กราบพระพุทธ อย่าสะดุดเอาทองคำ
สวัสดีเพื่อนๆที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน space ของเราทุกคน
วันนี้ถือว่าเป็นฤกษ์งามยามดีที่เราจะอัพเดท space ของเรา
เหตุที่เลือกเอาวันนี้มาเป็นวันอัพเดท space ไม่ใช่เพราะว่าอัพเดทวันนี้แล้วชะตาชีวิตจะดีขึ้น
space เราจะมีคลื่นมหาชนเข้ามาอ่านกันล้นหลาม
หรือถ้าอัพเดทพรุ่งนี้ space เราจะโดนไวรัสจู่โจม ชะตาเราจะถึงฆาตแต่อย่างใด
แต่เป็นเพราะว่า เราเพิ่งเขียนเสร็จสดๆร้อนๆวันนี้นี่เอง
คำว่าฤกษ์งามยามดีจึงหมายความว่าสะดวกเมื่อไหร่ก็ทำเมื่อนั้น
เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนไว้ว่า
"นกฺขตฺตํ ปฏิมาเนตฺตํ อตฺโถ พาลํ อุปจฺจคา"
ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนปัญญาอ่อนที่ไปนั่งดูดาว ดูเดือนอยู่
"อตฺโถ อตฺถสฺส นกฺขตฺตํ กึ กริสฺสนฺติ ตารกา"
ประโยชน์มันเป็นฤกษ์อยู่ในตัวแล้ว ดวงดาว ในท้องฟ้าจะช่วยอะไรได้
ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาแห่งความรู้ ความตื่น ความเบิกบานด้วยธรรม
เป็นศาสนาที่ดึงคนที่ยังหลงใหลโง่งมให้หลุดพ้น
ดังนั้นผู้ใดที่ยังหลงใหลกับไสยศาสตร์เรื่องงมงายเช่นนี้ ไม่ถือว่าเป็นชาวพุทธเลย
คนที่ยังหมกมุ่นมัวเมากับสิ่งเหล่านี้ ทำได้แต่เพียงเขียนอ้างลงไปในทะเบียนบ้านว่าเป็นชาวพุทธเท่านั้น
ชาวพุทธที่แท้ต้องใช้ปัญญาในการไตร่ตรอง พิจารณาก่อนที่จะเชื่อในสิ่งใดๆว่าสมควรเชื่อหรือไม่
แต่หากเราถือตนว่าเป็นชาวพุทธ เราไม่ควรเชื่อในสิ่งงมงาย
การที่เราพูดเช่นนี้ หมายความรวมถึงพระเครื่อง ตะกุด เครื่องรางของขลังที่หลวงพ่อหลวงปู่ต่างๆทำขึ้นมา
เราไม่ได้พูดว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีจริง ไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง เพียงแต่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนให้ยึดเอาสิ่งเหล่านี้เป็นที่พึ่ง
การนับถือพระพุทธรูป ขอให้นับถือเอาเพียงว่านี่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ระลึกถึงความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้
แต่อย่าได้ยึดเอา ถือเอาว่านี่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องกราบไหว้บูชาแล้วเราจะได้ตามสิ่งที่เราปรารถนา
เพราะหากทำเช่นนั้นแล้ว เราสามารถสำเร็จสิ่งที่ต้องการ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวงได้
พระพุทธเจ้าคงไม่สอนพวกเราเช่นนี้ว่า
พาหุงเว สะระณัง ยันติ ปัพพะตานิ วะนานิจะ อารามะ รุกขะ เจตยานิ มะนุสสา ภะยะตัสชิตา
มนุษย์เมื่อมีภัยคุกคามแล้ว ก็ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อารามและรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ
เนตังโข สะระณัง เขมัง เนตัง สะระณะ มุตตะมัง เนตัง สะระณะ มาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ
นั่นมิใช่สรณะอันเกษมเลย นั่นมิใช่สรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต จัตตาริ อริยะสัจจานิ สัมมัปปัญญายะ ปัจฉะติ
ส่วนผู้ใดถือเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้วเห็นอริยสัจคือความจริงอันประเสริฐสี่ด้วยปัญญาอันชอบ
ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง อริยัญจัตถังคิกัง มักคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง
คือเห็นความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้ และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐเครื่องถือความระงับทุกข์
เอตัง โข สะระณังเขมัง เอตังสะระณะมุตตะมัง เอตังสะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ
นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
คำสอนนี้ที่ท่านให้ถือเอาพระพุทธ เป็นสรณะ ไม่ใช่ถือเอาพระพุทธรูปเป็นสรณะ
เราพึงทำความเข้าใจก่อนว่า พระพุทธรูปที่เราเห็นกันนี้ ไม่เคยมีการสร้างขึ้นในสมัยพุทธกาลเลย
หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไม่นาน ในยุคนั้นจะประดิษฐ์รูปต้นโพธิ์ หรือธรรมจักร เป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบ
จะไม่มีการสร้างรูปปั้นแทนพระพุทธเจ้า เพราะถือว่าเป็นการดูหมิ่น ไม่ให้เกียรติพระองค์
แต่ในยุคหลังหลายร้อยปีต่อมา กองทัพของอเลกซานเดอร์ได้เข้ามารุกรานอินเดียแล้วมีนายทหารบางคนหันมาสนใจนับถือพระพุทธศาสนา
เมื่อนับถือแล้ว ก็ได้ทำการสร้างพระพุทธรูปเพื่อแทนพระพุทธเจ้าเหมือนที่พวกเขาได้สร้างรูปปั้นแทนเทพเจ้าเซอุส
ดังนั้นพระพุทธรูปในยุคแรกนั้น จะมีหน้าตาคล้ายอย่างกับเทพเจ้าในตำนานกรีก
ทุกครั้งที่เรากราบพระพุทธรูป จึงควรรู้ว่าเรากราบเพื่ออะไร
จะกราบพระพุทธ อย่าไปสะดุดเอาทองคำ
จะกราบพระธรรม อย่าไปขยำเอาใบลาน
จะกราบพระสงฆ์ อย่าไปถูกเอาลูกชาวบ้าน
นั่นคือจะกราบจะนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้กราบไปให้ถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
อย่าได้ไปสะดุดหยุดอยู่กับเพียงเปลือกนอก
อย่างบางคนรู้สึกเสื่อมศรัทธาในพระศาสนาเพราะสมมติสงฆ์บางรูปปฏิบัติตัวไม่ดี
เช่นนี้แปลว่ากราบพระสงฆ์แล้วไปถูกเอาลูกชาวบ้าน
เพราะพระสงฆ์เหล่านั้นเป็นเพียงสมมติสงฆ์ เป็นเพียงสถานะสมมติขึ้นมา แต่สุดท้ายก็คือคนธรรมดา
เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่พยายามฝึกตัวเพื่อหลุดพ้น หรือบางคนอาจบวชเข้ามาเพราะสิ่งอื่น
พระสงฆ์ที่เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยนั้นคือพระอริยสงฆ์ชั้นโสดาบันขึ้นไป
นั่นหมายความว่าสงฆ์ท่านนั้นอาจไม่ได้บวชแต่สำเร็จโสดาบันก็นับเป็นอริยสงฆ์ที่เราสมควรแก่การกราบไหว้บูชาเช่นกัน
คนไทยส่วนมากเมื่อคิดจะทำบุญไหว้พระก็จะต้องหาซื้อดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ
บางคนสงสัยว่า เราไหว้พระ จำเป็นต้องมีดอกไม้ธูปเทียนด้วยหรือไม่
คำตอบขออธิบายดังนี้คือ
การไหว้พระนั้นเป็นปฏิบัติบูชาที่ให้เราระลึกถึงคุณความดีของพระรัตนตรัย
หากเราเอาดอกไม้ธูปเทียนเหล่านั้นมากราบไหว้ขอพร ขอให้รวย ให้แข็งแรง เช่นนี้ไม่ใช่การไหว้พระที่ถูกต้อง
คนโบราณนั้น ที่ระบุเอาดอกไม้ธูปเทียนมาใช้กราบไหว้บูชาพระ เพราะมีอุบายให้ระลึกถึงพระรัตนตรัย
การที่เราจุดธูป 3 ดอกนั้น เป็นการบูชาพระพุทธ ระลึกถึงคุณ 3 ประการของพระพุทธองค์
นั่นคือพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ
ที่พระองค์ทรงตรัสรู้หลักธรรมอันบริสุทธิ์ และไม่ทรงเก็บสิ่งที่รู้ไว้เพียงผู้เดียว แต่ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ให้รู้ตาม
เทียน 2 เล่มที่เราใช้จุดนั้น เป็นการบูชาพระธรรมและพระวินัย
ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยเทียนที่จุดส่องสว่าง เหมือนกับพระธรรมและพระวินัยที่เป็นแสงส่องทางนำเราจากความมืดบอด
ส่วนดอกไม้นั้นใช้หมายแทนพระสงฆ์
เนื่องด้วยพระสงฆ์แต่ละรูปมาจากบ้านเรือนครอบครัวที่หลากหลาย
เมื่อได้รับการอบรมสั่งสอน ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ก็สามารถบรรลุธรรมเป็นที่น่าเลื่อมใสกราบไหว้บูชา
เปรียบเหมือนดอกไม้หลายพันธุ์จากต่างที่ต่างถิ่นกัน แต่เมื่อนำมาจัดวางอย่างดีแล้ว ก็กลายเป็นช่อดอกไม้ที่สวยงาม
ดังนั้นหากเราไม่มีดอกไม้ธูปเทียน แต่เมื่อเรากราบไหว้บูชาแล้ว กาย วาจา ใจระลึกถึงคุณความดีของพระรัตนตรัย
ก็ย่อมมีผลมีประโยชน์มากกว่าการจุดธูปจุดเทียนไหว้พระเพื่อขอพรหลายเท่านัก
เราเป็นชาวพุทธควรทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่าศาสนาพุทธสอนอะไร
อย่าได้หลงกับมิจฉาทิฐฐิ ต้องเดินไปสู่สัมมาทิฐฐิตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
เรื่องเครื่องลางของขลังนั้น ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงก็เป็นมิจฉาทิฐฐิ พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ
เมื่อเดินเข้าไปแล้วก็ยากที่จะพ้นทุกข์ ได้แต่หลงมัวเมากับความมืดบอดนั้น
แต่ถ้าไม่มีจริงแล้วหลงนับถือ เราจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนโง่ให้คนเค้าหลอกเอาหรอกหรือ
ตัวพระสงฆ์เองที่ทำน้ำมนต์ ปลุกของขลัง ขายพระเครื่องเองก็ไม่ใช่การปฏิบัติกิจของสงฆ์
เพราะนอกจากจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนให้มอมเมาศาสนิกชนอีกด้วย
จะอ้างว่าเงินปัจจัยที่ได้นั้นเอามาสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างโรงเรียน ทำแล้วเกิดประโยชน์ก็ไม่ควร
เพราะนี่หมายความว่า แม้แต่พระก็ยังหลงอยู่กับตัวเงิน ไม่สร้างคน สร้างปัญญา แต่กลับสร้างเอาวัตถุสิ่งของ
เงินที่ได้มาจากการหลอกลวง ได้มาจากความโง่ความหลงของคน จะยังประโยชน์อะไรแก่พระศาสนาได้
แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังทรงปฏิเสธที่จะรับปัจจัยที่ได้จากการกระทำนั้นเช่นกัน
เราทุกคนเมื่อได้มีโอกาสรู้จักพระพุทธศาสนาแล้ว ก็อย่าได้ใกล้เกลือกินด่าง
พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนเปรียบเหมือนเพชรไม่ยอมศึกษาเรียนรู้
แต่ไปคว้าเอาสิ่งก้อนดินก้อนหินมาถือมาแบกเอาไว้ด้วยเข้าใจว่าเป็นสิ่งมีค่า
http://devilcupid.spaces.live.com/default.aspx