หัวข้อ: พระอริยมรรค กับ พระอริยผล ต่างกันอย่างไร ไม่เข้าใจครับ เริ่มหัวข้อโดย: waterman ที่ มิถุนายน 21, 2013, 10:30:58 am ans1
พระอริยมรรค กับ พระอริยผล ต่างกันอย่างไร ไม่เข้าใจครับ คือการนับ พระอริยนับที่ พระโสดาปัตติมรรค ขึ้นไปใช่หรือไม่ครับ thk56 หัวข้อ: Re: พระอริยมรรค กับ พระอริยผล ต่างกันอย่างไร ไม่เข้าใจครับ เริ่มหัวข้อโดย: samapol ที่ มิถุนายน 21, 2013, 03:25:59 pm ต่างกัน ตรง คำว่า มรรค และคำว่า ผล
:49: หัวข้อ: Re: พระอริยมรรค กับ พระอริยผล ต่างกันอย่างไร ไม่เข้าใจครับ เริ่มหัวข้อโดย: vichai ที่ มิถุนายน 21, 2013, 09:41:09 pm ต่างกัน ตรง คำว่า มรรค และคำว่า ผลสั้นไป หรือป่าว ที่ตอบ นะครับ :41: หัวข้อ: Re: พระอริยมรรค กับ พระอริยผล ต่างกันอย่างไร ไม่เข้าใจครับ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 23, 2013, 08:07:38 am (http://i1045.photobucket.com/albums/b453/alongkot_r/010653/f20.jpg) มรรค 4 (ทางเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล, ญาณที่ทำให้ละสังโยชน์ได้ขาด) 1. โสดาปัตติมรรค (มรรคอันให้ถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพานทีแรก, มรรคอันให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ 3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) 2. สกทาคามิมรรค (มรรคอันให้ถึงความเป็นพระสกทาคามี เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ 3 ข้อต้น กับทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง) 3. อนาคามิมรรค (มรรคอันให้ถึงความเป็นพระอนาคามี เป็นเหตุละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ทั้ง 5) 4. อรหัตตมรรค (มรรคอันให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ เป็นเหตุละสังโยชน์ได้หมดทั้ง 10). _______________________ อ้างอิง :- อภิ.วิ. 35/837/453. ผล 4 (ผลที่เกิดสืบเนื่องจากการละกิเลสได้ด้วยมรรค, ธรรมารมณ์อันพระอริยะพึงเสวย ที่เป็นผลเกิดเองในเมื่อกิเลสสิ้นไปด้วยอำนาจมรรคนั้นๆ) 1. โสดาปัตติผล (ผลแห่งการเข้าถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพาน, ผลอันพระโสดาบันพึงเสวย) 2. สกทาคามิผล (ผลอันพระสกทาคามีพึงเสวย) 3. อนาคามิผล (ผลอันพระอนาคามีพึงเสวย) 4. อรหัตตผล (ผลคือความเป็นพระอรหันต์, ผลอันพระอรหันต์พึงเสวย) ผล 4 นี้ บางทีเรียกว่า สามัญญผล (ผลของความเป็นสมณะ, ผลแห่งการบำเพ็ญสมณธรรม) ________________________ อ้างอิง :- อภิ.วิ. 35/837/453. :49: :49: :49: อริยบุคคล 8 แยกเป็น มรรคสมังคี (ผู้พร้อมด้วยมรรค) 4, ผลสมังคี (ผู้พร้อมด้วยผล) 4. 1. โสดาบัน (ท่านผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล) 2. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล (พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค) 3. สกทาคามี (ท่านผู้บรรลุสกทาคามิผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล) 4. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งสกทาคามิผล (พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค) 5 อนาคามี (ท่านผู้บรรลุอนาคามิผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล) 6. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผล (พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค) 7. อรหันต์ (ท่านผู้บรรลุอรหัตตผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล) 8. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอรหัตตผล (พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค) ทั้ง 8 ท่านนี้ ในบาลีที่มาทั้งหลายเรียกว่า ทักขิไณยบุคคล 8 _________________________________________________________ อ้างอิง :- ที.ปา. 11/342/267 ; องฺ.อฏฺฐก. 23/149/301 ; อภิ.ปุ. 36/150/233. ญาณ 16 หรือ โสฬสญาณ (ความหยั่งรู้ ในที่นี้หมายถึงญาณที่เกิดขึ้นแก่ผู้เจริญวิปัสสนาตามลำดับ ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด) ................... 13. โคตรภูญาณ (ญาณครอบโคตร คือ ความหยั่งรู้ที่เป็นหัวต่อแห่งการข้ามพ้นจากภาวะปุถุชนเข้าสู่ภาวะอริยบุคคล) 14. มัคคญาณ (ญาณในอริยมรรค คือ ความหยั่งรู้ที่ให้สำเร็จภาวะอริยบุคคลแต่ละขั้น) 15. ผลญาณ (ญาณในอริยผล คือ ความหยั่งรู้ที่เป็นผลสำเร็จของพระอริยบุคคลชั้นนั้นๆ) 16. ปัจจเวกขณญาณ (ญาณหยั่งรู้ด้วยการพิจารณาทบทวน คือ สำรวจรู้มรรค ผล กิเลสที่ละแล้ว กิเลสที่เหลืออยู่ และนิพพาน เว้นแต่ว่าพระอรหันต์ไม่มีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่) ___________________________________________ อ้างอิง :- ขุ.ปฏิ. 31/มาติกา/1-2 และ วิสุทธิ. 3/206-328 ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ขอบคุณภาพข่าวจาก http://i1045.photobucket.com/ (http://i1045.photobucket.com/) (http://i1045.photobucket.com/albums/b453/alongkot_r/010653/f19.jpg) 13. โคตรภูญาณ คำสอนที่เผยแพร่ หากบารมีแก่กล้าก็วืบเดียวอนุโลมญาณ แล้วโคตรภูญาณมัคคญาณ ผลญาณ ปัจจเวกขณญาณ เกิดสืบต่อกัน ปริยัติธรรม ญาณครอบโคตรคือความหยั่งรู้ที่เป็นหัวต่อแห่งการข้ามพ้นจากภาวะปุถุชนเข้าสู้ภาวะอริยบุคคล ความรู้จากการปฏิบัติ ถึงขั้นนี้ทั้งคำสอนที่เผยแพร่กัน และคำสอนทางปริยัติธรรมเข้าไม่ถึงเสียแล้ว จึงไม่สามารถจำแนกอธิบายลักษณาการของโคตรภูญาณได้ แล้วเอาคำว่าวืบมาใช้ ความจริงไม่มีคำว่าวืบ หรือวูบ เพราะขณะนั้นสติสัมปชัญญะจะแจ่มใสตลอด โคตรภูญาณเป็นญาณหยั่งรู้ว่า ขณะนั้นกระแสจิตที่ส่งออกนอกไประลึกรู้อารมณ์จะปล่อยวางอารมณ์แล้วถอยย้อนคืนเข้าหาตัวจิตผู้รู้ มันไม่ได้เกาะเกี่ยวกับอารมณ์จึงไม่อาจจัดเป็นโลกียญาณ และไม่ได้เข้าถึงธาตุรู้อันบริสุทธิ์แท้จริง จึงไม่ใช่โลกุตรญาณแต่เป็นรอยต่อตรงกลางนั่นเอง ในช่วงที่จิตถอยออกจากอารมณ์นั้น เป็นการรวมของจิตคล้ายกับอัปปนาสมาธินั่นเอง แต่อาจเป็นการผ่านฌานที่ 1 แล้วเข้าถึงจิตผู้รู้เลย หรือผ่านฌานที่ 2 - 8 แล้วจึงเข้าถึงจิตผู้รู้ก็ได้ แล้วแต่กำลังฌานของแต่ละบุคคล (จุดที่ต่างจากอัปปนาสมาธิคือ มันไม่ได้ถอยมาหยุดเฉยอยู่กับจิตผู้รู้อย่างกับอารมณ์ฌาน หากแต่เป็นการถอยเข้ามารวมกำลังของกุศลธรรมฝ่ายการตรัสรู้เข้าไว้ด้วยกันที่จิตผู้รู้ เพื่อแหวกมโนวิญญาณที่ปกคลุมธาตุรู้อันบริสุทธิ์ให้แตกกระจายออกไปในขั้นของมัคคญาณ) :25: :25: :25: 14. มัคคญาณ คำสอนที่เผยแพร่ อธิบายไม่ได้แล้ว ปริยัติธรรม ญาณหยั่งรู้ในอริยมัคค์ คือความหยั่งรู้ที่ให้สำเร็จภาวะอริยบุคคลแต่ละขั้น ความรู้จากการปฏิบัติ เมื่อสติซึ่งเคยระลึกรู้อารมณ์ย้อนตามโคตรภูญาณเข้ามาระลึกรู้จิตผู้รู้ ซึ่งตัวจิตผู้รู้เองก็มีสัมปชัญญะอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสติ ทั้งสัมปชัญญะ ทั้งกุศลธรรมฝ่ายการตรัสรู้ทั้งปวงที่รวมเรียกว่าโพธิปักขิยธรรม ประชุมรวมลงที่จิตผู้รู้ดวงเดียว ในขณะนั้นมโนวิญญาณที่ห่อหุ้มธาตุรู้ถูกกำลังของมรรคหรือมัคคสมังคีแหวกออก ธาตุรู้ซึ่งถูกห่อหุ้มมานับกัปป์กัลป์ไม่ถ้วนก็ปรากฏตัวขึ้นมา สภาพที่มัคคสมังคีแหวกมโนวิญญาณอันนั้นเกิดในขณะจิตเดียว บางคนตามรู้ได้ บางคนตามรู้ไม่ทันเพราะปัญญาอบรมมาได้ไม่เท่ากัน :25: :25: :25: 15. ผลญาณ คำสอนที่เผยแพร่ อธิบายไม่ได้แล้ว ปริยัติธรรม ญาณในอริยผล คือความหยั่งรู้ที่เป็นผลสำเร็จของพระอริยบุคคลขั้นนั้นๆ ความรู้จากการปฏิบัติ เมื่อมโนวิญญาณถูกแหวกออกแล้ว ธาตุรู้อันบริสุทธิ์หรือจิตอันบริสุทธิ์แท้จริงก็ปรากฏขึ้น มันไม่มีรูปร่างตัวตนใดๆทั้งสิ้น ปรากฏเป็นแสงสว่าง ว่างบริสุทธิ์ เป็นตัวของตัวเอง มีอาการเบิกบานร่าเริงโดยปราศจากอารมณ์ปรุงแต่ง :25: :25: :25: 16. ปัจจเวกขณญาณ คำสอนที่เผยแพร่ บางคนอ่อนก็พูดไม่เป็น บางคนญาณแก่ก็พูดได้ประกาศร้อง ตะโกนว่าเรารู้แล้ว มรรคนี้ถูกต้องแล้ว พิจารณากิเลสที่ละได้ และกิเลสที่ยังเหลืออยู่ ปริยัติธรรม ญาณหยั่งรู้ด้วยการพิจารณาทบทวน คือสำรวจรู้มรรคผลและกิเลสที่ ละแล้ว กิเลสที่เหลืออยู่ และนิพพาน ความรู้จากการปฏิบัติ ในขณะที่บังเกิดมรรคผลนั้น ปราศจากความคิดมีแต่ความรู้ เมื่อมัคคญาณยังไม่ถึงขั้นอรหัตมัคค์ ย่อมมีกำลังไม่มากพอที่จะส่งผลให้จิตจริงแท้หลุดพ้นได้ถาวร แต่จะปรากฏเพียงเล็กน้อยก็จะถูกมโนวิญญาณกลับเข้ามาห่อหุ้มปกคลุมอีก เมื่อสัญญาเกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติจะคิดนึกได้และรู้ชัดว่า อ้อพระพุทธเจ้ามีจริง ทรงสอนธรรมเป็นของจริง ปฏิบัติแล้วหลุดพ้นได้จริง ผู้ปฏิบัติสามารถหลุดพ้นเป็นอริยสาวกตามพระองค์ได้จริง จะรู้ชัดว่าความเป็นตัวตนไม่มีอยู่จริง โดยเฉพาะจะเห็นชัดว่าจิตไม่ใช่ตัวเรา ความเป็นตัวเราหรือสักกายทิฏฐิเกิดจากสังขารหรือความคิดเข้ามาปรุงแต่งหลอกลวงจิตเท่านั้น จะหมดความลังเลสงสัยในพระศาสนาสิ้นเชิง ไม่มีทางปฏิบัตินอกลู่นอกทางใดๆ ได้อีก กล่าวโดยย่อ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส เป็นอันหมดไปเด็ดขาด กิเลสในจิตใจเหลือมากน้อยเพียงใดก็รู้ชัดในใจตนเอง จากกระทู้ "ลำดับขั้น...เข้าสู่อริยมรรค" http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3409.0 (http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3409.0) ขอบคุณภาพข่าวจาก http://i1045.photobucket.com/ (http://i1045.photobucket.com/) หัวข้อ: Re: พระอริยมรรค กับ พระอริยผล ต่างกันอย่างไร ไม่เข้าใจครับ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 23, 2013, 08:41:08 am ans1 ans1 ans1 ans1 [๓๔๒] ทักขิเณยยบุคคล ๘ ๑. ท่านที่เป็นพระโสดาบัน ๒. ท่านที่ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง ๓. ท่านที่เป็นพระสกทาคามี ๔. ท่านที่ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง ๕. ท่านที่เป็นพระอนาคามี ๖. ท่านที่ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง ๗. ท่านที่เป็นพระอรหันต์ ๘. ท่านที่ปฏิบัติเพื่อทำพระอรหัตตผลให้แจ้ง _______________________________________________ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค http://www.84000.org/tipitaka/read/?11/342/267 (http://www.84000.org/tipitaka/read/?11/342/267) อัฏฐปุคคลสูตรที่ ๑ [๑๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๘ จำพวกนี้ เป็นผู้ควรของคำนับฯลฯ เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ๘ จำพวกเป็นไฉน คือพระโสดาบัน ๑ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ๑ พระสกทาคามี ๑ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล ๑ พระอนาคามี ๑ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ๑ พระอรหันต์ ๑ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัตตผล ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๘ จำพวกนี้แล เป็นผู้ควรของคำนับ ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ฯ บุคคลผู้ปฏิบัติ ๔ จำพวก ผู้ตั้งอยู่ในผล ๔ จำพวกนี้เป็นสงฆ์ผู้ปฏิบัติตรง มีปัญญา มีศีล และจิตมั่นคง ย่อมกระทำบุญของมนุษย์ผู้เพ่งบุญบูชาอยู่ให้มีผลมาก ทานที่ให้ในสงฆ์ย่อมมีผลมาก ฯ จบสูตรที่ ๙ __________________________________________________________ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต http://www.84000.org/tipitaka/read/?23/149/301 (http://www.84000.org/tipitaka/read/?23/149/301) อัฏฐกนิทเทส [บุคคล ๘ จำพวก] [๑๕๐] บุคคลผู้พร้อมเพียงด้วยมรรค ๔ ผู้พร้อมเพียงด้วยผล ๔ เป็นไฉนบุคคลผู้เป็นพระโสดาบัน บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล บุคคลผู้เป็นพระสกทาคามี บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งสกทาคามิผล บุคคลผู้เป็นพระอนาคามี บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผล บุคคลผู้เป็นพระอรหันต์ บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเป็นพระอรหันต์ เหล่านี้ชื่อว่า บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยมรรค ๔ ผู้พร้อมเพรียงด้วยผล ๔ อัฏฐกนิทเทส จบ _________________________________________________________ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๖ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๓ ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์ http://www.84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=36.2&item=150&items=1&preline=0&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=36.2&item=150&items=1&preline=0&pagebreak=0) ans1 ans1 ans1 ความหมายของ พระอริยมรรค หรือ พระอริยผล ตามที่คุณwaterman ถามมานั้น หากจะเรียกให้รัดกุม น่าจะใช้คำว่า อริยบุคคล ๘ ซึ่งแบ่งเป็น มรรค ๔ และผล ๔ เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการเรียงลำดับอริยบุคคลนั้น "ในบาลียกผลขึ้นมาก่อน" ถามว่า บุคคลผู้ตั้งอยู่ในมรรค กับ บุคคลผู้ตั้งอยู่ในผล ต่างกันอย่างไร ตอบว่า หากอธิบายตามตัวอักษร ที่อรรถกถาจารย์ยกมาแสดงไว้นั้น เข้าใจยากครับ น่าจะอธิบายด้วยวิปัสสนาญาณ จะเข้าใจได้ง่ายกว่า (อ่านเอาเองนะครับ) แต่ก็อีกนั่นแหละ วิปัสสนาญาณเป็นเรื่อง "ปัจจัตตัง ต้องรู้ด้วยตนเอง" อ่านไปก็อาจเข้าใจตามนั้น เปรียบเสมือนทัพพีที่อยู่ในหม้อแกง ทัพพีมัน...ไม่เคยรู้รสชาติของแกงเลย :25: :25: :25: |