ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ฉลาดทำใจในยามรับรู้ข่าวสาร (พระไพศาล วิสาโล)  (อ่าน 2219 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ฉลาดทำใจในยามรับรู้ข่าวสาร
โดย พระไพศาล วิสาโล

ทุกวันนี้ข่าวสารจากสื่อต่างๆ ได้กลายเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของเรามาก เราจะสุขหรือทุกข์ แจ่มใสหรือหดหู่ ขึ้นอยู่กับข่าวสารที่ได้รับมิใช่น้อย โดยเฉพาะข่าวสารที่ถูกต่อเติมเสริมแต่งให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ในการรับรู้ข่าวสาร การรู้จักกลั่นกรองแยกแยะความจริงกับความเท็จจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก คำสอนของพระพุทธเจ้าในกาลามสูตร เป็นข้อเตือนใจได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะข้อที่ว่า อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมาหรือเพราะการอนุมาน หรือเพราะเข้าได้กับความคิดของเรา

อย่างไรก็ตาม แม้แน่ใจว่าข้อมูลข่าวสารที่ได้รับเป็นความจริง เราก็ควรวางใจให้ถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อรับรู้ข่าวคราวที่ไม่สู้ดี นอกจากเพื่อป้องกันมิให้สร้างอกุศลจิตหรือความทุกข์แก่เราแล้ว ยังเพื่อน้อมใจให้เป็นกุศล อีกทั้งเพื่อเสริมสร้างสติปัญญาในการดำเนินชีวิตและการเกื้อกูลส่วนรวม

1. อุบัติเหตุร้ายแรง

ที่มาภาพ http://i271.photobucket.com/albums/jj147/leretserge/sante-chine.jpg
อุบัติเหตุมิใช่เรื่องน่ายินดีหรือน่ามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น แม้จะเกิดกับคนที่เราไม่รู้จัก ก็ควรที่จะเห็นอกเห็นใจเขาและครอบครัวของเขา ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า หากเกิดกับคนที่เรารักหรือญาติพี่น้องของเรา เราจะรู้สึกอย่างไร

หากเขาประสบเหตุถึงแก่ชีวิต ควรแผ่เมตตาให้เขาได้ไปสู่สุคติ ในฐานะเพื่อนมนุษย์อย่างน้อยนี้คือสิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้ ขณะเดียวกันควรเอาเหตุการณ์ดังกล่าวมาเป็นเครื่องเตือนใจมิให้ประมาท รวมทั้งเป็นกรณีศึกษาว่า มีความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องอะไรบ้างที่เราสามารถเรียนรู้จากเหตุดังกล่าว เพื่อป้องกันมิให้เกิดขึ้นกับตัวเองและครอบครัวของเรา

ลองโยงให้ใกล้ตัวอีกนิดว่า หากเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับญาติพี่น้องของเราในวันข้างหน้า เราจะทำอย่างไร เตรียมตัวเตรียมใจรับมือเหตุการณ์ดังกล่าวบ้างหรือยัง และหากเขาต้องจากไปอย่างกะทันหันเช่นนั้น เราคิดว่าเราได้ทำดีที่สุดกับเขาในขณะที่เขายังมีชีวิตแล้วหรือไม่ คนเป็นจำนวนไม่น้อยปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ จนเมื่อคนรักจากไปอย่างกะทันหันเพราะอุบัติเหตุ ถึงมาได้คิดและนึกเสียใจที่ไม่ได้ทำสิ่งที่ดีๆ ให้กับเขาเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่

ทีนี้ลองพิจารณาต่อไปว่า หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับเราเอง เราจะทำอย่างไร เตรียมตัวเตรียมใจแค่ไหนแล้ว หากมีอันถึงกับชีวิต เราพร้อมจะไปหรือไม่ หรือยังเป็นห่วงอะไรอีกมากมายที่ยังคั่งค้างอยู่ ควรใช้ข่าวคราวเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เร่งทำสิ่งสำคัญสำหรับตัวเอง และผู้อื่นขณะที่ยังมีเวลา จนไม่มีอะไรค้างคาอีก จะได้พร้อมจากไปทุกเมื่อ อย่านึกว่าอุบัติเหตุเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับเรา การคิดเช่นนั้นนับว่าเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง

2. ฆาตกรรม

ที่มาภาพ http://www.rd1677.com/wb/photo/1153454662_32151153454662_3215.jpg
เช่นเดียวกับกรณีอุบัติเหตุ เมื่อมีคนถูกฆาตกรรม ควรนึกถึงความทุกข์ของเขาและครอบครัวของเขา ไม่ควรเอาความตายของเขามาเป็นเครื่องตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเรา การตายในลักษณะนั้นเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง ควรที่เราจะแผ่เมตตาให้เขาได้ไปสู่สุคติ

อย่าให้ข่าวคราวดังกล่าวเพิ่มความโกรธแค้นให้เรา โดยเฉพาะเมื่อผู้ตายเป็นคนบริสุทธิ์ การด่วนตัดสินผู้ที่เป็นฆาตกร มีแต่จะทำให้เราเกิดความโกรธแค้นชิงชัง ควรถามก่อนว่า ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น เขามีภูมิหลังหรือถูกบีบคั้นอย่างไรจึงทำกรรมอันร้ายแรงเช่นนั้น บางทีเราอาจจะพบว่าเขาเองก็เป็นเหยื่อของความรุนแรงมาก่อน คำถามเช่นนี้จะช่วยให้เราเห็นความจริงในมุมมองที่กว้างขึ้น

หากผู้ตายได้ชื่อว่าเป็นโจร หรือผู้ก่อการร้าย ควรตั้งคำถามก่อนว่า เขาเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา หากไม่แน่ใจหรือมีข้อมูลไม่พอ ก็ไม่ควรด่วนสรุป เพราะบางครั้งคนบริสุทธิ์ก็ถูกป้ายสีเพื่อทำให้การฆาตกรรมมีความชอบธรรมมาก ขึ้น หาไม่ก็เป็นการปรุงแต่งของสื่อเพื่อให้มีสีสันน่าสนใจมากขึ้น

แต่ถึงแม้ผู้ตายเป็นโจรหรือผู้ก่อการร้าย ก็มิใช่เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะทุกชีวิตมีคุณค่าและสามารถหวนกลับสู่หนทางแห่งความดีได้เสมอ การที่เขาต้องจบชีวิตลงอย่างกะทันหัน ทำให้หมดโอกาสที่จะทำคุณงามความดีเพื่อทดแทนความผิดพลาด แต่หากทำใจสงสารเขาได้ยาก อย่างน้อยก็ควรนึกถึงหัวอกของญาติพี่น้องหรือครอบครัวของเขา ความทุกข์ยากเดือดร้อนของคนเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เราสมควรให้ความเห็นใจ เพราะบางคนอาจยังมีลูกน้อยหรือมีพ่อแม่ที่กำลังเจ็บป่วยซึ่งต้องการการดูแล

หากยังเห็นใจได้ยาก ก็อย่าถึงกับยินดีปรีดาที่เขาตาย เพราะจะทำให้จิตใจเราแข็งกระด้างมากขึ้น ถ้าวันนี้เรายินดีที่ผู้ร้ายตาย วันหน้าอาจรู้สึกเฉยชาที่คนธรรมดาถูกฆ่า เมตตากรุณานั้นเป็นเครื่องชี้วัดความเป็นมนุษย์ หากเมตตากรุณาลดน้อยถอยลง ความเป็นมนุษย์ของเราก็เสื่อมถอยตามไปด้วย อย่าบั่นทอนความเป็นมนุษย์ของเราด้วยการยินดีในความตายของใคร หรือด้วยการเคียดแค้นพยาบาทใครเลย

3. ภัยพิบัติ

ที่มาภาพ http://www.siamvolunteer.com/autopagev4/spaw2/uploads/images/feat_eq1.jpg
ชีวิตทุกชีวิตเป็นสิ่งมีค่า เพราะสามารถทำความดีและสร้างสรรค์ประโยชน์ได้มากมาย เมื่อมีใครต้องตายก่อนวัยอันควร จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายและน่าเสียใจแทนเขาและครอบครัวของเขา ควรแผ่เมตตาให้เขาได้ไปสู่สุคติ โดยไม่เลือกว่าเป็นใคร แม้จะต่างเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา กับเราก็ตาม โลกาภิวัตน์ทางด้านข่าวสารทำให้เรารับรู้ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก ได้อย่างรวดเร็วและถี่กว่าแต่ก่อน เรียกได้ว่ารับรู้แทบทุกวัน ไม่ว่าน้ำท่วม ดินถล่ม ลมพายุ แผ่นดินไหว ตลอดจนความอดอยากแห้งแล้ง และภัยก่อการร้าย ซึ่งแต่ละครั้งคร่าชีวิตผู้คนนับร้อย ขณะเดียวกันภัยบางอย่างที่ดูเหมือนไกลก็กลับกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว เช่น สึนามิ

ข่าวสารดังกล่าวทำให้ผู้คนจำนวนมากเกิดความตื่นตระหนก เต็มไปด้วยความวิตกกังวล จนอยู่ไม่เป็นสุข โดยเฉพาะเมื่อมีหลักฐานยืนยันหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจกเป็นเรื่องจริง และกำลังก่อผลทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ หาใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปไม่ อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่ทุกข์เพราะไปกังวลกับอนาคตมากเกินไป มัววิตกกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น จะเป็นการดีกว่าหากเราหันมาใส่ใจอยู่กับปัจจุบัน และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยการเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างดีที่สุด ขณะเดียวกันก็ควรร่วมกันหาทางป้องกันมิให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหากอยู่ ในวิสัยที่จะทำได้ หรือช่วยกันบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดกับส่วนรวมให้มากที่สุด

อ่านข่าวแล้วอย่าลืมกลับมาเทียบเคียงกับตัวเอง ใช่หรือไม่ว่าความทุกข์ยากของผู้ประสบภัยเหล่านั้น กำลังบอกเราว่า เรายังโชคดีกว่าเขามาก ถึงแม้คุณจะประสบปัญหาหลายอย่างในชีวิต เช่น อกหัก ถูกต่อว่า รูปร่างไม่สวย เงินเดือนน้อย ฯลฯ แต่คุณก็ยังกินอิ่ม นอนอุ่น ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ไม่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ มิใช่หรือ จึงน่าจะพอใจและเห็นคุณค่าของชีวิตที่เป็นอยู่ อย่างน้อยคุณก็ยังสบายกว่าคนอีกมากมายในเวลานี้

เมื่อตระหนักแล้วว่าคุณสบายกว่าผู้ประสบภัยเพียงใด ควรคิดหาหนทางที่จะช่วยบรรเทาทุกข์ของเขาเหล่านั้น เช่น บริจาคเงินส่งไปให้แก่เขาผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือรณรงค์ให้ผู้คนร่วมกันช่วยเหลือเขา

4. เศรษฐกิจถดถอย

ที่มาภาพ http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-2/no21-29-34-39-42/picture/china_rice2.jpg
เศรษฐกิจถดถอยเป็นธรรมดาของวัฏจักรที่มีขึ้นมีลง บางครั้งเศรษฐกิจไม่ได้เลวร้ายมาก แต่เป็นเพราะเราไปคาดหวังให้มันเพิ่มขึ้นๆ ตลอดเวลา จึงเป็นทุกข์เมื่อมันไม่เป็นไปตามความคิดนึกของเรา การยอมรับว่าเศรษฐกิจย่อมมีขึ้นมีลง จะช่วยให้เราเป็นทุกข์น้อยลง

เศรษฐกิจถดถอยก็เหมือนกับความเจ็บป่วย คือเป็นสัญญาณเตือนให้เราตระหนักถึงความผิดพลาดบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่จะทุกข์ไปกับมัน ควรตรวจสอบว่ามีความผิดพลาดขึ้นที่ตรงไหน และจะแก้ไขอย่างไร การแก้ไขนั้นบางครั้งอาจต้องเจ็บปวดบ้าง ต้องสละบางอย่างเพื่อรักษาส่วนรวมไว้ หรือต้องมีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่คุ้นเคย เราควรยอมรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มิพึงติดยึดกับความเคยชินเดิมๆ

ในระดับบุคคล เราควรรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ด้วยการมีชีวิตอย่างพอเพียง กล่าวคือ รู้จักประมาณในการหาทรัพย์และการบริโภค ไม่หวังรวยทางลัดหรือหาเงินให้ได้ไวๆ ครั้งละมากๆ ยิ่งโลภในการหาทรัพย์มากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นทุกข์กับความผันผวนของเศรษฐกิจมากเท่านั้น การรู้จักพอเพียงในการดำเนินชีวิตหรือเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย เป็นภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจถดถอยที่ดีที่สุด

พร้อมกันนั้นก็ควรหันมาชื่นชมกับสิ่งดีๆ ที่ยังมีอยู่กับคุณในขณะนี้ ถึงแม้รายได้จะลดน้อยถอยลง แต่หากคุณยังมีกินมีใช้ไม่ขัดสน มีเวลาพักผ่อนและแสวงหาความรื่นรมย์ในชีวิต อีกทั้งยังมีสุขภาพดีและครอบครัวที่ผาสุก ก็แสดงว่าความสุขอยู่ใกล้ตัวคุณนี้เอง ควรเปิดใจรับความสุขที่มีอยู่กับตัวหรืออยู่รอบตัวบ้าง อย่าไปจดจ่อกับเรื่องร้ายๆ ทั้งวันทั้งคืนจนจิตใจหดหู่ เพราะสิ่งดีๆ ที่น่าชื่นชมก็ยังมีอยู่มากมาย เพียงแต่ว่าจะรู้จักมองหรือไม่

มองในแง่ดีอีกอย่างก็คือ แม้สถานการณ์จะแย่เพียงใด ก็ยังดีที่ไม่เลวร้ายไปกว่านี้ อย่างน้อยเศรษฐกิจวันนี้ก็ไม่ถึงขั้นวิกฤตอย่างครั้งปี พ.ศ. 2540 คุณเคยผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้แล้ว ครั้งนี้หรือครั้งหน้าคุณก็จะผ่านไปได้เช่นกัน

5. การเมืองขัดแย้งแบ่งเป็นฝักฝ่าย

ที่มาภาพ http://www.thairath.co.th
เมื่อมีความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะในระดับประเทศ ประชาชนทั่วไปรวมทั้งเราด้วยมักถูกดึงเข้าไปเป็นฝักฝ่าย ทำให้ความขัดแย้งขยายตัวและลุกลามไปถึงที่ทำงานและในบ้าน ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ มาเกี่ยวข้อง หากเป็นเพราะความคิดเห็นต่างกัน หรือสนับสนุนคนละฝ่ายกันเท่านั้น ในสภาพเช่นนี้พึงระลึกไว้ว่า คนเรานั้นเห็นต่างกันได้ อาจเป็นเพราะได้ข้อมูลต่างกัน หรือมีเกณฑ์วัดความดีและความสำเร็จต่างกันก็ได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ข้อสำคัญก็คือคนที่เห็นต่างจากเราไม่ใช่คนเลว คนดีก็มีสิทธิเห็นต่างจากเราได้ ดังนั้นจึงไม่ควรเห็นเขาเป็นศัตรู

ควรมองคนให้กว้างขึ้น แล้วเราจะพบว่า แม้เขาจะคิดต่างจากเราในเรื่องนี้ แต่ก็มีหลายเรื่องที่คิดเหมือนกับเรา จึงไม่ควรมองเห็นเขาเป็นศัตรูเพียงเพราะว่าคิดต่างจากเราในเรื่องนี้หรือ เรื่องนั้น จะว่าไปแล้วคนเราทุกคนมีความเหมือนมากกว่าความต่าง ถ้าเราไปติดอยู่กับความต่าง เราจะมองกันเป็นศัตรูได้ง่าย แล้วความโกรธเกลียดจะเผาลนจิตใจเรา แต่ถ้าเรามองไปที่ความเหมือนให้มากๆ จะพบว่าเราเป็นเพื่อนกัน รักชาติบ้านเมืองเหมือนกัน

นอกจากมองกว้างแล้ว ควรมองให้ไกลด้วย วันนี้เรากับเขาอาจอยู่คนละมุม แต่พรุ่งนี้เรากับเขาอาจร่วมมือร่วมใจกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ ดังคนไทยทั้งประเทศได้แสดงให้เห็นเมื่อครั้งร่วมใจกู้ภัยสึนามิมาแล้ว เพราะฉะนั้นแม้จะขัดแย้งกัน แต่อย่าทะเลาะกันจนมองหน้าไม่ติด เพราะวันพรุ่งนี้เราอาจจำเป็นต้องมาจับมือกันก็ได้

ประการสุดท้ายคือ แผ่เมตตาให้คู่กรณีที่อยู่คนละฝ่ายกับเราบ้าง พึงตระหนักว่า ความโกรธเกลียดไม่เป็นผลดีแก่จิตใจของเรา ทุกครั้งที่เรารู้สึกโกรธเกลียด มีจิตปรารถนาร้ายต่อใคร คนแรกที่ถูกทำร้ายคือเรา ความโกรธเกลียดนั้นทำร้ายเราก่อนที่จะไปทำร้ายคนอื่นเสียอีก เพียงแค่คิดถึงเขาก่อนนอน ก็อาจทำให้เรานอนไม่หลับ เกิดความเครียด ความดันโลหิตขึ้น อย่าปล่อยให้ความโกรธเกลียดบั่นทอนจิตใจของเรา ขับไล่ความโกรธเกลียดไปด้วยการแผ่เมตตา


............................................................

คัดลอกมาจาก ::
หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ มองอย่างพุทธ
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10781
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 06, 2010, 03:20:56 am โดย หมวยจ้า »
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง