สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: mongkol ที่ ธันวาคม 17, 2011, 12:05:18 pm



หัวข้อ: อยากทราบ โทษ ของการปรามาส พระรัตนตรัย ที่มีมาในพระไตรปิฏก ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: mongkol ที่ ธันวาคม 17, 2011, 12:05:18 pm
คือ การปรามาส ดูถูก ดูหมิ่น จ้าบจ้วง ต่อพระรัตนตรัย เคยอ่านใน หนังสือกรรมฐาน มัชฌิมา รู้สึกจะมี 10 ข้อครับ
แต่อยากทราบที่ปรากฏในพระไตร ปิฏก จริง ๆ นั้นมีกี่ข้อ กี่ประการครับ

  เพื่อที่ได้หยุด กรรม หยุด เวร ตรงนี้ ควรทำอย่างไร ถ้าเรา รู้ หรือ มิรู้ ว่าเราได้ทำการปรามาส พระรัตนตรัยลงไปแล้ว วิธีทีดีที่สุด ในการระงับ กรรมเวร ตรงนั้นจะทำอย่างไร ดีครับ

   :c017: :25:


หัวข้อ: Re: อยากทราบ โทษ ของการปรามาส พระรัตนตรัย ที่มีมาในพระไตรปิฏก ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: นักเดินทาง ที่ ธันวาคม 18, 2011, 03:50:31 pm
ถ้าในพระไตรปิฏก นึกได้ ก็มี นางจิญจมาณวิกา กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ธรณีสูบ

 มานพ ที่นึกชอบรูป พระกัจจายนะ กลายเพศเป็นหญิง

 พราหมณ์ที่ลองดี พระสารีบุตร ถือไม้ไปตีศรีษะ ขณะบิณฑบาตร โดนรุมประชาทัณฑ์

องคุลีมาล กล่าวเรียกพระพุทธเจ้า ว่าสมณะหัวโล้น ต้องวิ่งไล่ตามจนเหนื่อย

 นาค หมิ่นฤทธิ์ในพระพุทธเจ้า ถูกกังขังในบาตร

 พระเทวฑัตร กลิ้งหินใส่พระพุทธเจ้า ธรณีสูบ

ยิ่งนึกก็ยิ่ง คิดได้แต่สรุป เป็นข้อ ๆ อย่าง 10 ข้อนั้นยังนึกไม่ออกครับ

  :25: :25: :25: :smiley_confused1:


หัวข้อ: Re: อยากทราบ โทษ ของการปรามาส พระรัตนตรัย ที่มีมาในพระไตรปิฏก ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 18, 2011, 04:03:29 pm
การขอขมาจำเป็นต่อการภาวนา

เนื่องด้วยโทษการบริภาษพระอริยะสงฆ์ นั้นมีโทษ ๑๐ ประการ
     ๑. ผู้นั้นยังไม่บรรลุธรรมที่บรรลุ หรือที่บรรลุแล้วในคุณธรรมเบื้องต่ำ ก็จะไม่บรรลุในคุณธรรมบื้องสูง
     ๒. เสื่อมจากคุณธรรมที่บรรลุแล้ว มีโลกียฌาน เป็นต้น
     ๓. สัทธรรมของผู้นั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว
     ๔. เป็นผู้เข้าใจตนว่าบรรลุสัทธรรมทั้งหลาย
     ๕. เป็นผู้ไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์
     ๖. ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง
     ๗. ย่อมเป็นโรคอย่างหนัก
     ๘. ถึงความเป็นบ้า จิตฟุ้งซ่าน
     ๙. เป็นผู้หลงใหลในการทำกาลกิริยา
     ๑๐. เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติ อบายภูมิ

   หากผู้ภาวนาไม่ทำการขอขมาก็จะถูกปิดกั้นด้วยอกุศกรรมนั้นๆ
   ดังนั้นผู้ภาวนา ต้องทำการขอขมาเพื่อไม่ให้คุณธรรมถูกปิดกั้น



   ผมนำมาจากกระทู้ "โทษของการปรามาส พระรัตนตรัย"
   http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=204 (http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=204)
   โพสต์ตอบโดยคุณ saieaw


