3) ถีนมิทธะ ความหดหู่ เซื่องซึม ง่วงเหงา หาวนอน
4) อุทธัจจะ กุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน ร้อนใจ กระวนกระวาย กลุ้มกังวล
5) วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
------------------------------เป็นต้น--------------------------
ธรรมะที่เกื้อกูลต่อการปฏิบัติ
สัมปชัญญะ 4
(ความหยั่งรู้, ความรู้ตัว, ความรู้ชัด ฯลฯ) มีดังนี้
1) สาตถกสัมปชัญญะ 2) สัมปายสัมปชัญญะ
3) โคจรสัมปชัญญะ 4) อสัมโนหสัมปชัญญะ
คำอธิบายอย่างย่อ
1) สาตถกสัมปชัญญะ เช่นขณะที่เรากำลังจะกระทำ หรือพูดอะไร เราต้องพิจารณาก่อนว่ามัน
มีประโยชน์ไหม? แล้วจึงกระทำ หรือพูดในสิ่งที่มีประโยชน์
2) สัมปายสัมปชัญญะ ถึงแม้จะมีประโยชน์จริง ท่านต้องพิจารณาอีกทีด้วยว่ามันจะเหมาะสม
(ถูกกาละเทศะ) หรือเปล่า จึงจะกระทำหรือพูดในสิ่งที่เหมาะสม อันที่ 1 และ 2 นี้ จะมีประโยชน์
มากในการใช้พิจารณาไตร่ตรองทางโลก และชีวิตประจำวัน และในทางปฏิบัติก็ใช้ได้เช่น เมื่อท่าน
อยากนั่งกรรมฐาน หรือเดินจงกรม ท่านก็พิจารณาดูว่าอันไหนมีประโยชน์และเหมาะสมใน
ขณะนั้น หรือ เมื่อท่านเจอสถานที่มีเสียงดังท่านก็จะพิจารณาเลือกสถานที่ปฏิบัติที่ดีกว่าเป็นต้น
โปรดระวังเมื่อท่านลงมือปฏิบัติแล้ว ท่านต้องมีหน้าที่กำหนดรู้อาการเท่านั้น ไม่ต้องพิจารณา
ไตร่ตรองอีกต่อไป
3) โคจรสัมปชัญญะ คือผู้ปฏิบัติธรรม สักแต่มีหน้าที่ขยันกำหนดอย่างไม่หยุดหย่อนในอาการ
ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ทางกาย และใจ (ทั้ง 6 ทวาร คือ ตา หู จมูก ลิ้น
กาย ใจ) เช่นการเดินจงกรม ซ้ายย่างหนอ, ขวาย่างหนอ, อยากยกหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบ
หนอ ฯลฯ อิริยาบทย่อยต่าง ๆ เช่น เห็นหนอ ได้ยินหนอ คู้หนอ เหยียดหนอ ก้มหนอ นอนหนอ
ตื่นหนอ หิวหนอ ฯ ลฯ เป็นต้น เมื่อปฏิบัติอย่างไม่หยุดหย่อนแล้ว จะมีสมาธิแก่กล้าขี้น
4) อสัมโนหสัมปชัญญะ เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมมีสมาธิแก่กล้าแล้ว ก็จะเกิดความเข้าใจ และเห็น
ปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่แท้จริง ของ กายและใจ และท่านจะเข้าใจ เหตุและผล ของกาย ( รูป)