ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พ่อแม่....ผู้สร้างมงคลให้ชีวิต  (อ่าน 28650 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
พ่อแม่....ผู้สร้างมงคลให้ชีวิต
« เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2010, 12:35:10 am »
0
พ่อแม่....ผู้สร้างมงคลให้ชีวิต


   ผมอยากให้ข้อเขียนเรื่องนี้ "พ่อแม่....ผู้สร้างมงคลให้ชีวิต" เป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน 
เพราะถ้าอ่านด้วยการพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว  จะเห็นได้ว่าเป็นการสร้างสิ่งที่ดีๆ  สิ่งที่เป็นมงคลกับ
ชีวิตคุณๆ จริงๆ
   เดี๋ยวนี้ความผูกพันระหว่างพ่อแม่และลูก  ดูเหมือนจะห่างกันมากขึ้น
   อาจจะเป็นเพราะในโลกยุคปัจจุบันนี้  มีกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น  มีสิ่งที่น่าสนใจ  น่าศึกษา 
น่าหาความรู้  และน่าเข้าไปร่วมในกิจกรรมมากมาย
   มีโลกของอินเตอร์เน็ต  มีเพื่อนมีหนังมีรูปมีเกมส์ให้ดูให้เล่นมากมาย
   เวลาที่ควรจะอยู่ด้วยกันกับพ่อแม่หรือญาติพี่น้องจึงน้อยลงไปด้วย
   เดี๋ยวนี้เราจะเห็นเด็กๆ นั่งเล่นเกมส์ตามร้านคอมฯ ทั่วไป  เย็นค่ำจนดึกดื่น  แทนที่จะกลับไปที่บ้าน 
นั่งคุยหรือเล่นเกมส์ที่บ้าน   เพื่อเป็นการสังสรรค์กับพ่อแม่พี่น้องที่บ้าน
   เรื่องนี้ถ้าจะมาพูดถึงต้นเหตุและปัญหา  ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยืดยาว  และหาที่จบไม่ได้
   เอาเป็นว่า  มาพูดถึงเรื่องบางเรื่องที่เราคาดไม่ถึง  แต่เป็นเรื่อง "หญ้าปากคอก" กันดีกว่า
   มีหลายรายที่มาปรึกษาผม  และพอพูดคุยกันแล้ว  สาเหตุหนึ่งก็คือ "การไม่ได้ทำตัวเป็นลูกที่ดี"
ของพ่อแม่
   การไม่ทำตัวเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ นั้น  เท่าที่ผมได้รับฟังปัญหา  ก็มีอย่างนี้
   1.ชอบเถียงพ่อเถียงแม่
   2.ชอบทำให้พ่อแม่เสียใจ  บางรายถึงกับทำให้พ่อแม่ร้องไห้
   3.ไม่เลี้ยงดู  ไม่ปรนนิบัติพ่อแม่ตามสมควร
   4.สร้างแต่ปัญหาให้พ่อแม่
   5.ขโมยของที่เป็นสมบัติของพ่อแม่
   6.ด่าว่า  กล่าวคำที่เป็นการล่วงเกินพ่อแม่
   7.ทำร้ายร่างกาย และจิตใจต่อพ่อแม่

   บุคคลใดก็ตามที่กระทำอย่างนี้  จะต้องได้รับ "กรรม" หนัก  ยิ่งข้อที่ 6 และ 7  คือด่าว่าและ
ทำร้ายพ่อแม่  "กรรม" จะยิ่งหนักมากมายมหาศาล  โอกาสได้ไปภพภูมิต่ำถึงนรกอเวจีมีมาก
   ชีวิตของผู้กระทำการตามนี้  จะไม่มีความสุขเลยชั่วชีวิต  จะไม่มีความสบายใจ  มักจะมีเรื่อง
หงุดหงิด  เรื่องทุกข์  ทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจเกิดขึ้นบ่อยๆ
   อะไรที่คิดว่าน่าจะได้มา  น่าจะสร้างความสุข  น่าจะประสบผลสำเร็จ  ก็มักจะไม่ได้  มีการเลื่อน 
คลาดเคลื่อน  จนสุดท้ายก็ไม่ได้เลย
   ผมเคยรู้จักคนๆ หนึ่ง  ก็พอจะรู้เรื่องราวในอดีตของเขา  ต่อหน้าสาธารณชนนั้น  จะดูเหมือนเป็น
คนดี  เอื้ออนาทร  และเป็นคนที่รักพ่อแม่รักครอบครัว
   แต่ในความเป็นจริงแล้ว  คนนี้ไม่เคยสร้างความสบายใจให้กับพ่อแม่เลย  หนำซ้ำยังพูดจาไม่ดี
ไม่ไพเราะกับพ่อแม่  พูดคำเถียงคำ  มีบางครั้งถึงขนาดด่าว่าบุพการีด้วย
   บ่อยครั้งที่ผมรู้ว่าพ่อแม่ของคนๆ นี้ต้องร้องไห้  เสียใจจากการกระทำของคนนี้
   คนนี้ได้รับความก้าวหน้าจากการทำงาน  มีสังคมที่กว้างไกล  มีคนนับถือ  มีลูกน้องที่รักเคารพ
มากมาย  มีทั้งเงิน  มีทั้งเกียรติยศ
   คุณๆ อาจจะสงสัยว่า  ก็ไหนว่าคนที่ทำร้ายพ่อแม่  เถียงพ่อเพียงแม่  ทำให้พ่อแม่เสียใจจะต้อง
ได้รับ "กรรม"   แต่ทำไมคนที่ผมเล่าถึงคนนี้  จึงมีแต่ดีวันดีคืน
   คืออย่างนี้นะครับ  การรับกรรมนั้น  ไม่ได้รับกรรมตามวันเวลาเป็นสำคัญ
   แต่การรับกรรม  จะรับตามความหนักเบาของกรรม
   คือทำกรรมหนัก (ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว)  ก็ต้องรับกรรมหนักนั้นก่อน  เมื่อหมดกรรม
หนักที่สุดแล้ว  ก็รับกรรมที่รองๆ ลงมา
   คนนี้คงจะทำกรรมหนักที่ดีๆ มาในอดีต  จึงรับกรรมที่ดีนั้นก่อน  พอกรรมหนักที่ดีนั้นหมดลง 
กรรมที่ทำให้พ่อแม่เสียใจจึงเริ่มส่งผล
   จากนั้นเป็นต้นมา  คนนี้ก็เริ่ม "ทรุด" ลงอย่างเห็นได้ชัด  จากงานที่เคยทำแล้วประสบผลสำเร็จ
เป็นที่น่าชื่นชม  ก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า  งานที่ไปเสนอลูกค้าก็ถูกปฏิเสธ
   จากสิ่งที่ดีๆ เดิมๆ ทั้งหมดเลวลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ  พินาศลงในเวลาไม่นาน
   คนนี้โทรศัพท์มาปรึกษาผม  คุยกันนานครับ  กว่าจะรู้ว่าเขาเองไม่ได้ดูแลปฏิบัติพ่อแม่เท่าที่ควร
   คือไม่ดูแลก็แย่พออยู่แล้ว  แต่นี่ยังทำร้ายจิตใจพ่อแม่อีก  พูดจากระทบกระเทียบ  พูดแดกดัน 
ตะคอกใส่  ทำให้พ่อแม่เสียใจ  แอบไปนั่งร้องไห้บ่อยครั้ง
   ผมฟังแล้วแทบจะไม่เชื่อ  เพราะมันคนละบุคลิกกับเบื้องหน้าที่ผมและหลายคนเห็น
   ผมเลยแนะนำให้เขาทำแบบง่ายๆ  ก็คือให้ไปกราบขอขมาพ่อแม่  แล้วให้พ่อแม่ "อภัย" ในทุก
สิ่งทุกอย่างให้เขา
   แต่เงื่อนไขมันอยู่ที่  ทั้งตัวเขาเองและพ่อแม่  ต้องทำจาก "ใจ" จริง  ไม่ใช่แกล้งทำ  สักแต่ว่า
ทำ  หรือทำแบบขอไปที
   ต้องมาจากความจริงใจ  และความตั้งใจจริงที่จะทำ
   ฝ่ายลูกต้องตั้งใจที่จะขอขมาและยอมรับผิด  สำนึกผิดจริงๆ  มันต้องมาจากใจจริง
   ส่วนพ่อแม่ก็ต้อง "อภัย" ให้ลูกจริงๆ  ไม่ใช่อภัยแต่เพียงปาก  ต้องมีการ "อภัย" ที่มาจากใจจริง 
มีความรู้สึกที่อยาก "อโหสิกรรม" ให้ลูกจริงๆ
   เดี๋ยวนี้คนนี้ดีขึ้นแล้วครับ  เจริญอย่างไม่น่าเชื่อ
   และ.."ดีขึ้น"  อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

   สำหรับคนที่ได้กระทำในสิ่งที่เลวร้าย  หรือไม่สวยงามไม่น่ารักกับพ่อกับแม่แล้วนั้น  บางทีอาจ
จะไม่รู้ตัวหรอกครับว่า  กำลังรับกรรมในส่วนนี้อยู่
   บางทีการกระทำที่เราทำกับพ่อแม่นั้น  อาจจะทำไปโดยไม่ตั้งใจ  ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าพ่อแม่จะ
เสียใจ  ในสิ่งที่เราทำ  เพราะเรา "คาดไม่ถึง"
   อย่างเช่น  ถ้าพ่อแม่ทำกับข้าวมาให้กิน  เพราะเห็นว่าเราทำงานมาเหนื่อยเราหิว  เรากลับพูด
สวนกลับไปว่า  ไม่ต้องมาสนใจหรอกน่า  เดี๋ยวหากินเองได้  โตแล้วนะ  ไม่ต้องมายุ่งเรื่องแบบนี้หรอก
   ซึ่งเราเองก็ไม่ได้คิดอะไร  ไม่ได้คิดว่าพ่อแม่ยุ่งอะไรนักหนาหรอก  เพียงแต่อยากทำอาหารกิน
หรือหากินเอง  จะได้ไม่ต้องรบกวนใคร
   แต่…พ่อแม่ได้ฟังอย่างนั้น  เกิดความรู้สึกแล้ว  อุตส่าห์หวังดี  อยากทำอะไรอร่อยๆ ให้กิน 
ด้วยความหวังดี  ด้วยความเป็นห่วง
   ได้ยินอย่างนั้น  ก็เสียใจน้อยใจ  คิดว่าลูกไม่สนใจ  ไม่เห็นถึงความหวังดี
   บางรายอาจจะน้อยใจ  จนเก็บไปร้องไห้ก็มี
   นี่แหละครับ   เหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยในรายของลูกที่ยังอยู่ร่วมกับพ่อแม่ หรือเหตุ
การณ์คล้ายๆ แบบนี้
   คือการทำให้พ่อแม่เสียใจ  น้อยใจ  แม้ว่าเราเองจะไม่ตั้งใจก็ตาม
   บาป….ครับ
   และมีเหตุการณ์อีกหลายอย่างที่เราคาดไม่ถึงว่า  การกระทำและคำพูดของเราจะทำร้าย "จิตใจ"
ของพ่อแม่  ด้วยความไม่ตั้งใจ
   แม้จะไม่ตั้งใจอย่างไรก็ตาม  มันก็บาป..ครับ
   เป็น "กรรม" ที่ต้องชดใช้ในอนาคต
   มีทางหนึ่งที่พอจะช่วยได้  ก็คือต้องได้รับ "อโหสิ" หรือได้รับการ "อภัย" จากพ่อแม่

   การรับ "กรรม" นั้นมีเงื่อนไขในการรับหลายอย่าง
   และ "กรรม" นั้น  มี 2 อย่าง   คือ กรรมอัตโนมัติ  และ กรรมที่มีเจ้าของ (ซึ่งเราเรียกกรรมที่มี
เจ้าของว่า เจ้ากรรมนายเวร)
   กรรมอัตโนมัติ  ก็คือเมื่อเกิดการกระทำสิ่งใดๆ ก็ตาม  ก็จะเกิด "กรรม" ขึ้นมาทันทีโดยไม่ต้อง
ให้รอ  หรือต้องถามก่อนว่าจะเป็นกรรมชนิดใด
   ทำปุ๊บเกิดปั๊บ..ทันที
   ส่วน กรรมที่มีเจ้าของนั้น  ก็หมายความว่ามีผู้ที่ได้รับ "ผล" จากการกระทำกรรมนั้น  ผู้นั้นมีส่วน
ได้ส่วนเสีย  มีผลจากการที่ได้รับจากการกระทำนั้น  ผู้นั้นก็จะเป็นเจ้าของกรรม  หรือเป็นเจ้ากรรมนายเวร
   ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นง่ายๆ
   สมมติว่าเราไปตีตัวคน
   การตีหัวคน (การทำร้ายคน) เป็น "การกระทำ" ที่ไม่ดี  เมื่อทำไปแล้ว  เป็น "กรรม" ทันที
   กรรม (การกระทำ) ที่ไปตีหัวคน  อนาคตก็ต้องมารับกรรมในส่วนนี้
   ส่วนคนที่เราไปตีหัวนั้น  ได้รับผลจากการที่เราได้กระทำ (ตีหัว)  ก็เป็นเจ้าของกรรม  ก็คือเป็น
เจ้ากรรมนายเวร ของเรา
   ถ้าสังเกตให้ดี  เจ้ากรรมนายเวรของเรานั้น  เป็นได้ทั้งคน  และสัตว์
   เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นตีหัวหมา  หมาก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา
   นี่คือความหมายของกรรมที่มีเจ้าของ
   เมื่อการกระทำใดๆ ก็ตามมีกรรมถึง 2 อย่าง (กรรมอัตโนมัติ  และกรรมที่มีเจ้าของ)  ถ้าเรา
สามารถลดไปได้บางส่วน  ก็จะเป็นการดี  เพราะไม่ต้องรับถึง 2 กรรม
   กรรมอัตโนมัตินั้น  ไม่มีทางที่จะหลีกหนี  หรือไม่ต้องไม่รับกรรม  ทำไม่ได้  ไม่ว่าจะเก่งกาจ
ขนาดไหน  ก็ไม่สามารถจะหลีกหนี  หรือไม่ต้องไม่ใช้กรรมได้   