   (http://www.madchima.org/forum/index.php?action=dlattach;attach=50; type=avatar)
   คุณ saieaw



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต

พยสนสูตร

             [๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายกล่าวโทษพระอริยะ ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ความฉิบหาย ๑๐ อย่างเป็นไฉน คือ

       ภิกษุนั้นไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ ๑
       เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ๑
       สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว ๑
       เป็นผู้เข้าใจว่าตนได้บรรลุในสัทธรรมทั้งหลาย ๑
       เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ๑
       ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑
       ย่อมถูกโรคอย่างหนัก ๑
       ถึงความเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน ๑
       เป็นผู้หลงใหลกระทำกาละ ๑
       เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ๑

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษ เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย กล่าวโทษพระอริยะ ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๐ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ฯ

      จบสูตรที่ ๘


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ บรรทัดที่ ๓๙๐๔ - ๓๙๑๕. หน้าที่ ๑๖๘ - ๑๖๙. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=3904&Z=3915&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=3904&Z=3915&pagebreak=0)             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=88 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=88)


    คำสารภาพ
    ผมเห็นคำถามของคุณมงคลแล้ว ปวดหัวทันที เพราะก่อนหน้านี้ ผมเคยพยายามเสริชหาที่มา ทั้งในพระไตรปิฏกและที่อื่นๆ หาอย่างไงก็ไม่เจอ จนรู้สึกหงุดหงิด
    วันนี้ลองหาใหม่ กะว่าถ้าไม่เจอ ก็จะหาบุคคลตัวอย่างมาคุยแก้ขัดไปก่อน
    ไม่รู้ว่าเป็นโชคหรือเป็นลาภของใคร ผมไปเจอ"เว็บของวัดท่าขนุน" ที่คนโพสต์ใส่ที่มาเอาไว้
    ต้องให้เครดิตกันหน่อย คนโพสต์ใช้ชื่อว่า "ทิดตู่" อยู่ลิงค์นี้ครับ
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=640 (http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=640)

     :25:   


หัวข้อ: Re: อยากทราบ โทษ ของการปรามาส พระรัตนตรัย ที่มีมาในพระไตรปิฏก ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: นักเดินทาง ที่ ธันวาคม 18, 2011, 04:19:25 pm
อนุโมทนา อย่างสูงกับคุณ nathaponson ครับ

สุดยอดมากครับ ที่หาเจอ

ผมเห็นกระทู้นี้หลายวันแล้ว ก็นึกอยู่ว่าจะช่วยอย่างไรดี ครับ

การปรามาสพระรัตนตรัย ครูอาจารย์ พระกรรมฐาน มีผลทางด้านการปฏิบัติมากนะครับผมอ่านมาจากกระทู้
ของคุณ ratchanee


คุณ ratchanee น่านับถือมากนะครับ ที่เปิดเผยความรู้สึกในการปฏิบัติ เช่นนี้
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5808.0 (http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5808.0)




หัวข้อ: Re: อยากทราบ โทษ ของการปรามาส พระรัตนตรัย ที่มีมาในพระไตรปิฏก ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ส้ม ที่ ธันวาคม 18, 2011, 04:29:50 pm
ดังนั้น ใครที่กำลัง ปรามาส พระรัตนตรัย ครูอาจารย์ พระกรรมฐาน นะจ๊ะ
พึงระวังสังวร กันด้วยนะจ๊ะ มีดำรัส จาก พระพุทธเจ้า จริง ๆ นะคะ ไม่ใช่ นึกขึ้นมาเองนะจ๊ะ


  :88:


หัวข้อ: Re: อยากทราบ โทษ ของการปรามาส พระรัตนตรัย ที่มีมาในพระไตรปิฏก ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 18, 2011, 04:40:37 pm

(http://buddha.dmc.tv/images/dhamma_for_people/Buddha%20the%20worldly%20main%20teacher/LW_12___.jpg)

พยสนสูตร(สูตรที่ ๘.)   
     ตรัสว่า ผู้ด่าผู้บริภาษเพื่อนพรหมจารี ผู้ว่าร้ายพระอริยะ ย่อมถึง ความพินาศ ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือไม่บรรลุคุณที่ยังมิได้บรรลุ, เสื่อมจากคุณที่บรรลุแล้ว, พระสัทธรรมไม่ผ่องแผ้ว, เข้าใจผิดว่าได้ บรรลุในพระสัทธรรม, ไม่มีความยินดีประพฤติพรหมจรรย์, ต้องอาบัติชั่วหยาบอย่างใดอย่างหนึ่ง, ถูกต้องโรคาพาธอันหนัก, จิตฟุ้งสร้าน เป็นบ้า, หลงตาย, ตายแล้วเข้าถึงอบาย ทุคคติ วินิบาต นรก.

