียว ก็ถึงเมืองร้อยเอ็ด ทันมื้อเช้า 07.30 น.พอดิบพอดี  อาหารเช้าที่นี่ มีสารพัดเหมือนที่อื่นนั่นแหละ แต่บอกเลยว่า มาร้อยเอ็ด ต้องอย่าพลาดชิม "ข้าวจี่" ยายสำรวย บริเวณสามแยกวัดบึงพระลานชัย ติดกับบุงพลาญชัย ขายตั้งแต่เช้ายันค่ำ
 
ก่อนเดินทางออกไปนอกเมืองหามุดหมาย ป่าเขียวๆ ของร้อยเอ็ด ได้ย้อนอดีตนั่งรถรางเที่ยวชมเมืองร้อยเอ็ดสักหน่อย รถรางพาเดินทางผ่านวงเวียนโหวด วงเวียนท้าวทนต์ หรือ พระขัติยะวงษา เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนแรก ผ่านประตูเมืองสาเกตนคร บึงพลาญชัย แหล่งศูนย์รวมของการพักผ่อนหย่อนใจกลางแจ้งของเมืองร้อยเอ็ด ก่อนจะไปตามหาความเก่าแก่ของเมืองร้อยเอ็ด ตามคำกล่าวว่า "พระเหนือพร้อมบ้าน บ้านกลางพร้อมเมือง" สักหน่อย

 

วัดเหนือ ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดร้อยเอ็ด อยู่บนถนนเสนาเริ่มคิด สร้างขึ้นสมัยที่ร้อยเอ็ดยังเป็น สาเกตนคร โดยปรากฏหลักฐานร่องรอยเสาหินโบราณแปดเหลี่ยม (หินยุคใหม่อายุ 3,000 ปี) สูง 1.5 เมตร คล้ายศิวลึงค์ ตรงฐานมีกลับบัวคว่ำบัวหงาย จารึกอักษรปาลวะของอินเดีย สมัยคุปตะ ซึ่งตรงกับสมัยทวาราวดีของไทย  นอกจากนี้ภายในวัดยังมีเจดีย์เก่าแก่ในยุคทวาราวดี หรือสถูปทรงบัวเหลี่ยม (พระธาตุยาคู)  ตั้งอยู่ด้านหลังสิมอีสาน หรือสิมมหาอุด คือมีลักษณะเตี้ย กว้าง หน้าต่างปิดตาย และที่น่าสนใจคือด้านหน้าประตูจารึกเป็นภาษาจีนไว้ด้วย ส่วนด้านข้างสิม มีใบเสมาอายุเก่าแก่พอๆ กับเจดีย์ ตั้งอยู่ด้วย 
 
ออกจากวัดเหนือ ไปวัดกลางมิ่งเมือง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญ ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำจังหวัดร้อยเอ็ด "พระพุทธมิ่งเมืองมงคล"  สันนิษฐานว่าบริเวณนี้เป็นศาสนสถานของขอมมาก่อน แต่เมื่อขอมเสื่อมอำนาจลง ท้านทนต์เจ้าเมืองคนแรกของร้อยเอ็ดได้เข้ามาบูรณะขึ้นอีกครั้ง ส่วนตัวพระอุโบสถสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 รูปแบบสิมอีสานแท้  (ศิลปะล้านช้าง) ที่สนใจของวัดนี้อยู่ที่ ฮูปแต้ม จิตรกรรมฝาผนังโทนสีครามในแบบล้านช้าง เรื่องราวพุทธประวัติด้านนอกโดยรอบพระอุโบสถ ซึ่งการเขียนฮูปแต้มจะนิยมเขียนด้วยสีวรรณะเย็น และมีข้อควรระวังเวลาไปเยี่ยมชมไม่ควรไปแตะต้องหรือถ่ายภาพโดยใช้แฟลช เพื่อไม่ให้ศิลปะเก่าแก่นี้ได้รับความเสียหายไปกว่านี้
 
และนี่เองถึงได้ทราบว่า วัดเหนือพร้อมบ้าน วัดกลางพร้อมเมือง" ก็มาจากการที่ วัดเหนือสร้างขึ้นพร้อมหมู่บ้านแห่งแรกของจังหวัดร้อยเอ็ด ก่อนที่จะมีการสร้างเมืองแล้วสร้างวัดกลางมิ่งเมืองขึ้นมานั่นเอง  แวะวัดที่เป็นหนึ่งในพลังศรัทธาของชาวเมืองร้อยเอ็ดอีกแห่งคือ วัดบูรพาภิราม วัดนี้มีพระยืนที่สูงที่สุดในประเทศไทย หรือ พระพุทธรัตนมงคลมหามุนี หรือที่คนร้อยเอ็ดเรียกว่า หลวงพ่อใหญ่ สมัยก่อนชื่อวัดหัวรอ เพราะเป็นที่รวมของผู้คน พ่อค้าวานิชที่เดินทางมาค้าขาย ว่ากันว่า ตอนสร้างพระพุทธรูปนั้น ชาวบ้านตั้งใจจะให้สูง 101 ศอก แต่พอสร้างเสร็จวัดความสูงจากพระบาทถึงยอดเกศได้ถึง 118 ศอก (59.20 เมตร) และกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของจังหวัดร้อยเอ็ด

 

แค่ในเมืองก็ตื่นตาตื่นใจ แต่ยังมีความอัศจรรย์ใจ ที่ใครต่อใครไปเห็นก็ต้องอุทานถึงความอลังการและสวยงามทั้งสถานที่และเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่ แค่ห่างจากตัวเมืองร้อยเอ็ด ราวๆ 20 กม. ก็เป็นที่ตั้งของ บรมพุทโธร้อยเอ็ด หรือ เจดีย์หินทราย วัดป่ากุง อ.ศรีสมเด็จ เป็นองค์จำลองโบโรบูโดร์(บรมพุทโธ) ที่เกาะชวา อินโดนีเซีย เริ่มจากเมื่อครั้งที่หลวงปู่ศรี มหาวิโร (พระเทพวิสุทธมงคล) ไปจำพรรษาที่อินโดนีเซีย และได้ไปนมัสการเจดีย์โบโรบูโดร์ (บรมพุทโธ) ที่เกาะชวา แล้วเกิดความประทับใจ จึงกลับมาสร้างเลียนแบบขึ้น เป็นแห่งเดียวในประเทศไทย เริ่มสร้างในปี 2535 จนถึงปี 2547 ถึงได้ทำพิธียกยอดเจดีย์ทำด้วยทองคำน้ำหนัก 101 บาท
 
เจดีย์หินทรายวัดป่ากุง มีทั้งหมด 7 ชั้น สร้างด้วยหินธรรมชาติทั้งหมด แล้วยังเพิ่มพื้นที่ใช้สอยด้านใน แต่ละชั้นมีภาพแกะสลักเป็นเรื่องพาวพุทธประวัติ โดยชั้นล่างสุด บอกเล่าเรื่องราวพระเวชสันดรชาดก 13 กัณฑ์ ถัดจากเจดีย์ไปไม่ไกลนัก เป็นที่ตั้งของมณฑปกลางน้ำของวัดป่ากุง รวมถึงสถานที่ปฏิบัติธรรม  สถานที่สวยงามนี้ต้องบอกว่า มาร้อยเอ็ดไม่ควรพลาดจริงๆ


 


เยือนบรมพุทธโธร้อยเอ็ดแล้ว ต้องไป มหาเจดีย์ชัยมงคล วัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วนาราม ด้วยเพราะที่นี่ก็สร้างโดยหลวงปู่ศรี มหาวิโร แห่งวัดป่ากุง ด้วยเหมือนกัน อลังการงานสร้างเหมือนกัน แม้รูปทรงจะต่างกัน
 
วัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิวนาราม ตั้งอยู่ที่ อ.หนองพอก อยู่บนเขาในพื้นที่ป่าภูเขียว ก่อสร้างตั้งแต่ปี 2528 โดยมหาเจดีย์ชัยมงคลได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีความกว้างและยาว 101 เมตร และสูง 109 เมตรเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ปัจจุบันก็ยังตกแต่งภายในพระมหาเจดีย์ไม่เสร็จเรียบร้อย ชั้น 1 เป็นห้องโถงอเนกประสงค์ ประดิษฐานรูปเหมือนหลวงปู่ศรีขนาดใหญ่ ชั้น 2 เป็นที่ประชุมคณะสงฆ์ ส่วนชั้น 3 เป็นอุโบสถ ประดิษฐานรูปเหมือนพระเถระที่มีชื่อเสียงแห่งภาคอีสาน ชั้น 4 เป็นจุดชมวิว ส่วนบริเวณชั้น 5 เป็นบันไดเวียน 119 ขั้น ยิ่งสูงก็ยิ่งแคบ เพื่อขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุและอัฐพระอาจารย์ รวมถึงของหลวงปู่ศรี ที่อยู่ส่วนยอดของเจดีย์

 

ออกจากมหาเจดีย์แล้ว แวะชมผืนป่าผืนสุดท้าย ที่ ผาหมอกมิวาย ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาน้ำทิพย์ มองเห็นผืนป่าที่หนาแน่นไปด้วยเรือนยอดไม้ และเทือกเขาเบื้องหน้า และอ่างเก็บน้ำห้วยพุงใหญ่ บอกได้คำเดียวว่า สมบูรณ์จริงๆ
 
คำนึง ประตังถาเน  เจ้าหน้าที่ของเขตห้ามล่าฯ พาเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะทาง 860 เมตร ดูความสมบูรณ์ ความหลากหลายของพืชพันธุ์  พร้อมกับบอกเล่าว่า ที่นี่เป็นดินแดนที่มีหมอกทั้งปี (ขึ้นอยู่กับจังหวะที่ไปเยือนด้วย) เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดผืนสุดท้าย มีเนื้อที่กว่า 151,000 ไร่ เป็นทั้งแหล่งน้ำสำคัญ และแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าบนเทือกเขาภูเขียว อากาศหนาวเย็นตลอดปี แล้วยังเป็นจุดชมอาทิตย์ขึ้นเหนือผืนป่าที่สวยงาม ที่ผาภูไทยอีกด้วย กลิ่นของป่าในยามหน้าฝนมาเยือนกระตุ้นต่อมอยากให้เข้าไปสัมผัสอย่างใกล้ชิดเสียจริง จนหมายมั่นปั้นมือว่าจะไปชมให้ได้แล้วจะมาเล่าสู่กันฟัง
 
มาเที่ยวร้อยเอ็ดคราวนี้ อิ่มทั้งบุญ อิ่มทั้งใจ สมกับชื่อเมืองเกินร้อยจริงๆ


ขอบคุณภาพและบทความ
http://www.komchadluek.net/detail/20140831/191112.html
16826  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘ขันติธรรมทางศาสนา’ คสช.หวังแนวสร้างสันติสุขเออีซี เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 09:06:19 am


‘ขันติธรรมทางศาสนา’ คสช.หวังแนวสร้างสันติสุขเออีซี
‘ขันติธรรมทางศาสนา’คสช.หวังแนวสร้างสันติสุขเออีซี : สำราญ สมพงษ์รายงาน

จากกระแสความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งของคนในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งนับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งขัดแย้งกันในด้านความคิด และความขัดแย้งกันทางด้านศาสนา หรือแม้แต่ในศาสนาเดียวกันก็ยังมีกรอบแนวคิดที่แตกต่างกัน ดังปรากฏที่มีการสู้รบกันเช่นปาเลสไตน์ภายใต้การนำของกลุ่มฮามาสสู้รบกับประเทศอิสราเอลที่มีความขัดแย้งกันด้านชาติพันธุ์โดยนำศาสนามาเป็นเครื่องมือ ส่วนที่ประเทศอิรักที่กลุ่มไอเอสที่นับถือศาสนาอิสลามนิกายสุนีย์สู้รบกับรัฐบาลอีรักที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์

กระแสความรุนแรงหวาดกลัวรุกลามไปตามพื้นที่ต่างๆ อย่างเช่นนายไอย์มาน อัล-ซาวาฮิรี ผู้นำเครือข่ายก่อการร้าย 'อัล ไกดา' ประกาศผ่านคลิปวิดีโอความยาว 55 นาที ที่เผยแพร่เมื่อวาน ระบุว่า อัล ไกดา ได้ตั้งสาขาใหม่ในอินเดีย เพื่อหวังแผ่ขยายการต่อสู้ในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยกองกำลังใหม่ จะทำลายพรมแดนที่แบกแย่งประชากรมุสลิมในภูมิภาคนี้


 :32: :32: :32: :32:

ทั้งนี้ปกติแล้ว อัล ไกดา จะเคลื่อนไหวอยู่ในอัฟกานิสถาน และปากีสถาน ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ซ่อนตัวของนายซาวาฮิรี  แต่ผู้นำอัล ไกดา บอกว่า นักรบญิฮัดของอัล ไกดา จะขยายการต่อสู้ทั้งในรัฐอัสสัม รัฐคุชราต และรัฐจัมมู แคชเมียร์ ของอินเดีย เมียนมาร์ และบังกลาเทศ เพื่อปลดปล่อยชาวมุสลิมในดินแดนเหล่านี้ จากการกดขี่ ข่มเหง และความอยุติธรรม เขาบอกด้วยว่า กองกำลังนี้เกิดจากการใช้เวลานานกว่าสองปีในการรวบรวมนักรบ

นอกจากนี้ เขาเรียกร้องให้ชาวมุสลิมในดินแดนเหล่านี้ สนับสนุนนักรบของเขา และอย่าไปยอมรับระบบประชาธิปไตยที่แยกศาสนาออกจากการเมือง แทนการปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม และรัฐบาลที่ยึดศาสนาอิสลามเป็นหลัก

 :49: :49: :49: :49:

พร้อมกันนี้วิทยาศาสตร์ก็ท้าทายความเชื่ออยู่พอสมควรอย่างเช่นผลงานวิจัยทีมนักจิตวิทยาและแพทย์ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเบอร์ลิน (Technische Universität of Berlin) ได้ประกาศเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2014 ที่ผ่านมาว่า “ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง”ทั้งนี้จากผลการทดลองอิงจากพื้นฐานข้อสรุปของการศึกษาที่ใช้ประสบการณ์การเฉียดความตายในทางการแพทย์ที่ได้รับออกแบบให้เหมาะสมกับการทดลอง โดยทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตตามหลักการแพทย์ไปเป็นระยะเวลานาน 20 นาที ก่อนจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง

ขณะเดียวกันชาวพุทธประเทศเมียนมาร์เกิดการปะทะกับชาวมุสลิมเมืองมัณฑะเลย์เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมาส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 คนจากทั้ง 2 ฝ่าย   และช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเกิดเหตุรุนแรงระหว่างชาวพุทธและมุสลิมหลายแห่ง โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ ที่มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 200 คน กระแสต่อต้านมุสลิมลุกลามไปยังภาคกลางของประเทศ ทำให้เกิดเหตุรุนแรงในเมืองเมกถิลา และเมืองกันบาลู ในปี 2556 ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่การจลาจลเกิดขึ้นในมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับสองของเมียนมาร์ ซึ่งมีชาวมุสลิมกว่า 2 แสนคน ขณะเดียวกันที่ประเทศศรีลังกาก็เกิดเหตุการณ์ลักษณะเช่นเดียวกัน

 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยถึงจะมีความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ถึงกระนั้นก็ยังมีประเด็นศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงความขัดแย้งเกี่ยวกับกรณีกรณีพระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล  เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง จังหวัดปทุมธานี  ตัดศีลปาฏิโมกข์ของพระสงฆ์เหลือเพียง 150 ข้อ จากเดิม 227 ข้อเป็นต้น

จากแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างศาสนาดังกล่าวแม้ว่าจะมีองค์กรที่เรียกว่าองค์การสภาศาสนาโลกทำหน้าที่ในการระงับความขัดแย้ง โดยเริ่มประชุมครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1893 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันแต่ความขัดแย้งทางศาสนาก็ยังมีอยู่



 ask1 ans1 ask1 ans1


'มจร'เชิญ70ผู้นำศาสนาอาเซียนสร้างต้นแบบ'ขันติธรรมทางศาสนา'

อย่างไรก็ตามมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ได้เห็นภัยของความขัดแย้งในรูปแบบต่างๆ ในฐานะที่สถานจัดการศึกษาต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพระหว่างศาสนาและสันติภาพโลกจึงได้เปิดหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสันติศึกษา(เชิงพุทธ)ขึ้น โดยมี ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดี  หัวหน้าหลักสูตรปริญญาโท สันติศึกษา "มจร"  เป็นหัวหน้าหลักสูตรปัจจุบันนี้เปิดเป็นรุ่นที่ 2 แล้ว

ประกอบกับในปี 2558 จะมีการเปิดประชาคมอาเซีน เพื่อเตรียมความพร้อมทาง มจร ร่วมกับสำหนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ"พศ."ได้รับนโยบายจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ให้มาหาแนวทางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติในมติทางศาสนา จัดประชุมผู้นำศาสนาเพื่อสันติภาพในประชาคมอาเซียน ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยาระหว่างวันที่ 24-29 กันยายนนี้  ภายใต้ชื่อเรื่องว่า “ขันติธรรมทางศาสนา” (Religious Tolerance) ซึ่งสอดรับกับแนวทางที่ยูเนสโกให้ย้ำเตือนให้มนุษยชาติใช้หลักขันติธรรมมาเป็นเครื่องมือในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นที่มีความแตกต่างมีผลสรุปที่จะนำแนงทางนี้มาใช้เพื่อสร้างเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของพลเมืองประชาคมอาเซียน


 st12 st12 st12 st12

พระมหาหรรษา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการเตรียมการจัดงานได้สรุปผลการประชุมเตรียมการดังกล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานนี้ประกอบด้วย
     (1) เพื่อสร้างเวทีให้ผู้นำศาสนาต่างๆ ในประชาคมอาเซียน ได้นำเสนอองค์ความรู้ และหลักการสำคัญเกี่ยวกับขันติธรรมทางศาสนาตามที่ปรากฏในคัมภีร์ และความเชื่อของแต่ละศาสนา
     (2) เพื่อให้ผู้นำศาสนาในประชาคมอาเซียนได้ร่วมกันถอดบทเรียนเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันอย่างมีขันติธรรมในประชาคมอาเซียนของแต่ละศาสนิกชนในประชาคมอาเซียน
     (3) เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างผู้นำศาสนาในประชาคมอาเซียน ซึ่งจะเอื้อต่อการเรียนรู้การอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างหลากหลาย ทางด้านศาสนาสังคมและวัฒนธรรมอย่างมีขันติธรรม และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
     (4) เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติเพื่อผลักดันให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาระดับโลกในอนาคต โดยผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรทางพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ทั่วภูมิภาค


 :96: :96: :96: :96:

สำหรับการประชุมโต๊ะกลมผู้นำศาสนาเพื่อสันติภาพในประชาอาเซียนครั้งนี้ จะประกอบด้วยผู้นำศาสนาจากทุกศาสนาในประชาคมอาเซียน 10 ประเทศ จำนวน 70 รูป/คน และจะมีนิสิตพร้อมทั้งบุคคลทั่วไปจำนวนทั้งสิ้น 300  รูป/คน กิจกรรมต่างๆ จะประกอบด้วยการศึกษาดูงานพื้นที่กุฎีจีนในเขตพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพมหานคร ซึ่งกลุ่มคนที่มีความเชื่อที่แตกต่างระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

การปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ขันติธรรมทางศาสนา” โดยพระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร และเลขาธิการอาเซียน การเสวนาทางวิชาการ เรื่อง “บทบาทของผู้นำศาสนากับการสร้างขันติธรรมในประชาคมอาเซียน” ระหว่างผู้นำจาก 5 ศาสนาหลัก การประชุมโต๊ะกลมเพื่อถอดบทเรียนของแต่ละประเทศเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันอย่างมีขันติธรรมของศาสนิกต่างๆ วันสุดท้ายจะเป็นการลงนามความร่วมมือระหว่างผู้นำศาสนาต่อประเด็นการกำหนดกิจกรรม และสร้างเครือข่ายเพื่อเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขต่อไป ซึ่งผู้สนใจในสามารถติดต่อสอบถาม หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 035 248098  หรือ โครงการปริญญาโทสาขาสันติศึกษา www.li.mcu..ac.th



 ask1 ans1 ask1 ans1


จัดถก'ศาสนาในฐานะต้นเหตุแห่งสงครามและต้นตอแห่งสันติภาพ'

พร้อมกันนี้หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบ คณะพุทธศาสตร์  มจร  จัดสัมมนาทางวิชาการศาสนาเปรียบเทียบ ภาคเช้า สัมมนาทางวิชาการเรื่อง "ศาสนาในฐานะต้นเหตุแห่งสงครามและต้นตอแห่งสันติภาพ" โดย Asst.Prof.Dr. Imtiyaz Yusuf จากมหาวิทยาลัยมหิดล และภาคบ่ายสัมมนาทางวิชาการเรื่อง "ประสบการณ์การสานเสวนาทางศาสนา: เครื่องมือแห่งศาสนศานติที่ยังต้องพัฒนา" โดย ผศ.ดร.ปาริชาด สุวรรณบุปผา จากมหาวิทยาลัยมหิดล ในวันอังคารที่ 30 กันยายน 2557 ณ ห้องประชุมคณะพุทธศาสตร์ ชั้นจี โซนดี อาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


 ask1 ans1 ask1 ans1


อิสลามเปิดตัวสถาบันวะสะฏียะฮ์แนวคิดทางสายกลาง

ขณะเดียวกันทางด้านศาสนาอิสลามประจำประเทศไทยนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี พร้อมด้วยตัวกระทรวงศาสนสมบัติแห่งรัฐคูเวต ร่วมเปิดตัวสถาบันวะสะฏียะฮ์เพื่อสันติภาพและการพัฒนา โดยมีนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนทูตานุทูตและอุปทูตคูเวตประจำประเทศไทย ร่วมด้วย เมื่อวันที่ 20 ส.ค.2557 ที่ผ่านมา

โดยนายอาศิส กล่าวว่า สถาบันวะสะฏียะฮ์เพื่อสันติภาพและการพัฒนา มีแผนการพัฒนาและยุทธศาสตร์การดำเนินงานด้านความคิดสายกลางในอิสลาม เพื่อเผยแพร่ให้สังคมได้เกิดความรู้ ความเข้าใจในหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ดำรงอยู่ในทางสายกลางของทุกมิติคำสอน ทั้งเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจและการดำเนินชีวิต ซึ่งการเปิดสถาบันร่วมกับรัฐคูเวตครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญทางศาสนาเพื่อให้คนไทยได้มีความเข้าใจและเข้าถึงคำสอนของอิสลามได้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ สถาบันวะสะฏียะฮ์เพื่อสันติภาพและการพัฒนา ก่อตั้งขึ้นด้วยความร่วมมือและสนับสนุนจากกระทรวงศาสนสมบัติและกิจการศาสนาแห่งประเทศคูเวตและแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะมุสลิมไทย โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อดำรงอัตลักษณ์ที่แท้จริงของความเป็นมุสลิม ป้องกันแนวคิดสุดโต่ง ซึ่งเป็นสาเหตุของความขัดแย้งที่กำลังเบียดขับความมั่นคงของมนุษย์ในปัจจุบัน



 ask1 ans1 ask1 ans1


นักข่าวแนะรู้ปัญหาจริงลงคลุกพื้นที่

อย่างไรก็ตามนายปกรณ์ พึ่งเนตร ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจและสำนักข่าวอิศราที่ติดตามเคลื่อนไหวสถานการณ์ภาคใต้มาตลอดให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมาผู้นำองค์กรศาสนาในพื้นที่เก็บตัวเงียบไม่ออกมาแสดงความเห็นชี้ถูกชี้ผิด เพราะหากออกมาแล้วขัดกับกลุ่มก่อการร้ายอาจจะไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินได้ ดังนั้นองค์กรหรือผู้ประสงค์จะสร้างสันติภาพภาคใต้จะต้องศึกษาปัญหาอย่างจริงจังแล้วลงพื้นที่อย่างจริงจัง ทำเพียงแค่จัดโครงการลงไป องค์กรศาสนาในพื้นที่ไม่ให้ความร่วมมือส่งแต่ตัวแทนมาร่วมก็ยากที่จะประสบผลสำเร็จ

แนวทางดังกล่าวนี้ข้างต้นนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง'ขันติธรรมทางศาสนา' เป็นความพยายามและเป็นตัวเชื่อมให้ประชาคมอาเซียนและโลกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขบนสภาพพหุวัฒนธรรมความแตกต่างแต่ไม่แตกแยก


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140905/191569.html
16827  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แนะนำ ‘ขันติธรรม’ ตัวช่วยปราบโกง เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 08:53:55 am

แนะนำ ‘ขันติธรรม’ ตัวช่วยปราบโกง
แนะนำ‘ขันติธรรม’ตัวช่วยปราบโกง : สำราญ สมพงษ์รายงาน

สังคมไทยมีปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นเรื้อรังมาเป็นเวลานานและที่โด่งดังในปัจจุบันนี้ก็คือการทุจริตจำนำข้าว ซึ่งนายกล้านรงค์ จันทิก อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามกรทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวในปาฐกถาพิเศษ เรื่อง บทบาทสื่อกับการตรวจสอบคอร์รัปชั่นในสังคมไทย เนื่องในโอกาสครบรอบ 17 ปี สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติวันที่ 4 ก.ค.2557 ว่า "การทุจริตคอร์รัปชั่นมีมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ 4 ก.ค.2557 จากการบอกเล่าพบว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่มีการฉ่อราษฎร์บังหลวง แต่การทุจริตนั้นไม่ความรุนแรง เพราะสังคมสมัยนั้นไม่ยอมรับ และมีการต่อต้านกดดันทำให้คนฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่กล้า แต่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดคำว่าเศรษฐีสงครามขึ้น และเป็นผลสะท้อนสังคมไทยปัจจุบัน คือ ไม่รู้สึก หรือไม่รังเกียจการคอรัปชั่น  ดังนั้นในช่วงที่เป็นวิกฤตแห่งการทุจริต คอร์รัปชั่นนั้น อยากให้สื่อมวลชนใช้เป็นโอกาสที่ต้องระดมให้ประชาชนเลิกและรังเกียจการคอร์รัปชั่น"

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นหน้าที่ของป.ป.ช.โดยตรง แต่ภาพลักษณ์ของประเทศไทยก็ยังไม่ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทุจริตเชิงนโยบาย เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ยึดอำนาจ และได้มีคำสั่งที่ 69/2557 เรื่องมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบในส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ด้าน ป.ป.ช.ก็ได้แสวงหาส่วนร่วมมือจากทุกภาคส่วน อย่างเช่นได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) วางแนวป้องกันอย่างเช่นทำคู่มือและกัณฑ์ปราบโกงเป็นต้น


 :49: :49: :49: :49:

พร้อมกันนี้ยังได้เปิดหลักสูตรนักศึกษาหลักสูตรป้องกันและปราบการทุจริตระดับสูง(นยปส.) รุ่นที่ 5 โดยนำบุคคลทุกภาคส่วนเข้ามาอบรมในจำนวนนี้มีพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส  ผู้ช่วยอธิการบดี มจร หัวหน้าหลักสูตรปริญญาโท สันติศึกษาร่วมอยู่ด้วย โดยกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาหมู่บ้านช่อสะอาด ทั้งกายสะอาด พฤติกรรมสะอาด จิตใจสะอาด และปัญญาสะอาด โดยใช้หมู่บ้านท่าคอยนาง หมู่ที่ 5 ตำบลสวาย อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย พัฒนาเป็นต้นแบบหมู่บ้านช่อสะอาด  โดยพระมหาหรรษากล่าวว่า จะพัฒนาโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิดที่ว่า "ความสะอาดของประเทศเริ่มต้นจากหมู่บ้านสะอาด" โดยการดึงพลังจาก "บวร" คือบ้าน วัด และโรงเรียน มาผนึกกำลังมาร่วมพัฒนาหมู่บ้านช่อสะอาด

ขณะเดียวกันยังได้มีการตั้งองค์กรปราบทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างเช่นองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นประเทศไทย และสถานการศึกษาเองอย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เข้ามามีส่วนร่วมจัดด้จัดงานเสวนาวิชาการ เรื่อง ปฏิรูปสังคมไทย พ้นภัยคอร์รัปชั่น เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 18 ก.ค.2557 ซึ่งนายสมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ทีดีอาร์ไอเคยได้ทำการศึกษาปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทยเกิดจากกลุ่มธุรกิจผูกขาด

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

พร้อมกันนี้สถาบันพระปกเกล้าจัดงานสัมมนา "ปฏิรูปประเทศไทย : การต่อต้านการทุจริต" ภายใต้โครงการสัมมนาสู่ทศวรรษที่เก้า : ก้าวใหม่ของระบอบประชาธิปไตยไทย ของสถาบันพระปกเกล้า โดยนายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวตอนหนึ่งในการปาฐกถาพิเศษว่า สถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยมีแนวโน้มที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เพราะจากผลสำรวจขององค์กรเพื่อความโปร่งใสที่ไทยถูกลดอันดับจากลำดับที่ 88 ไปอยู่ที่ 102 รวมถึงผลสำรวจความเห็นของประชาชนที่ให้การยอมรับการทุจริตเกิดขึ้นหากได้ประโยชน์ จึงมีความจำเป็นที่ต้องยกระดับการปราบปรามและป้องกันทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ และสร้างกลไกและความเข้มแข็งทางสังคม ในประเด็นค่านิยมด้านการซื่อสัตย์สุจริต ไม่ยอมรับการทุจริต ที่ถือเป็นคำตอบที่สำคัญ

ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ถอดรหัสแนวทางที่นำไปสู่การปฏิบัติเพื่อต่อต้านการทุจริตให้เป็นรูปธรรมไว้ว่า ต้องคำนึง 3 ปัจจัยหลักไปพร้อมกัน คือ
    1.การป้องกันการทุจริต
    2.การปรามปรามกลโกงทุกรูปแบบ และ
    3.การส่งเสริมให้คนปฏิบัติหน้าที่อย่างสุจริต

โดยการกำหนดมาตรการให้มีผลในแง่ปฏิบัติ จำเป็นต้องยึดหลัก 8 ประการแบบไม่ละเว้น คือ
    1.การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีนิติธรรม,   
    2.ปลูกฝังค่านิยมคนให้ไม่อดทนต่อการทุจริตทุกรูปแบบ,
    3.การปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน อาทิ การรับบริการสาธารณะ หรือจากหน่วยงานภาครัฐ,
    4.สร้างสำนึกรับผิดชอบ ให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นเจ้าของในทรัพยากร เป็นเจ้าของประเทศ เพื่อให้มีความรู้สึกหวงแหน ไม่ยอมให้ถูกเอาเปรียบ, 
    5.สร้างประสิทธิภาพต่อการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร,
    6.เน้นความโปร่งใสของการเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด,
    7.ประชาชนต้องมีส่วนร่วม และ
    8.ยกระดับคุณธรรม จริยธรรมขของประชาชนและผู้มีอำนาจ


 :41: :41: :41: :41:

"ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแนวทางที่จะนำไปสู่การลดระดับการทุจริตในประเทศได้ สิ่งที่สำคัญของการวางแผนคือ การให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยเฉพาะในช่วงเวลาการปฏิรูปประเทศ ต้องไม่ขีดกรอบให้การวางแผนปฏิรูปจำกัดแค่สภาปฏิรูปฯ จำนวน 250 คนเท่านั้น เพราะประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน และระยะเร่งด่วนที่มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทำหน้าที่อยู่ คือการยกร่างกฎหมายที่ว่าด้วยผลประโยชน์ที่ขัดกัน เพื่อใช้เป็นกลไกคุมนักการเมือง รวมถึงออกกลไกที่สนับสนุนต่อการคัดกรองบุคคลที่จะเข้าสู่อำนาจ ทั้งด้านจริยธรรม และคุณธรรม" ดร.ถวิลวดี สรุปทิ้งท้าย

 ans1 ans1 ans1 ans1

รวมถึง ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย  องคมนตรี กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งในงานครบรอบ 9  ปี สทศ.และเฉลิมฉลอง 130 ปี แห่งการวัดและประเมินผลการศึกษาไทย ที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.)(องค์การมหาชน)จัดขึ้นที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่นเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2557ว่า การศึกษาซึ่งในอดีตความรู้จะคู่คุณธรรม ทุกวิชาต้องมีคุณธรรมกำกับ  แต่ 10 ปีที่ผ่านมาเป็นทศวรรษแห่งความมืดมน เพราะนโยบายทางการเมืองที่ผ่านมาเป็นเรื่องประชานิยม ประชาชนถูกมอมเมาด้วยวัตถุนิยม บริโภคนิยม สื่อมวลชนก็มอมเมาในทางโลก โกรธ หลง ทำให้ศีลธรรมแฟบ สังคมเฟะ ประชาชนฟอน และส่งผลให้คนไทยมีค่านิยมผิดๆ ไม่ว่าจะเป็นเกรงใจคนโกงที่มีอำนาจ ยอมรับคนผิดที่ร่ำรวย ยึดแต่รูปแบบอ้อนสาระและคุณค่า ฉาบฉวยมักง่ายและค่านิยมที่เกินงาม

ขณะที่ในวงการศึกษาก็มีคอรัปชั่นรุนแรงมาก ซึ่งทุจริตในวงการศึกษาเป็นการทำลายประเทศชาติอย่างมาก  ประเทศไทยควรมาทบทวนในเรื่องการจัดการศึกษาว่าเป็นอย่างไร โดยที่ผ่านมา คนทั่วไปมักพูดว่าเด็กไทยเรียนหนักและทำการบ้านมากเกินไป และสพฐ.ก็เตรียมที่จะปรับลดเวลาเด็ก แต่ก่อนที่จะไปตัดสินใจว่าเป็นอย่างไร โดยส่วนตัวก่อนคิดว่าควรมีการทำวิจัยศึกษาในเรื่องดังกล่าวเพื่อดูว่าจริงๆ แล้วเราจัดการเรียนการสอนมากเกินไปจริงๆหรือไม่

 :25: :25: :25: :25:

จากสถานการณ์ปัจจุบันข้างต้นนั้นแสดงให้เห็นว่านอกจากกลไกปกติที่อยู่ในสังคมไทยนั้นยังไม่เพียงพอในการป้องกันและปราบปราบการทุจริตคอร์รัปชั่น จำเป็นจะต้องนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นตัวช่วยซึ่งมีอยู่หลายหัวข้อด้วยกันอย่างเช่น ศีล 5 หิริ โอตัปปะ แต่ในชั้นนี้ได้ตั้งสมมติฐานว่า "ขันติธรรม" น่าจะมีส่วนช่วยได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอดกลั้นแต่สิ่งยั่วยุซึ่งเสี่ยงต่อการทุจริตคอร์รัปชั่น ดังนั้นเทคนิควิธีของ "ขันติธรรม" จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจในการนำมาประยุกต์ใช้


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140903/191414.html
16828  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 7 สัญญาณบ่งบอก...คุณถูก "สุนัขแสนรัก" ครอบงำเข้าซะแล้ว ! เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 08:45:21 am


7 สัญญาณบ่งบอก...คุณถูก "สุนัขแสนรัก" ครอบงำเข้าซะแล้ว !

สุนัขน่ารัก แสนเชื่องและติดเจ้าของเป็นที่สุด ใครเห็นก็คงเอ็นดูอยากเลี้ยงไว้สักตัว แต่ยิ่งเลี้ยงเห็นทีสุนัขก็ยิ่งมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วแบบไหนกันนะที่จะรู้ว่าสุนัข (ของคุณ) มีอิทธิพลมากเกินไปแล้ว แถมคุณก็ยอม ติดมันเข้าอย่างจังซะด้วย

1. เสื้อผ้าและแอคเซสเซอรี่ในตู้ของสุนัขคุณมีสัดส่วนเท่าๆ กับของคุณ


เสื้อผ้า แอคเซสเซอรี่จัดเต็ม !

2. คุณรู้วันเกิดของสุนัขแสนรัก และแน่นอนคุณจัดงานปาร์ตี้ฉลองวันเกิดให้มัน

จัดปาร์ตี้ฉลองกันเถอะ !


3. คนส่วนใหญ่มีรูปครอบครัว เพื่อนและคนรักเก็บไว้ในมือถือของพวกเขา แต่คุณมีแต่รูปสุนัขสุดรักสุดหวงเต็มไปหมด !

ถ่ายรูปกันนะ ... 1 2 3 แชะ !

4. คุณไม่สนใจว่าสุนัขของคุณจะสกปรกและย้ายขึ้นไปนอนบนเตียงคุณสักกี่ครั้ง

ป๋มขอนอนบนเตียงได้ไหมฮับบ... !


5. แม้แต่วันเดทกับสาวคนสำคัญ คุณก็พาหมาออกมาเดทด้วย เพราะไม่อยากให้มันต้องเหงาอยู่คนเดียว


ป๋มขอมาด้วยคนนะ

6. คุณไม่อยากพลาดชั่วโมงความสุขที่ได้อยู่กับสุนัขแสนรักเลยสักครั้ง โดยเฉพาะเมื่อต้องทิ้งมันอยู่บ้านไว้ตามลำพัง

อยู่คนเดียวเหงาหงอยย ...

