ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: บวชง่าย จึงหาดียาก  (อ่าน 2510 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

เสกสรรค์

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 419
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บวชง่าย จึงหาดียาก
« เมื่อ: กันยายน 23, 2011, 11:36:59 am »
0
กรณีที่พระโวยวายแบบชาวบ้าน เต็มไปด้วยโทสะ หาความสงบไม่มี เป็นตัวอย่าง ทำให้ดูว่า การบวชพระไทยเหมือนเด็กเล่นขายของ เพราะ ก่อนบวชวันเดียว ยังกินเหล้า ด่าทอกันอยู่เลย ไม่มีการทดสอบวัดผลว่า จะบวชได้หรือไม่ มันก็เลยมั่วซั่วอย่างนี้ และพี่ไทยแกก็ตะแบงว่าไม่ผิด ตามแบบศรีธนญชัย นิทานฉลาดแกมโกงพื้นบ้านอมตะของไทย

พระจีนเคยคุยให้ ฟังว่า  ที่เมืองจีน ใครจะบวชต้องมาอยู่วัดทดสอบก่อน 3 ปี 5 ปี ปฏิบัติแบบพระเลย ถ้าทนได้ก็บวชได้ เพราะบวชแล้วบวชเลยตลอดชีวิต ไม่ใช่ตามใจฉันแบบของเรา

....แค่กิเลสหยาบๆเช่นโทสะยังมองไม่เห็น แลัวจะฝันไปนิพพาน ก็เก่งกว่าพระพุทธเจ้าแล้วล่ะ

ยิ่งบอกว่าเป็น กิริยาพระอรหันต์ น่ากลัวใหญ่ หลงทางกันใหญ่ เพราะพระอรหันต์ ไม่ยุ่งกับมนุษย์แล้ว ใครจะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวมิฉนั้นเมื่อไรจะสำเร็จสักที

จากคุณ    : ไม่คิดมาก
บันทึกการเข้า

เสกสรรค์

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 419
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ประวัติพระอรหันต์ จี้กง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 23, 2011, 11:39:09 am »
0
พระประวัติ อรหันต์จี้กง

พระนามเดิมของ ท่าน คือ ซิวอ้วง แซ่ลี้ เป็นชาวเมือง เทียนไถ เกิดในสมัยราชวงศ์ซ้อง ท่านได้บวชอยู่ที่วัดเล่งอุ้ง ตำบลไซโอ้ว เมืองหางโจว ประเทศจีน และใช้พระนามทางศาสนาว่า เต้าจี้ ท่านโปรดสัตว์โลกโดยวิธีพิสดาร จนชาวบ้านขนานนามว่า “พระสติเฟื่อง” (จี้เตียง) ท่านเป็นองค์อวตารของพระอรหันต์ ได้บรรลุธรรม ๓ ประการ ที่สำคัญได้แก่ “สรรพสิ่งเกิดจากจิต” ท่านยึดมั่นแต่ พุทธจิต ไม่คำนึงถึงเครื่องทรงภายนอก ดังคำกล่าวว่า “รักษาศีลทางจิต ไม่ถือศีลทางปาก ปฏิบัติตนตามสบาย” (หมายความว่า พระภิกษุในประเทศจีนต้องฉันเจ ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ท่านไม่เคร่งครัดกับการฉันอาหาร สุดแท้แต่โอกาส) ที่ท่านประพฤติเช่นนี้ เพราะว่าในสมัยนั้นได้แต่ถือศีลทางปาก คือฉันเจ แต่ไม่รักษาศีลทางใจ เพื่อเป็นการสอนธรรมะโดยใช้วิธีรุนแรง เหมือนเอาไม้กระบองตีให้เจ็บจนรู้สึก ท่านพยายามทำให้ภิกขุในสมัยนั้นให้ตื่นจากผู้ติดอยู่ในพิธีกรรม ให้มาพิจารณาทางวิปัสสนาธุระ

    ท่านมีอิทธิฤทธิ์กว้างขวาง โปรดช่วยมวลมนุษย์มากมาย โดยอาศัยวิธีการต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ชาวบ้านพ้นภัย ช่วยกอบกู้พวกที่ดูภายนอกเหมือนผู้มีบุญ แต่ใจบาป กลั่นแกล้งจนคนเหล่านั้นรู้สึกสำนึกตัว ต่อกับผู้ที่โหดร้ายทารุณ จะถูกตอบโต้จนไม่สามารถจะอยู่ต่อไปได้ ทำให้ประชาชนอยู่อย่างสงบสุข ดังนั้น ทุกผู้ทุกนามจึงสรรเสริญว่าเป็น พระศักดิ์สิทธิ์ เหมือนพระพุทธที่ยังมีชีวิต ซึ่งไม่ใช่สิ่งธรรมดาสามัญ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ

    พระอรหันต์จี้กงเคยอยู่วัด “เจ็งซื้อ” ต่อมาวัดนี้ถูกไฟไหม้ จำเป็นต้องได้รับการปลูกสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งต้องการได้ไม้จากเขา “เงี้ยมเล้ง” ท่านแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ โดยใช้จีวรกางออกไป ฉับพลันนั้น จีวรก็ปกคลุมเขาเงี้ยมเล้งทั้งหมด ไม้จากภูเขาถูถอนขึ้นมาหมด แล้วถูกนำลงแม่น้ำล่องมาสู่เมืองหางโจว เสร็จแล้วท่านก็บอกชาวบ้านว่า ไม้ที่จะใช้ก่อสร้างนั้น บัดนี้อยู่ในบ่อธูป (บ่อธูปนี้เป็นบ่อที่ขุดขึ้น ใช้สำหรับเทขี้ธูปและก้านธูป) ท้ะงพระและชาวบ้านต่างไปดูที่บ่อธูป ก็ปรากฏว่าเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่เล่าต่อ ๆ กันมานี้ ยังมีหลักฐานปรากฏอยู่อีกมากมาย

    พระอรหันต์จี้กงได้นั่งสมาธิ จนเข้าฌานปลงสังขาร ในรัชสมัยพระเจ้าจักรพรรดิ “เกียเตีย” อัฐิของท่านบรรจุไว้ในเจดีย์ “เสือผ่าน” ก่อนที่ท่านจะปลงสังขาร ท่านได้ให้ปริศนาธรรมไว้ว่า “หกสิบปีมานี่ กำแพงตะวันออกล้มตีกำแหงตะวันตก รวบรวมจนถึงบัดนี้ ก็ยังคงเหมือนเดิม ท้องน้ำก็ยังจรดดขอบฟ้าอยู่เช่นเดิม” หลังจากท่านปลงสังขารแล้วไม่นาน ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้พบพระอรหันต์จี้กงนั่งอยู่ใต้เจดีย์ ชื่อ“หลักฮั้ว” และยังได้ฝากหนังสือให้บทหนึ่งว่า “หวนรำรึกสมัยก่อน มีศรยิงมาทางด้านหน้า ถึงบัดนี้รู้สึกหนาวเหน็บกระดูกไปทุกขุมขน เนื่องจากไม่มีใครรู้จักหน้าตา แล้วยังขึ้นไปวิ่งเล่นบนดาดฟ้าหนึ่งรอบ” ที่ท่านลงมาอีกครั้งเป็นพระประสงค์ของมหาโพธิสัตว์

    ตลอดพระชนม์ชีพของท่าน ได้ช่วยเหลือและอบรมชาวบ้านโดยวิธีการเสแสร้งต่าง ๆ กันมาตลอดเวลาโดยไม่มีอุปสรรค ตัวท่านเป็นพระภิกขุ และมีจิตที่เป็นมหาโพธิสัตว์ ท่านมีแต่จีวรขาด ๆ  รองเท้าขาด ๆ คู่หนึ่ง โดยไม่สนใจว่าว่ามันจะเปื้อนโคลนหรือไม่ มือก็ถือพัดเล่มหนึ่ง ไม่กลัวทั้งที่ต่ำและที่สูง ศีรษะก็โล้น ลมก็ไม่พัด ฝนก็ไม่กระหน่ำ ไม่จำเป็นต้อวมีหมวกงอบ เท้าก็เปลือยเปล่า ความหนาวก็ไม่ระคาย ความร้อนก็ไม่รู้สึก ไม่ต้องมีย่าม ไม่ต้องบิณฑบาต เพราะไม่หิวกระหาย ไม่ต้องแต่งทรง เพราะศีรษะไม่มีผม พบใครก็เอาแต่ยิ้ม เพื่อจะได้แผ่บุญ ไม่หลบสังคม ค้นหาเสี่ยงทุกข์ เพื่อจะได้ช่วยเหลือ ชาวบ้านนับถือ ทุกครัวเรือนมีแต่พระอรหันต์ หลักการของท่านพระภิกขุทั่วไปไม่ชอบ เนื่องจากความไม่สำรวมของท่าน ทำให้พระภิกขุที่มีความรู้ รู้สึกเสียหน้าไม่สบายใจ ดังนั้น พระภิกขุผู้ใหญ่จึงไม่กล่าวถึง ไม่พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน

    สืบเนื่องจาก พระอรหันต์จี้กง มีเมตตาจิตไม่ถือสา การปรากฏตนของท่าน เอาแน่นอนไม่ได้ กิริยาวาจาล้วนเป็นปริศนาธรรม ซึ่งทำให้ธรรมะของท่านเป็นที่กล่าวขาน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นอาจารย์ทางกัมมัฐฐาน แม้ว่าท่านละสังขารจากโลกไปแล้วก็ตาม แต่ธรรมะของท่านยังมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เสมอมา ดังนั้น จึงได้สมัญญาว่า เป็นพระพุทธที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็เนื่องด้วยเหตุฉะนี้

    ในสมัยกลียุคนี้ มวลชนหลงใหลอยู่ในกิเลส วนเวียนอยู่ในทะเลทุกข์ อรหันต์ใจร้อนรน และเพื่อจะกอบกู้ชาวโลกอีกวาระหนึ่ง ท่านจึงยอมลงมาประทับทรง ที่สำนักเซี้ยเฮี้ยงนี้ โดยเอาวิญญาณคุณหยางเซิงไปเที่ยวเมืองนรก เปิดเผยความลับของยมโลก เพื่อปลอบเตือนชาวโลก

  ชาวโลกนับว่าโชคดี ดั่งอาบน้ำพิรุณทิพย์ ออกจากทางมารโดยตลอด สาธุ !

   หนังสือเล่มนี้สำเร็จลง สืบทอดนับหมื่นปี อันนับว่าเป็นผลงานของท่าน

บทสรรเสริญ :-

                 เริ่มแรกต้องตีหัว          เพื่อปลุกให้ตื่นจากหลง

         ยิ้มยื่นเด็ดดอกไม้                 เป็นปริศนาธรรม

         ชีวิตคือละคร                       แสดงได้เหมือนจริงจัง

         สรรพสิ่งกลับสู่จิต               ดั่งท่องนรกแลสวรรค์

   
 
 

จากคุณ    : อินทรีย์ผยอง
บันทึกการเข้า