ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มงคลพระแก้วมรกต : ตอนที่ 1  (อ่าน 1764 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28527
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
มงคลพระแก้วมรกต : ตอนที่ 1
« เมื่อ: มกราคม 03, 2014, 08:32:02 am »
0


มงคลพระแก้วมรกต : ตอนที่ 1

ขึ้นปีใหม่ปี พ.ศ.2557 แล้วนะครับ ช่วงที่ผ่านมาหลายท่านก็ได้ไปทำบุญสวดมนต์ไหว้พระกันตามวัดตามวาต่างๆ กันมาแล้วนะครับ ผมคิดว่ายังมีวัดสำคัญสำหรับคนไทยที่ถือเป็นวัดสำคัญและเป็นยิ่งกว่าศุภมงคลทั้งปวงคือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้วครับ และพระพุทธรูปที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยเรา ก็ไม่พ้นไปจากพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกตได้เลย พระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานเป็นพระพุทธรูป ประธานในพระอุโบสถ และยังถือว่าเป็นพระพุทธรูปประธานแห่งพระพุทธรูปในประเทศไทยทั้งปวงอีกด้วย 

พระแก้วมรกตนี้ เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักขึ้นจากหินมีค่า ที่เรียกว่า หยกอ่อน ตรงกับภาษาอังกฤษว่า "เนฟไฟรต์" มีความพิเศษที่มีเนื้อหินเป็นสีเขียวเข้มคล้ายสีของมรกต ประกอบกับในสมัยนั้นยังไม่มีคำว่า "หยก" ใช้ ดังนั้น หินมีค่าที่ออกสีเขียวทั้งปวง ก็จะนิยมเรียกว่า "หินมรกต" และเมื่อนำมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป จึงเรียกว่า "พระแก้วมรกต" เพราะ "แก้ว" คือ หินใสที่ไม่ทึบแสง 

 :welcome: :welcome: :welcome:

ทางด้านนักประวัติศาสตร์ศิลปะและนักโบราณคดี จัดให้อยู่ในรูปแบบของสกุลช่างศิลปะก่อนเชียงแสนถึงศิลปะเชียงแสน หรือในปัจจุบันจะนิยมเรียกว่า สมัยล้านนายุคต้น กำหนดอายุอยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ถึงราวต้นพุทธศตวรรษที่ 20 คือ ราว พ.ศ. 1850 - ราวก่อน พ.ศ. 1950 มีขนาดความกว้างของหน้าตักจากเข่าถึงเข่าประมาณ 19 นิ้ว และส่วนสูงขององค์พระพุทธรูปอีกประมาณ 28 นิ้ว

ท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้เคยเล่าให้ผมฟังว่า ในส่วนที่อยู่ตอนใต้ขององค์พระแก้วมรกตนั้น ยังมีเนื้อหินหยกต่อเนื่องกับองค์พระพุทธรูปลงไป มีลักษณะเป็นเดือยหินหยกขนาดใหญ่มาก เนื้อหินหยกนั้นมีคุณภาพดี และมีสีเสมอเท่ากับองค์พระพุทธรูป มีความบริสุทธิ์ ไม่มีรอยร้าว หรือเส้นใดๆ ในเนื้อหินหยกเลย สามารถนำไปตัดออกเสมอฐานขององค์พระแก้วมรกต แล้วนำไปแกะสลักเป็นพระพุทธรูปใหม่ให้มีขนาดเท่าเทียมกันกับพระแก้วมรกตอีกองค์หนึ่งเลยทีเดียว ได้เคยมีผู้กราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วด้วย แต่ทรงมีพระราชวินิจฉัยไม่เห็นด้วย เพราะทรงเกรงว่าจะกระทบกระเทือน และเป็นอันตรายแก่องค์พระแก้วมรกต



สำหรับเรื่องราวความเป็นมาของพระแก้วมรกตนั้น มีการแต่งกันไว้หลายบท หลายตอน มีความตื่นเต้นเร้าใจในอภินิหารต่างๆ ยิ่งกว่านวนิยาย แต่เรื่องราวของพระแก้วมรกตที่ค่อนข้างเจนหู คือ เรื่องที่หลายท่านคงเคยได้ยินคำเล่าลือกันมาแต่โบร่ำโบราณแล้วว่า ได้มีการอัญเชิญมาจากนครเวียงจันทน์ของลาว ทำให้ในบางครั้งที่พี่น้องชาวลาวที่เดินทางมากราบไหว้บูชาก็อด "น้ำไหลออกตา" ไม่ได้ จนบางครั้ง บางคนถึงกับรำพันตัดพ้อว่า คนไทยไปยกมาจากเมืองลาวอะไรทำนองนี้

วันนี้เป็นวันดี เป็นวันต้นๆ ของปีใหม่ ผมจึงขอถือโอกาสนำเรื่องราวอันเป็นมงคลมาเล่าสู่กันฟัง นั่นคือ ประวัติของพระแก้วมรกตครับ แต่ประวัติที่ผมจะเล่านี้ จะเป็นประวัติในยุคสมัยที่มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร สามารถตรวจสอบ ตรวจทานพิสูจน์ได้เท่านั้น จะไม่ขอเล่าประวัติในเชิงตำนาน หรือต้องตำนานๆ จึงจะเชื่อถือได้ เช่น พระอินทร์สร้าง พระพรหมแปลง หรืออะไรเทือกนั้นนะครับ

 :25: :25: :25:

พระแก้วมรกตสร้างโดยใคร สร้างเมื่อไหร่ สร้างขึ้นที่ไหน ไม่มีใครรู้ พวกตำนานทั้งหลายก็ว่ากันไปอย่างสนุกสนาน แต่ไม่ว่าตำนานหรือตำนานๆ จะว่ากันไว้อย่างไรก็ตาม นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ศิลปะก็ต้องยึดเอารูปพุทธศิลป์และพุทธลักษณะเป็นหลัก หากตำนานใดขัดแย้งกับรูปแบบพุทธศิลปะก็ต้องตกไป

พระแก้วมรกตถูกค้นพบในกรุของพระเจดีย์ขนาดย่อม ที่วัดป่าญะ หรือวัดป่าเยี้ยะ หรือวัดป่าเหี้ยะ อันแปลว่า วัดป่าไผ่ ตำบลในเวียง ในตัวจังหวัดเชียงราย ปัจจุบัน คือ วัดพระแก้ว เชียงราย อำเภอเมืองจังหวัดเชียงราย เชื่อกันว่า

กษัตริย์แห่งเมืองเชียงรายขณะนั้น คือ เจ้ามหาพรหม ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระเจ้ากือนา เจ้าผู้ครองหัวเมืองฝ่ายเหนือสามหัวเมือง คือ เชียงราย เชียงแสน และเมืองฝาง ได้นำปูนเข้าพอกทับองค์พระพุทธเดิมที่เป็นหยกเขียว และได้ลงรักปิดทองทับไว้ จนดูไม่ออกเลยว่า มีเนื้อหินมีค่าซ่อนอยู่ภายใน และได้อัญเชิญเข้าประดิษฐานไว้ในกรุขององค์พระเจดีย์ เพื่อซ่อนข้าศึก ซึ่งในขณะนั้น คือ เมืองเชียงใหม่ ต่อมาเมื่อเมืองเชียงรายแพ้สงคราม และตกเป็นเมืองขึ้นของเมืองเชียงใหม่แล้ว เรื่องราวของพระแก้วมรกตก็เงียบหายไปพร้อมๆ กับการสูญหายของพระพุทธรูปองค์นี้



ต่อมาในปี พ.ศ. 1979 ได้เกิดฟ้าผ่าลงที่องค์พระเจดีย์ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ทำให้องค์เจดีย์ทลาย ชำรุดลง พบว่ามีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายใน จึงได้อัญเชิญออกมาไว้ที่โถงของพระวิหารของวัด เมื่อโดนลมโกรกและไอแดดไม่นาน รักและปูนที่หุ้มองค์พระพุทธรูปก็แห้งร้าว จึงเกิดรอยกะเทาะขึ้นที่ปลายพระนาสิกหรือปลายจมูก เมื่อเจ้าอาวาสและผู้คนทั้งหลายเห็นเข้า จึงชวนกันกะเทาะรักและปูนที่ฉาบองค์พระพุทธรูปนั้นออกจนหมด พบว่าเป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ พระหัตถ์แสดงปางสมาธิ เนื้อเป็นหิน สีเขียวเข้มคล้ายมรกต จึงเรียกขานนามพระพุทธรูปตามที่ตาเห็นว่า "พระแก้วมรกต"

ในขณะนั้นเมืองเชียงรายได้ตกเป็นเมืองขึ้นของเมืองเชียงใหม่แล้ว และกษัตริย์ที่ปกครองในขณะนั้น คือ พระเจ้าสามฝั่งแกน ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ เมื่อทรงทราบเรื่องราวอันเป็นที่น่าปีติยินดีเช่นนี้ จึงได้ทรงจัดกระบวนช้างไปอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมาประดิษฐาน ณ เมืองเชียงใหม่ อันเป็นเมืองหลวง

แต่เกิดเหตุอัศจรรย์กับช้างทรงที่ใช้อัญเชิญพระแก้วมรกต เมื่อเดินลงมาจากเมืองเชียงราย และถึงทางสามแพร่ง หากเลี้ยวซ้ายจะไปเมืองเชียงใหม่ หากเลี้ยวขวาจะไปเมืองลำปาง ปรากฏว่าช้างที่ทรงพระแก้วมรกตกลับเตลิดจะเลี้ยวไปแต่ทางขวาถึง 3 ครั้ง ควาญช้างจะบังคับอย่างไรก็ไม่ยอม จนถึงขั้นได้เปลี่ยนช้างทรงอีกเชือกหนึ่งแทน การก็ยังคงเป็นไปตามเดิม 

 st12 st12 st12

พระเจ้าสามฝั่งแกนนั้นทรงเชื่อถือในเรื่องของผีและเทวดาอยู่เป็นอันมากเป็นทุนเดิมมาตลอดอยู่แล้ว เมื่อเกิดเหตุดังกล่าวนี้ขึ้น จึงทรงคิดว่า ผีที่ปกปักรักษาพระแก้วมรกต ไม่ประสงค์จะมาสถิตยังเมืองเชียงใหม่ จึงต้องทรงยอมให้อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระแก้วดอนเต้า เมืองลำปาง เพราะขณะนั้นเมืองลำปางเอง ก็เป็นเมืองขึ้นของเมืองเชียงใหม่

ครั้นเวลาผ่านไปราว 32 ปี ในปีพุทธศักราช 2011 ตรงกับรัชกาลของพระเจ้าติโลกราช ได้ทรงดำริถึงพระบุญญาธิการของพระองค์ จึงโปรดให้ไปอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับคืนมา ณ เมืองเชียงใหม่ ซึ่งก็เป็นไปได้โดยราบรื่น ได้โปรดให้อัญเชิญขึ้นประดิษฐาน ณ ซุ้มด้านทิศตะวันออก บนองค์เรือนธาตุของพระมหาเจดีย์ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร 



ครั้นกาลเวลาล่วงผ่านไปจนถึงปี พ.ศ. 2094 ราชบัลลังก์เมืองเชียงใหม่ว่างลง หาพระราชโอรสนัดดาที่เป็นชายขึ้นครองราชย์ไม่ได้ เหล่าบรรดาเสนามาตย์จึงได้พร้อมใจกันไปเชิญพระเจ้าไชยเชษฐา หรือลาวเรียกว่าพระไชยเชษโฐ หรือเชษฐวังโส ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าโพธิสารราชกับพระราชมารดาที่เป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงเชียงใหม่องค์ก่อน และขณะนั้นได้ประทับอยู่ ณ กรุงศรีสัตนาคนหุต (หลวงพระบาง) ให้มาครองเมืองเชียงใหม่ต่อจากพระอัยกา ในปี พ.ศ. 2088/2089 ในฐานะที่ทรงมีสายเลือดล้านนาไทยทางพระราชมารดา 

ครั้นต่อมาเพียง 2 ปีเศษ เมื่อพระเจ้าโพธิสารผู้เป็นพระราชบิดาได้เสด็จออกประพาสป่า เพื่อคล้องช้าง และได้ทรงถูกช้างล้มทับ ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อเสด็จกลับเข้าเมืองก็มีพระชนม์ต่อมาได้เพียง 3 สัปดาห์ ก็สิ้นพระชนม์ลง ทางกรุงศรีสัตนาคนหุต จึงได้กราบทูลเชิญให้พระเจ้าไชยเชษฐาเสด็จกลับไปครองเมืองหลวงพระบางแทน ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่

แต่ก่อนที่จะเสด็จกลับบ้านเกิดของพระองค์นั้น พระองค์ได้ทรง "ขอยืม" พระแก้วมรกต และพระพุทธสิหิงค์กลับไปหลวงพระบางด้วย โดยทรงอ้างว่า จะให้พระญาติพระวงศ์ทางนั้นได้กราบไหว้บูชาเสียก่อน แล้วจึงจะส่งคืนกลับเมืองเชียงใหม่ ที่หลวงพระบางนั้นได้โปรดให้ประดิษฐานพระแก้วมรกตไว้ ณ วัดวิชุลณราช หรือวัดพระธาตุหมากโม

 gd1 gd1 gd1

แต่การ "ขอยืม" ในครั้งนั้นค่อนข้างจะเป็นการ "ยืมลืม" เสียมากกว่า เพราะเมื่อเสนาบดีเมืองเชียงใหม่ไปทูลขอคืน ก็ทรงคืนกลับมาแต่พระพุทธสิหิงค์เพียงองค์เดียว

ต่อมาในปี พ.ศ. 2107 พระเจ้าไชยเชษฐาได้ทรงย้ายราชธานีจากเมืองหลวงพระบางไปอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย การย้ายราชธานีในครั้งนี้เป็นไปเพราะทรงได้รับทราบว่า กองทัพพม่าได้มีชัยชนะเหนือกรุงศรีอยุธยาแล้ว โดยทางฝ่ายอยุธยาได้ยินยอมเจรจาสงบศึก ยอมเป็นเมืองขึ้นกับหงสาวดี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิยอมสละราชสมบัติให้พระราชโอรสขึ้นครองราชย์แทน และยอมเสด็จไปเป็นตัวประกันที่กรุงหงสาวดี ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ จึงทรงเกรงว่า กองทัพพม่าจะยกล่วงต่อเข้ามาตีเมืองหลวงพระบาง เพราะระยะทางก็ไม่ห่างไกลกับสยามมากนัก ดังนั้นพระแก้วมรกตจึงได้ไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์แต่นั้นมา

อันนี้ขอนอกเรื่องไปสักนิดนะครับ แม้ว่าพระเจ้าไชยเชษฐาจะทรงยำเกรงทัพพม่ามากเพียงไรก็ตาม จนถึงขนาดยอมย้ายราชธานีมาสร้างเมืองเวียงจันทน์แล้วก็ตาม ในปีที่พระองค์เสด็จสวรรคต คือ พ.ศ. 2114 พระมเหสีของพระองค์ได้ประสูติพระราชโอรส ทรงพระนามว่า เจ้าชายหน่อแก้วกุมาร

ต่อมาอีกเพียง 3 ปี ราว พ.ศ. 2117-2118 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง กษัตริย์พม่าก็ได้ยกทัพมาตีลาว และได้รับชัยชนะ และทรงนำโอรสองค์เดียวของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ซึ่งประสูติในปีที่เสด็จสวรรคต ไปเป็นตัวประกันที่เมืองหงสาวดีด้วย 



ต่อจากนั้นมาเป็นเวลาหลายปี แผ่นดินลาวก็วุ่นวายด้วยเรื่องการสืบราชสมบัติจน พ.ศ. 2134 พระเถระเจ้าอาวาสวัดต่างๆ จึงได้ประชุมกันลงมติให้ส่งทูตไปเชิญเสด็จเจ้าชายหน่อแก้วกุมาร ซึ่งเป็นตัวประกันอยู่ประเทศพม่า กลับมาครองราชย์ ประกอบกับในเวลานั้นเป็นเวลาที่พระเจ้าบุเรงนองได้เสด็จสวรรคตไปแล้ว ฝ่ายพม่าเองก็เริ่มเสื่อมถอยอ่อนแอลง จึงยินยอมตามคำร้องขอนั้น ดังนั้นเจ้าชายหน่อแก้วกุมาร ซึ่งเจริญพระชนมพรรษา 21 พรรษา จึงได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2135 และประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นกับพม่าอีกต่อไป

กลับมาที่พระแก้วมรกตอีกครั้งนะครับ หลังจากที่เสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า ในปี พ.ศ. 2310 ลาวได้ตั้งตนเป็นเอกราช ไม่ขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาอีกต่อไป ครั้นถึงแผ่นดินของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อทรงกอบกู้เอกราชคืนจากพม่าแล้ว และได้ทรงรวบรวมประเทศชาติบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น ในปี พ.ศ.2321 ได้ทรงส่งเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปตีเมืองเวียงจันทน์ ให้กลับคืนมาเป็นประเทศราชของสยามดังเดิม ในการนี้ได้มีการอัญเชิญพระแก้วมรกตมาสู่กรุงธนบุรีด้วย

 st12 st12 st12

พระแก้วมรกตที่อัญเชิญมายังสยามประเทศในสมัยกรุงธนบุรีนั้น เชื่อกันว่าได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ วิหารน้อย วัดอรุณราชวราราม และประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้เรื่อยมา จนเมื่อเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สถาปนาพระราชวงศ์จักรี และกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้น ในปี พ.ศ. 2325 จึงได้ทรงย้ายราชธานี และสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อแล้วเสร็จจึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ ณ วัดประจำพระนครแห่งใหม่นี้สืบมาจนปัจจุบัน พระราชทานนามพระแก้วมรกตอย่างเป็นทางการว่า "พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร"

วันนี้ขอยุติเรื่องราวของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกตไว้เพียงเท่านี้ก่อนครับ สัปดาห์หน้าผมจะนำเรื่องราวรายละเอียดต่างๆ อันเป็นมงคลของพระแก้วมรกตมาเล่าสู่กันฟังอีกต่อไปครับ ขอให้ทุกท่านมีสติที่จะดำเนินชีวิตไปในทางที่ดี ที่เหมาะ ที่ควรต่อไป ในปี พ.ศ.2557 นี้ด้วยครับ.

เผ่าทอง  ทองเจือ


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/393157
http://www.buchasangkapan.com/
http://news.tlcthai.com/
http://www.thaitravels.net/
http://www.larnbuddhism.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มงคลพระแก้วมรกต : ตอนที่ 1
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 03, 2014, 08:53:08 am »
0
 st11 thk56
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

drift-999

  • ศิษย์ตรง
  • พอพึ่งพาได้
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 239
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มงคลพระแก้วมรกต : ตอนที่ 1
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 03, 2014, 06:37:08 pm »
0
 st11 st12
บันทึกการเข้า