7. คุณทำบัญชีส่วนตัวบนโซเชียลฯ ให้กับสุนัขของคุณอย่างน้อยหนึ่งบัญชี เพื่อติดต่อกับคุณโดยตรงจะได้เห็นหน้ากันชัดๆ ตอนไกลกัน (แอบเว่อร์ไปนิดนะ … แล้วมันจะใช้เป็นไหมเนี่ย) และเพื่อให้คนเข้ามากดฟอลโลว์ไลค์ติดตามสุนัขแสนรักของคุณในกิจกรรมต่างๆ รวมถึงภาพน่ารักๆ เหมือนเป็นแฟนคลับคนหนึ่งเลย !


เฟส ทู เฟส คิดถึงเจ้านายจังเลยย


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/447934
16829  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กินเจ..สุขภาพดี อิ่มท้องพร้อมอิ่มใจ เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 08:37:47 am


กินเจ..สุขภาพดี อิ่มท้องพร้อมอิ่มใจ

มีเคล็ดลับอยู่ 3 ประการ ประการแรก กินเจอร่อยไม่อ้วน ต้องกินอาหารให้ครบ 3 มื้อ ให้ความสำคัญกับมื้อเช้ามากที่สุด ดื่มเครื่องดื่มธัญญาหาร เช่น น้ำเต้าหู้ ถ้าเบื่อเปลี่ยนเป็นกาแฟใส่น้ำเต้าหู้แทน

ใกล้เข้าสู่เทศกาลกินเจหลายคนมีความตั้งใจถือศีล กินเจ แต่กลัวอ้วนและได้สารอาหารที่ไม่ครบถ้วน บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด จัดกิจกรรม “สุขกาย สุขใจ กินเจกับเนสท์เล่” เสนอเคล็ดลับความรู้ด้านโภชนาการที่เหมาะสมในการกินเจอย่างไรให้สุขภาพ ดี พร้อมแนะนำเมนูเจสร้างสรรค์เพื่อสุขภาพ อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมครบถ้วนอยู่ท้อง และไขมันต่ำ สามารถปรุงกินเองได้ง่าย

โดยกูรูด้านอาหาร อัจฉรา บุรารักษ์ ลงมือปรุงเมนูเจจากเนสท์เล่ “เมี่ยงเต้าหู้เห็ดหอม” มีส่วนผสมของเต้าหู้ขาว เห็ดหอม และเห็ดนางฟ้า ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีนำมาผัดรวมกัน และกินกับเครื่องเคียงผักสดเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุครบถ้วน ถ้าชอบอาหารรสจัดเสริมด้วยน้ำจิ้มแจ่ว ส่วนของผัดเต้าหู้เห็ดหอมยังสามารถกินคู่กับอาหารได้หลากหลายทั้งข้าวกล้อง ข้าวสวย บะหมี่ผัก เพื่อเพิ่มคาร์โบไฮเดรตพร้อมใยอาหารช่วยให้อยู่ท้องและกระตุ้นการขับถ่าย ส่วนเครื่องดื่มเจแนะนำ “ลองแบล็ค คอฟฟี พาราไดซ์” ส่วนผสมลงตัวของกาแฟดำและสับปะรดที่ให้ความเปรี้ยวหวานสดชื่นแทนน้ำตาล พร้อมให้วิตามินซี ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและการย่อยอาหารลดอาการท้องอืด


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

ส่วนเคล็ดลับการกินเจให้สุขกายสุขใจ พิมพ์วดี อากิลา ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนา การ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เผยว่า มีเคล็ดลับอยู่ 3 ประการ ประการแรก กินเจอร่อยไม่อ้วน ต้องกินอาหารให้ครบ 3 มื้อ ให้ความสำคัญกับมื้อเช้ามากที่สุด ดื่มเครื่องดื่มธัญญาหาร เช่น น้ำเต้าหู้ ถ้าเบื่อเปลี่ยนเป็นกาแฟใส่น้ำเต้าหู้แทน สามารถเพิ่มมื้อว่างได้ไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่ จะทำให้ไม่รู้สึกโหยและควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด ผู้ที่กินเจอาจเกิดอาการหิวเทียมเนื่องจากสมองส่วนที่ควบคุมความกระหายและความหิวอยู่ใกล้กัน

  วิธีที่ป้องกันไม่ให้รู้สึกหิวดีที่สุดคือ
    - ดื่มน้ำระหว่างวันอย่างน้อยประมาณครึ่งแก้วถึงหนึ่งแก้วในแต่ละชั่วโมงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการหิวเทียม
    - ประการที่สอง กินเจอร่อยอยู่ท้อง ควรกินอาหารที่มีกากและใยอาหารสูง เช่น ข้าวกล้องและธัญพืชต่าง ๆ รวมถึงผักผลไม้ซึ่งเป็นผลไม้ที่สามารถกินได้ทั้งเปลือกอย่างแอปเปิ้ลและสาลี่ เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ และชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดทำให้อิ่มนานขึ้น  และ
    - ประการสุดท้ายคือ กินเจ อร่อยครบ 5 หมู่ โดยแต่ละมื้อควรกินผักอย่างน้อยมื้อละ 1 กำมือ และต้องกินผักหลากหลายชนิดอย่างน้อย 5 สี เพราะโปรตีนจากพืชไม่ครบถ้วนเท่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์ หากมีเวลาควรทำอาหารกินเองโดยใช้วัตถุดิบธรรมชาติ เพราะอาหารเจตามร้านค้ามักจำเจไม่หลากหลาย ปฏิบัติเพียงเท่านี้จะสามารถกินเจอย่างมีความสุขได้


 :49: :49: :49: :49:

นอกจากนี้ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายขาดโปรตีนเพราะจะทำให้หิวง่ายขึ้น ซึ่งแหล่งโปรตีนที่สามารถหากินได้ง่าย ได้แก่ เต้าหู้ นมถั่วเหลือง ลูกเดือยและถั่วต่าง ๆ ควรหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่รสหวานจัด เนื่องจากเมื่อน้ำตาลเปลี่ยนเป็นกลูโคสอยู่ในกระแสเลือดจะกระตุ้นให้ร่างกายเร่งการหลั่งสารอินซูลินออกมามากเกินไปทำให้รู้สึกหิวเร็ว นอกเหนือจากเคล็ดลับการกินเจแล้วต้องไม่ลืมออกกำลังกายและดูแลจิตใจของตัวเองด้วย.


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.dailynews.co.th/Content/women/264458/กินเจสุขภาพดี+อิ่มท้องพร้อมอิ่มใจ
16830  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / น้ำเต้าหู้ เครื่องดื่มที่เป็นมิตรกับสุขภาพอย่างแท้จริง เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 08:31:16 am


น้ำเต้าหู้ เครื่องดื่มที่เป็นมิตรกับสุขภาพอย่างแท้จริง

น้ำเต้าหู้ เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตที่นิยมดื่มกันมานานตั้งแต่สมัยโบราณ สามารถดื่มได้ทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่ายๆ หรือแม้แต่ตอนเย็น และยังดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น ใส่เครื่องและไม่ใส่เครื่องอีกด้วย สำหรับเครื่องที่นิยมใส่ในน้ำเต้าหู้ จะมี วุ้นกรอบ สาคู ลูกเดือย เม็ดแมงลัก ซึ่งแต่ละอย่างนั้นเป็นตัวที่มีประโยชน์ ด้วยความที่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมจึงทำให้มีผู้ที่ดื่มกันทุกที่ ทุกเพศ ทุกวัย แต่จะมีซักกี่คน ที่จะรู้ถึงข้อดีและข้อเสียของน้ำเต้าหู้ ที่ทำมาจากถั่วเหลือง วันนี้เราจะมาดูกันว่า เครื่องดื่มยอดนิยมนี้ มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรกันบ้าง
น้ำเต้าหู้ เครื่องดื่มที่เป็นมิตรกับสุขภาพอย่างแท้จริง

ข้อดี ของน้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลืองนั้น มีสารอาหารต่างๆมากมายที่เป็นผลดีต่อร่างกาย อย่างเช่น โปรตีน ในน้ำเต้าหู้ จะให้โปรตีนที่สูงมากเมื่อเทียบกับนมวัว และยังให้กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่านมวัวเสียอีกค่ะ และในน้ำเต้าหู้มีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิง ซึ่งการดื่มน้ำเต้าหู้เป็นประจำทุกวันจะสามารถลดการเกิดมะเร็งชนิดนี้ลงได้ นอกจากนี้ สารไฟโตเอสโตรเจน ยังช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และลดอาการวิตกกังวลหรืออาการข้างเคียงต่างๆ ในช่วงวัยทองได้อีกด้วยค่ะ อีกทั้งยังสามารถหาซื้อมารับประทานได้ง่าย มีขายทั่วไปตามท้องตลาด และที่สำคัญน้ำเต้าหู้มีราคาถูกมากค่ะ


น้ำเต้าหู้ เครื่องดื่มที่เป็นมิตรกับสุขภาพอย่างแท้จริง

ส่วนข้อเสียของน้ำเต้าหู้นั้น อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมได้ถ้าหากรับประทานมากเกินไป เพราะสารไฟโตเอสโตรเจนนี้ สามารถทำให้เซลล์มะเร็งมีการเจริญเติบโตได้เช่นกัน ถ้าหากรับประทานมากเกินไป เพราะสารชนิดนี้จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นฮอร์โมนในร่างกาย ดังนั้นเมื่อทานเข้าไปมากเกินความจำเป็นก็จะเป็นตัวเร่งเชื้อมะเร็งเต้านมนั่นเองค่ะ มีนักวิจัยชาวจีน พบว่าการดื่มน้ำเต้าหู้เป็นประจำจะทำให้เด็กเข้าสู่วัยรุ่นได้เร็วมากขึ้น และน้ำเต้าหู้ส่วนใหญ่จะมีน้ำตาลเยอะเกินไป ตามร้านค้าทั่วไป ผู้ขายมักจะใส่น้ำตาลทรายมาก โดยจะเน้นไปที่รสชาติที่หวาน หอม

น้ำเต้าหู้ เครื่องดื่มที่เป็นมิตรกับสุขภาพอย่างแท้จริง

เนื่องจากน้ำเต้าหู้นั้นจะมีกลิ่นเหม็นเขียวจากถั่วเหลืองค้างอยู่บ้าง และบางคนอาจไม่ชอบ ดังนั้นผู้ขายจึงมีแนวคิดที่จะใช้รสหวานในการดับกลิ่นนี้ ถ้าหากคุณรับประทานน้ำเต้าหู้ที่ผสมน้ำตาลมากเกินไปก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้ค่ะ

ถึงแม้ว่าน้ำเต้าหู้จะมีประโยชน์กับผู้ดื่มมากมาย แต่ถึงอย่างไรก็ดี ถ้าดื่มมากเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายตามมาก็ได้เหมือนกันนะคะ เพราะฉะนั้นแล้ว ควรดื่มให้พอดี ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ที่สำคัญไม่ควรผสมน้ำตาลมากเกินไปด้วยนะคะ เดี๋ยวโรคต่างๆ จะถามหาค่ะ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
women.sanook.com/blog/16907/น้ำเต้าหู้-เครื่องดื่มท/
16831  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำความรู้จักกับ "สมุนไพรต้านหวัด " เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 08:26:22 am




ทำความรู้จักกับ..สมุนไพรต้านหวัด
ที่มา http://fb.sanook.com/view-widget/graphic/?widget=1866079
16832  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดเรื่องเล่า ขนหัวลุก คุกกองปราบฯ เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 08:23:50 am


เปิดเรื่องเล่าขนหัวลุกคุกกองปราบฯ

ผู้ต้องขังเล่าเป็นเสียงเดียวกัน เจอวิญญาณเฮี้ยนหลอกหลอนยามค่ำคืน บางรายถึงขนาดทำเชือกผูกคอตัวเองโดยไม่รู้เรื่อง ตร.เผยกลัวถึงขนาดจ้างให้นั่งเฝ้าหน้าห้องขังเป็นเพื่อน

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ.พร้อมเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร นำตัวบุคคลที่ฝ่าฝืน พรบ.กฎอัยการศึก ประกอบด้วย น.ส.มาลาอ่อน จงใจ อายุ 41 ปี นายสมชาติ เมนะเสวก อายุ 50 ปี นายบัญชา สุนทรวร อายุ 27 ปี และนายวิทูร พุทน้อย อายุ 35 ปี จากชุมชนพิพัฒน์ 2 แขวงสีลม เขตบางรัก มาส่งมอบให้ พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ หาญเสน่ห์ลักษณ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป. เพื่อกักตัวไว้ที่ห้องขัง บก.ป.เป็นเวลา 7 วัน ระหว่างวันที่ 5-11 ก.ย.นี้ ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเช้ามืดวันเดียวกัน กำลังทหาร พล.ม.2 รอ.สนธิกำลังร่วมกับตำรวจ สน.ทุ่งมหาเมฆ เข้าตรวจค้นชุมชนพิพัฒน์ 2

หลังจากได้รับแจ้งเบาะแสว่าภายในชุมชนดังกล่าวมีการลักลอบจำหน่ายยาเสพติด มีการนำยาบ้าที่ขนมาจากชายแดนภาคเหนือมาซุกซ่อนไว้เพื่อจำหน่าย แต่จากการตรวจค้นชุมชนดังกล่าว และบ้านเป้าหมายด้วยการนำสุนัขดมกลิ่นเข้าตรวจค้นไม่พบยาเสพติดตามที่ได้รับรายงานมา จึงทำการตรวจปัสสาวะบุคคลทั้ง 4 พบปัสสาวะสีม่วง พร้อมควบคุมตัวทั้ง 4 คนมาทำประวัติถ่ายรูป และนำตัวมาส่งมอบให้ พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ เพื่อควบตัวที่ บก.ป.


 :32: :32: :32: :32:

ต่อมาเวลา 16.00 น.ทาง พ.ท.บุรินทร์ เบิกตัว นางวิรวรรณ พิมพ์ไทย อายุ 34 ปี นายอภินันท์ ปิ่นเงิน อายุ 22 ปี และนายประเจียด น่วมประสิทธิ์ อายุ 54 ปี ซึ่งเป็นบุคคลที่กระทำความผิดตามคำสั่งและนโยบาย คสช.ในพื้นที่รับผิดชอบ พล.ม.2 รอ.โดยทั้งหมดถูกจับกุมที่ย่านถนนพระราม 3 ซอย 29 เขตยานนาวา พร้อมของกลางยาบ้า 22 เม็ด ใบกระท่อม 28 ใบ ผลตรวจปัสสาวะพบเป็นสีม่วง ทหารพล.ม.2 รอ.ได้คุมตัวมาฝากให้ควบคุมตัวไว้ห้องขัง บก.ป.เพื่อปรับพฤติกรรม ระหว่างวันที่ 30 ส.ค.- 5 ก.ย. โดยทหารพระธรรมนูญได้เบิกตัวไปส่งมอบให้พนักงานสอบสวนกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ดำเนินคดีข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อเสพและจำหน่าย

 :29: :29: :29: :29:

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างเดินไปขึ้นรถ นางวิรวรรณ นายอภินันท์ และนายประเจียด ต่างพากันเล่าประสบการณ์วิญญาณในห้องขัง บก.ป.ตลอด 7 วัน ที่มาอยู่ว่า ต้องเอาข้าวใส่จานไปวางไว้ให้เขาทั้งเช้า-เย็น ถ้าวันไหนลืมคืนนั้นจะเดือดร้อน ไม่เป็นอันหลับอันนอนเลย

โดย พ.ท.บุรินทร์ ซึ่งสัมผัสบรรดาผู้ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.และต้องพาตัวมาฝากขังที่ห้องขัง บก.ป. ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่ คสช.ยึดอำนาจและประกาศกฎอัยการศึก กล่าวให้ฟังว่า ตั้งแต่ควบคุมตัวบุคคลที่ฝ่าฝืนกระทำความผิดกฎอัยการศึกมาฝากขังดังกล่าว พบว่าแต่ละคนจะมีประสบการณ์สัมผัสกับสิ่งลี้ลับภายในห้องขังแห่งนี้หลายคน บางรายจะได้ยินเสียงคนมาเคาะจานข้าว บางรายโดนกระตุกขาเวลานอน คนที่มาอยู่ก็จะพากันนอนในเวลากลางวัน

ส่วนช่วงกลางคืนจะนั่งคุยกันไม่นอน เมื่อถามดูก็บอกว่าไม่อยากเจอหรือเห็นแบบคนที่เคยโดนมาก่อน มีอยู่รายหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเห็นคนใส่เสื้อแดงมานั่งหันหลังให้กินข้าวตอนกลางคืนในห้องขัง จึงลุกขึ้นมานั่งดู สักพักคนเสื้อแดงก็ค่อย ๆ หันมามอง ผู้ต้องขังรายนั้นก็รีบกลับไปนอนทันที ไม่กล้าหันหน้ากลับไปดูตรงนั้นอีกเลย จนเช้าถึงเล่าให้เพื่อนผู้ต้องขังฟัง ก่อนจะรู้ว่าเจอประสบการณ์แปลก ๆ ของห้องขังดังกล่าวเข้าไป


 :91: :91: :91: :91:

“มีผู้ต้องกักขังอยู่รายหนึ่งเป็นอิสลาม เจอประสบการณ์แปลก ๆ ในห้องขัง เพื่อนผู้ต้องขังที่มาพร้อมกันบอกว่านอนอยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นกระโดดตัวลอย ข้ามคนอื่นไปอยู่ตรงกลาง โดยไม่ยอมบอกอะไรคนอื่นที่ข้ามไป ส่วนใหญ่ผู้ที่ถูกควบคุมตัวมาฝากขังที่ บก.ป.เมื่อครบกำหนดปล่อยตัวออกไปก็จะภาวนาขอให้มีคนอื่นถูกควบคุมตัวมาขังแทน เพื่อจะได้อยู่เป็นเพื่อนกันมาก ๆ ห้องขังจะได้ไม่เงียบเหงา ซึ่งก็มักจะได้ผล พอใกล้ๆ หมด ก็จะมีคนถูกจับมาฝากขังตลอดจนห้องขังไม่ว่างเลยสักที ส่วนรายที่ชื่อบอย เคยเล่าประสบการณ์เจอสิ่งลี้ลับแบบจะ ๆ ว่าคนเสื้อแดงมาเขียนตัวเลขให้ 191 แต่เขาติดอยู่ในห้องขังออกไปซื้อไม่ได้ ซึ่งสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดนั้นเลขท้ายรางวัลที่ 1 ก็ออก 91 ตรงเป๊ะเลย"

ด้าน ร.ต.ต.บุญเยี่ยม ลอยแก้ว เจ้าหน้าที่ดูแลห้องขัง บก.ป. เปิดเผยว่า ตนไม่เคยพบเห็นหรือเจอสิ่งเร้นลับตามที่บรรดาผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวในห้องขังบอกเล่ากันเลย พบแต่เพียงผู้ที่ถูกควบคุมออกมาเล่าให้ฟังว่า เห็นอดีตผู้ต้องหาที่ผูกคอเสียชีวิตมานั่งจ้องอยู่ใกล้ ๆ เช่น ผู้ต้องขังฝ่าฝืนกฎอัยการศึกรายหนึ่งจำชื่อไม่ได้ ทราบว่าเป็นคนของรายการทีวีแห่งหนึ่ง เจอมาตลอด 6 วันที่โดนกักตัวไว้ ถึงขนาดขอร้องให้ภรรยามาเฝ้าอยู่ด้านนอกทุกคืน


 :41: :41: :41: :41:

“เขากลัวถึงขนาดจะว่าจ้าง ให้ผมช่วยอยู่เป็นเพื่อนเขาในตอนกลางคืนด้วย แต่ผมไม่เอา อย่างไรก็ดีก็ยังพยายามส่งเสียงดัง ๆ ให้เขาได้ยินว่าอยู่เป็นเพื่อนเขาด้านนอกอยู่ตลอด 6 คืนที่เขามานอนในห้องขัง เท่าที่รู้ เคยมีผู้ต้องหาเสียชีวิตในสภาพนั่งตายบ้าง ยืนตายบ้าง จากข่าวเห็นบอกว่า

เคยมีผู้ต้องหาผูกคอเสียชีวิต 2 ราย เป็นผู้ชาย 1 ราย และผู้หญิงท้อง 1 ราย ส่วนอีก 1 ราย เคยช่วยไว้ได้ยังไม่ทันผูกคอ ก็ได้ตรวจพบเจอเชือกที่เขาเอาผ้าห่มที่เอามาทำเป็นผ้ารองเช็ดพื้นมาม้วนๆ เป็นเกลียว ๆ ไว้แทนเชือก จะผูกคอ ซึ่งได้พบเจอก่อน สอบถามเขาก็บอกว่าทำไปโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้อะไรมาดลจิตดลใจให้ทำ เพียงแค่อยากจะผูกเฉย ๆ รายนั้นเลยรอดไป และแม้ที่ห้องขังจะมีกล้องวงจรปิดเพื่อตรวจดูพฤติกรรมของผู้ต้องหา แต่บางครั้งก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงมองไม่เห็น หรือผู้ต้องหาก็จะเลือกผูกคอตรงจุดที่กล้องมองไม่เห็นกันแน่".


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/crime/264726/เปิดเรื่องเล่าขนหัวลุกคุกกองปราบฯ
16833  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แห่ขอโชคลาภ วัดไผ่โรงวัว (ชมภาพ) เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 08:15:36 am


แห่ขอโชคลาภ วัดไผ่โรงวัว

แห่ขอโชคลาภปลาไหลเผือกโผล่จากใต้ซากเจดีย์ร้อยยอด ขณะขุดพบพระกรุหลวงพ่อขอมเพิ่มอีกพันองค์

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. นายเสนาะ โสมนัส อายุ 49 ปี ไวยาวัจกร วัดไผ่โรงวัว ต.บางตาเถร อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี เปิดเผยว่า วันนี้ทางคณะกรรมการวัดฯ ได้นำรถแบ๊คโฮ 4 คัน มาทำการขุด และรื้อถอนซากปรักหักพัง เจดีย์ร้อยยอดที่พังถล่มลงมาเพื่อค้นหากรุพระเครื่องที่ยังหลงเหลืออยู่ภายใต้ฐานพระประธานฯ ในเจดีย์ร้อยยอด เพิ่มเติมซึ่งเจ้าหน้าที่ ต่างก็ตื่นเต้นดีใจ เมื่อสามารถขุดพบกรุพระเหรียญ หลวงพ่อขอม รุ่นปี พ.ศ. 2500 อีก 2 บาตร คาดว่า มีพระบรรจุประมาณ1,000 องค์

โดยขณะที่กำลังชื่นชมพระกรุชุดใหม่ที่เพิ่งขุดพบ ชาวบ้านก็ต้องฮือฮายิ่งขึ้นไปอีกเมื่อ พบปลาไหลเผือกขนาดใหญ๋ใต้ซากเจดีย์ ซึ่งชาวบ้านต่างเชื่อว่าเป็นสัตว์มงคล จึงช่วยกันจับขึ้นมา ใส่ไว้ในถาชนะจากการสังเกตพบว่า ปลาไหลมีสีขาวเผือกสวยงาม ลำตัวใหญ่ประมาณ 2 นิ้ว ความยาว 60 เซนติเมตร สร้างความประหลาดใจให้ชาวบ้าน ต่างพากันมากราบไหว้บูชาเพราะเชื่อว่า เป็นสัตว์นำโชค โดยบางรายได้เป็นตีเลขเด็ดกันไปต่างๆ นานาก่อนที่คณะกรรมการวัดฯ จะนำ ปลาไหลเผือก ไปปล่อยในสระน้ำของทางวัดซึ่งสร้างความผิดหวังให้ชาวบ้านหลายคน ที่หวังมาขอโชคลาภ และไปแทงหวยในงวดวันที่ 16 ก.ย. นี้






นายเสนาะ กล่าวว่า ส่วนกรุเหรียญหลวงพ่อขอม รุ่นปี พ.ศ. 2500 ที่ขุดพบทั้งหมดรวม 8 บาตรเปิดจำหน่ายให้เช่าบูชาในราคาเหรียญ ละ 1,000 บาท ส่วนพระเนื้อดิน เช่น พระสมเด็จฯพระนางพญา แหวนพระรุ่นต่างๆ ในราคา 100 บาท บรรดาเซียนพระเครื่อง มาสั่งจองกันจำนวนมากโดยทางวัดฯ เปิดจำหน่ายทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ของทุกวันเป็นต้นไปจนกว่าพระกรุที่ขุดได้จะหมดไป เพื่อนำรายได้มาสร้าง พระนอน ที่ยาวที่สุดในโลกหลังจากนั้นก็จะสร้างพระอุโบสถ หรือโบสถ์หลังใหม่ และมีงานฝังลูกนิมิตต่อไป.










ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/regional/264721/แห่ขอโชคลาภวัดไผ่โรงวัว
16834  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผีห้องขังเฮี้ยนไม่เลิก.! นักพนันโอดโอยเข็ดแล้ว เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 08:06:44 am

ผีห้องขังเฮี้ยนไม่เลิก.! นักพนันโอดโอยเข็ดแล้ว

กลุ่มนักพนันขวัญผวา ถูกทหารคุมตัว ปรับพฤติกรรม ที่กองปราบฯ ระหว่างคุมขัง เห็นวิญญาณเดินไปมาทั้งคืน

เมื่อวันที่  4 ก.ย.  ที่กองบังคับการปราบปราม พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ. พร้อมเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารเดินทางมารับตัวกลุ่มนักพนันไฮโลที่ห้องขังกองปราบเพื่อทำการปล่อยตัวหลังถูกควบคุมตัวเพื่อปรับทัศนคติ ประกอบด้วยนายอาหนี แซ่ตั้ง (เจ้ามือ) น.ส.กัญญา บุญส่ง,นายวิเชียร จงใจจิต, นายเค ไชยนาม, นายชัยรัตน์ แซ่ฮึง, นายไกรสร สิริภิญโญภาคย์ และนายองอาจ ทองคลี่ โดยทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางโพงพาง และทหารพล.ม.2 รอ. ผสานกำลังจับกุมขณะลักลอบเล่นการพนันไฮโลกันภายในบ้านไม่มีเลขที่ ซ.จันทน์ 21 แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร กทม. เมื่อวันที่ 29 ส.ค. โดยมีอาหนีเป็นเจ้ามือ


 :32: :32: :32: :32:

ทันทีที่นักพนันกลุ่มนี้ได้รับการปล่อยตัวทั้งหมดต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า*เข็ดแล้วจะไม่กลับไปเล่นการพนันอีก เพราะไม่อยากต้องมานอนในห้องขังของกองปราบฯ อีก* โดยมี นายเค ไชยนาม ที่พิการเป็นใบ้ได้เล่าผ่านภาษามือและท่าทางว่า เห็นวิญญาณอดีตผู้ต้องขังที่เสียชีวิตจากการผูกคอตายในห้องขังนอนไม่หลับ ไม่กล้าหลับ ต้องเดินไปมารอบห้องขังตลอดทั้งคืน ทำให้เพื่อนนักพนันคนอื่นพลอยนอนไม่หลับไปด้วย

สาเหตุที่นักพนันกลุ่มนี้ถูกนำตัวมาควบคุมที่กองปราบฯ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวถือเป็นการฝ่าฝืนนโยบาย คสช.ที่สั่งห้ามเล่น การพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการจับกุม ครั้งที่ 2 โดยครั้งแรกจับกุมเมื่อวันที่ 26 ส.ค. ทั้งหมดถูกจับขณะเล่นพนันไฮโล ส่งท้องที่ สน.บางโพงพาง พนักงานสอบสวนทำเรื่องส่งฟ้องศาล ศาลตัดสินลงโทษปรับไปรายละ 1,000-1,500 บาท แต่เมื่อได้รับการปล่อยตัวก็กลับมาแอบลักลอบเล่นพนันอีก ทาง สน.บางโพงพาง จึงประสานขอกำลังทหารจาก พล.ม.2 รอ.เข้าร่วมจับกุมอีกครั้ง ก่อนควบคุมตัวนักพนันทั้งหมดมาไว้ที่บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย 1 วัน ก่อนถ่ายรูปทำประวัติสอบสวนเบื้องต้น และส่งตัวมาควบคุมตัวเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติที่ห้องขังกองปราบฯ อีก 6 วัน ตั้งแต่ 30 ส.ค.- 4 ก.ย.

 :49: :49: :49: :49:

ตามประวัติผีในห้องขังกองปราบฯ ที่ออกมาหลอกหลอนผู้ต้องขัง แม้กระทั่งตำรวจจนต้องนิมนต์พระมาสวดปัดรังควาน แต่ก็ไม่สามารถหยุดความเฮี้ยนได้ โดยทุกคนที่พบต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ผีตนนี้สวมเสื้อกล้ามสีแดง และเชื่อกันว่าเป็นวิญญาณของนายฉลาด เสนารัตน์ วัย 40 ปี บุคคลแรกที่ผูกคอตายหนีความผิดภายในห้องขังกองปราบฯนายฉลาดมีอาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างผู้ต้องหาข่มขืนหลานสาวในไส้วัย 11 ขวบจนตั้งท้องและคลอดลูก ก่อนตัดสินใจลาโลกในเวลาดึกสงัดคืนวันที่ 12 ก.ค. 2550 โดยใช้เสื้อผูกคอตายกับลูกกรงหน้าต่างห้องขัง

นอกจากนี้ เขายังใช้ตะปูเขียนข้อความลาตายไว้ที่พื้นห้องขังว่า "วาวลูกรักพ่อลาก่อนคดีความจะจบลงแค่นี้ พ่อขอโทษ" และฝากฝังภรรยาให้ดูแลลูกและหลานด้วย หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผู้ต้องขังจำนวนมากที่ถูกคุมขังที่นั่นออกมาให้ข่าวเป็นระยะถึงความเฮี้ยนของผีเสื้อกล้ามแดง หลายรายมีอาการคล้ายถูกผีสิง บ้างก็ถูกชวนไปอยู่ด้วย และบางรายพยายามผูกคอตาย


ที่มา : M2FNews
www.posttoday.com/อาชญากรรม/316508/ผีห้องขังเฮี้ยนไม่เลิก-นักพนันโอดโอยเข็ดแล้ว
16835  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จ่าย 10 ล้าน “ป.รุ่งเรือง” เลิกสัญญาซ่อมสะพานมอญ เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 07:57:01 am


จ่าย 10 ล้าน “ป.รุ่งเรือง” เลิกสัญญาซ่อมสะพานมอญ

กาญจนบุรี - จังหวัดกาญจนบุรี ควักจ่าย 10 ล้านบาท ไกล่เกลี่ยกับ “หจก.ป.รุ่งเรืองวัสดุภัณฑ์” ผู้รับจ้าง ทำสัญญาประนีประนอมเลิกสัญญาซ่อมสะพานไม้หลวงพ่ออุตตมะ ขณะที่ชาวบ้านเริ่มตั้งข้อสงสัยมันเกิดอะไรขึ้น แทนที่ทางจังหวัดจะเรียกค่าปรับจากผู้รับจ้าง แต่กลับนำเงินที่ผู้บริจาคเข้ามาไปจ่ายให้แก่บริษัทผู้รับจ้าง ทั้งๆ ที่ผิดสัญญาซ่อมแซมสะพานไม่เสร็จ
       
       เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (4 ก.ย.) นายทะนง ตะภา อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานคณะกรรมการไกล่เกลี่ยปัญหาการซ่อมแซมบูรณะสะพานไม้อุตตมานุสรณ์ หรือสะพานมอญ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โดยมี นายกาศพล แก้วประพาฬ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ผู้แทนจังหวัดกาญจนบุรี ตัวแทนผู้ว่าจ้าง นายสมศักดิ์ สุวัฒนรัตน์ ตัวแทน หจก.ป.รุ่งเรืองวัสดุภัณฑ์ ผู้รับจ้าง พระมหาสุชาติ สิริปัญโญ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม นายธีรชัย ชุติมันต์ ประธานหอการค้าจังหวัดกาญจนบุรี นายเกื้อกูล สถาพรวจนา ผู้แทนโยธาธิการและผังเมืองกาญจนบุรี นายเฉลิมฉัตร จันน์อินทร์ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรี นายทวี สกุลกาญจนดล ผู้อำนวยการกองช่าง อบจ.กาญจนบุรี


        :96: :96: :96: :96:

      พร้อมกรรมการควบคุมงาน และกรรมการตรวจการจ้างบางส่วน ได้เข้าร่วมประชุมที่ห้องประชุมดาวดึงส์ ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี โดยการประชุมใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมง จึงสามารถหาข้อยุติ และมีการทำสัญญาประนีประนอมระหว่าผู้ว่าจ้าง กับผู้รับจ้างส่งมอบต่อหน้าพยานในที่ประชุม จึงเสร็จสิ้น
       
       โดยการประชุมหารือเกี่ยวกับปัญหาการก่อสร้างที่ล่าช้า และมีการประเมินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการที่ผู้รับจ้างได้ดำเนินการไปแล้วคิดเป็น 60.94% ของงานทั้งหมด คิดเป็นราคางาน 9,962,110 บาท โดยฝ่ายผู้รับจ้างพร้อมที่จะยุติสัญญาแต่ได้ยื่นข้อเสนอว่าได้ลงทุนทำงานนี้เป็นเงิน 13 ล้านบาท แต่ทางคณะกรรมการได้ต่อรองจนได้ข้อสรุปว่าจะจ่ายเงินค่าก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้าง 10,000,000 บาท แต่ผู้รับจ้างต้องดำเนินการตอกเสาเข็ม จำนวน 5 ตับ ที่เหลืออยู่ให้เสร็จสิ้น
       
       หลังจากนั้น ได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจังหวัดกาญจนบุรี ผู้ว่าจ้าง กับ หจก.ป.รุ่งเรืองวัสดุภัณฑ์ ผู้รับจ้าง โดยสัญญานี้มีผลเป็นการยกเลิกสัญญาจ้างซ่อมบูรณะสะพานอุตตมานุสรณ์ และทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหาย ค่าเบี้ยปรับต่างๆ ต่อไป

       

       อนึ่ง สำหรับหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความ มีเนื้อหาดังนี้
       
       สัญญาฉบับนี้ ทำขึ้นเมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๗ ระหว่างจังหวัดกาญจนบุรี โดยนายกาศพล แก้วประพาฬ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ปฏิบัติราชการแทน ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งต่อไปในสัญญานี้ เรียกว่า “ผู้ว่าจ้าง” ฝ่ายหนึ่ง กับ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. รุ่งเรืองวัสดุภัณฑ์ โดยนายสมศักดิ์ สุวัฒนรัตน์ ซึ่งสัญญาต่อไปนี้ เรียกว่า “ผู้รับจ้าง” ทั้งสองฝ่ายตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
       
       ข้อ ๑ ตามสัญญาจ้าง ซ่อมบูรณะสะพานอุตตมานุสรณ์ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี สัญญาเลขที่ ๐๒๑๕/๒๕๕๗ ซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๗ ระหว่าง “ผู้รับจ้าง” กับ “ผู้ว่าจ้าง”ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญาดังกล่าว โดยผู้รับจ้างต้องเริ่มทำงานที่รับจ้างภายในวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๗ และจะต้องเสร็จบริบูรณ์ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ โดยผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายค่าจ้าง จำนวน ๑๖,๓๔๗,๐๐๐.-บาท (สิบหกล้านสามแสนสี่หมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน) ในวันนี้ ผู้รับจ้างดำเนินการก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จตามสัญญา คณะกรรมการพิจารณาประเมินราคาชดเชยในการซ่อมบูรณะสะพานอุตตมานุสรณ์ และนายช่างควบคุมงาน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกันแล้ว ปรากฏว่ าการก่อสร้างแล้วเสร็จร้อยละ ๖๐.๙๔ คิดเป็นราคางาน ๙,๙๖๒,๑๑๐.-บาท (เก้าล้านเก้าแสนหกหมื่นสองพันหนึ่งร้อยสิบบาทถ้วน) และผู้รับจ้าง มีภาระค่าปรับฐานผิดสัญญา ๔๗๔,๐๖๓.-บาท (สี่แสนเจ็ดหมื่นสี่พันหกสิบสามบาทถ้วน)
       
       ข้อ ๒ คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ตกลงกันว่า ให้ผู้รับจ้างหยุดการก่อสร้างตามสัญญาดังกล่าว ตามข้อ ๑ ในวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๗ เวลา ๒๔.๐๐ น. แล้วผู้รับจ้างจะส่งคืนพื้นที่ก่อสร้างทั้งหมดให้แก่ผู้ว่าจ้าง เพื่อดำเนินการให้บุคคลอื่นทำการก่อสร้างต่อไป โดยผู้รับจ้างยินยอมมอบไม้ท่อนและวัสดุต่างๆ ที่ผู้รับจ้างนำมาไว้ ณ สถานที่ก่อสร้างทั้งหมด รวมมูลค่า ๑,๐๐๐,๐๐๐.- บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) ให้แก่ผู้ว่าจ้าง นอกจากนั้น ผู้รับจ้างจะช่วยเหลือบุคคลผู้ดำเนินการก่อสร้างสะพานต่อจากผู้รับจ้างในการตอกเสาเข็ม จำนวน ๕ ตับ ราคางาน ๓๐๐,๐๐๐.- บาท (สามแสนบาทถ้วน)
       

       ข้อ ๓ ผู้ว่าจ้าง ยินยอมจ่ายเงินค่างานก่อสร้างที่ผู้รับจ้างได้ดำเนินการไปแล้ว ค่าวัสดุสิ่งของทั้งหมดที่มอบให้แก่ผู้ว่าจ้าง รวมทั้งค่าดำเนินการในการตอกเสาเข็ม จำนวน ๕ ตับ เป็นเงินจำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท (สิบล้านบาทถ้วน) โดยได้คิดค่าปรับตามที่ผู้รับจ้างจะต้องชำระแล้ว และผู้รับจ้างตกลงรับเงินจำนวนดังกล่าวเป็นค่างานก่อสร้าง ค่าวัสดุสิ่งของทั้งหมดที่มอบให้แก่ผู้ว่าจ้าง และค่าดำเนินการในการตอกเสาเข็ม จำนวน ๕ ตับ โดยจะจ่ายเงินภายใน ๗ วัน นับแต่วันนี้
       

       ข้อ ๔ สัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ มีผลเป็นการยกเลิกสัญญาจ้างซ่อมบูรณะสะพานอุตตมานุสรณ์ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี สัญญาเลขที่ ๐๒๑๕/๒๕๕๗ โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตามสัญญานี้ โดยต่างฝ่ายไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหาย ค่าเบี้ยปรับที่เกิดขึ้นตามสัญญาดังกล่าว
       
       สัญญาฉบับนี้ทำขึ้นเป็น ๒ ฉบับ อยู่ที่คู่สัญญาฝ่ายละ ๑ ฉบับ คู่สัญญาทุกฝ่าย ได้อ่านแล้วเข้าใจถูกต้องตรงกัน จึงลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานต่อหน้าพยาน

        :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

       มีรายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากทางจังหวัดกาญจนบุรี ได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจังหวัดกาญจนบุรี ผู้ว่าจ้าง กับ หจก.ป.รุ่งเรืองวัสดุภัณฑ์ ผู้รับจ้าง ด้วยการจ่ายเงินให้แก่ หจก.ป.รุ่งเรืองวัสดุภัณฑ์ ผู้รับจ้าง จำนวน 10 ล้านบาท ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ อ.สังขละบุรี ตั้งข้อสงสัยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น
       
       แทนทีีทางจังหวัด ผู้ว่าจ้าง จะเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้รับจ้าง ที่ซ่อมแซมสะพานไม่เสร็จและผิดสัญญาถึง 2 ครั้งด้วยกัน ทางจังหวัดกลับยอมจ่ายเงินให้แก่ทางผู้รับจ้าง
       
       “ที่สำคัญเงินทั้งหมดนั้นเป็นเงินบริจาคจากประชาชน และจากหน่วยงานต่างๆ ให้นำมาซ่อมแซมบุรณะสะพาน แต่กลับนำเงินส่วนนี้ไปจ่ายให้แก่ทางผู้รับจ้าง ทั้งที่ผิดสัญญาซ่อมแซมบุรณะสะพานไม่เสร็จ ซึ่งเรื่องนี้จะไม่จบลงแค่นี้อย่างแน่นอน และจะต้องมีคนรับผิดชอบในเรื่องนี้” แกนนำชาวบ้านคนหนึ่งกล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000101788
16836  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / อยากชาร์จแบตเตอรี่ iPhone ให้เต็มเร็วขึ้นกว่าเดิม ทำได้หรือไม่ และ ทำอย่างไร.? เมื่อ: กันยายน 05, 2014, 09:38:57 am

[Tip & Trick]
อยากชาร์จแบตเตอรี่ iPhone ให้เต็มเร็วขึ้นกว่าเดิม ทำได้หรือไม่ และทำอย่างไร.?

ปัจจุบันปัญหาเรื่อง แบตเตอรี่บนสมาร์ทโฟน กลายเป็นปัญหาที่ผู้ใช้หลายๆ ท่านคงรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย เมื่อต้องเจอกับ สมาร์ทโฟน ที่แบตเตอรี่หมดไวกว่าปกติ และใช้งานได้ไม่ถึงวัน ซึ่งก่อนหน้านั้น ได้มีหลากหลายวิธีในการทำให้ "สมาร์ทโฟนใช้แบตเตอรี่น้อยลง"

แต่ก็ดูเหมือนว่า บางวิธีนั้นไม่ได้ผลเท่าที่ควร เนื่องจาก สมาร์ทโฟน บางรุ่นมีความจุของแบตเตอรี่น้อยเกินกว่าที่จะยืดอายุให้ สมาร์ทโฟน สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวัน และในวันนี้ ทีมงาน techmoblog มีเคล็ดลับในการ ทำให้สมาร์ทโฟน ชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม จะมีวิธีอะไรบ้าง มาชมกันครับ



ปิดเครื่องขณะชาร์จแบตเตอรี่

ทราบกันหรือไม่ครับว่า การปิดเครื่องขณะชาร์จแบตเตอรี่ จะช่วยทำให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มเร็วขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องจ่ายพลังงานให้กับส่วนต่างๆ ของตัวเครื่องขณะทำการชาร์จ แต่วิธีนี้ ไม่สามารถใช้กับสมาร์ทโฟนบางรุ่นได้ อย่างเช่น iPhone ครับ เนื่องจากทุกครั้งที่เสียบสายชาร์จ แม้จะปิดเครื่องอยู่ ก็จะทำการเปิดเครื่องให้เอง ทำให้ iPhone ไม่สามารถปิดเครื่องขณะชาร์จแบตเตอรี่ได้ ในขณะที่ มือถือแอนดรอยด์ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขณะปิดเครื่องได้


ควรชาร์จกับ Adaptor

โดยปกติแล้ว การชาร์จจาก Adaptor โดยตรง จะทำให้แบตเตอรี่เต็มเร็วกว่าการชาร์จผ่านพอร์ต USB บนเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากพอร์ต USB นั้น จ่ายไฟได้แค่ 0.5 แอมป์ ในขณะที่การชาร์จผ่าน Adaptor จะจ่ายไฟที่ 1 แอมป์ ซึ่งแรงกว่าถึง 2 เท่า



ไม่ควรชาร์จขณะตัวเครื่องร้อน

ถ้าหากสมาร์ทโฟนตัวเครื่องร้อนจัดเกินไป จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ และทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น ฉะนั้น ก่อนทำการชาร์จทุกครั้ง ควรจะทำให้ตัวเครื่องเย็นเสียก่อนแล้วค่อยชาร์จ ไม่ควรชาร์จไป เล่นเกมไปนะครับ



ไม่ถ่ายโอนข้อมูลขณะทำการชาร์จผ่านพอร์ต USB

ถ้าหากผู้ใช้จะทำการชาร์จแบตเตอรี่ผ่านพอร์ต USB บนเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่ควรถ่ายโอนข้อมูลไปพร้อมๆ กับการชาร์จแบตเตอรี่ หรือใช้งานพอร์ต USB อื่นในเวลาเดียวกัน เพราะการทำเช่นนี้ จะทำให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มช้าลง เนื่องจากกระแสไฟถูกส่งไปที่พอร์ตอื่นด้วยเช่นกัน



ฝากเคล็ดลับปิดท้ายอีกสักนิด สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่บนสมาร์ทโฟน ควรชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม 100% ก่อนแล้วค่อยถอดปลั๊ก อย่าหยุดชาร์จก่อนแบตเตอรี่จะเต็ม 100% นะครับ วิธีนี้ จะช่วยทำให้ยืดอายุของแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลงได้อีกวิธีหนึ่งครับ

ข้อมูลโดย : techmoblog.com
hitech.sanook.com/1391341/tip-trick-อยากชาร์จแบตเตอรี่-iphone-ให้เต็มเร็วขึ้นกว่าเดิม-ทำได/
16837  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ไป่ตู้ เผยโฉม ที่คาดหัวอัจฉริยะ-ตะเกียบไฮเทค เมื่อ: กันยายน 05, 2014, 09:33:08 am

Baidu Eye (ไป่ตู้ อาย) ภาพจาก Mashable


ไป่ตู้ เผยโฉม ที่คาดหัวอัจฉริยะ-ตะเกียบไฮเทค

ไป่ตู้ เสิร์ชเอนจิ้นจากจีน เผยโฉมอุปกรณ์สวมใส่ได้แบบเฮดเซตใหม่ Baidu Eye คู่แข่งอีกเวอร์ชั่น กูเกิล กลาส เป็นครั้งแรก พร้อมทั้งตะเกียบอัจฉริยะ ที่คอยให้ข้อมูลอาหารที่รับประทานว่าใช้น้ำมันพืชเก่า ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่...

อุปกรณ์ที่คาดศีรษะ Baidu Eye พร้องกล้องและหูฟัง

ไป่ตู้ (Baidu) เสิร์ชเอนจิ้นยักษ์ใหญ่ของจีน เปิดตัว อุปกรณ์สวมใส่ได้แบบเฮดเซตใหม่ Baidu Eye (ไป่ตู้อาย) ที่มีการเปรียบว่าเป็นคู่แข่งของแว่นอัจฉริยะ กูเกิล กลาส (Google Glass) โดยอุปกรณ์ต้นแบบเคยถูกทำเสนอครั้งแรกในงาน ไปตู้เวิลด์ คองเกรส ปี 2013 อย่างไรก็ตาม Baidu Eye ไม่เหมือนกับกูเกิล กลาส ตรงที่ไม่มีจอแสดงผลในตัว โดยตามข้อมูลของไป่ตู้ระบุว่า เป็นอุปกรณ์ที่คาดศีรษะแบบคาดไว้ด้านหลังโดยคล้องกับหู พร้อมช่องหูฟังแบบอินเอียร์ด้านซ้าย ส่วนด้านขวาจะเป็นแขนที่ติดกล้องไว้ด้านหน้า เพื่อใช้ถ่ายภาพ รับรู้วัตถุตรงหน้า และวิเคราะห์ข้อมูลจากรอบๆ ตัวผู้ใช้งาน


Baidu Eye สามารถถ่ายภาพได้

Baidu Eye จะส่งข้อมูลที่ได้รับไปยังสมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ตของผู้ใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่น จึงมีขั้นตอนที่ง่ายในการดูสิ่งต่างๆ มากกว่าการมองผ่านจอเล็กๆ และมันยังลดการใช้พลังงาน ทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนานขึ้นด้วย

Baidu Eye วิเคราะห์วัตถุที่อยู่ตรงหน้าและเชื่อมโยงไปยังเสิร์ชเอนจิ้น ผ่านการสั่งงานด้วยเสียง

Baidu Eye สามารถเชื่อมโยงข้อมูล ผ่านภาพที่ถ่ายจากกล้องไปยังสมาร์ทโฟนแล้วแสดงผลขึ้นบนจอภาพ ทำให้ดวงตาของผู้ใช้งานไม่ต้องเพ่งหรือจ้องไปที่จอเล็กๆ บนแว่นแบบกูเกิลกลาส เพียงแต่รูปแบบในการทำงานคล้างคลึงกันเท่านั้น โดย Baidu Eye ยังมีระบบการสั่งงานและควบคุมด้วยเสียง โดยในช่วงเริ่มต้นจะเป็นการสั่งด้วยภาษาจีนกลาง เช่น การซูมเข้าออกไปยังภาพวัตถุ หรือ ให้วัตถุหมุนไปรอบๆ ด้วยการใช้นิ้ว

ชมคลิป





หน้าตาของ smart chopsticks

นอกจากนี้ ยังมีการแนะนำต้นแบบอุปกรณ์ smart chopsticks หรือ ตะเกียบอัจฉริยะ ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากข่าวหลอกๆ ในวันโกหก หรือ April Fools โดยตะเกียบไฮเทคนี้ไม่ได้มีไว้แค่ใช้คีบอาหารเข้าปากเท่านั้น แต่มันสามารถตรวจสอบอาหารที่เรากินได้ว่า น้ำมันที่ใช้ประกอบอาหารมีคุณภาพเป็นอย่างไร โดยจะมีแถบแสงแสดงสถานะ

ถ้าไฟสีฟ้าขึ้นแสดงว่าอาหารปลอดภัยรับประทานได้

ถ้าขณะที่กำลังคีบอาหารแล้วแถบไฟที่ตะเกียบเป็น สีแดง แสดงว่า อาหารดังกล่าวไม่ปลอดภัย แต่ถ้า ไฟสีฟ้า ขึ้นที่ตะเกียบแปลว่า ปลอดภัยรับประทานได้ เนื่องจากอาหารจีนมีการใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบเป็นจำนวนมาก การมีตะเกียบคอยตรวจสอบทำให้คุณแน่ใจได้ว่าอาหารจานนั้น ถูกปรุงโดยใช้น้ำมันพืชที่ใหม่เสมอ ไม่ใช้น้ำมันที่ใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทอดแล้วทอดอีก เพราะน้ำมันเหล่านี้ไม่ต่างไปจากของเสียที่ทิ้งลงท่อระบายน้ำ

โรบิน หลี่ ซีอีโอของ ไป่ตู้ กำลังอธิบายถึง ตะเกียบอัจฉริยะ จากเว็บไซต์ Engadget

โรบิน หลี่ ซีอีโอของ ไป่ตู้ กล่าวว่า อุตสาหกรรมน้ำมันใช้แล้วมีขนาดใหญ่มากในประเทศจีน ตำรวจได้สืบสวนเพื่อสาวไปยังต้นตอผู้รับรีไซเคิลน้ำมันพืชมานานหลายปี น้ำมันเหล่านี้มีเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งที่ตับ และทำให้เด็กพิการเพราะการพัฒนาการที่บกพร่อง และขอสัญญาว่าจะพัฒนาตะเกียบให้สามารถตรวจค่า PH และปริมาณแคลลอรี่ในอาหาร เพื่อผู้คนที่ใส่ใจสุขภาพและการรับประทานอาหารในอนาคต

ทั้งนี้ไม่มีการแจ้งวันเปิดตัว หรือวางจำหน่าย และราคาของตะเกียบไฮเทคตัวนี้.


ที่มา : engadget
http://www.thairath.co.th/content/447958
16838  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / หญิงมุ่งส่งข้อความ ชายชอบสนุกสนาน เมื่อ: กันยายน 05, 2014, 09:26:59 am


หญิงมุ่งส่งข้อความ ชายชอบสนุกสนาน

การศึกษาความแตกต่างในการใช้โทรศัพท์ระหว่างหญิงกับชายในอเมริกาพบว่า สตรีจะมุ่งกับการส่งข้อความ หรืออี-เมล เพื่อสานสัมพันธ์และพูดคุยกันมากขึ้น ขณะที่ผู้ชายชอบจะใช้เพื่อความสนุกสนานบันเทิง และเข้าเครือข่ายสังคมมากกว่า

โดยเฉพาะนักศึกษาหญิงสหรัฐฯจะพากันหมดเวลาอยู่กับโทรศัพท์ เฉลี่ยแล้วนานวันละ 10 ชม. ส่วนนักศึกษาชายจะใช้นานน้อยกว่าหน่อย วันละ 8 ชม.


เดินไปส่งข้อความ - อีเมล์ไป

นักวิจัยของโรงเรียนธุรกิจ เบย์เลอร์ ฮันคาเมอร์ ผู้ศึกษากล่าวว่า พวกนักศึกษามากถึงร้อยละ 60 ต่างยอมรับว่าติดโทรศัพท์ บางคนถึงกับขาดไม่ได้ทีเดียว ถ้าไม่ได้เห็นอยู่ในสายตา

โดยรวมแล้วงานหลักในการใช้โทรศัพท์แต่ละวัน ได้แก่ การส่งข้อความ โดยเฉลี่ยประมาณวันละ 94.6 นาที ตามด้วยการส่งอีเมล เฉลี่ยวันละ 48.5 นาที และตรวจดูเฟซบุ๊ก วันละ 38.6 นาที.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/447693
16839  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ราชบุรี ร้านอาหาร 10 บาทแบบพอเพียง เมื่อ: กันยายน 05, 2014, 09:23:39 am


ราชบุรี ร้านอาหาร 10 บาทแบบพอเพียง

รายการ Midday Delivery รายงานข่าวว่า พบแม่ค้าอาหารตามสั่งเมืองราชบุรียึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทำร้านอาหารตามสั่งราคา 10 บาท ลดค่าครองชีพคืนกำไรสู่ชุมชน

เป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันราคาอาหารตามสั่งทั่วไปในท้องตลาดมีราคาสูงถึงจานละ 45 บาท แต่ป้าอ๋อยก็ยังคงยืนยันที่จะขายอาหารตามสั่งที่ในราคา 10 บาทแบบนี้ ซึ่งขายมานานกว่า 15 ปี และไม่คิดจะขึ้นราคา เพราะล้วนแต่เป็นลูกค้าประจำ ที่อุดหนุนกันมานาน ซึ่งบางคนนั้น กินเหมือนคนในครอบครัวไปแล้ว




ถึงแม้ว่าปัจจุบันวัตถุดิบจะมีราคาสูงขึ้น เป็นเท่าตัว แต่ป้าอ๋อยก็ยังคงมีเมนูให้เลือกสั่งอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ข้าวผัด ข้าวกะเพรา ข้าวหมูกระเทียม ราดหน้า ก๋วยเตี๋ยว หรือแม้แต่ผัดซีอิ๊ว ก็มี ซึ่งแต่ละเมนูก็จัดเต็ม ทั้งผัก ทั้งเนื้อสัตว์ แบบไม่มีกั๊ก ว่าราคา 10 บาท ได้ปริมาณเพียงหยิบมือ ซึ่งป้าอ๋อยบอกว่า ที่จัดให้เต็มที่เหมือนอาหารตามสั่งทั่วไปก็เพราะ ไม่อยากให้ราคามาเป็นตัวกำหนดคุณภาพ เมื่อราคาถูกใจ อาหารเองก็ต้องถูกปาก ถึงจะอยู่ได้นาน และมีลูกค้ามาใช้บริการแบบเต็มที่



หากถามลุงหมึก สามีป้าอ๋อย ว่ากำไรได้มาอย่างไร ลุงตอบแบบไม่ต้องคิด ว่า ลุงได้กำไรแน่นอน ถึงแม้จะขายถูก และไม่กั๊กวัตถุดิบ แบบนี้ แต่กำไรในแต่ละวันก็สามารถดูแลครอบได้แบบไม่ลำบาก ลูกค้ามาใช้บริการแบบไม่ขาดสาย และไม่มีน้อยลง ทำให้กำไรได้อย่างพออยู่พอกิน เพราะจะได้กำไรมาก หรือ กำไรน้อย ก็ได้กำไรเหมือนกัน

สำหรับผู้ชมที่สนใจอยากจะแวะไปชิมอาหารตามสั่งราคากันเองแบบนี้ก็ไปได้ที่บริเวณหลังชุมชนวัดมหาธาตุจังหวัดราชบุรี


ขอบคุณภาพข่าวจาก
ch3.sanook.com/32191/ราชบุรี-ร้านอาหาร-10-บาทแบ/gallery-16927/image-32215
16840  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผลตรวจกรมวิทย์ฯล่าสุด เผย "ส้มตำถาดเคลือบสี" ปนเปื้อนแคดเมี่ยม สาเหตุโรคอิไตอิไต เมื่อ: กันยายน 05, 2014, 09:17:45 am


ผลตรวจกรมวิทย์ฯล่าสุด เผย "ส้มตำถาดเคลือบสี" ปนเปื้อนแคดเมี่ยม - สาเหตุโรคอิไตอิไต

วันที่ 4 ก.ย. มีรายงานว่า นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์​ได้เก็บตัวอย่างส้มตำถาดเพื่อพิสูจน์หาสารโลหะหนัก หลังจากมีการทดสอบเบื้องต้นโดยใส่กรดแอซีติก หรือกรดน้ำส้มสายชู และพบว่ามีการปนเปื้อนของสารแคดเมี่ยมเกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนนั้น ​

การทดลองเบื้องต้นเป็นการหยดสารโดยตรงลงบนถาด ซึ่งอาจทำให้ได้ค่าที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เก็บส้มตำถาด จำนวน 10 ตัวอย่างเ พื่อนำมาวิเคราะห์ โดยแบ่งการทดสอบเป็นการหยดสารแอซีติก แช่ไว้ตามมาตรฐาน 24 ชั่วโมงในอุณหภูมิ 12 องศา พบว่าสารละลายที่ออกมานั้น มีสารแคดเมียม 2.6 มิลลิกรัมต่อลิตร ​จากมาตรฐานกำหนดไว้ต้องไม่เกิน 0.25 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งการทดสอบดังกล่าวสารแคดเมียมเกินมาตรฐานทั้ง 10 ตัวอย่าง เป็น 10 เท่า ส่วนสารตะกั่วพบเพียง 3 ถาดแต่ไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด


 :32: :32: :32: :32:

นพ.อภิชัย กล่าวว่า การทดสอบอีกส่วนที่สำคัญ คือ การหาปริมาณสารที่ละลายออกมาปนเปื้อนในส้มตำที่ใส่อยู่ในถาดโดยตรง ซึ่งจะทำให้ทราบคำตอบว่าในการรับประทานจริงๆ จะได้รับการปนเปื้อนด้วยหรือไม่ โดยสุ่มตัวอย่างส้มตำ 10 ตัวอย่าง ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง 3 ชั่วโมงแล้วนำมาหาการปนเปื้อน โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ

1.ส้มตำที่ใส่กับถาดโดยตรงไม่มีอะไรรอง พบว่าจากการทดสอบพบสารแคดเมียมปนเปื้อนในส้มตำ 0.875 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
2.ส้มตำถาดแบบที่มีใบตองรองที่ก้นถาดแบบมิดชิด ไม่พบการปนเปื้อนของแคดเมี่ยม
3.ส้มตำถาดแบบที่มีใบตองรองแต่ไม่มิดชิด พบการปนเปื้อนของสารแคดเมี่ยม 0.127 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และ
4.นำส้มตำใส่ถุงพลาสติกวางบนถาด เพื่อนำมาเปรียบเทียบการปนเปื้อนจากอาหารโดยตรงเท่านั้น ทั้งนี้ จากการทดสอบทุกแบบไม่พบการปนเปื้อนของสารตะกั่ว


 ans1 ans1 ans1 ans1

“ผลการตรวจดังกล่าว เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน ADI หรือปริมาณที่ไม่ควรบริโภคเกินในแต่ละวันอยู่ที่ไม่เกิน 25 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัวต่อเดือน ประกอบกับข้อมูลการเก็บตัวเลขการบริโภคอาหารของคนไทย ปริมาณแคดเมี่ยมที่พบในการทดสอบครั้งนี้โดยเฉพาะเมื่อใส่ส้มตำในถาดสีโดยตรง ถือว่าเกินปริมาณที่แนะนำ 1.4 เท่า ซึ่งหากมีการบริโภคอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่จะได้รับสารแคดเมี่ยมเกินมาตรฐาน และสะสมในร่างกายไปเรื่อยๆ ก็มีสูง ซึ่งผู้บริโภคควรเลือกร้านที่ใช้ภาชนะที่ปลอดภัย”นพ.อภิชัย กล่าว

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อว่า สำหรับอันตรายที่จะเกิดขึ้นหากได้รับสารแคดเมี่ยมนั้น​ พบว่าเป็นสารที่หากได้รับในปริมาณมากหรือสะสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดพิษต่อไตและกระดูกได้ หากกินต่อเนื่องในระยะยาวจะทำให้เสี่ยงไตวาย เกิดโรคปวดกระดูก หรือโรคอิไตอิไต นอกจากนี้องค์กรด้านมะเร็งยังกำหนดให้แคดเมี่ยมเป็นสารชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย


 :49: :49: :49: :49:

อย่างไรก็ตามการทดสอบครั้งนี้ได้พยายามหาคำตอบที่ประชาชนสงสัยและตอบคำถามเรื่องความปลอดภัยเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคสำหรับผู้ประกอบการร้านค้านั้นสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยได้โดยดูที่มาตรฐาน มอก. ซึ่งจะกำหนดมาตรฐานของสีที่ใช้กับภาชนะสำหรับครัวเรือน ซึ่งสารแคดเมี่ยมและตะกั่วเป็นส่วนประกอบสำคัญของสี หากเลือกใช้ภาชนะที่ได้มาตรฐานก็จะปลอดภัยต่อผู้บริโภค

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1409829967
หน้า: 1 ... 419 420 [421] 422 423 ... 708