   กรรมนั้น  เมื่อเกิดขึ้นต้องมีการชดใช้  หรือรับกรรมนั้นๆ เสมอ
   ส่วน กรรมที่มีเจ้าของ  หรือกรรมที่มี เจ้ากรรมนายเวร นั้น  สามารถที่จะผ่อนหนักผ่อนเบาได้
ถ้าผู้ที่เป็นเจ้าของกรรมนั้น  ไม่เอาเรื่อง  หรือยกโทษให้  กรรมที่เกิดขึ้นก็เบาบางหรือหมดไป
   มันอยู่ที่ว่าคุณเองมีความสามารถ  หรือมีความดีมากน้อยแค่ไหน  ที่เพียงพอจะให้เจ้ากรรมนาย
เวรของคุณ "อโหสิ" ให้
   เพราะฉะนั้น  เวลาที่เราทำบุญทำกุศลใดๆ ก็ตาม  ครูบาอาจารย์ท่านจึงสอนให้เราอุทิศส่วนบุญ
ส่วนกุศลนั้นให้เจ้ากรรมนายเวร   เผื่อว่าเจ้ากรรมนายเวรจะใจอ่อนยอมยกโทษ  ยอม "อโหสิ" ให้   กรรม
ก็จะหมดไปในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเจ้ากรรมนายเวร
   อย่างน้อยคุณเองก็จะไม่ต้องรับกรรมทีเดียว 2 อย่างเลย
   
   ในชีวิตของคุณนั้น  คุณมีเจ้ากรรมนายเวรมากมาย  มีแทบจะทุกวัน  แทบจะทุกนาที  แทบจะ
ทุกครั้งที่มีการกระทำสิ่งต่างๆ
   มีทั้งเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นคน  และเป็นสัตว์
   คุณเองจึงต้อง "ปฏิบัติ" สมาธิ  วิปัสสนา  กรรมฐาน  ให้มากๆ  ทำบุญทำกุศลให้มาก  ให้หลาก
หลาย  เพื่อจะเอาบุญกุศลเหล่านั้นมาอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร  เผื่อว่าเจ้ากรรมนายเวรของคุณนั้นใจอ่อน 
ยอม "อโหสิ" ให้  คุณจะได้ไม่ต้องชดใช้กรรมในส่วนนี้
   และในทางกลับกัน  คุณเองก็เป็น "เจ้ากรรมนายเวร" ของคนอื่นในเวลาเดียวกัน  เพราะก็ต้องมี
บ้างที่มีคนทำให้คุณไม่สบายใจ  เสียใจ  หรือทำร้ายจิตใจหรือร่างกายของคุณ
   คุณเองก็มีสิทธิเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นเช่นกัน
   และเมื่อคุณรู้ว่า  การที่คุณต้องมานั่งขอโทษขอขมาเจ้ากรรมนายเวรนั้น  บางทีมันก็ลำบาก 
เหนื่อย  และต้องทำบ่อยๆ เพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรใจอ่อน  ยอมยกโทษให้
   เมื่อคุณอยู่ในฐานะเจ้ากรรมนายเวร  คุณเองก็ต้อง "อโหสิ" ให้คนอื่นได้ง่ายๆ บ้าง  แบบว่าเห็นใจ
ซึ่งกันและกัน  เห็นใจคนที่ต้องตกเป็นทั้งผู้กระทำและเป็นเจ้ากรรมนายเวรในคนๆ เดียวกัน
   และผลของการ "อภัย"  และการ "อโหสิ" นั้น  ได้กุศลมหาศาล
   การอโหสิกรรมเป็นเรื่องของคนมีคุณธรรมเขาทำกัน
   การ "อภัย" จะได้บารมี "อภัยทาน" ที่มีอานิสงส์ไม่น้อย
   เพราะฉะนั้น  ถ้าในภาวะที่คุณเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่น  คุณเองก็สามารถสร้างบารมี
สร้างกุศล  โดยการให้ "อภัย"  และ "อโหสิ" ให้คนอื่น 
   คุณเองก็จะได้รับอานิสงส์กลับไปด้วยเช่นกัน

   เมื่อได้อธิบายเรื่องการขอขมา  เพื่อให้เจ้ากรรมนายเวร "อโหสิ"  และให้ "อภัย" แล้ว  ก็อยาก
จะบอกว่า
   การทำร้ายจิตใจให้พ่อแม่ให้ได้รับความไม่สบายทั้งกายและใจนั้น  เป็นบาปเป็นกรรมที่มีผล
หนักหนามหาศาล
   และเป็นกรรมที่ทำให้เราไม่เจริญ  ไม่มีความสุข ไม่มีความเจริญก้าวหน้า  ไม่มีสิ่งที่เป็นมงคล
เกิดขึ้นในชีวิต 
