ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คนที่ต้องการภาวนาจริง ๆ จำเป็นต้องศึกษาคัมภีร์ต่าง ๆ มากด้วยหรือไม่ครับ ?  (อ่าน 2547 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

มหายันต์

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 154
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คนที่ต้องการภาวนาจริง ๆ  จำเป็นต้องศึกษาคัมภีร์ต่าง ๆ มากด้วยหรือไม่ครับ ?

 เหตุเกิดเพราะเพื่อนผมเอง คนข้างเคียงอีกหลายท่าน ที่ได้สัญญากันไว้ว่า จะร่วมภาวนาปฏิบัติธรรมกรรมฐานกันมา 2 ปีแล้ว แต่ไม่เห็นจะภาวนาอะไรเลยครับ ยังมัวแต่นั่งอ่านตำรา อยู่หลายเล่มหนังสือกองบนโต๊ะหลากหลาย



   จึงสงสัยว่า คนที่จะภาวนากันจริง ๆ นี่ควรเรียนศึกษา กันแค่ไหนครับ มีขอบเขตหรือไม่ครับ

   :41: :smiley_confused1: :s_hi: :c017:
บันทึกการเข้า

pongsatorn

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 242
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
น่าจะมีความจำเป็นศึกษา อริยสัจจะ 4 กับ มรรคมีองค์ 8 นะครับ และก็กรรมฐานที่ภาวนา ก็น่าจะพอในส่วนของความรู้อื่น ๆ ก็ค่อย ๆ สะสมด้วยการฟังพร้อมภาวนาไปด้วย

  แต่อย่างว่าละครับ คนที่เอาแต่ฟัง แต่เรียนก็มีมากนะครับ พอถึงเวลาภาวนาก็หลบ ก็อู้ ก็มีมาก ครูอาจารย์ท่านบอกว่า ต้องสั่งสมบารมีไปก่อนครับ ดังนั้นการเรียนการอ่านการฟังศึกษา ก็มีประโยชน์นะครับ

  แต่เมื่อฟังมาก ๆ สอนเขามาก ๆ บางครั้งก็ตกม้าตายได้เหมือนกัน เหมือนครั้งพุทธกาลที่มีพระทรงความรู้ต้องไปเรียนกับสามเณรเป็นต้นครับ

  :25: :character0029: :s_hi:
บันทึกการเข้า

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เป็นคำถมที่ดีมากๆ  สาธุด้วย

     เจอหลักฐานในวิสุทธิมรรคว่า  "ปญฺญาย  ปฏิสมฺภิทาย  เภทสสฺส"  ธรรมอันเป็นอุปนิสัยที่จะให้พระโยคาวจรภิกษุแตกฉานในปฏิสัมภิทานั้น  องค์สมเด็จพระมหากรุญาตรัสแสดงด้วยปัญญา

     แท้จริง  พระภิกษุจะบรรลุถึงพระปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ก็อาศัยแก่ปัญญาบริบูรณ์อยู่ในจิตสันดาน  มิได้บรรลุถึงด้วยเหตุอันอื่น

   และหรือ  เช่นคำว่า ญาณ ก็แปลว่า ความรู้

   พระสารีบุตร  เคยตอบคำถามเกี่ยวกับความแตดต่างระหว่างวิญญาณกับปัญญาว่า คนมีปัญญา  รู้ (- รู้ชัดเข้าใจ) ว่านี้ทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์

    ส่วนวิญญาณรู้ (- รู้แตกต่าง) ว่าเป็นสุข รู้ว่าเป็นทุกข์ รู้ว่าไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์

    แต่ทั้งปัญญาและวิญญาณนั้น  ก็เป็นองค์ธรรมที่ปนเคล้าหรือระคนกันอยู่  ไม่อาจแยกออกบัญญัติข้อแตกต่างกันได้  กระนั้นก็ตาม  ความต่างก็มีอยู่ในแง่ที่ว่า  ปัญญาเป็นภาเวตัพพธรรม  คือเป็นสิ่งที่ควรฝึกอบรมทำให้เจริญขึ้นให้เพิ่มพูนแก่กล้าขึ้น  ส่วนวิญญาณเป็นปริญไญยธรรม  คือเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้หรือทำความรู้จักให้รู้ให้เข้าใจ  รู้เท่าทันสภาวะและลักษณะของมันตามเป็นจริง (ม.ม. ๑๒/๔๙๔/๕๓๖.)

    ในคัมภีร์รุ่นอรรถกถา เช่น วิสุทธิคัคค์ เป็นต้น อธิบายความแตกต่างระหว่าง  สัญญา  วิญญาณ  และปัญญา  ไว้ว่า  สัญญาเพียงรู้จักอารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น (คือรู้อาการของอารมณ์) ไม่อาจให้ถึงความเข้าใจลักษณะวคือ  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตาได้  ;  วิญญาณรู้อารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น ได้ด้วย ทำให้ถึงความเข้าใจลักษณะว่า  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา ได้ด้วย (คือเข้าใจตามที่ปัญญาบอก) แต่ไม่อาจส่งให้ถึงความปรากฏขึ้นแห่งมรรค คือให้ตรัสรู้อริยสัจไม่ได้) ส่วนปัญญาทั้งรู้อารมณ์  ทั้งให้ถึงความเข้าใจลักษณะ  และทั้งส่งให้ถึงความปรากฏขึ้นแห่งมรรค 

     เมื่อมีปัญญามาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว จะแจ้งแก่ตน  ว่าวิชชา  ที่จะต้องรู้ก็คือ รู้ในอริยสัจ ๔  คือ รู้ทุกข์  รู้สมุทัย  รู้นิโรธ  รู้มรรค

      เมื่อนั้นก็จะรู้ซึ่งกิจที่ควรจะทำ ถึง สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ในอริยสัจ คือ
               ๑. ปริญญากิจ    กำหนดรู้ทุกขสัจ
               ๒. ปหานกิจ      ละสมุทัยสัจ   
               ๓. สัจฉิกรณกิจ   ทำให้แจ้งซึ่งนิโรธสัจ 
               ๔. ภาวนากิจ      ทำมรรคสัจให้เกิด

          นี้ก็เป็นเบื้องต้นที่ควรเรียนศึกษากัน  เมื่อถึงกันตรงนี้แล้ว ก็จะมาภาวนากันเอง เพราะรู้ว่าฉันจะภาวนาไปทำไม

        และยังคงต้องศึกษา และปฏิบัติธรรมต่อไป

       ถ้าจะถามว่า "คนที่จะภาวนากันจริง ๆ นี่ควรเรียนศึกษา กันแค่ไหนครับ" ก็คงจะจนกว่าจะสำเร็จเป็นพระอเสขะบุคคล อย่างที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ ว่า

                         พระ เสขะ   คือ พระผู้ยังต้องศึกษา

                         พระ อเสขะ คือ พระผู้ไม่ต้องศึกษา


  (แต่ถ้าไม่ได้ศึกษาทางธรรมนี้  ก็ศึกษาไปเถอะไม่รู้จบ คงต้องใช้มาก หลายชาติหน่อย กว่าจะศึกษาหลักสูตร กฏระเบียบข้อบังคับ ที่ชาวโลกสร้างขึ้นมา ซึ่งก็มีหลายชาติหลายภาษา มีมากโขวิชาอยู่ ถ้าเลือกจะศึกษาทางโลก)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 12, 2012, 11:37:09 am โดย Mr. งังจัง »
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

หมิว

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 398
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
น่าจะมีความจำเป็นในการภาวนา คือเรียนตรงที่ภาวนา คะ แต่ส่วนที่เป็นส่วนเกินจากการภาวนานั้น ก็ต้องเพลา ๆ ลงบ้างคะ มิฉะนั้นเมื่อปัญญามากกว่า ก็จะทำให้เสียการภาวนาได้คะ เป็นวิปัสสนูกิเลสที่เรียกว่า ญาณัง คะ

  :s_hi: :49:
บันทึกการเข้า
ใจดี น่ารัก และ ไม่ชอบคนที่กวน...ใจ
แสงพระธรรม นำทาง นำสู่ใจ ได้รับแสงสว่าง
แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี

sompong

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 218
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
การฟังธรรม ตามกาลเป็นอุดมมงคล ครับ การศึกษาหลักธรรม  ศึกษามาก ๆ ก็ดี  ครับ แต่ถ้าศึกษา เรื่องโลกผสมธรรม นี้สิครับ เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวนะครับ

  :s_hi:
บันทึกการเข้า