ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มัชฌิมา นี้มีสาเหตุมาจาก พระอินทร์ใช่ไหมคะ  (อ่าน 8753 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

รักหนอ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +22/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 369
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
รักหนอ ได้ดู วีดีโอ ตอนที่ พระมหาบุรุึษได้ ปฏิบัติภาวนา ทรมานตนจนเป็นเวลา 6 ปี

ต่อมา พระอินทร์ เหมือนจะมาเตือนพระพุทธองค์ ด้วยการดีดพิณ ที่มี การขึงสายต่างกัน

เส้นหนึ่งตึง พอดีด ก็ขาด

เส้นหนึ่งหย่อน พอดีด ก็เสียงไม่กังวาน

เส้นหนึ่งขึงไม่ตีงไม่หย่อน ( พอดี ) พอดีดเสียงก็กังวานดี

พระมหาบุรุษ จึงได้เปลี่ยน พระทัยหันกลับมาปฏิบัติ แบบ ไม่โต่ง ไปทางซ้าย หรือ ทางขวา

ทำให้กลุ่ม ปัญจวัคคีย์ หนีจากพระองค์ไป

==========================================

จากเรื่อง วิเคราะห์ โดยส่วนตัวเห็นว่า พระอินทร์มาชี้นำทางสายกลาง แก่พระมหาบุรุษใช่หรือป่าวคะ

 :25: :25:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: มัชฌิมา นี้มีสาเหตุมาจาก พระอินทร์ใช่ไหมคะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2010, 11:25:27 pm »
0
ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา ปัญจวัคคีย์เฝ้าปฎิบัติ พระอินทร์ดีดพิณถวายข้ออุปมา


   ตอนนี้เป็นตอนที่พระมหาบุรุษบำเพ็ญทุกกรกิริยา  กลุ่มคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์นั้นคือ
คณะปัญจวัคคีย์  มี  ๕  คนด้วยกัน  คือ  โกณฑัญญะ  วัปปะ  ภัททิยะ  มหานามะ  และอัสสชิ  ทั้งหมดตาม
เสด็จพระมหาบุรุษออกมาเพื่อเฝ้าอุปัฏฐาก  ส่วนผู้ที่ถือพิณอยู่บนอากาศนั้นคือพระอินทร์

   คนหัวหน้าคือโกณฑัญญะ  เป็นคนหนึ่งในจำนวนพราหมณ์ ๘ คน  ที่เคยทำนายพระลักษณะ
ของเจ้าชายสิทธัตถะ  ตอนนั้นยังหนุ่ม  แต่ตอนนี้แก่มากแล้ว  อีก  ๔  คน  เป็นลูกของพราหมณ์  ที่เหลือ  คือ
ในจำนวนพราหมณ์  ๗  คนนั้น

   ทุกกรกิริยาเป็นพรตอย่างหนึ่งซึ่งนักบวชสมัยนั้นนิยมทำกัน  มีตั้งแต่อย่างต่ำธรรมดา  จนถึง
ขั้นอาการปางตายที่เกินวิสัยสามัญมนุษย์จะทำได้อย่างยิ่งยวด  ปางตาย  คือ  กัดฟัน  กลั้นลมหายใจเข้าออก 
และอดอาหาร

   พระมหาบุรุษทรงทดลองดูทุกอย่าง จนบางครั้ง  เช่น  คราวลดเสวยอาหารน้อยลงๆ  จนถึง
งดเสวยเลย   แทบสิ้นพระชนม์   พระกายซูบผอม   พระโลมา (ขน)   รากเน่าหลุดออกมา  เหลือแต่หนังหุ้ม
กระดูก  เวลาเสด็จดำเนินถึงกับซวนเซล้มลง

   ทรงทดลองดูแล้วก็ทรงประจักษ์ความจริง  ความจริงที่ว่านี้  กวีท่านแต่งเป็นปุคคลาธิษฐาน 
คือ  พระอินทร์ถือพิณสามสายมาทรงดีดให้ฟัง  สายพิณที่หนึ่งลวดขึงตึงเกินไปเลยขาด  สายที่สองหย่อน
เกินไปดีดไม่ดัง  สายที่สามไม่หย่อนไม่ตึงนัก  ดีดดัง
  เพราะ

   พระอินทร์ดีดพิณสายที่สาม  (มัชฌิมาปฏิปทา)   ดังออกมาเป็นความว่า   ไม้สดแช่อยู่ในน้ำ 
ทำอย่างไรก็สีให้เกิดไฟไม่ได้  ถึงอยู่บนบก  แต่ยังสด  ก็สีให้เกิดไฟไม่ได้  ส่วนไม้แห้งและอยู่บนบกจึงสีให้
เกิดไฟได้   อย่างแรกเหมือนคนยังมีกิเลสและอยู่ครองเรือน   อย่างที่สองเหมือนคนออกบวชแล้ว   แต่ใจยัง
สดด้วยกิเลส  อย่างที่สามเหมือนคนออกบวชแล้วใจเหี่ยวจากกิเลส

   พอทรงเห็นหรือได้ยินเช่นนั้น    พระมหาบุรุษจึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกกรกิริยา    ซึ่งเป็นความ
เพียรทางกาย   แล้วเริ่มกลับเสวยอาหารเพื่อบำเพ็ญความเพียรทางใจ  พวกปัญจวัคคีย์ทราบเข้าก็เกิดเสื่อม
ศรัทธา   หาว่าพระมหาบุรุษคลายความเพียรเวียนมาเพื่อกลับเป็นผู้มักมากเสียแล้ว   เลยพากันละทิ้งหน้าที่
อุปัฏฐากหนีไปอยู่ที่อื่น
 
ที่มา  http://www.84000.org/tipitaka/picture/f21.html


ขอตอบคุณรักหนอว่าไม่ใช่ ขอให้ดูที่ตัวหนังสือสีแดง

แล้วจะหาข้อมูลเอาสนับสนุนต่อไป ขอตอบแค่นี้ก่อน

 :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: มัชฌิมา นี้มีสาเหตุมาจาก พระอินทร์ใช่ไหมคะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2010, 10:37:17 am »
0
กลับมาประทับโคนต้นไทร ท้อพระทัยในอันโปรดสัตว์ สหัสบดีพรหมต้องทูลวิงวอน

   ประทับอยู่ภายใต้ต้นราชายตนะหรือไม้เกดครบ  ๗   วันแล้ว   พระพุทธเจ้าเสด็จแปรสถานที่
ประทับ กลับไปประทับอยู่ภายใต้ต้นอชปาลนิโครธหรือต้นไทร  ซึ่งเคยเสด็จไปประทับหนหนึ่งมาแล้ว  ครั้ง
นี้นับเป็นสัปดาห์ที่  ๕

   ระหว่างที่ประทับอยู่  ณ ที่นี่  พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาถึงธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้มา  ทรง
เห็นว่า    เป็นธรรมที่มีความหมายสุขุมละเอียด    ก็ทรงบังเกิดความท้อพระทัยว่า   จะมีใครสักกี่คนที่จะฟัง 
ธรรมของพระองค์รู้เรื่อง  พระทัยหนึ่งจึงเกิดความมักน้อยว่าจะไม่แสดงธรรมเพื่อโปรดใครเลย

   ท่านผู้รจนาคัมภีร์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า  ได้แต่งเรื่องสาธกให้เห็นเป็นปุคคลธิษฐานประกอบเข้า
ในตอนนี้ว่า
พระดำริของพระพุทธเจ้าเรื่องนี้ได้ทราบไปถึงท้าวสหัมบดีพรหมในเทวโลก ท้าวสหัมบดีพรหม
จึงตกพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงเปล่งศัพท์สำเนียงอันดังถึงสามครั้งว่า "โลกจะฉิบหายในครั้งนี้"

   ปฐมสมโพธิว่า   "เสียงนั้นก็ดังแผ่ไปทั่วหมื่นโลกธาตุ    ท้าวสหัมบดีพรหมจึงพร้อมด้วยเทวา
คณานิกรลงมากราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรม"

   ตอนท้าวสหัมบดีพรหมลงมาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรมโปรดชาวโลกนี้  กวี
ท่านแต่งเป็นอินทรวงศ์ฉันท์ภาษาบาลีไว้ว่า

           "พรหฺมา  จ  โลกาธิปตี  สหมฺปติ
      กตฺอญฺชลี  อนฺธิวรํ  อยาจถ
      สนฺตีธ  สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา
      เทเสตุ  ธมฺมํ  อนุกมฺปิมํ  ปชํ"

   แปลว่า  "ท้าวสหัสบดีพรหม  ประณมกรกราบอาราธนาพระพุทธเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐว่า 
สัตว์ในโลกนี้  ที่มีกิเลสบางเบาพอที่จะฟังธรรมเข้าใจนั้นมีอยู่  ขอพระองค์ได้โปรดแสดงธรรมช่วยเหลือชาว
โลกเทอญ"

   ต่อมาภาษาบาลีที่เป็นฉันท์บทนี้       ได้กลายเป็นคำสำหรับอาราธนาพระสงฆ์ในเมืองไทยให้
แสดงธรรมมาจนทุกวันนี้

 
ที่มา  http://www.84000.org/tipitaka/picture/f32.html


มาตามคำสัญญาครับ คุณรักหนอ  :s_hi:
ครั้งก่อนง่วงนอน  :34: เลยตอบได้เท่านั้นมาเริ่มกันใหม่นะครับ

นับแต่พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นสุเมธดาบส และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธทีปังกรแล้ว
จากนั้นบำเพ็ญบารมีมาอีก ๔ อสงไขย กำไรแสนมหากัปป์ จึงได้มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

การบำเพ็ญโพธิญานมามากถึง ๔ อสงไขย กำไรแสนมหากัปป์อย่างนั้น
ไม่มีจำเป็นใดที่จะให้พระอินทร์มาชี้ทางหรอกครับ

เหตุที่ต้องบำเพ็ญทุกกรกิริยา เนื่่องจากในกาลก่อนพระองค์ได้เสวยพระชาติ
เป็น"โชติปาละ" และเคยได้กล่าวกะพระพุทธเจ้าพระนามว่า"กัสสปะ "
ในกาลนั้นว่า "จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง"(เป็นการกล่าวประมาส)


ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ทำให้ต้องบำเพ็ญทุกกรกิริยา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี
จนได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน

ในพระบาลีที่ต้องแต่งเรื่่องขึ้นมาให้เห็นเป็น "ปุคคลธิษฐาน" อย่างนั้น
อาจจะเป็นอุบายสร้างความบันเทิงก็ได้นะครับ อันนี้ผมเดาเอา

(บุคคลาธิษฐาน - มีบุคคลเป็นที่ตั้ง, เทศนายกบุคคลขึ้นอ้าง คู่กับธรรมาธิษฐาน)

ผมได้นำเอาเรื่องสหัสบดีพรหมมาโพสต์ให้เปรียบเทียบดู
เพื่อให้เห็นคำว่า "ปุคคลธิษฐาน" แท้จริงแล้วพระองค์
บำเพ็ญบารมีมาเพื่อสั่งสอนเวไนยสัตว์ ไม่มีหรอก สหัสบดีพรหม

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีพรหมวิหาร ๔ อยู่ในใจแล้ว
ไม่มีความจำเป็นใดๆต้องให้ใครมาข้อร้องหรอกครับ


ขอให้ธรรมคุ้มครอง

 :49: :49: :bedtime2: :bedtime2: :25: :25:
 


บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มัชฌิมา นี้มีสาเหตุมาจาก พระอินทร์ใช่ไหมคะ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2010, 10:03:06 pm »
0
อ้างถึง
ท่านผู้รจนาคัมภีร์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า  ได้แต่งเรื่องสาธกให้เห็นเป็นปุคคลธิษฐานประกอบเข้า

อ้างถึง
ทรงทดลองดูแล้วก็ทรง ประจักษ์ความจริง  ความจริงที่ว่านี้  กวีท่านแต่งเป็นปุคคลาธิษฐาน
คือ  พระอินทร์ถือพิณสามสายมาทรงดีดให้ฟัง  สายพิณที่หนึ่งลวดขึงตึงเกินไปเลยขาด  สายที่สองหย่อน
เกินไปดีดไม่ดัง  สายที่สามไม่หย่อนไม่ตึงนัก  ดีดดัง

ถ้าอย่างนั้น พระอินทร์ พระพรหม นั้น ไม่มีจริงใช่ หรือป่าวครับ

รวมถึง เรื่องราวที่เกิดขึ้น ในพระพุทธประวัติ นี้ก็ไม่มีจริงใช่ไหมครับ

อย่างเช่น ตอนที่พระพุทธเจ้า เปิดโลก , โปรดพุทธมารดา ,ลอยถาด ,ปราบชฏิลด้วยฤทธิ์แสดง ยมกปาฏิหาริย์

รุกขเทวดาเข้าเฝ้า แสดงธรรมโปรดเทวดา ในทุกวัน

ที่จิรงผมเอง ก็เป็นศิษย์สวนโมก ฯ อ่านพุทธประวัติจากพระโอษฏ์ ของหลวงพ่อพุทธทาส และก็มีความเห็นว่า

เทวดา นรก ไม่มีจริง เป็นแต่ บุคคลาธิษฐาน เป็น กลบท ในวิธีการสอนของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

ผมมีความคิดว่า โลกหน้าไม่มีจริง มีแต่โลกนี้ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะพิจารณาด้วยปัญญาของผมเองแล้ว

ไม่มีความเป็นไปได้ ที่มีเรื่องเหลือเชื่อ บรรดาเทวดา และ เทวฑูต ทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เป็น กลอุบายในการสอน ของพระสงฆ์ และ พระพุทธเจ้า เพื่อน้อมให้ศรัทธา

จนกระทั่ง วันหนึ่งนั้นผมได้ฟังการบรรยายธรรม บนศาลาปฏิบัติธรรม และ ถามตอบ ปัญหา กับพระอาจารย์

จึงได้ทราบ และ คิดได้ว่า เราเข้าใจผิด

ถึงแม้ผมจะยังไม่ได้ ขึ้นกรรมฐาน แต่วันนั้น ผมได้ปฏิบัติกรรมฐาน เป็นครั้งแรกในชีิวิต ที่ผมนั่งกรรมฐาน ได้ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง กับคณะบนศาลาได้ ทั้งที่ตอนแรก ไม่มั่นใจเลย ว่าจะทำ

หลังจากได้สนทนากับ พระอาจารย์ จึงรู้่ได้ว่า

ถ้าเราเชื่อมั่น ในพระพุทธองค์ ก็ต้องเชื่อมั่นในการตรัสรู้ ของพระพุทธองค์

การเชื่อมั่น ( ศรัทธา ) ต้องเชื่อใน โลกหน้า และ โลกหลัง ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ

และเชื่อเรื่อง กรรม คือ มุญจิตุกัมยตาญาณ

และเชื่อในธรรม คือ อาสวักขยญาณ



 :25: :25: :08:



ข้อความในพระไตรปิฏก ช่วงที่พระองค์ได้ละจากการบำเพ็ญ ทุกกรกิริยา ไม่มีการกล่าวถึงพระอินทร์

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ - หน้าที่ 321

[๔๒๔] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงกินอาหารให้น้อยลงๆ 
เพียงซองมือหนึ่งๆ บ้าง เท่าเยื่อในเม็ดถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อในเม็ดถั่วพูบ้าง เท่าเยื่อในเม็ดถั่วดำ   
บ้าง เท่าเยื่อในเม็ดบัวบ้าง. เราก็กินอาหารให้น้อยลงๆ ดังนั้นจนมีร่างกายซูบผอมยิ่งนัก เพราะเป็น
ผู้มีอาหารน้อยนั้น เหลือแต่อวัยวะใหญ่น้อย เหมือนเถาวัลย์ที่มีข้อมาก หรือเถาวัลย์ที่มีข้อดำ     
เนื้อตะโพกก็ลีบเหมือนกีบอูฐ กระดูกสันหลังก็ผุดเป็นหนาม เหมือนเถาวัลย์ [หนามรอบข้อ]     
ซี่โครงทั้ง ๒ ข้าง ขึ้นสะพรั่ง เหมือนกลอนศาลาเก่าที่สะพรั่งอยู่ ดวงตาทั้ง ๒ ก็ลึกเข้าไปในเบ้า 
ตาเหมือนดวงดาวในบ่อน้ำอันลึก ปรากฏอยู่ หนังศีรษะบนศีรษะก็เหี่ยวหดหู่ เหมือนลูกน้ำเต้า 
ที่เขาตัดมายังดิบ ต้องลมและแดดเข้าก็เหี่ยวไป. เรานึกว่าจะลูบพื้นท้องก็จับถึงกระดูกสันหลัง     
เมื่อนึกว่า จะลูบกระดูกสันหลัง ก็จับถึงพื้นท้อง เพราะพื้นท้องของเราติดแนบถึงกระดูกสันหลัง     
เมื่อนึกว่า จะถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ ก็ซวนแซล้มลง ณ ที่นั้น. เมื่อจะให้กายสบายบ้าง เอา
ฝ่ามือลูบตัวเข้า ขนทั้งหลายที่มีรากเน่าก็หลุดร่วงจากกายเพราะเป็นผู้มีอาหารน้อย. มนุษย์ทั้งหลาย
เห็นเราเข้าแล้วก็กล่าวว่า พระสมณโคดมดำไป บางพวกก็พูดว่า พระสมณโคดมไม่ดำ เป็นแต่
คล้ำไป บางพวกก็พูดว่า ไม่ดำ ไม่คล้ำ เป็นแต่พร้อยไป. เรามีผิวพรรณบริสุทธิ์เปล่งปลั่ง   
แต่เสียผิวไป ก็เพราะเป็นผู้มีอาหารน้อยเท่านั้น.
         [๔๒๕] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง   
ในอดีต ในอนาคต หรือในปัจจุบันนี้ ที่เสวยทุกขเวทนากล้า หยาบ เผ็ดร้อน ที่เกิดขึ้นเพราะ   
ความเพียร ทุกขเวทนานั้น อย่างยิ่งก็เพียรเท่านี้ไม่เกินกว่านี้ขึ้นไป. แต่เราก็ยังมิได้บรรลุญาณ 
ทัสสนะอันวิเศษที่พอแก่พระอริยะซึ่งยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ด้วยทุกกรกิริยาอันเผ็ดร้อนนี้. ชะรอย   
ทางแห่งความตรัสรู้พึงเป็นทางอื่นกระมัง. เราจึงมีความดำริว่า เราจำได้อยู่ เมื่อคราวงานของท้าว   
สักกาธิบดีซึ่งเป็นพระบิดา เรานั่งอยู่ใต้ร่มต้นหว้าอันเย็น ได้สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจาก
อกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ทางนั้น   
พึงเป็นทางแห่งความตรัสรู้กระมัง
. เรามีวิญญาณตามระลึกด้วยสติว่า ทางนั้นเป็นทางแห่งความ 
ตรัสรู้. เราจึงมีความดำริว่า เรากลัวความสุขที่เว้นจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายหรือ แล้วเรา       
ก็ดำริต่อไปว่า เราไม่กลัวสุขเช่นนั้นเลย.     

         [๔๒๖] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริต่อไปว่า ความสุขนั้น เราผู้มีกายถึงความซูบ     
ผอมมาก ไม่ทำได้ง่ายเพื่อจะบรรลุ ถ้ากระไร เราพึงกินอาหารหยาบ คือข้าวสุกและกุมมาสเถิด.   
เราก็กินอาหารหยาบคือข้าวสุกและกุมมาส. ครั้งนั้น ภิกษุทั้ง ๕ ที่เฝ้าบำรุงเราด้วยหวังว่า
พระสมณะโคดมบรรลุธรรมใด จักบอกธรรมนั้นแก่เราทั้งหลาย. เมื่อใด เรากินอาหารหยาบ   
คือข้าวสุกและ กุมมาส เมื่อนั้นภิกษุทั้ง ๕ นั้นก็ระอาหลีกไปด้วยเข้าใจว่า พระสมณโคดมมักมาก       
คลายความเพียรเวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากเสียแล้ว.   
         [๔๒๗] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรากินอาหารหยาบให้กายมีกำลังแล้ว สงัดจากกาม สงัดจาก
อกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่. แม้สุขเวทนาที่   
เกิดขึ้นเห็นปานนี้ ก็มิได้ครอบงำจิตเราตั้งอยู่ได้. เราบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต
ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิด   
แต่สมาธิอยู่. เรามีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุ     
ตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข. เราบรรลุ
จตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส และโทมนัสในก่อน
เสียได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่. แม้สุขเวทนาที่เกิดขึ้นเห็นปานนี้ ก็มิได้ครอบงำจิต
เราตั้งอยู่ได้. เราเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร     
แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ก็โน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสติญาณ. เราย่อม
ระลึกชาติที่เคยอยู่อาศัยในก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ ระลึก   
ชาติที่เคยอยู่อาศัยได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ ทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้. ดูกรอัคคิเวสสนะ     
ในปฐมยามแห่งราตรี เราได้บรรลุวิชชาที่ ๑ อันนี้ เมื่อเราไม่ประมาท มีความเพียร ส่งจิตไปอยู่     
อวิชชาเรากำจัดเสียแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดเรากำจัดเสียแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว.
แม้สุขเวทนาที่เกิดขึ้นแล้วเห็นปานนี้ ก็มิได้ครอบงำจิตเราตั้งอยู่ได้.





พระวินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวรรคภาค ๑ - หน้าที่ 11
 อนัจฉริยคาถา 
                                บัดนี้ เรายังไม่ควรจะประกาศธรรมที่เราได้บรรลุแล้ว 
                                โดยยาก เพราะธรรมนี้อันสัตว์ผู้อันราคะและโทสะ 
                                ครอบงำแล้วไม่ตรัสรู้ได้ง่าย สัตว์ผู้อันราคะย้อมแล้ว 
                                ถูกกองอวิชชาหุ้มห่อแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันละเอียด 
                                ลึกซึ้ง ยากที่จะเห็น ละเอียดยิ่ง อันจะยังสัตว์ 
                                ให้ถึงธรรมที่ทวนกระแสคือนิพพาน. 
        เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาเห็นอยู่ ดังนี้ พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย 
ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม. 
                                                        พรหมยาจนกถา 
        [๘] ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมทราบพระปริวิตกแห่งจิตของพระผู้มีพระภาคด้วยใจ 
ของตนแล้วเกิดความปริวิตกว่า ชาวเราผู้เจริญ โลกจักฉิบหายหนอ โลกจักวินาศหนอ เพราะ   
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่ทรงน้อม 
พระทัยไปเพื่อทรงแสดงธรรม. 
        ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมได้หายไปในพรหมโลก มาปรากฏ ณ เบื้องพระพักตร์ 
ของพระผู้มีพระภาค
ดุจบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น ครั้นแล้วห่มผ้า 
อุตราสงค์เฉวียงบ่า คุกชาณุมณฑลเบื้องขวาลงบนแผ่นดิน ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค 
แล้วได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดทรงแสดงธรรม 
ขอพระสุคตได้โปรดทรงแสดงธรรม  เพราะสัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีในจักษุน้อยมีอยู่ เพราะ 
ไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี. 
        ท้าวสหัมบดีพรหมได้กราบทูลดังนี้แล้ว จึงกราบทูลเป็นประพันธคาถาต่อไปว่า 
                                เมื่อก่อนธรรมไม่บริสุทธิ์อันคนมีมลทินทั้งหลาย 
                                คิดแล้วได้ปรากฏในมคธชนบท ขอพระองค์ได้ 
                                โปรดทรงเปิดประตูแห่งอมตธรรมนี้ ขอสัตว์ทั้ง 
                                หลายจงฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หมด 
                                มลทินตรัสรู้แล้วตามลำดับ เปรียบเหมือนบุรุษ 
                                มีจักษุยืนอยู่บนยอดภูเขา ซึ่งล้วนแล้วด้วยศิลา 
                                พึงเห็นชุมชนได้โดยรอบฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้มี 
                                ปัญญาดี มีพระปัญญาจักษุรอบคอบ ขอพระองค์ 
                                ผู้ปราศจากความโศกจงเสด็จขึ้นสู่ปราสาท อัน 
                                สำเร็จด้วยธรรม แล้วทรงพิจารณาชุมชน ผู้ 
                                เกลื่อนกล่นด้วยความโศก ผู้อันชาติและชรา 
                                ครอบงำแล้ว มีอุปมัยฉันนั้นเถิด ข้าแต่ 
                                พระองค์ผู้มีความเพียร ทรงชนะสงคราม ผู้นำหมู่ 
                                หาหนี้มิได้ ขอพระองค์จงทรงอุตสาหะเที่ยวไป 
                                ในโลกเถิด ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรม 
                                เพราะสัตว์รู้ทั่วถึงธรรมจักมี.   

                                ทรงพิจารณาสัตวโลกเปรียบด้วยดอกบัว ๔ เหล่า 
        [๙] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงกราบคำทูลอาราธนาของพรหม และทรงอาศัย 
ความกรุณาในหมู่สัตว์ จึงทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ เมื่อตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ 
ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยก็มี ที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุมากก็มี ที่มีอินทรีย์ 
แก่กล้าก็มี ที่มีอินทรีย์อ่อนก็มี ที่มีอาการดีก็มี ที่มีอาการทรามก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี 
ที่จะสอนให้รู้ได้ยากก็มี ที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ก็มี. 
        มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริกในกอบุณฑริก 
ที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ 
บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว. 
        พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย บางพวก 
มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุมาก บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า 
บางพวกมีอินทรีย์อ่อน บางพวกมีอาการดี บางพวกมีอาการทราม บางพวกสอนให้รู้ได้ง่าย 
บางพวกสอนให้รู้ได้ยาก บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ ฉันนั้น 
เหมือนกัน ครั้นแล้วได้ตรัสคาถาตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า ดังนี้:- 
                                เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว สัตว์เหล่าใดจะฟัง 
                                จงปล่อยศรัทธามาเถิด ดูกรพรหม เพราะเรา 
                                มีความสำคัญในความลำบาก จึงไม่แสดงธรรม 
                                ที่เราคล่องแคล่ว ประณีต ในหมู่มนุษย์. 
        ครั้นท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรม 
แล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณแล้ว อันตรธานไปในที่นั้นแล. 
                                พรหมยาจนกถา จบ




ส่วนตอนที่ พรหม อาราธนา มีชื่อของพรหม ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ผมว่าช่วงนี้ไม่ใช่ บุคคลาธิษฐาน




มีมูลเหตุ พระดำรัสตรัสเรื่อง ประสูติ ก็มีกล่าวถึง สวรรค์ชั้นดุสิต พรหมอาราธนา ปรากฏข้อความใน

เรื่อง มหาปัญจวิโลกนะ

มูลเหตุ ผมต้องการชี้แจงว่า พระไตรปิฏก ตรงไป ตรงมา ถ้าเป็นบุคลาธิษฐาน ถ้าเป็น ธรรมธิษฐาน

เพราะผ่านการกลั่นกรอง มาจากพระอรหันต์ ที่มีจำนวนมากว่า 1000 รูป ในการทำสังคายนา

 มิใช่ปฎิรูป เพียงรูปเดียว โพสต์ฺไว้เพื่อไม่ให้เขว แบบผมอีก

ดังนั้นผมขอร่วมตอบด้วยครับว่า

กา่รปฎิบัติธรรม สู่สายกลาง ไม่ได้เกิดจากพระอินทร์ ครับ

แต่การแสดงธรรม โปรดเวไนยนั้น มีพรหมชื่อว่า สหัมบดี เป็น ผู้อาราธนา ส่วนหนึ่ง

ในส่วน น้ำพระทัยของพระพุทธเจ้า ปรารภไว้ตั้งแต่ตอนแรกก่อน พรหมอาราธนาแล้ว ด้วยพุทธบารมีนั้น

ย่อมพิจารณาการโปรด สัพพะสัตว์ ผู้มีความพร้อมอยู่แล้ว





 คุณ nathaponson  และ พระอาจารย์ ได้โพสต์ตอบ เรื่องความสงสัยให้ผม

อ่านแล้ว ประทับใจมาก ครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 01, 2010, 10:13:20 pm โดย chatchay »
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ

kittisak

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +42/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 653
  • พุทธัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: มัชฌิมา นี้มีสาเหตุมาจาก พระอินทร์ใช่ไหมคะ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2010, 10:57:08 pm »
0
เห็นด้วย กับความตรงความตรงไป ตรงมา ของพระไตรปิฏก

เพราะล้วนผ่านการคัดกรอง มาจากพระอรหันต์ หลายพันรูป

 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน ดีกว่าความทุกข์ที่มีแต่จะเอา

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
มัชฌิมา สาเหตุมาจาก พระทัยของพระมหาบุรุษ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2010, 01:45:04 am »
0
อ้างถึง
[๔๒๕] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง   
ในอดีต ในอนาคต หรือในปัจจุบันนี้ ที่เสวยทุกขเวทนากล้า หยาบ เผ็ดร้อน ที่เกิดขึ้นเพราะ   
ความเพียร ทุกขเวทนานั้น อย่างยิ่งก็เพียรเท่านี้ไม่เกินกว่านี้ขึ้นไป. แต่เราก็ยังมิได้ บรรลุญาณ
ทัสสนะอันวิเศษที่พอแก่พระอริยะซึ่งยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ด้วยทุกกรกิริยาอันเผ็ดร้อนนี้. ชะรอย   
ทางแห่งความตรัสรู้พึงเป็นทาง อื่นกระมัง. เราจึงมีความดำริว่า เราจำได้อยู่ เมื่อคราวงานของท้าว   
สัก กาธิบดีซึ่งเป็นพระบิดา เรานั่งอยู่ใต้ร่มต้นหว้าอันเย็น ได้สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจาก
อกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ทางนั้น   
พึงเป็นทางแห่งความ ตรัสรู้กระมัง
. เรามีวิญญาณตามระลึกด้วยสติว่า ทางนั้นเป็นทางแห่งความ
ตรัสรู้. เราจึงมีความดำริว่า เรากลัวความสุขที่เว้นจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายหรือ แล้วเรา       
ก็ ดำริต่อไปว่า เราไม่กลัวสุขเช่นนั้นเล

อ่านแล้วก็พึ่งรู้ ไม่มีเหตุการณ์ พระอินทน์ไปดีดพิณสามสาย อย่างที่เคยเรียนมาในสมัยเด็ก ๆ เลย

พระไตรปิฏก ช่างมีความมหัสจรรย์ จริง ๆ


 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง