ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สติปัฏฐานกถา  (อ่าน 1795 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

paisalee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 382
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
สติปัฏฐานกถา
« เมื่อ: กันยายน 14, 2011, 08:29:16 am »
0
พระอภิธรรมปิฎก  กถาวัตถุ  [๑.  มหาวรรค]  ๘.  สติปัฏฐานกถา
เล่มที่ ๓๗ หน้าที่ ๒๓๖ - ๒๔๑



๑ ปร.  หมายถึงภิกษุในนิกายอันธกะ  (อภิ.ปญฺจ.อ.  ๓๐๑/๑๗๙)
๒ เพราะมุ่งถึงธรรมที่เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน  (อภิ.ปญฺจ.อ.  ๓๐๑/๑๗๙)


             ว่าด้วยสติปัฏฐาน
            [๓๐๑]    สก.    สภาวธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.ใช่
            สก.    สภาวธรรมทั้งปวงเป็นสติ    เป็นสตินทรีย์    เป็นสติพละ    เป็นสัมมาสติเป็นสติสัมโพชฌงค์    เป็นทางเดียว    เป็นเหตุให้ถึงความสิ้นกิเลส    ให้ถึงความตรัสรู้ให้ถึงนิพพาน    ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ    ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์    ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ    ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะ    ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ    ไม่เป็นอารมณของนิวรณ์    ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาส    ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน    ไม่เป็น
อารมณ์ของกิเลส    สภาวธรรมทั้งปวงเป็นพุทธานุสสติ    ธัมมานุสสติ    สังฆานุสสติสีลานุสสติ    จาคานุสสติ    เทวตานุสสติ    อานาปานสติ    มรณานุสสติ    กายคตาสติอุปสมานุสสติใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น๑    ฯลฯ
            สก.    สภาวธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    จักขายตนะเป็นสติปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
            สก.    จักขายตนะเป็นสติปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    จักขายตนะเป็นสติ    เป็นสตินทรีย์    เป็นสติพละ    เป็นสัมมาสติ    เป็นสติสัมโชฌงค์    เป็นทางเดียว    เป็นเหตุให้ถึงความสิ้นกิเลส    ให้ถึงความตรัสรู้    ให้ถึงนิพพาน  ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ    ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ ฯลฯ ไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส    จักขายตนะ  เป็นพุทธานุสสติ    ธัมมานุสสติ    สังฆานุสสติสีลานุสสติ    จาคานุสสติ    เทวตานุสสติ    อานาปานสติ    มรณานุสสติ    กายคตาสติอุปสมานุสสติใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
            สก.    โสตายตนะ    ฯลฯ    ฆานายตนะ    ฯลฯ    ชิวหายตนะ    ฯลฯ    กายายตนะฯลฯ    รูปายตนะ    ฯลฯ    สัททายตนะ    ฯลฯ    คันธายตนะ    ฯลฯ    รสายตนะ    ฯลฯโผฏฐัพพายตนะ    ฯลฯ    ราคะ    ฯลฯ    โทสะ    ฯลฯ    โมหะ    ฯลฯ    มานะ    ฯลฯ    ทิฏฐิฯลฯ    วิจิกิจฉา    ฯลฯ    ถีนะ    ฯลฯ    อุทธัจจะ    ฯลฯ    อหิริกะ    ฯลฯ    อโนตตัปปะเป็นสติปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
            สก.    อโนตตัปปะเป็นสติปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    อโนตตัปปะเป็นสติ    เป็นสตินทรีย์    เป็นสติพละ    เป็นสัมมาสติ    ฯลฯ
เป็นกายคตาสติ    เป็นอุปสมานุสสติใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
            สก.    สติเป็นสติปัฏฐาน    และสติที่เป็นสติปัฏฐานนั้นเป็นสติใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    จักขายตนะเป็นสติปัฏฐาน    และจักขายตนะที่เป็นสติปัฏฐานนั้นเป็นสติ
ใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
            สก.    สติเป็นสติปัฏฐาน    และสติที่เป็นสติปัฏฐานนั้นเป็นสติใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    โสตายตนะ    ฯลฯ    กายายตนะ    ฯลฯ    รูปายตนะ    ฯลฯ    โผฏฐัพพายตนะฯลฯ    ราคะ    ฯลฯ    โทสะ    ฯลฯ    โมหะ    ฯลฯ    มานะ    ฯลฯ    อโนตตัปปะเป็นสติปัฏฐานและอโนตตัปปะที่เป็นสติปัฏฐานนั้นเป็นสติใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
            สก.    จักขายตนะเป็นสติปัฏฐาน    แต่จักขายตนะที่เป็นสติปัฏฐานนั้นไม่เป็นสติ
ใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    สติเป็นสติปัฏฐาน    แต่สติที่เป็นสติปัฏฐานนั้นไม่เป็นสติใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
            สก.    โสตายตนะ    ฯลฯ    กายายตนะ    ฯลฯ    รูปายตนะ    ฯลฯ    โผฏฐัพพายตนะฯลฯ    ราคะ    ฯลฯ    โทสะ    ฯลฯ    โมหะ    ฯลฯ    อโนตตัปปะเป็นสติปัฏฐาน    แต่อโนตตัปปะที่เป็นสติปัฏฐานนั้นไม่เป็นสติใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    สติเป็นสติปัฏฐาน    แต่สติที่เป็นสติปัฏฐานนั้นไม่เป็นสติใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
            [๓๐๒]    ปร.    ท่านไม่ยอมรับว่า    “สภาวธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐาน”    ใช่ไหม
            สก.    ใช่
            ปร.    สติปรารภสภาวธรรมทั้งปวงจึงตั้งมั่นได้มิใช่หรือ
            สก.    ใช่
            ปร.    หากสติปรารภสภาวธรรมทั้งปวงจึงตั้งมั่นได้    ดังนั้น    ท่านจึงควรยอมรับว่า    “สภาวธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐาน”
            สก.    สติปรารภสภาวธรรมทั้งปวงจึงตั้งมั่นได้    ดังนั้น    สภาวธรรมทั้งปวงจึงเป็นสติปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    ผัสสะปรารภสภาวธรรมทั้งปวงจึงตั้งมั่นได้    ดังนั้น    สภาวธรรมทั้งปวงจึงเป็นผัสสปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
            สก.    สติปรารภสภาวธรรมทั้งปวงจึงตั้งมั่นได้    ดังนั้น    สภาวธรรมทั้งปวงจึงเป็นสติปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    เวทนาปรารภสภาวธรรมทั้งปวงจึงตั้งมั่นได้    ฯลฯ    สัญญา    ฯลฯ    เจตนาฯลฯ    จิตปรารภสภาวธรรมทั้งปวงจึงตั้งมั่นได้    เพราะเหตุนั้น    สภาวธรรมทั้งปวงจึงเป็นจิตตปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
            สก.    สภาวธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    สัตว์ทั้งปวงมีสติตั้งมั่น    ประกอบด้วยสติ    มั่นคงด้วยสติ สติปรากฏแก่สัตว์ทั้งปวงใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
 [๓๐๓]    สก.    สภาวธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า    “ภิกษุทั้งหลาย    ชนเหล่าใดไม่เจริญกายคตาสติ   ชนเหล่านั้นชื่อว่าไม่บรรลุอมตธรรม    ชนเหล่าใดเจริญกายคตาสติชนเหล่านั้นชื่อว่าบรรลุอมตธรรม”        มีอยู่จริงมิใช่หรือ
            ปร.    ใช่
            สก.    สัตว์ทั้งปวงเจริญ    ได้เฉพาะ    ซ่องเสพ    เจริญ    ทำให้มากซึ่งกายคตาสติใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
            สก.    สภาวธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า    “ภิกษุทั้งหลาย    ทางนี้เป็นทางเดียว เพื่อความบริสุทธ์ของเหล่าสัตว์    เพื่อล่วงโสกะและปริเทวะ    เพื่อดับทุกข์และโทมนัสเพื่อบรรลุญายธรรม   เพื่อทำให้แจ้งนิพพาน    ทางนี้คือสติปัฏฐาน   ๔  ”   มีอยู่จริงมิใช่หรือ
            ปร.    ใช่
            สก.    สภาวธรรมทั้งปวงเป็นทางสายเดียวใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ


๑ ดูเทียบ  องฺ.เอกก.  (แปล)  ๒๐/๖๐๐/๕๔
๒ ทาง  หมายถึงทางดำเนินไปสู่นิพพานหรือทางที่ผู้ต้องการนิพพานควรดำเนินไป  (ที.ม.อ.  ๒/๓๗๑/๓๖๑)
๓ ทางเดียว  มีความหมาย  ๔  นัย  คือ  (๑)  ทางที่บุคคลผู้ละการเกี่ยวข้องกับหมู่คณะไปประพฤติธรรมอยู่
   แต่ผู้เดียว  (๒)  ทางสายเดียวที่พระพุทธเจ้าทรงทำให้เกิดขึ้น  เป็นทางของบุคคลผู้เดียวคือพระผู้มีพระภาค
   (๓)  ข้อปฏิบัติในศาสนาเดียวคือพระพุทธศาสนา  (๔)  ทางดำเนินไปสู่จุดหมายเดียวคือนิพพาน  (ที.ม.อ.
   ๒/๓๗๓/๓๕๙,  ม.มู.อ.  ๑/๑๐๖/๒๔๔)
๔ ญายธรรม  หมายถึงอริยมรรค  (ที.ม.อ.  ๒/๒๑๔/๑๙๗,  ม.มู.อ.  ๑/๑๐๖/๒๕๑)
๕ ดูเทียบ  ที.ม.  (แปล)  ๑๐/๓๗๓/๓๐๑,  ม.มู.  (แปล)  ๑๒/๑๐๖/๑๐๑,  สํ.ม.  (แปล)  ๑๙/๓๖๗/๒๑๐


            สก.    สภาวธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    พระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า    “ภิกษุทั้งหลาย    เพราะพระเจ้าจักรพรรดิปรากฏ    แก้ว    ๗    ประการจึงปรากฏ    แก้ว    ๗    ประการ    อะไรบ้าง    คือ(๑)    จักรแก้ว    (๒)    ช้างแก้ว    (๓)    ม้าแก้ว    (๔)    มณีแก้ว    (๕)    นางแก้ว    (๖)    คหบดีแก้ว(๗)    ปริณายกแก้ว    เพราะพระเจ้าจักรพรรดิปรากฏ    แก้ว    ๗    ประการนี้จึงปรากฏ
            ภิกษุทั้งหลาย    เพราะตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏ    แก้วคือโพชฌงค์๗    ประการจึงปรากฏ    แก้ว    ๗    ประการ    อะไรบ้าง    คือ    (๑)    แก้วคือสติสัมโพชฌงค์(๒)    แก้วคือธัมมวิจยสัมโพชฌงค์    (๓)    แก้วคือวิริยสัมโพชฌงค์    (๔)    แก้วคือปีติ-สัมโพชฌงค์    (๕)    แก้วคือปัสสัทธิสัมโพชฌงค์    (๖)    แก้วคือสมาธิสัมโพชฌงค์(๗)    แก้วคืออุเบกขาสัมโพชฌงค์    เพราะตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏแก้วคือโพชฌงค์    ๗    ประการนี้จึงปรากฏ”    ๑    มีอยู่จริงมิใช่หรือ
            ปร.    ใช่
            สก.    เพราะตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏ    สภาวธรรมทั้งปวงที่เป็นแก้วคือสติสัมโพชฌงค์จึงปรากฏใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
            สก.    สภาวธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐานใช่ไหม
            ปร.    ใช่
            สก.    สภาวธรรมทั้งปวงเป็นสัมมัปปธาน    ฯลฯ    เป็นอิทธิบาท    ฯลฯ    เป็นอินทรีย์    ฯลฯ    เป็นพละ    ฯลฯ    เป็นโพชฌงค์ใช่ไหม
            ปร.    ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น    ฯลฯ
 
                  สติปัฏฐานกถา จบ



บันทึกการเข้า
บุญที่้ข้าพเจ้าได้ทำวันนี้ ขออุทิศให้แก่ บิดาและน้องชายที่ล่วงลับ มารดาที่ยังมีชีวิตอยู่