   เทวดา  พรหม มนุษย์  สัตว์ ไม่ชอบ  ไม่อยากยุ่งเกี่ยว  หรือไม่อยากสร้างความสัมพันธ์ด้วย
   อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว  คิดกันหรือยังครับว่าเราควรจะ "ขอขมา" พ่อแม่ได้แล้ว
   หรือว่ายังคิดกันไม่ออก..ก็ตามใจ

   วิธีการขอขมาพ่อแม่  เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต
   ความจริงไม่มีอะไรมากเลย  เพียงแค่เข้าไป "กราบ" พ่อแม่  แล้วเอ่ยปากขอ "ขมา" ในสิ่ง
ที่ที่เคยทำให้พ่อแม่เสียใจ  ร้องไห้  เสียความรู้สึก
   แล้วก็ให้พ่อแม่ยกโทษ  อโหสิกรรมให้
   ก็แค่นี้ครับ  ง่ายจะตายไป   
แต่เรื่องที่สำคัญที่มองข้ามไปไม่ได้เลย   ก็คือต้องไปขอ "ขมา" อย่างจริงใจนะครับ  แบบหลอกๆ หรือ
โกหก  หรือไม่จริงใจ  ไม่ได้ผลแน่นอน
   เริ่มต้นอย่างนี้ก่อนก็ได้
   1.ลองเลือกดูสักวันที่พร้อม  ไม่ต้องถึงขนาดดูฤกษ์ยามนะครับ  นั่นมันก็เกินไป  ยิ่งศาสนา
พุทธสอนไว้ด้วยว่า ฤกษ์ที่ดีที่สุดก็คือ ฤกษ์สะดวก
   แต่บางคน "เขิน" ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร ที่จะเข้าไป "ขอขมา" พ่อแม่  ก็อาจจะเลือกวันที่เป็น
ประเพณีนิยมที่คนเขาทำกันทั้งบ้านทั้งเมืองก็ได้
   อาจจะเป็นวันปีใหม่  สงกรานต์  วันแม่  วันเข้าพรรษา  วันพระสำคัญๆ  วันเกิดเรา  วันเกิดพ่อแม่ 
คือจะเอาวันไหนก็เลือกสักวัน  อย่าไปให้ความสำคัญว่าจะเป็นวันไหนมากนัก  วันไหนที่พร้อมก็ทำได้เลย 
ถ้ามัวมารอเอาวันนั้นวันนี้  เดี๋ยวคุณก็ไม่ได้ทำกันพอดี
   2.นำสิ่งของที่ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนหรือสิ่งที่ดี  ที่เห็นแล้วสดชื่น  อาจจะเป็นพวงมาลัย  ดอกไม้ 
ธูปเทียนแพ  น้ำอบ  น้ำปรุง หรืออะไรก็ได้ที่ดูเข้ากับบรรยากาศ  หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็ไม่ต้อง  ซึ่งเหล่านี้มัน
ไม่สำคัญสำคัญเท่ากับเอา "จิต" ที่ตั้งมั่น  ที่จริงใจไปกราบ
   เข้าไปกราบ..คือกราบเลยนะครับ  ให้ดูว่าเคารพพ่อเคารพแม่อย่างจริงใจ  กราบพ่อกราบแม่ทำไม
จะกราบไม่ได้  กราบได้สนิทใจกว่ากราบคนอื่นอีก
   ตอนนี้หลายคนอาจจะกระดาก  เขินอาย  ซึ่งก็ไม่รู้จะกระดากไปทำไม ?  แต่มีจริงๆ นะครับ  เท่า
ที่คุยกับหลายๆ คน  กระดากจริงๆ  อาจจะเป็นเพราะว่าไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน  ไม่เคยชิน  ไม่เคยกราบพ่อ
กราบแม่มาก่อน  เลยเขินอาย
   กราบไปเถิดครับ  กราบตอนนี้ยังดียังมีพ่อแม่ให้กราบ  ถ้าไปกราบศพกราบรูปตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่
แล้ว  จะมานั่งเสียใจทีหลังนะครับ
   อย่าเขิน  อย่าอาย  อย่ากระดาก  ถ้าจะทำความดี
   เมื่อกราบแล้ว  พูดกับพ่อแม่นะครับว่า….(ในทำนองคล้ายๆ แบบนี้) สิ่งใดก็ตาม   การกระทำใด
ก็ตามที่ลูกได้เคยทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจ  เสียใจ  น้อยใจ  หรือทำให้เกิดกรรมที่ไม่ดีต่อพ่อแม่ บัดนี้ลูก
ได้สำนึกผิดแล้วในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำกรรมไม่ดี  ขอกราบขอขมาพ่อแม่ด้วย  ขอให้พ่อแม่อโหสิกรรม 
และให้อภัยในกรรมที่ไม่ดีที่ได้เคยทำมาแล้วด้วย"
   ทำนองนี้แหละครับ
   แต่ข้อนี้อย่าลืมว่า ทุกอย่างที่ทำ  ต้องออกมาจาก "จิต" ที่ต้องการทำอย่างนั้นจริง  ต้องการขอ
ขมาจริงๆ
   อย่าสักแต่ว่าทำเพียงให้พ้นๆ ไป  ต้องมาจากใจ  และจาก "จิต" ที่บริสุทธิ์ใจ
   3. พูดเสร็จแล้วก็ให้พ่อแม่เอ่ยปากให้ "อโหสิ" และให้ "อภัย" ให้  และอาจจะตามด้วยการขอพร 
ขอคำพูดที่ดีๆ  ขอคำพูดที่เป็นมงคลจากพ่อแม่ด้วย
   และก็เช่นกัน  พ่อแม่ก็ต้องให้ "อภัย"  และ "อโหสิกรรม" ลูกจาก "จิต" ที่เต็มใจ  จริงใจ จริงๆ 
พร้อมที่จะให้อภัยลูกด้วยความบริสุทธิ์ใจ
   แค่นี้ครับ…เสร็จแล้ว
   แค่นี้จริงๆ  กับการสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิต
   แต่ "แค่นี้" นั้น  ได้สร้างบุญกุศลมหาศาล  และสร้างอานิสงส์ที่เยี่ยมยอดให้กับเราแล้ว
   อย่างน้อยก็ได้ลด "กรรม" ในส่วนที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรได้ส่วนหนึ่ง  ไม่ต้องรับ "กรรม" ที่เดียว
2 กรรมพร้อมกัน
   และคุณเองก็ยังเอาความรู้ตรงนี้ไปประยุกต์ใช้กับคนอื่น  ที่คุณได้เคยทำกรรมไม่ดีกับเขาก็ได้ 
เพราะอย่างน้อยการที่เจ้ากรรมนายเวรยกโทษให้  ก็น่าจะเป็นสิ่งดี  อย่างนั้นใช่มั้ยครับ

   อย่าลืมเรื่องที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ…."อย่าซ้ำรอยเดิม"
   ผมจะย้ำเสมอว่า "อย่าซ้ำรอยเดิม" (คำนี้ผมชอบ  หลังจากฟังอาจารย์สนอง  วรอุไร ได้กรุณา
บอกเล่าธรรมะข้อนี้ให้ผมฟัง  ผมเลยนำมาใช้บอกต่อกับคนอื่นหลายครั้ง)
   คือเมื่อเรารู้ว่าเราได้กระทำในสิ่งที่ไม่ดี  ทำกรรมที่ไม่ดี (ก่อนที่จะทำการขอขมา) เป็นเรื่องที่
ไม่ควรทำ  เมื่อขอขมาไปแล้ว  ก็ต้องตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ทำการกระทำที่ไม่ดี  ที่เลว  ที่ชั่วนั้นอีก  เพื่อ
ไม่ให้เกิดกรรมที่ไม่ดีเกิดขึ้นอีก  เพื่อที่จะไม่ให้เกิดการมี "เจ้ากรรมนายเวร" เกิดขึ้นอีก
   ไม่อย่างนั้นก็ต้องมานั่งขอขมากันเป็นว่าเล่น
   อย่าลืมนะครับ อย่าซ้ำรอยเดิม

   สิ่งที่ควรทำกับพ่อแม่
   ความจริงเอาเรื่องนี้มานั่งบอกกันมันแปลกๆ  เพราะความเป็นจริงแล้ว  มันน่าจะเป็นสามัญสำนึก
ของลูกทุกคนที่รู้อยู่แล้วว่าควรจะกระทำอะไรให้พ่อแม่   เหมือนเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน
   แต่ก็ต้องเอามาขายกันบ้างล่ะครับ  เพราะปัจจุบันนี้สวนบางสวนก็ช่างไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย
   จะว่าโง่ก็ไม่ใช่  จะว่าไม่มีสติก็ไม่ใช่อีก
   อาจจะเป็นเพราะว่า  ไม่ค่อยได้รับการสั่งสอนจากผู้ที่เกิดก่อน  หรือไม่ได้เห็นตัวอย่างที่พอจะนำ
ให้เกิดความรู้สึกที่ดีได้  ก็อาจจะเป็นได้
   อย่างเช่น  ร้อยวันพันปี  ลูกไม่เคยเห็นพ่อแม่ตัวเองดูแลปู่ย่า  ตายายของเด็ก (ก็คือพ่อแม่ของ
พ่อแม่เด็ก)  ก็เลยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
   ก็ตัวอย่างมันไม่มี…จะให้ไปทำตามที่ไหน ?
   เพราะฉะนั้น  ถ้าเราอยากให้เด็กทำดี  ทำในสิ่งที่สังคมยอมรับ  เราเองก็ต้องทำตัวอย่างที่ดี
นั้นให้เด็กดูเสียก่อน
   อยากให้ลูกหลานพูดเพราะๆ กับพ่อแม่  เราก็ต้องพูดเพราะๆ  พูดดีๆ กับพ่อแม่ของเราให้
ลูกเห็นก่อน
   อยากให้ลูกหลานดูแลปรนนิบัติเรา  เมื่อยามเราแก่เฒ่า  เราเองก็ต้องดูแลพ่อแม่ของเราให้
ลูกได้เห็นก่อน
   อยากให้ลูกหลานกตัญญูกับเรา  เราก็กตัญญูกับพ่อแม่ของเราก่อน
   เด็กจะซึมซับจากตัวอย่างที่แกได้เห็นได้สัมผัส  ได้คลุกคลี
   ถ้าถามว่า  สิ่งที่ควรจะทำกับพ่อแม่มีอะไร  บอกเป็นข้อๆ ไม่ได้หรอกครับ  เพราะมันกว้างจริง
   และการกระทำของคนๆ หนึ่ง  ในสังคมหนึ่ง  ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับคนอื่นหรือสังคมอื่น
   อย่างเช่น  ในสังคมนี้  ลูกๆ ดูแลพ่อแม่ด้วยการพาไปกินข้าวนอกบ้าน  ตามร้านอาหารที่อร่อย 
แต่อีกสังคมหนึ่ง  อาจจะไม่ชอบพาพ่อแม่ไปกินข้าวนอกบ้าน  แต่ชอบที่จะซื้ออาหารมานั่งกินกันเอง
ภายในบ้าน
   ไม่จำเป็นต้องกระทำกิจกรรมที่เหมือนกัน
   ก็ร้อยพ่อพันแม่  ต่างจิตต่างใจ  ต่างสถานที่  ต่างชาติพันธุ์กัน  จะให้ทำเหมือนกันได้ยังงัย
   แต่เป็นเพียงแนวทางกว้างๆ ว่าสิ่งที่ควรทำให้พ่อแม่นั้น  มีอะไรบ้าง
   ยึดหลักว่า  อะไรก็ตามที่ทำให้พ่อแม่มีความสุข  ที่ถูกต้องตามหลักของความดี  และหลักของ
ความถูกต้อง (คือต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามสากลหรือทั่วๆ ไปนะครับ  ไม่ใช่ความถูกต้องส่วนตัวของเรา 
หรือของพ่อแม่เอง)
   ทำให้พ่อแม่สบายใจ  ทำให้พ่อแม่ยิ้มอย่างเต็มใจและสดชื่น (ไม่ใช่ฝืนยิ้มแสยะยิ้ม)  บำรุง
ร่างกายและ "จิต" ใจให้พ่อแม่มีสุขภาพจิตสุขภาพกายที่ดี
   การให้ความเคารพนับถือพ่อแม่ทุกเวลา  และทุกช่วงอายุก็เป็นสิ่งที่ดี
   ความเป็นจริงอย่างหนึ่งก็คือ  ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่  จะแก่มากมายขนาดไหน  จะมีรอยตีน
กาตีนแร้งกี่รอยก็ตาม  เราก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่อยู่ดี
   และจะยังคงเป็นลูกเล็กของพ่อแม่เสมอ
   เพราะฉะนั้นอย่าไปทำอวดดี  หรืออวดรู้  โดยขาดความเคารพ
   ในความเป็นจริงนั้น  ลูกต้องเก่งกว่า  ต้องพัฒนากว่าพ่อแม่ตามอายุและวันเวลา  บ้านเมือง
จะได้มีการพัฒนา  และชีวิตจะได้ดีขึ้น
   แต่การรู้มากกว่า  ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องมาอวดดีอวดเก่งกว่าพ่อแม่
   การทำให้พ่อแม่รู้ว่าเรารู้มาก  หรือรู้ในความรู้หลายๆ อย่าง  ด้วยวิธีการที่แยบคาย  มีหลายวิธี 
หลายอย่าง
   อย่าอวดรู้  ทั้งๆ ที่เรารู้จริง 
   อย่าเถียง  นี่ก็สำคัญ  เถียงพ่อเถียงแม่  ชนะแล้วภูมิใจหนักหนาหรือครับ  ที่ชนะพ่อชนะแม่ 
   เถียงไปแล้ว  พ่อแม่ไม่สบายใจ  เสียใจเปล่าๆ  เดี๋ยวก็ต้องนั่งกราบขอขมาอีก
   เห็นมั้ยครับ  หลักใหญ่ๆ ก็เป็นอย่างนี้

   เพียงคุณทำให้พ่อแม่สบายใจ  สบายกาย  บำรุงให้ท่านได้มีความสุขตามอัตภาพ
   ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจิตใจ  เรื่องของร่างกาย  เรื่องอาหารการกิน   เรื่องสุขภาพ
   ถ้าคุณทำได้  ทำให้พ่อแม่มีความสุขได้แล้ว  คุณไม่ต้องมานั่งอธิษฐานขออะไรจากเทพ  เทวดา 
หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ
   เพราะถ้าคุณบำรุงดูแลพ่อแม่อย่างที่บอกแล้ว  คุณได้แล้ว  คุณได้กุศล  ได้บุญแล้ว
   ได้อย่างมหาศาลด้วย  เป็นการได้แบบอัตโนมัติ  ทำปุ๊ปได้ปั๊บ
   การบำรุงดูแล  การสร้างความสุขความสบายใจ  และการกตัญญูกับพ่อแม่นั้น  เป็นคุณธรรม
ที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยกย่องว่า เป็นคุณธรรมที่ประเสริฐ ได้บุญได้กุศล ได้อานิสงส์มหาศาล
   อานิสงส์นั้นจะเป็นผลให้คุณได้รับสิ่งที่เหลือเชื่อ  แทบไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้  อะไรที่ติดขัด  ไม่ว่า
จะเป็นเรื่องการงาน   เรื่องความรัก  หรือเรื่องจิปาถะต่างๆ  ก็จะดีขึ้น  คลี่คลายไปในทางที่ดี
   เงินทองก็จะไม่ขัดสน  ถ้ามันยากจนหนักเข้า  ก็ไม่ถึงกับบรรลัยฉิบหาย  เดี๋ยวก็จะมีบางสิ่งบาง
อย่างทำให้ดีขึ้น  หรือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้รอดตาย  รอดจากวิกฤตได้
   บอกไม่หมดจริงๆ ครับ  กับอานิสงส์ของการมีความกตัญญู การทำให้พ่อแม่มีความสบายใจ 
การบำรุงดูแลพ่อแม่  เพราะเขียนกัน 3 วัน 3 คืน (หรือมากกว่านั้น)  ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า  อานิสงส์จะ
มีอะไรบ้าง
   เอาเป็นว่า  สรุปง่ายๆ ก็คือ  สิ่งที่เคยไม่ดีในอดีต  สิ่งที่ไม่ดีในปัจจุบัน  และสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ใน
อนาคต  จะ "ดีขึ้น" อย่างน่าอัศจรรรย์  อย่างคาดไม่ถึง 
   ผมเขียนเรื่องนี้มาจากประสบการณ์ตรง  ยี่ห้อ นายอโณทัย  ต้องเขียนจากความเป็นจริงเท่านั้น 
ทำได้ปฏิบัติได้จึงเอามาบอกต่อ   ยืนยันกันอย่างนี้  ไม่เชื่อกันหรือครับ ? 

   ก่อนจบเรื่องนี้ก็มาสรุปกันนิดหน่อย  และแถมท้ายสิ่งที่ทำให้พอแม่สบายใจอีกข้อสองข้อ
   1.การขอขมาพ่อแม่  เมื่อสำนึกได้ว่าเคยทำสิ่งไม่ดีกับพ่อแม่ไว้
   2.อย่า "ซ้ำรอยเดิม"  ทำในสิ่งที่เคยทำไม่ดีอีก
   3.บำรุง ดูแล กตัญญู  สร้างความสุข ความสบายใจ ให้พ่อแม่ตามอัตภาพ
   4.ข้อนี้แถม  ในวันที่สำคัญต่างๆ  ควรมากราบพ่อแม่  เพื่อให้พ่อแม่ได้รู้สึกว่าตัวเองยังเป็นที่
"ต้องการ" และมี "ความสำคัญ" ต่อลูกหลาน
   วันเกิด  ควรมาหาผู้ที่ทำให้เกิดก่อน (ก็พ่อแม่นั้นแหละ) มาขอพร  มากราบ  มาไหว้ก่อน  เอา
ของขวัญ  ของชอบ  หรือสิ่งที่ดีๆ มาให้พ่อแม่ก่อน  แล้วจะไปทำอย่างอื่นหรือไปฉลองกับใครก็ตามใจ  แต่
ทางที่ดีควรพาพ่อแม่ไปทานข้าวนั่นแหละดีที่สุด  ส่วนเพื่อนนั้นไปกินกันวันไหนก็ได้  ถ้าอยากจะกิน
   วันเกิดควรนึกถึงผู้ที่ทำให้เกิดมามากที่สุด
   ผมไปหาพ่อแม่ (ตอนนี้เหลือคุณแม่คนเดียว) ทุกๆ วัน (คล้าย) เกิดของผม  ทำเป็นประจำมาหลาย
สิบปีแล้ว
   หรือจะเป็นวันสำคัญต่างๆ วันปีใหม่  วันสงกรานต์ วันเกิดพ่อแม่  วันพ่อ  วันแม่ ฯลฯ ไปหาพ่อ
แม่ได้ก็ไป  แต่ถ้าไปหาไม่ได้  เพราะความจำเป็นบางอย่าง  ก็ติดต่อสื่อสาร  อย่างเช่น โทรไปหา  เขียน
การ์ด   เขียนจดหมายไปหาก็ยังดี 
   ถ้าไปหาด้วยตัวเองไม่ได้  ไปด้วยเสียง  ด้วยตัวอักษรก็ยังดี
   นี่แหละครับมงคลที่ได้จากพ่อแม่

                  อโณทัย     เขตต์บรรพต

   
คัดลอกจากหนังสือ "สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้" เล่ม 1



ที่มาที่ได้รับการแนะนำ คร้า...
http://www.extrasoul.com/book1.html
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง