ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จูฬกัมมวิภังคสูตร ว่าด้วยการจำแนกกรรม สูตรเล็ก  (อ่าน 3823 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

มหายันต์

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 154
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
จูฬกัมมวิภังคสูตร

     ว่าด้วยการจำแนกกรรม  สูตรเล็ก

     [๒๘๙]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
         สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี  สมัยนั้นแล  สุภมาณพโตเทยยบุตร  เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  แล้วได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ  พอเป็นที่ระลึกถึงกัน  แล้วนั่ง  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

     “ท่านพระโคดม  อะไรหนอ  เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์ที่เกิดเป็นมนุษย์ปรากฏเป็นคนเลวและคนดี  คือ  มนุษย์ทั้งหลายย่อมปรากฏว่ามีอายุสั้น  มีอายุยืน  มีโรคมาก  มีโรคน้อย  มีผิวพรรณทราม  มีผิวพรรณดี  มีอำนาจน้อย  มีอำนาจมากมีโภคะน้อย  มีโภคะมาก  เกิดในตระกูลต่ำ  เกิดในตระกูลสูง  มีปัญญาน้อย มีปัญญามาก


        ท่านพระโคดม  อะไรหนอ  เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มนุษย์ทั้งหลายที่เกิดเป็นมนุษย์ปรากฏเป็นคนเลวและคนดี”

{ที่มา : พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๔ หน้า :๓๔๙- ๓๕๐ }
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 31, 2011, 10:28:54 am โดย mahayan »
บันทึกการเข้า

มหายันต์

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 154
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
นิพเพธิกสูตร ว่าด้วยธรรมปริยายชำแรกกิเลส
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2011, 10:24:12 am »
0
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ ๗๖๖
           

นิพเพธิกสูตร

ว่าด้วยธรรมปริยายชำแรกกิเลส

 

               [๓๓๔]   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    เราจักแสดงธรรมปริยายที่เป็น

    ปริยาย     เป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลสแก่เธอทั้งหลาย   เธอทั้ง

    หลายจงฟัง   จงใส่ใจให้ดี   เราจักกล่าว    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มี

    พระภาคเจ้าแล้ว      พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

    ก็ธรรมปริยาย   ที่เป็นปริยายเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลสนั้นเป็น

    ไฉน

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    เธอทั้งหลายพึงทราบกาม   เหตุเกิดแห่ง

    กาม  ความต่างแห่งกาม  วิบากแห่งกาม  ความดับแห่งกาม ปฏิปทาที่

    ให้ถึงความดับกาม

            เธอทั้งหลายพึงทราบเวทนา  เหตุเกิดแห่งเวทนา ความต่างแห่ง

    เวทนา  วิบากแห่งเวทนา  ความดับแห่งเวทนา   ปฏิปทาที่ให้ถึงความ

    ดับเวทนา

            เธอทั้งหลายพึงทราบสัญญา    เหตุเกิดแห่งสัญญา   ความต่าง

    แห่งสัญญา  วิบากแห่งสัญญา   ความดับแห่งสัญญา   ปฏิปทาที่ให้ถึง

    ความดับสัญญา

            เธอทั้งหลายพึงทราบอาสวะ เหตุเกิดแห่งอาสวะ ความต่างแห่ง

    อาสวะ  วิบากแห่งอาสวะ  ความดับแห่งอาสวะ   ปฏิปทาที่ให้ถึงความ

    ดับอาสวะ

            เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม   เหตุเกิดแห่งกรรม   ความต่างแห่ง

    กรรม  วิบากแห่งกรรม    ความดับแห่งกรรม   ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับ

    กรรม

            เธอทั้งหลายพึงทราบทุกข์   เหตุแห่งทุกข์   ความต่างแห่งทุกข์

    วิบากแห่งทุกข์    ความดับแห่งทุกข์  ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับทุกข์.

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   ข้อที่เรากล่าวนี้ว่า  เธอทั้งหลายพึงทราบ

    กามเหตุเกิดแห่งกาม    ความต่างแห่งกาม  วิบากแห่งกาม   ความดับ

    แห่งกามปฏิปทาที่ให้ถึงความดับกามนั้น  เราอาศัยอะไรกล่าว   ดูก่อน

    ภิกษุทั้งหลาย  กามคุณ  ๕  ประการนี้    คือ รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยตา  อัน

    น่าปรารถนา   น่าใคร่น่าพอใจ  เป็นที่รัก  ยั่วยวนชวนให้กำหนัด  เสียง

    ที่พึงรู้แจ้งด้วยหู. . .   กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยจมูก. . .รสที่พึงรู้แจ้งด้วยลิ้น

    . . . โผฏฐัพพะที่พึงรู้ด้วยกายอันน่าปรารถนา น่าใคร่  น่าพอใจ เป็นที่

    รัก    ยั่วยวน   ชวนให้กำหนัด  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็แต่ว่าสิ่งเหล่านี้

    ไม่ชื่อว่ากาม  สิ่งเหล่านี้เรียกว่ากามคุณในวินัยของพระอริยเจ้า.

             พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา  ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิต

    นี้จบลงแล้ว  จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์นี้ต่อไปอีกว่า

                          ความกำหนัดที่เกิดด้วยสามารถแห่ง

                ความดำริของบุรุษ  ชื่อว่ากาม   อารมณ์อัน

                วิจิตรทั้งหลายในโลกไม่ชื่อว่ากาม     ความ

                กำหนัดที่เกิดขึ้น      ด้วยสามารถแห่งความ

                ดำริของบุรุษ   ชื่อว่ากาม  อารมณ์อันวิจิตร

                ทั้งหลายในโลก   ย่อมตั้งอยู่ตามสภาพของ     

                ตน       ส่วนว่า    ธีรชนทั้งหลายย่อมกำจัด 

                ความพอใจ  ในอารมณ์อันวิจิตรเหล่านั้น.

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เหตุเกิดแห่งกามเป็นไฉน   คือ  ผัสสะเป็น

    เหตุเกิดแห่งกามทั้งหลาย ก็ความต่างกันแห่งกามเป็นไฉน   คือ   กาม

    ในรูปเป็นอย่างหนึ่ง  กามในเสียงเป็นอย่างหนึ่ง  กามในกลิ่นเป็นอย่าง

    หนึ่ง  กามในรสเป็นอย่างหนึ่ง  กามในโผฏฐัพพะเป็นอย่างหนึ่ง นี้เรียก

    ว่าความต่างกันแห่งกาม     วิบากแห่งกามเป็นไฉน  คือ การที่บุคคลผู้

    ใคร่อยู่ ย่อมยังอัตภาพที่เกิดขึ้นจากความใคร่นั้นๆ ให้เกิดขึ้น เป็นส่วน

    บุญหรือเป็นส่วนมิใช่บุญ   นี้เรียกว่าวิบากแห่งกาม   ความดับแห่งกาม

    เป็นไฉน  คือ ความดับแห่งกามเพราะผัสสะดับ  อริยมรรคอันประกอบ

    ด้วยองค์  ๘  ประการนี้แล  คือ    สัมมาทิฏฐิ   สัมมาสังกัปปะ  สัมมา

    วาจา    สัมมากัมมันตะ    สัมมาอาชีวะ    สัมมาวายามะ     สัมมาสติ

    สัมมาสมาธิ  เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกาม  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

    ก็เมื่อใด   อริยสาวกย่อมทราบชัดกาม   เหตุเกิดแห่งกาม    ความต่าง

    แห่งกาม   วิบากแห่งกาม  ความดับแห่งกาม    ปฏิปทาให้ถึงความดับ

    แห่งกามอย่างนี้ๆ  เมื่อนั้น อริยสาวกนั้น ย่อมทราบชัดพรหมจรรย์  อัน

    เป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส   เป็นที่ดับแห่งกาม  ข้อที่เรากล่าว

    ว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายพึงทราบกาม  ฯลฯ ปฏิปทาให้

    ถึงความดับแห่งกาม    ดังนี้นั้นเราอาศัยข้อนี้กล่าว.

               ข้อที่เรากล่าวว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย พึงทราบ

    เวทนา ฯลฯ  ปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งเวทนา ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไร

    กล่าว     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย     เวทนา ๓ ประการนี้   คือ  สุขเวทนา

    ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ก็เหตุเกิดแห่งเวทนาเป็นไฉน คือผัสสะ

    เป็นเหตุเกิดแห่งเวทนา   ก็ความต่างกันแห่งเวทนาเป็นไฉน   คือ   สุข

    เวทนาที่เจือด้วยอามิสมีอยู่  สุขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอามิสมีอยู่  ทุกข-

    เวทนาที่เจือด้วยอามิสมีอยู่   ทุกขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอามิสมีอยู่ อทุก

    ขมสุขเวทนาที่เจือด้วยอามิสมีอยู่  อทุกขมสุขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอา-

    มิสมีอยู่  นี้เรียกว่า  ความต่างแห่งเวทนา     วิบากแห่งเวทนาเป็นไฉน

    คือ การที่บุคคลผู้เสวยเวทนาอยู่   ย่อมยังอัตภาพที่เกิดขึ้นจากเวทนา

    นั้นๆ ให้เกิดขึ้น    เป็นส่วนบุญหรือเป็นส่วนมิใช่บุญ     นี้เรียกว่าวิบาก

    แห่งเวทนา   ก็ความดับแห่งเวทนาเป็นไฉน  คือ  ความดับแห่งเวทนา

    ย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับแห่งผัสสะ    อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์

    ๘ ประการนี้แล คือ  สัมมาทิฏฐิ  ฯลฯ  สัมมาสมาธิ     เป็นข้อปฏิบัติที่

    ให้ถึงความดับแห่งเวทนา      ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็เมื่อใดอริยสาวก

    ย่อมทราบชัดเวทนา     เหตุเกิดแห่งเวทนา    ความต่างกันแห่งเวทนา

    วิบากแห่งเวทนา   ความดับแห่งเวทนา   ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่ง

    เวทนาอย่างนี้ๆ เมื่อนั้น  อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัดพรหมจรรย์อันเป็น

    ไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส    เป็นที่ดับเวทนานี้   ข้อที่เรากล่าวว่า

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    เธอทั้งหลายพึงทราบเวทนา ฯลฯ ปฏิปทาที่ให้

    ถึงความดับเวทนา  ดังนี้นั้น  เราอาศัยข้อนี้กล่าว.

              ข้อที่เรากล่าวว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   เธอทั้งหลายพึงทราบ

    สัญญา ฯลฯ    ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งสัญญา ดังนี้นั้น  เราอาศัย

    อะไรกล่าว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  สัญญา ๖ ประการนี้  คือ รูปสัญญา

    สัททสัญญา  คันธสัญญา  รสสัญญา   โผฏฐัพพสัญญา   ธรรมสัญญา

    เหตุเกิดแห่งสัญญาเป็นไฉน คือ ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งสัญญา  ก็ความ

    ต่างแห่งสัญญาเป็นไฉน  คือ  สัญญาในรูปเป็นอย่างหนึ่ง    สัญญาใน

    เสียงเป็นอย่างหนึ่ง    สัญญาในกลิ่นเป็นอย่างหนึ่ง   สัญญาในรสเป็น

    อย่างหนึ่ง   สัญญาในโผฏฐัพพะเป็นอย่างหนึ่ง  สัญญาในธรรมารมณ์

    เป็นอย่างหนึ่ง    นี้เรียกว่าความต่างแห่งสัญญา    ก็วิบากแห่งสัญญา

    เป็นไฉน    คือ   เราย่อมกล่าวว่าสัญญาว่ามีคำพูดเป็นผล  (เพราะว่า)

    บุคคลย่อมรู้สึกโดยประการใดๆ ก็ย่อมพูดโดยประการนั้นๆ ว่า  เราเป็น

    ผู้มีความรู้สึกอย่างนั้น     นี้เรียกว่าวิบากแห่งสัญญา    ก็ความดับแห่ง

    สัญญาเป็นไฉน คือ ความดับแห่งสัญญา   ย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับ

    แห่งผัสสะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์  ๘  ประการนี้แล คือ  สัมมา

    ทิฏฐิ  ฯลฯ  สัมมาสมาธิ   เป็นปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งสัญญา   ดู

    ก่อนภิกษุทั้งหลาย   ก็เมื่อใด อริยสาวกย่อมทราบชัดสัญญา  เหตุเกิด

    แห่งสัญญา  ความต่างแห่งสัญญา   วิบากแห่งสัญญา    ความดับแห่ง

    สัญญา  ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งสัญญาอย่างนี้ๆ เมื่อนั้นอริยสาวก

    นั้น  ย่อมทราบชัดพรหมจรรย์   อันเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส

    ข้อที่เรากล่าวว่า    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายพึงทราบสัญญา

    ฯลฯ  ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับสัญญา  ดังนี้นั้น    เราอาศัยข้อนี้กล่าว.

               ข้อที่กล่าวว่า    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    เธอทั้งหลายพึงทราบ

    อาสวะ ฯลฯ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งอาสวะ   ดังนี้นั้น    เราอาศัย

    อะไรกล่าว   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  อาสวะ ๓ ประการ  คือ   กามาสวะ

    ภวาสวะ  อวิชชาสวะ     ก็เหตุเกิดแห่งอาสวะเป็นไฉน คือ อวิชชาเป็น

    เหตุเกิดอาสวะ    ก็ความต่างแห่งอาสวะเป็นไฉน คือ อาสวะที่เป็นเหตุ

    ให้ไปสู่นรกก็มี  ที่เป็นเหตุให้ไปสู่กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็มี  ที่เป็นเหตุไป

    สู่เปรตวิสัยก็มี   ที่เป็นเหตุให้ไปสู่มนุษยโลกก็มี ที่เป็นเหตุให้ไปสู่เทว-

    โลกก็มี    นี้เรียกว่าความต่างแห่งอาสวะ   ก็วิบากแห่งอาสวะเป็นไฉน

    คือ การที่บุคคลมีอวิชชา ย่อมยังอัตภาพที่เกิดจากอวิชชานั้นๆ ให้เกิด

    ขึ้น  เป็นส่วนบุญหรือเป็นส่วนมิใช่บุญ    นี้เรียกว่าวิบากแห่งอาสวะ  ก็

    ความดับแห่งอาสวะเป็นไฉน  คือ  ความดับแห่งอาสวะย่อมเกิดเพราะ

    ความดับแห่งอวิชชา  อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์  ๘  ประการนี้แล

    คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ      เป็นปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่ง

    อาสวะ   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   ก็เมื่อใดอริยสาวกย่อมทราบชัดอาสวะ

    เหตุเกิดแห่งอาสวะ  ความต่างแห่งอาสวะ วิบากแห่งอาสวะ  ความดับ

    แห่งอาสวะ    ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งอาสวะอย่างนี้ๆ      เมื่อนั้น

    อริยสาวกนั้น     ย่อมทราบชัดพรหมจรรย์    อันเป็นไปในส่วนแห่งการ

    ชำแรกกิเลส     เป็นที่ดับอาสวะนี้    ข้อที่เรากล่าวว่า   ดูก่อนภิกษุทั้ง

    หลาย     เธอทั้งหลายพึงทราบอาสวะ ฯลฯ   ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับ

    แห่งอาสวะ   ดังนี้นั้น     เราอาศัยข้อนี้กล่าว.

               ข้อที่เรากล่าวว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบ

    กรรม ฯลฯ     ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรม   ดังนี้นั้น    เราอาศัย

    อะไรกล่าว    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม  บุคคล

    คิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย   ด้วยวาจา   ด้วยใจ      ก็เหตุเกิดแห่ง

    กรรมเป็นไฉน คือ ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งกรรม    ก็ความต่างแห่งกรรม

    เป็นไฉน  คือ  กรรมที่ให้วิบากในนรกก็มี ที่ให้วิบากในกำเนิดสัตว์ดิรัจ-

    ฉานก็มี  ที่ให้วิบากในเปรตวิสัยก็มี   ที่ให้วิบากในมนุษยโลกก็มี   ที่ให้

    วิบากในเทวโลกก็มี นี้เรียกว่าความต่างแห่งกรรม ก็วิบากแห่งกรรมเป็น

    ไฉน คือ เราย่อมกล่าววิบากแห่งกรรมว่ามี  ๓  ประการ  คือ กรรมที่ให้

    ผลในปัจจุบัน  ๑  กรรมที่ให้ผลในภพที่เกิด   ๑     กรรมที่ให้ผลในภพ

    ต่อๆ ไป ๑  นี้เรียกว่าวิบากแห่งกรรม   ความดับแห่งกรรมเป็นไฉน คือ

    ความดับแห่งกรรมย่อมเกิดขึ้น    เพราะความดับแห่งผัสสะ  อริยมรรค

    อันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ

    เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกรรม    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   ก็เมื่อใด

    อริยสาวกย่อมทราบชัด กรรม  เหตุเกิดแห่งกรรม  ความต่างแห่งกรรม

    วิบากแห่งกรรม  ความดับแห่งกรรม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรม

    อย่างนี้ๆ  เมื่อนั้นอริยสาวกนั้น  ย่อมทราบชัดพรหมจรรย์ อันเป็นไปใน

    ส่วนแห่งความชำแรกกิเลสเป็นที่ดับกรรมนี้    ข้อที่เรากล่าวว่า  ดูก่อน

    ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม ฯลฯ  ปฏิปทาที่ให้ถึงความ

    ดับแห่งกรรม   ดังนี้นั้น  เราอาศัยข้อนี้กล่าว.

                ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายพึงทราบ

    ทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความต่างแห่งทุกข์   วิบากแห่งทุกข์  ความดับ

    แห่งทุกข์ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งทุกข์  ดังนี้นั้น     เราอาศัยอะไร

    กล่าว    แม้ชาติก็เป็นทุกข์  แม้ชราเป็นทุกข์  แม้พยาธิก็เป็นทุกข์   แม้

    มรณก็เป็นทุกข์ แม้โสกะ  ปริเทวะ  ทุกข์  โทมนัส  อุปายาสก็เป็นทุกข์

    ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์     โดยย่ออุปทานขันธ์  ๕  เป็น

    ทุกข์   ก็เหตุเกิดแห่งทุกข์เป็นไฉน คือ  ตัณหาเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์  ก็

    ความต่างแห่งทุกข์เป็นไฉน   คือ  ทุกข์มากก็มี  ทุกข์น้อยก็มี   ทุกข์ที่

    คลายช้าก็มี  ทุกข์ที่คลายเร็วก็มี  นี้เรียกว่าความต่างแห่งทุกข์  ก็วิบาก

    แห่งทุกข์เป็นไฉน  คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ถูกทุกข์อย่างใดครอบงำ

    มีจิตอันทุกข์อย่างใดกลุ้มรุม    ย่อมเศร้าโศก   ลำบาก   รำพัน ทุบอก

    คร่ำครวญ  ถึงความหลง   ก็หรือบางคนถูกทุกข์ใดครอบงำแล้ว   มีจิต

    อันทุกข์ใดกลุ้มรุมแล้ว         ย่อมแสวงหาเหตุปลดเปลื้องทุกข์ในภาย

    นอกว่าใครจะรู้ทางเดียวหรือสองทางเพื่อดับทุกข์นี้ได้  ดูก่อนภิกษุทั้ง

    หลาย   เรากล่าวทุกข์ว่ามีความหลงใหลเป็นผล  หรือว่ามีการแสวงหา

    เหตุปลดเปลื้องทุกข์ภายนอกเป็นผล  นี้เรียกว่าวิบากแห่งทุกข์ ก็ความ

    ดับแห่งทุกข์เป็นไฉน คือ ความดับแห่งทุกข์ย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับ

    แห่งตัณหา  อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้แล  คือ สัมมา

    ทิฏฐิ ฯลฯ  สัมมาสมาธิ  เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งทุกข์    ดูก่อน

    ภิกษุทั้งหลาย     ก็เมื่อใด   อริยสาวกย่อมทราบชัดทุกข์  เหตุเกิดแห่ง

    ทุกข์  ความต่างแห่งทุกข์  วิบากแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์  ปฏิปทา

    ให้ถึงความดับแห่งทุกข์ อย่างนี้ๆ     เมื่อนั้น   อริยสาวกนั้นย่อมทราบ

    ชัดพรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส     เป็นที่ดับทุกข์

    ข้อที่เรากล่าวว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบทุกข์ เหตุ

    เกิดแห่งทุกข์  ความต่างแห่งทุกข์ วิบากแห่งทุกข์    ความดับแห่งทุกข์

    ปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์  ดังนี้นั้น   เราอาศัยข้อนี้กล่าว.

               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นธรรมปริยายที่เป็นปริยาย    เป็น

    ไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส.

     

จบนิพเพธิกสูตรที่  ๙
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 31, 2011, 10:28:15 am โดย mahayan »
บันทึกการเข้า