ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิบากกรรม ทำให้เป็นเปรต  (อ่าน 5412 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28454
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
วิบากกรรม ทำให้เป็นเปรต
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 09:41:20 pm »
0


ผลของกรรม ทำให้เป็นเปรต

ด้วยความเจริญทางวัตถุ และความที่สังคมเสื่อมจากความยึดมั่นในคุณงามความดี
โดย..คุณสลิล

คนส่วนใหญ่เคารพเงินและเกียรติยศ ไม่ว่าจะได้มาโดยการคดโกง หรือด้วยการกระทำอาชีพที่ไม่สุจริต ไม่ใช่แต่เรื่องความไม่สุจริตในการแสวงหาทรัพย์เท่านั้น ยังมีคนอื่นมากที่ไม่ระวังการพูดจา การด่าว่า ใส่ความ ลบหลู่กัน ก็แพร่หลาย และบางครั้งกลายเป็นเรื่องที่มีผู้คนสนใจ เลยร่วมกันกล่าววาจาที่ไม่ควร ไม่จริงบ้าง ส่อเสียดบ้างกันอย่างแพร่หลาย

ความจริงแล้วการที่เราทำกรรมอะไรไว้ กรรมนั้นย่อมมีผลเมื่อสบกับโอกาสที่เหมาะ ผลก็จะปรากฏ เพียงแต่บางครั้งกรรมนั้นอาจยังไม่มีโอกาสให้ผล บางคนอาจคิดว่าการทำชั่วนั้นไม่มีผล เพราะคนทำชั่วก็ยังได้รับความสุข เจริญรุ่งเรืองอยู่ อย่างไรก็ตาม กรรมที่ยังไม่ให้ผลนั้นยังติดตามผู้กระทำไปดังเงา

วันนี้ MQ จึงขอนำเอาเรื่องราวใน พระไตรปิฎก เปตวัตถุ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่า บางคนที่ทำกรรมชั่ว แม้ผลยังไม่ปรากฏในชาตินี้ แต่เมื่อเขาตายลงก็ไปเกิดเป็น “เปรต” ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส บางคนทำชั่วอย่างใดก็ได้รับผลกรรมอย่างนั้น เช่น พูดชั่ว ก็มีอันเป็นไปด้วยปากบ้าง ด้วยศีรษะบ้าง ด้วยต้องทานอุจจาระเป็นอาหารบ้าง น่ากลัวยิ่งนัก

ลองดูเรื่องราวของเปรตบางตนที่ขอยกมาโดยย่อดังนี้



สูกรเปตวัตถุ

พระนารทะ ถามเปรตตนหนึ่งว่า กายของท่านล้วนมีสีเหลืองเหมือนทองคำ รัศมีกายของท่านสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ แต่หน้าของท่านเหมือนสุกร เมื่อก่อนท่านได้ทำกรรมใดไว้

เปรตนั้นตอบว่า เมื่อก่อนข้าพเจ้าได้สำรวมกาย แต่ไม่สำรวมวาจา เพราะเหตุนั้นรัศมีกายของข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวกับท่าน ขอท่านอย่าทำบาปด้วยปาก อย่าให้หน้าสุกรเกิดมีแก่ท่าน



คูถขาทิกเปตวัตถุที่ 1

พระมหาโมคคัลลานะ ได้ถามเปรตตนหนึ่งว่า ท่านเป็นใคร โผล่ขึ้นจากหลุมคูถให้เราเห็นเช่นนี้ ท่านร้องครวญครางอื้ออึงไปทำไมเล่า ท่านมีการงานอันลามกเป็นแน่

เปรตนั้นตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นเปรตเสวยทุกข์ในยมโลก เพราะได้ทำกรรมอันลามกไว้จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก ชาติก่อนมีภิกษุรูปหนึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในอาวาสของข้าพเจ้า (ในวัดที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้) ท่านมีปกติริษยาตระหนี่ตระกูล มีใจกระด้าง มักด่าบริภาษ ได้ยกโทษภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายที่เรือนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าฟังคำของภิกษุนั้นแล้ว ได้ด่าภิกษุทั้งหลาย

เพราะผลกรรมนั้นข้าพเจ้าจึงกินมูตรคูถเป็นอาหาร (ภิกษุเป็นมิตรเทียม ผู้พูดยุยงด้วย ด่าว่าภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเองด้วย ก็ได้เกิดเป็นเปรตเหมือนกัน เป็นเปรตบริวารของเปรตตนนี้ และเป็นเปรตผู้กินอุจจาระของเปรตตนนี้ต่ออีกทอดหนึ่ง)



กูฏวินิจฉยีกเปตวัตถุ

พระนารทะ ถามเปรตตนหนึ่งว่า ท่านทัดทรงดอกไม้ ใส่ชฎา สวมกำไรทอง ... มีสีหน้าผ่องใส งดงาม มีนางฟ้าหมื่นหนึ่งเป็นบริวารบำรุงบำเรอท่าน ท่านเป็นผู้มีอานุภาพมาก มีรูปงาม แต่ท่านจิกเนื้อที่หลังของตนกินเป็นอาหาร ท่านได้ทำกรรมชั่วอะไรไว้ จึงต้องจิกเนื้อหลังของตนเองกินเป็นอาหารเช่นนี้

เปรตนั้นตอบว่า กระผมได้ประพฤติทุจริตด้วยการส่อเสียด พูดเท็จ และหลอกลวง เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ กระผมไปสู่บริษัท เมื่อเวลาควรจะพูดความจริงปรากฏแล้ว ละเหตุละผลเสีย ประพฤติคล้อยตามอธรรม ผู้ใดประพฤติทุจริตมีคำส่อเสียด เป็นต้น ผู้นั้นต้องจิกเนื้อหลังของตนกิน เหมือนกระผม ขอท่านพระนารทะ มีความอนุเคราะห์ชนเหล่านั้น พึงกล่าวตักเตือนว่า อย่าพูดส่อเสียด พูดเท็จ อย่าเป็นผู้มีเนื้อหลังของตนเป็นอาหารเลย




อุตตรมาตุเปติวัตถุ

นางเปรตมีผิวพรรณน่าเกลียดน่ากลัว มีผมยาวห้อยจดดิน คลุมตัวด้วยผม เข้าไปหาภิกษุในที่พักกลางวัน ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา เปรตได้กล่าวกับภิกษุ (ท่านพระเรวตะ) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันตั้งแต่ตายมาจากมนุษยโลกยังไม่ได้บริโภคข้าว หรือดื่มน้ำเลยตลอดเวลา 55 ปีแล้ว ขอท่านให้น้ำดื่มแก่ดิฉันผู้กระหายด้วยเถิด

ภิกษุนั้นกล่าวว่า แม่น้ำคงคามีน้ำเย็นใสสะอาด ไหลมาแต่เขาหิมพานต์ ท่านจงตักเอาน้ำจากแม่น้ำดื่มเถิด จะมาขอน้ำกะเราทำไม

นางเปรตกล่าวว่า ถ้าดิฉันตักน้ำในแม่น้ำเอง น้ำนั้นย่อมกลับกลายเป็นเลือด ดิฉันจึงขอน้ำจากท่าน ภิกษุจึงถามว่า ท่านได้ทำกรรมชั่วอะไรไว้ ด้วยกาย วาจา ใจหรือ น้ำในแม่น้ำคงคาจึงกลายเป็นเลือดปรากฏแก่ท่าน

นางเปรตตอบว่า เมื่อเป็นมนุษย์ ดิฉันมีบุตรคนหนึ่ง เป็นอุบาสก มีศรัทธา เขาได้ถวายจีวร บิณฑบาต ที่นั่น ที่นอน และคิลานปัจจัย แก่สมณะทั้งหลาย (เขาเป็นผู้เลื่อมใสนิมนต์พระมาถวายภัตตาหารและทานทั้งหลายในเรือนของตน ฟังธรรม สร้างวิหารถวาย และได้กระทำให้ญาติของตนเลื่อมใสในพระศาสนา เขาได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แต่มารดาไม่พอใจ)

ด้วยความไม่พอใจของดิฉัน ดิฉันถูกความตระหนี่ครอบงำ แล้วด่าว่าเขา สาปแช่งว่า ปัจจัย มีจีวร เป็นต้น ที่เจ้าถวายแก่สมณะนี้ จงกลายเป็นโลหิตแก่เจ้าในปรโลก ด้วยกรรมนั้น นางเปรต เมื่อตักน้ำจะดื่ม น้ำก็กลายเป็นโลหิตไป (อย่างไรก็ตามนางได้อนุโมทนาทานด้วยถวายหางนกยูงกำหนึ่ง นางจึงมีผมดำสนิท มีปลายตวัดขึ้น มีผมงามยาว ละเอียด)

ท่านพระเรวตะจึงได้ถวายน้ำดื่มแก่ภิกษุสงฆ์ บิณฑบาต แล้วนำไปถวายแก่ภิกษุสงฆ์ ถือเอาผ้าบังสุกุล ซักแล้วทำเป็นที่นอนหมอนถวายแก่ภิกษุสงฆ์ อุทิศให้นางเปรตนั้น

นางเปรตจึงไปยังสำนักของท่านพระเรวตะ แล้วแสดงทิพยสมบัติที่ตนได้แก่ท่าน พระเถระจึงเล่าเรื่องของนางให้แก่บริษัท 4 มหาชนเกิดความสังเวช เป็นผู้ปราศจากความตระหนี่ ยินดีในกุศลธรรม มีทานและศีล เป็นต้น




ที่มา http://www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/134639/ผลของกรรม
ขอบคุณภาพจาก http://statics.atcloud.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: วิบากกรรม ทำให้เป็นเปรต
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2012, 09:53:50 am »
0
 :25: :25: :25: สาธุค่ะ
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