โกกาลิกสูตร(สูตรที่ ๙.)
     มีเรื่องเล่าว่า พระโกกาสิกะ(พระโกกาลิกะ เป็นพระพวกเดียวกับพระเทวทัต)  กล่าวว่าพระสาริบุตร และพระโมคคัลลานะว่ามีความปรารถนาลามก พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามปรามถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่ฟัง
     ต่อมาไม่ช้าก็เป็น โรคพุพอง มีแผลใหญ่ขึ้นทุกที่ จนถึงต้องนอนบนใบตอง มีน้ำเหลืองและโลหิตไหลคล้ายปลาที่ถูกขอดเกล็ด ในที่สุดก็ทำกาละด้วยอาพาธนั้น และไปเกิดในปทุมนรก.


ที่มา พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน (อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ)
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/16.2.html (http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/16.2.html)


  ผมนำบทย่อ"โกกาลิกสูตร" มาให้อ่าน เนื่องจากพระสูตรนี้ เป็นพระสูตรถัดมาจาก "พยสนสูตร"
   และมีข้อธรรมทีเนื่องกันอยู่ โกกาลิกสูตรนี้แสดงให้เห็นผลของการบริภาษพระอริยสงฆ์ว่า
   ต้องเจ็บป่วย ถึงตาย แล้วก็ตกนรก
   ขอแนะนำให้อ่านรายละเอียด"โกกาลิกสูตร" อ่านแล้วได้ความรู้ครับ
   อย่างเช่น มีอนาคามีจากสุทธาวาส ลงมาคุยกับพระโกกาสิกะ ก่อนที่จะตาย

   อ่านรายละเอียด "โกกาลิกสูตร" ได้ที่  
   พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต       
   เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ บรรทัดที่ ๓๙๑๖ - ๔๐๐๙. หน้าที่ ๑๖๙ - ๑๗๓.
   http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=3916&Z=4009&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=3916&Z=4009&pagebreak=0)             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=89 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=89)

    :49:


หัวข้อ: Re: อยากทราบ โทษ ของการปรามาส พระรัตนตรัย ที่มีมาในพระไตรปิฏก ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ส้ม ที่ ธันวาคม 18, 2011, 04:47:02 pm
โปรดตอบกระทู้นี้ให้ด้วยนะคะ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5945.0 (http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5945.0)


 :25: :25: :25:


หัวข้อ: Re: อยากทราบ โทษ ของการปรามาส พระรัตนตรัย ที่มีมาในพระไตรปิฏก ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 18, 2011, 05:42:41 pm
(http://2.bp.blogspot.com/-BpY9OOuYOf0/TfXCmcR-ZJI/AAAAAAAAAMQ/J7bSgWVPI3k/s1600/j00715.jpg)

ผู้ใดกล่าวตู่ใส่ร้ายพระรัตนตรัยมีโทษ ๑๐  ประการ
 

  โทษของการกล่าวตู่ใส่ร้ายพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ๑๐ ประการดังนี้  คือ

     ๑.จะมีทุกขเวทนาเกิดขื้นทันตาเห็น
     ๒.จะมีทุกขเวทนาอันรุนแรง เช่นเจ็บศีรษะ เจ็บลิ้น เจ็บฟันเกิดโรคสาหัส
     ๓.ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ โดยวิธีใดๆจะเสื่อมสูญหมดสิ้นไป

     ๔.จะมีทุกขเวทนา ถูกตัดมือ ตัดจมูก ตัดหูเป็นต้น
     ๕.จะเกิดโรคพยาธิอันหนัก จะง่อยเปลี้ยตัวตายเป็นโรคเรือนรักษาไม่หาย

     ๖.จะเป็นบ้าใบ้ วิกลจริต เสียสติ ไม่สมปฤดี
     ๗.จะเกิดความฉิบหาย แก่ราชทันฑ์อาชญา ถูกริบทรัพย์อยู่ดี ๆมีคนกล่าวหาว่าเป็นโจร มีคนใส่โทษให้ถูก  โจรปล้นถูกคนวิจารย์ส่อเสียด
     ๘.บุตรภรรยาและวงศาคนาญาติที่รักใคร่จะล้มหายตายจากพลัดพรากฉิบหาย

     ๙.ทรัพย์สมบัติจะกลายเป็นกระดูก เป็นกระเบื้อง เป็นถ่านเพลิง
     ๑๐.จะเกิดไฟฟ้า ไฟป่าไหม้บ้านเรือน หรือไฟเกิดขี้นมาเองตามธรรมชาติ ลูกหลานท่านใดได้อ่านข้อความในการกล่าวตูใส่ร้ายพระรัตนตรัยมีโทษ
 
      โทษ ๑๐.ประการนี้แล้วโปรดได้สำรวมระวัง ด้วยความเป็นห่วงและปรารถนาดีต่อลูกหลานทุกคนจึงเตือนมาเพื่อให้รับทราบ  วิธีแก้จากเรื่องที่หนักๆ ให้เบาบางลงให้ตั้งอกตั้งใจพยายามหมันบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลให้มากๆ ถึงแม้ในชาตินี้มันจะไม่หมดสิ้นลงไปโดยตรง แต่ก็เผื่อชาติหน้าจะได้เป็นคนดีกับเขาบ้าง

โดย พระครูวรรณโสภณ วัดนาครินทร์ ต.ตู อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ       
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑


ที่มา http://www.watnakkharin.org/index.php?mo=3&art=231384 (http://www.watnakkharin.org/index.php?mo=3&art=231384)
ขอบคุณภาพจาก http://2.bp.blogspot.com (http://2.bp.blogspot.com)


(http://www.bloggang.com/data/n/nayrotsung/picture/1272605848.jpg)
ภาพจาก http://www.bloggang.com/ (http://www.bloggang.com/)

    โทษการกล่าวตู่พระรัตนตรัยด้านบน ผมไม่ทราบที่มาที่ชัดเจน และไม่ทราบว่าพระครูวรรณโสภณนำมาจากไหน แต่พิจารณาดูแล้ว แต่ก็นับว่าใกล้เคียงกับเรื่องพระไตรปิฎก

   ผมลองนึกถึง คนที่ปรามาสพระสงฆ์แล้วได้รับโทษทัณฑ์ ที่มีในพระตรปิฎก เท่าที่นึกได้มีดังนี้ครับ

คนแรกที่นึกได้ คือ โชติปาละ(ชาติหนึ่งของพระสมณโคดม)
     เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก(ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้น จึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด


อ้างอิง
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐ (๓๙๐) ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เอง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒  บรรทัดที่ ๗๘๔๙ - ๗๙๒๔.  หน้าที่  ๓๖๑ - ๓๖๔.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=32&A=7849&Z=7924&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=32&A=7849&Z=7924&pagebreak=0)
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=32&i=392 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=32&i=392)


คนต่อมาคือ พ่อค้าผู้ถูก พระปิลินทวัจฉเถระ เรียกว่า คนถ่อย

     พระปิลินทวัจฉะ เป็นผู้มีปกติเรียกภิกษุด้วยกัน และคฤหัสถ์ทั้งหลายด้วยถ้อยคำว่า“วสละ” ซึ่งเป็นคำหยาบ หมายถึง “คนถ่อย” โดยมีเรื่องเล่าดังต่อไปนี้:-

    วันหนึ่ง ท่านเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ เห็นชายคนหนึ่งถือถาดใส่ดีปรีเต็มถาดกำลังเข้าไปในเมือง
    ท่านจึงถามว่า “แนะเจ้าคนถ่อย ในถาดของท่านนั้นถืออะไร ?”
    ชายคนนั้นได้ฟังแล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที จึงตอบไปว่า “ขี้หนู ครับท่าน”
    พระปิลินทวัจฉะ ก็พูดเป็นการรับทราบตามคำของชายคนนั้นว่า
    “อ้อ เจ้าคนถ่อย ของนั้นเป็นขี้หนู

    ด้วยอำนาจแห่งคุณความเป็นพระอรหันต์ของพระเถระ และคำพูดไม่ดีอันเกิดจากอกุศลจิตของชายคนนั้น ทำให้ดีปรีในถาดของเขากลายเป็นขี้หนูไปเสียทั้งหมด เขาตกใจมาก เพราะคิดขึ้นได้ว่ายังมีดีปรีอยู่ในเกวียนนอกเมืองอีก เมื่อเขากลับไปดูก็พบว่าดีปรีกลายเป็นขี้หนูไปทั้งหมด

    จริง ๆ เขาเสียใจเป็นอย่างยิ่งเพราะดีปรีเหล่านั้นเป็นของมีค่ามาก และเขาเตรียมเพื่อจะนำมาขาย ขณะที่เขาแสดงอาการเสียใจและกำลังโกรธพระเถระอยู่นั้น มีอุบาสกคนหนึ่งเดินผ่านมา สอบถามได้ทราบความแล้วก็เข้าใจเหตุการณ์โดยตลอด จึงแนะนำขึ้นว่า:-

    “ดูก่อนสหาย ท่านจงถือถาดขี้หนูนี้ไปยืนรอที่หนทาง ซึ่งพระเถระผ่านมา เมื่อพระเถระผ่านมาเห็นแล้วก็จะถามว่า “แน่เจ้าคนถ่อย ในถาดของท่านนั้นคืออะไร ?”
    ท่านก็จงตอบว่า “ดีปรี ครับท่าน”
    พระเถระก็จะกล่าวว่า “อ้อ เจ้าคนถ่อย ของนั้นเป็นดีปรี” อย่างนี้แล้ว ท่านก็จะได้ดีปรีกลับคืนมา
    ชายคนนั้นทำตามคำแนะนำของอุบาสก และในที่สุดขี้หนูก็กลับกลายเป็นดีปรีดังเดิม


ที่มา http://www.84000.org/one/1/41.html (http://www.84000.org/one/1/41.html)


คนต่อมาคือ โสเรยยะ คิดอยากได้ พระมหากัจจายนเถระ เป็นภริยา

    ดังที่กล่าวมาในตอนต้นแล้วว่าพระมหากัจจายนเถระ เป็นผู้มีรูปร่างสง่างามผิวเหลืองดุจทองคำสะอาดผ่องใจ เป็นที่ต้องตาถูกใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป

    จนกระทั่งมีเหตุการณ์วิปริตเกิดขึ้นแก่บุตรเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองโสเรยยะ ชื่อว่า โสเรยยะ เหมือนชื่อเมือง ขณะที่เขานั่งบนยานพาหนะกับสหายเพื่อไปอาบน้ำพร้อมกับบริวารทั้งหลาย ได้เห็นพระเถระกำลังยืนห่มจีวร เพื่อเข้าไปบิณฑบาตในเมืองแล้วเกิดความพอใจ ในดวงจิตคิดอกุศลขึ้นว่า “งามจริงหนอ พระเถระรูปนี้ น่าจะเป็นภริยาของเรา หรือไม่ก็ขอให้ภริยาของเรามีสีผิวกายเหมือนพระเถระนี้” ด้วยอกุศลจิตคิดเพียงเท่านี้ ทำให้เพศชายของเขาหายไป กลายเป็นเพศหญิงไปทั้งร่างทำให้เขาอับอายเป็นอย่างมาก

     และโดยที่ไม่มีใครรู้เขารีบลงจากยานนั้นแล้วเดินตามกองเกวียนพ่อค้าไปยังเมืองตักสิลา และได้เป็นภริยาของลูกชายเศรษฐีในเมืองนั้น อยู่ร่วมกันจนมีบุตร ๒คน แต่เดิมทีที่เขาอยู่ในเมือง โสเรยยะนั้น เขาก็มีภริยาอยู่แล้วและมีบุตรด้วยกัน ๒ คน เช่นเดียวกัน จึงปรากฏว่าเขาเป็นทั้งพ่อและแม่ หรือเป็นทั้งผัวและเมียในชาติเดียวกันนี้

    ต่อมา พระมหากัจจายนเถระ จาริกมายังเมืองตักสิลา โสเรยยะทราบแล้วจึงเล่าเรื่องราวของตนที่ผ่านมาให้สามีฟัง แล้วพากันไปกราบขอขมาโทษต่อพระเถระ เมื่อท่านทราบเรื่องโดยตลอดแล้วก็ยกโทษให้ และเพศหญิงก็หายไปเพศชายปรากฏขึ้นมาเหมือนเดิม เขาเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระเถระเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเห็นว่าตนเองเป็นคนแปลกคือเป็นทั้งชายและหญิงในอัตภาพเดียวเท่านั้น และยังคิดว่าไม่ควรที่จะอยู่ครองเพศฆราวาสต่อไป จึงมอบบุตรทั้ง ๔ คนให้บิดามารดาเลี้ยงดูต่อไป ส่วนตนเองได้ขอบวชในสำนักพระเถระ และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในกาลต่อมา


http://www.84000.org/one/1/15.html (http://www.84000.org/one/1/15.html)


คนต่อมา คือ นางจิญจมาณวิกา และนางปริพาชิกาชื่อสุนทรี

   เรื่องนางจิญจมาณวิกา เพื่อนๆคงทราบกันดีว่า นางไปกล่าวตู่พระพุทธเจ้าว่าทำเธอตั้งครรภ์ สุดท้ายก็ลงอเวจี
อ่านเรื่องนี้ได้ที่ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=23&p=9 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=23&p=9)
   ส่วนเรื่องของนางสุนทรี คล้ายๆกับนางจิญจมาณวิกา นางสุนทรีกล่าวตู่ว่า อยู่ร่วมพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดม สุดท้ายก็ถูกพวกพวกเดียรถีย์่ฆ่าปิดปาก
   อ่านเรื่องนางสุนทรีได้ที่ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=32&p=1 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=32&p=1)




    เพื่อนสมาชิกท่านใด มีข้อมูลมากกว่านี้ ช่วยนำเสนอด้วยครับ

    :49:


หัวข้อ: Re: อยากทราบ โทษ ของการปรามาส พระรัตนตรัย ที่มีมาในพระไตรปิฏก ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2012, 11:55:54 am

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/ac/Buddha_with_Cincamanavika.jpg/589px-Buddha_with_Cincamanavika.jpg)

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต

พยสนสูตร

      [๒๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายติเตียนพระอริยเจ้า ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ที่ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๑ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ความฉิบหาย ๑๑ อย่างเป็นไฉน คือ

       ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ ๑
       เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ๑
       สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว ๑
       เป็นผู้เข้าใจว่าได้บรรลุในสัทธรรม ๑
       เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ๑
       ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑
       บอกลาสิกขาเวียนมาเพื่อหินภาพ ๑
       ถูกต้องโรคอย่างหนัก ๑
       ย่อมถึงความเป็นบ้า คือ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑
       เป็นผู้หลงใหลทำกาละ ๑
       เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก ๑

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายติเตียนพระอริยเจ้า ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ที่ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๑ อย่างอย่างใดอย่างหนึ่งนี้ ฯ

      จบสูตรที่ ๖


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ บรรทัดที่ ๗๖๙๑ - ๗๗๐๓. หน้าที่ ๓๓๕.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=7691&Z=7703&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=7691&Z=7703&pagebreak=0)             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=213 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=213)
ขอบคุณภาพจาก http://upload.wikimedia.org/ (http://upload.wikimedia.org/)


     พระสูตรนี้เป็นสูตรที่ ๖ ชื่อ "พยสนสูตร" เหมือนกับ สูตรที่ ๘ เป็นพระไตรปิฎกและพระสุตตันตปิฎกเล่มเดียวกับ ต่างกันตรงที่ ความฉิบหาย สูตรที่ ๖ มี ๑๑ ประการ แต่สูตรที่ ๘ มี ๑๐ ประการ
     ความต่างที่สังเกตได้ ก็คือ สูตรที่ ๘ ไม่มีความฉิบหายประการที่ว่า "บอกลาสิกขาเวียนมาเพื่อหินภาพ"

      :25: