มรณัสสติ จัดเป็น ญาณตั้งแต่ นิพพิทาญาณขึ้นไป
ความว่า พระโยคาวจร ผู้กำลังก้าวสู่เส้นทางพระสาวกนั้น จะระลึกถึง ความตายได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
แต่ครั้งระลึกถึงแล้ว ความตายก็ไม่สามารถตั้งอยู่เป็นอารมณ์ เพราะดับไป กับเหตุต่าง ๆ
ส่วนพระโสดาบัน ย่อมยังนึกอารมณ์จับเป็นองค์กรรมฐาน ได้อย่างน้อยวันละ 1 เพลา มีเรื่อง พระอานนท์ เป็น
ตัวอย่าง เพราะพระโสดาบันย่อมละสักกายทิฏฐิ ความเห็นว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัว เป็นตนของเรา ออก
เสียได้แล้ว ย่อมนึกหน่วงด้วยองค์แห่งสมาธิ ได้ดีมาก
ส่วนพระสกิทาคามี และ พระอนาคามี ย่อมระลึกได้มากขึ้น
ส่วนพระอรหันต์ นั้นย่อมระัลึกได้สม่ำเสมอ เพราะพ้นจากความประมาทในสังสารวัฏ แล้ว
การนึกหน่วงอารมณ์ มรณัสสติ ต้องอาศัยสมาธิ เพราะเกี่ยวพันเนื่องด้วยการเห็นตามความเป็นจริง
ดังนั้นเพียงแต่เราระลึก นึกถึงความตายที่จะมาถึงเรา ก็เพียงแต่อารมณ์ ที่ห่อเหี่ยว แบบหมดอาลัยตายอยาก
แต่มรณัสสติ กรรมฐานไม่ได้ส่งอารมณ์ตามที่ชาวโลกเข้าใจเช่นนั้น เพราะ มรณัสสติกรรมฐาน ยิ่งมียิ่งส่งเสริม
ความเพียรให้สมบูรณ์ ยิ่งเจริญ จิตยิ่งมั่นคงในหลัก ในธรรม ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ในความไม่ประมาท
เป็นต้น ก็นับว่าเป็นการดีที่ท่านทั้งหลายจักได้ตามระลึกถึงความตาย กันไว้บ้าง
มรณัสสติ มีอุคคหนิมิต และั มีอารมณ์ ( สภาวะธรรม ) ที่ชัดเจนในพระกรรมฐาน
สำหรับผู้มีความปรารถนา จะเจริญ มรณัสสติ พึงได้สวด บทพิจารณาสังขาร อย่างเนืองนิตย์ เถิด
เจริญธรรม