ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ลักษณะเปตร มีกี่ประการ  (อ่าน 24052 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

pakorn

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 65
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
ลักษณะเปตร มีกี่ประการ
« เมื่อ: สิงหาคม 15, 2010, 04:37:39 pm »
0
ถ้าพูดถึงเรื่องเปตร แล้ว เราก็คงนึกภาพ ถึง คนตายกลายเป็นเปตรต้องมีลักษณะ

ตัวสูงเท่าต้นตาล แขนยาว ขายาว ไม่มีผ้าสวมใส่ พุงป่อง และ ปากเท่ารูเข็ม

ใช่ไหมครับ .........



ในพระไตรปิฏก แสดงลักษณะเปตร ไว้แบบนี้หรือป่าว ครับ

เปตร ในครั้งพุทธกาล หล่อ ๆ สวย ๆ มีไหมครับ

และผลกรรมที่ทำให้เป็น เปตร นั้น ส่วนใหญ่เป็นผลกรรมจากอะไรครับ



ช่วยกันวิจารณ์ธรรม กันหน่อย นะครับ

เพราะในแง่ ความเป็นจริง ( ตามที่ผมคิด )

สัตว์ดิรัจฉาน ยังมีหลายประเภท

อสุรกาย ก็มีหลายแบบ

สัตว์นรก ก็มีหลายขุม แตกต่างกันด้วยผลแห่งกรรมที่ทำ

ดังนั้น เปตร ผมเชื่อว่า ไม่น่าจะมี แบบเดียวครับ ในขณะที่ผมถาม ผมก็กำลัง ค้น เรื่องเปตร ในพระไตรปิฏก

อยู่ครับ ค้นคนเดียว ไม่สนุกครับ ชวนเพื่อน ๆ สมาชิก มาร่วมวิจารณ์ ด้วยดีกว่า ในสภาธรรม แห่งนี้

 :25: :25:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ลักษณะเปตร มีกี่ประการ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2010, 08:48:30 am »
0

อบายภูมิ ๔
 
แดนเกิดของกรรมฝ่ายชั่ว อบายภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ที่มีเจตนาฝ่ายอกุศลกรรมนำเกิด เป็นภูมิที่ขวางต่อนิพพาน มี ๔ ภูมิ ได้แก่

๑. นิรยะ แปลตามศัพท์ว่า ที่ที่ไร้ความเจริญ หรือเรียกว่า นรกภูมิ
 
๒. ติรัจฉานโยนิ กำเนิดดิรัจฉาน ได้แก่ สัตว์ดิรัจฉานทุกประเภท หรือเรียกว่า ดิรัจฉานภูมิ

๓. เปตวิสยะ วิสัยเปรต ได้แก่ ภูมิภพของเปรต หมายถึง สัตว์จำพวกหนึ่งที่เกิดมาเพื่อรับผลกรรมที่เป็นเศษของกรรม เช่นเมื่อไปนรกแล้ว พ้นจากนรก แต่กรรมนั้นยังไม่หมด ยังมีเศษของกรรมเหลืออยู่ ก็ต้องไปเกิดเป็นเปรต ใช้เศษของกรรมไปจนหมดก่อน

๔. อสุรกายะ แปลว่า สัตว์ที่ได้รับทุกข์




เปรตภูมิ
เปรตภูมิ เป็นที่อยู่ของบุคคลที่ทำบาปเบากว่าพวกที่ไปเกิดในนรกภูมิ เป็นภูมิที่สัตว์นรกถูกทรมานด้วยการอดอยากหิวโหย เปรตบางชนิดต้องกินหนอง เลือด เสมหะ อุจจาระ เป็นอาหาร

ที่อยู่ของเปรต เปรตไม่มีที่อยู่โดยเฉพาะ จะอยู่ทั่วๆ ไปตามป่า ภูเขา เหว เกาะ แก่ง ทะเล มหาสมุทร ป่าช้า เป็นต้น

ชนิดของเปรต
เปรตมีหลายจำพวก มีทั้งพวกที่ตัวเล็ก ตัวใหญ่ บางพวกแปลงกายเป็นเทวดา มนุษย์ผู้ชาย มนุษย์ผู้หญิง ดาบส พระ เณร หรือชี ทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเทวดา พระ เณร จริงๆ เจตนาของการแปลงกายก็เพื่อจะช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้พบเห็นนั้น ส่วนการแปลงกายที่มุ่งจะทำร้ายให้เกิดความเกรงกลัวเสียขวัญตกใจ ก็จะแปลงกายเป็น วัว ควาย ช้าง สุนัข รูปร่างใหญ่โตน่าเกลียดน่ากลัว

อาหารของเปรต
เปรตทั้งหลายต้องเสวยทุกขเวทนา คือ การอดข้าวอดน้า เปรตบางพวกจึงเข้าไปกินเศษอาหารที่ชาวบ้านเขาทิ้งไว้ บางพวกกินเสมหะ น้าลาย ของโสโครกต่างๆ ท่านได้กล่าวไว้ว่าเปรตที่อาศัยอยู่ตามภูเขา เช่น ที่ภูเขาคิชฌกูฏ นอกจากจะอดอาหารแล้วยังต้องถูกทรมานเหมือนสัตว์นรกด้วย

ต่อไปจะแสดงเปรตประเภทต่าง ๆ ตามพระอรรถกถาและพระคัมภีร์ดังนี้ ในอรรถกถาเปตวัตถุ แสดงเปรตไว้ ๔ จาพวก คือ

๑. ปรทัตตุปชีวิกเปรต เปรตที่มีชีวิตอยู่ด้วยการอาศัยส่วนบุญที่เขาอุทิศให้ ถ้าไม่มีผู้อุทิศให้ก็ต้องอดอยากหิวโหยได้รับทุกขเวทนาอยู่เช่นนั้น ปรทัตตุปชีวิกเปรต เป็นเปรตประเภทเดียวเท่านั้น ที่สามารถจะรับส่วนกุศลที่มนุษย์แผ่ไปให้ได้ อยู่ใกล้มนุษย์ เนื่องจากเวลาใกล้ตายมีความห่วงใยอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สินเงินทอง ห่วงใยในสามีภรรยา ลูกหลานหรือมิตรสหาย เมื่อตายก็จะอยู่ในบริเวณบ้านเรือนนั้นเอง
   
    ส่วนใหญ่เรียกว่าผี ถึงแม้ว่าจะเกิดเป็นเปรตอยู่ในบริเวณนั้น แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีผู้อุทิศส่วนกุศลให้ก็ไม่มีโอกาสได้อนุโมทนา เปรตก็จะไม่ได้รับส่วนบุญนั้น แต่บุญที่อุทิศให้แก่ญาติผู้ตายแล้วนั้น หากไม่ถึงหรือไม่สาเร็จ บุญนั้นก็ไม่สูญหายไปไหน คงเป็นบุญที่ติดตัวแก่ผู้อุทิศให้นั้น ซึ่งจะเป็นผลบุญอีกต่อหนึ่งของผู้ทำบุญ

    ฉะนั้นเมื่อทำบุญกุศลทุกครั้งควรอุทิศส่วนกุศลให้ญาติทั้งหลายของเราทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ เพราะในสังสารวัฏที่ผ่านมานี้อาจมีญาติของเรายังคอยการอุทิศส่วนกุศลจากเราอยู่

   สาหรับพระโพธิสัตว์เมื่อได้รับพยากรณ์แล้ว ถ้าจะเกิดเป็นเปรต ก็จะเกิดเป็นเปรตได้ประเภทเดียวเท่านั้น คือ ปรทัตตุปชีวิกเปรต

๒. ขุปปิปาสิกเปรต เป็นเปรตชนิดที่ถูกเบียดเบียนด้วยการหิวข้าวหิวน้า ไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะลุกขึ้น นอนแซ่วอยู่เหมือนคนป่วยที่ใกล้จะตาย

๓. นิชฌามตัณหิกเปรต เป็นเปรตที่มีตัวตัณหาทำให้หิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ เนื่องจากเปลวไฟที่ลุกอยู่ในปากนั่นเอง

๔. กาลกัญจิกเปรต เป็นเปรตจาพวกอสุรกาย หรือ อสุรา ลักษณะของอสุรกาย ประเภทกาลกัญจิกเปรต มีร่างกายสูงสามคาวุต (๑ คาวุต ประมาณ ๔,๐๐๐ เมตร) ไม่มีแรง เพราะมีเลือดและเนื้อน้อย มีสีสันคล้ายกับใบไม้แห้ง ตาถลนออกมาเหมือนกับตาของปู และมีปากเท่ารูเข็มตั้งอยู่กลางศีรษะ เวลาจะกินต้องห้อยหัวลง




   จากลักขณสังยุต ใน นิทานวรรค กล่าวถึงเรื่องเปรตมีใจความสรุปดังนี้ การไปเกิดเป็นเปรตชนิดต่างๆ นั้นเพราะเศษกรรม คำว่า เศษกรรม คือ บาปกรรมที่ยังเหลืออยู่ หมายถึงเศษบาปนั่นเอง คือเมื่อเป็นมนุษย์ทำบาปหยาบช้าไว้ ตายไปเกิดในนรก พ้นจากนรกแล้วยังไม่สิ้นบาปกรรมทั้งหมด จึงต้องไปเป็นเปรตเสวยทุกข์ต่อไปอีก เพราะกรรมที่ยังเหลืออยู่นั้น

ตัวอย่างเรื่องเปรต
    ท่านพระลักขณะ (พระองค์หนึ่งในชฎิลพันองค์) และท่านพระมหาโมคคัลลานะอยู่บนภูเชาคิชฌกูฏใกล้พระนครราชคฤห์ เวลาเช้าท่านทั้งสองออกบิณฑบาต ขณะที่เดินลงจากภูเขา ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้แย้มพระโอษฐ์ (คืออาการบันเทิงของพระอรหันต์ไม่ถึงยิ้ม) พระลักขณะได้ถามถึงเหตุของอาการแย้ม ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า ไม่ใช่เวลาถามปัญหา ให้ถามในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด

    เมื่อท่านทั้งสองบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์และทำภัตตกิจเสร็จแล้ว ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระเวฬุวัน ท่านพระลักขณะจึงกล่าวถามขึ้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงเล่าว่า ได้เห็นร่างสัตว์อย่างหนึ่งลอยไปในอากาศ มีลักษณะอาการตามที่ท่านได้เห็น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรับรอง และได้ทรงกล่าวถึงบาปที่สัตว์นั้นได้ทำขณะเมื่อเป็นมนุษย์


    ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นบ่อยๆ ขณะที่เดินลงจากเขาคิชฌกูฏ และได้เล่าในที่เฉพาะพระพักตร์ทุกครั้ง การแย้มของพระโมคคัลลานะ เพราะท่านดำริว่า ท่านเองพ้นแล้วจากอัตภาพเช่นนั้น ต่างจากผู้ที่ยังไม่เห็นสัจจะ ยังมีภพไม่แน่นอน ซึ่งอาจไปเกิดเป็นเปรตเช่นนั้นอีกก็ได้ ท่านจึงบันเทิงใจ (ไม่ใช่ว่าแย้มเพราะเป็นการเย้ยหยัน)

  - เปรตตนหนึ่งมีแต่โครงกระดูก ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าโค เพราะเคยเป็นคนฆ่าโคชำแหละเนื้อให้เหลือแต่กระดูก อยู่ในพระนครราชคฤห์


  - เปรตตนหนึ่งเป็นชิ้นเนื้อ ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าโค เพราะเคยเป็นคนฆ่าโคชำแหละเนื้ออยู่ในพระนครนั้นเช่นเดียวกัน ที่แตกต่างกันตนหนึ่งเป็นโครงกระดูก ตนหนึ่งเป็นชิ้นเนื้อ เพราะว่านิมิตที่สัตว์นั้นเห็นในเวลาที่ไปเกิดต่างกัน จึงไปเกิดมีรูปลักษณะที่ต่างกัน คือ เมื่อเห็นนิมิตเป็นโครงกระดูกก็ไปเกิดเป็นเปรตโครงกระดูก เห็นนิมิตเป็นชิ้นเนื้อก็ไปเกิดเป็นเปรตชิ้นเนื้อ

  - เปรตตนหนึ่งเป็นก้อนเนื้อ ถูกแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่านก ในพระนครนั้น

  - เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษไม่มีผิวหนัง ถูกแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าแกะ เพราะเคยเป็นคนฆ่าถลกหนังแกะขายอยู่ในพระนครนั้น

  - เปรตตนหนึ่งมีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นดาบที่หลุดกระเด็นออกไป แล้วกลับมาทิ่มแทงกายตนเอง ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าสุกร เพราะเคยเป็นคนฆ่าสุกรขายด้วยอาวุธชนิดนั้นอยู่ในพระนครนั้น

  - เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษ มีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นหอกที่หลุดกระเด็นออกไป แล้วกลับมาทิ่มแทงกาย ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าเนื้อ ด้วยเคยเป็นคนใช้หอกฆ่าเนื้อขายอยู่ในพระนครนั้น

  -เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษ มีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นดอกธนูที่หลุดกระเด็นออกไป แล้วกลับมาทิ่มแทงกาย ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่เคยเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเบียดเบียนประชาชนด้วยอำนาจของตน มีการทรมานบ้าง ฆ่าบ้าง ยิงให้ตายด้วยธนูอยู่ในพระนครนั้น

  - เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษ มีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นปฏักที่หลุดกระเด็นออกไป แล้วกลับมาทิ่มแทงกาย ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่ฝึกม้าอย่างโหดร้ายทารุณ เคยเป็นคนฝึกม้าด้วยวิธีโหดร้ายทารุณ ใช้ปฏักแทงม้าถึงพิการหรือตายอยู่ในพระนครนั้น

  - เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษ มีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นเข็มทิ่มเข้าไปในศีรษะออกทางปาก ทิ่มเข้าไปในปากออกทางอก ทิ่มเข้าไปในอกออกทางท้อง ทิ่มเข้าไปในท้องออกทางขา ทิ่มเข้าไปในขาออกทางแข้ง ทิ่มเข้าไปทางแข้งออกทางเท้า ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่มีปากเป็นเข็ม คือ เป็นคนพูดส่อเสียดยุยงให้เขาแตกร้าวกัน เป็นคนที่พูดทิ่มแทงให้เขาเจ็บใจเป็นทุกข์

  - เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษมีอวัยวะรหัสโตอย่างหม้อน้าขนาดใหญ่ ต้องเดินแบกขึ้นคอไป หรือต้องนั่งทับ ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฉ้อโกงชาวบ้านชาวเมือง เคยเป็นอมาตย์ฉ้อโกง รับสินบนในลับแล้วสั่งให้วินิจฉัยบิดเบือน ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองต้องแบกภาระเป็นทุกข์ อย่างหลีกเลี่ยงฝ่าฝืนไม่ได้ เศษกรรมที่รับสินบนในที่ลับ จึงส่งให้อวัยวะรหัสปรากฏอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องแบกทุกข์ทรมานไป

  - เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษจมหลุมคูถมิดศีรษะ เพราะเศษกรรมที่เป็นชู้กับภริยาของผู้อื่น ด้วยได้เคยเป็นชายชู้ดังกล่าวอยู่ในพระนครนั้น

  - เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษจมอยู่ในหลุมคูถ กอบคูถด้วยมือทั้งสองเข้าปากเคี้ยว เพราะเศษกรรมที่เอาคูถใส่บาตรพระ เคยเป็นพราหมณ์ผู้เกลียดและแกล้งพระในพระพุทธศาสนาดั่งกล่าวในพระนครนั้น


  - เปรตตนหนึ่งเป็นสตรีไม่มีหนัง ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ประพฤตินอกใจ เคยเป็นสตรีประพฤตินอกใจสามี เป็นชู้กับชายอื่นอยู่ในพระนครนั้น

  - เปรตตนหนึ่งเป็นสตรีมีกลิ่นเหม็น รูปร่างน่าเกลียด ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่เป็นแม่มดหลอกลวงคน เคยเป็นผู้หลอกลวงแสดงตนตัวแทน เป็นสื่อทรงของยักษ์ หรือภูตผีปีศาจ รับบูชาพลีกรรมของคนผู้หลงเชื่ออยู่ในพระนครนั้น

  - เปรตตนหนึ่งเป็นสตรี ถูกไฟไหม้สุกเกรียมดาคล้าไปทั้งตัวเยิ้มเกรอะกรังไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่โรยถ่านเพลิงบนศีรษะหญิง อีกคนหนึ่งด้วยแรงริษยา ด้วยสตรีคนนั้นได้เคยเป็นอัครมเหสีของพระราชากลิงคะ มีความริษยาในสตรีร่วมพระสวามีคนหนึ่ง ถึงกับใช้กระทะเหล็กตักถ่านเพลิงโปรยลงบนศีรษะของนางนั้น

  - เปรตตนหนึ่งไม่มีศีรษะ มีตาและปากอยู่ที่อก ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าตัดศีรษะคน เคยเป็นเพชฌฆาตชื่อว่า หาริกะ ตัดศีรษะโจรเป็นอันมากอยู่ในพระนครนั้น


  - เปรตตนหนึ่งเป็นภิกษุ ตนหนึ่งเป็นภิกษุณี ตนหนึ่งเป็นสิกขมานา (สามเณรีผู้จะอุปสมบทเป็นภิกษุณี ต้องรักษาศีลพิเศษอยู่สองปีก่อน ระหว่างนี้เรียกว่าสิกขมานา) ตนหนึ่งเป็นสามเณร ตนหนึ่งเป็นสามเณรี ทุกคนทรงสังฆาฏิ บาตร ประคต เป็นไฟลุกโชน ตลอดทั้งร่างกาย ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่เป็นผู้บวชแล้วทำชั่ว ด้วยได้เคยเป็นภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี ผู้ประพฤติไม่ดี บริโภคปัจจัยลาภที่เขาถวายด้วยศรัทธาแล้วไม่สารวมกายวาจา หาเลี้ยงชีพผิดทางสมณะ คะนองระเริงใจจนถึงวิบัติต่างๆ

- เปรตเหล่านี้เป็นเปรตในพระนครราชคฤห์ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นด้วยทิพย์จักษุ มีผู้ไม่เชื่อมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลแล้วเหมือนกัน ดั่งที่มีกล่าวไว้ในพระวินัยว่า พวกภิกษุเมื่อได้ฟังท่านพระมหาโมคคัลลานะเล่าเรื่องนี้ ก็กล่าวโทษว่าท่านพูดอวดอุตริมนุษยธรรม (คือธรรมที่ยิ่งของมนุษย์ หรือธรรมของมนุษย์ผู้ยิ่ง)

    พระพุทธเจ้าตรัสว่าสาวกทั้งหลาย ผู้มีดวงตาญาณจักรู้จักเห็นได้ และเพราะว่าพระพุทธองค์เองก็ได้เคยทรงเห็นสัตว์นั้นมาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้ทรงพยากรณ์หรือตรัสบอกแก่ใคร เพราะถ้าทรงตรัสบอกไปแล้ว ถ้าเขาไม่เชื่อคำของพระพุทธองค์ บุคคลนั้นๆ ก็จะมีแต่โทษไม่มีประโยชน์อะไร ครั้นทรงได้พระมหาโมคคัลลานะเป็นพยานจึงทรงพยากรณ์ตรัสกล่าวถึง บุพกรรมของเปรตเหล่านี้

    จากตัวอย่างเรื่องเปรตที่ยกมานี้ เมื่อพิจารณาการทำกรรมชั่วในปัจจุบันของบุคคลทั้งหลาย ก็มีเรื่องคล้ายๆ กับอดีตกรรมของเปรตทุกตนที่กล่าวมา เช่น ประชาชนได้รับทุกข์ เพราะข้าราชการ นักการเมือง ที่ฉ้อโกง เบียดบังหรือได้ประโยชน์จากการแสวงหาเงินทองด้วยการใช้กฎหมายบ้าง ข้าราชการนักการเมืองเหล่านั้น ก็เหมือนกับเปรตตนหนึ่งที่ต้องทนทุกข์ทรมานมีอวัยวะรหัสใหญ่โตเดินไปก็ต้องแบกไป


    เพราะเคยทาให้บุคคลอื่นต้องแบกภาระเป็นทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงฝ่าฝืนไม่ได้ด้วยเพราะฝีมือการปกครองของตน ถ้ากรรมนี้ส่งผลกับข้าราชการนักการเมืองนอกแถวพวกนี้ ก็คงจะส่งผลให้ได้รับทุกข์เช่นเปรตตนนั้น หรือการพูดที่ทำให้สังคมประชาชนแตกแยกแตกร้าวไม่สามัคคีกัน ก็เป็นการกระทำกรรม เช่นเดียวกับอดีตกรรมของเปรตที่มีขนทั่วสรรพางค์กาย แล้วขนนั้นกลายเป็นเข็มทิ่มเข้าไปในศีรษะออกทางปากฯลฯ ทิ่มเข้าไปทางแข้งออกทางเท้า ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ

   เพราะเศษกรรมที่มีปากเป็นเข็ม คือ เป็นคนพูดส่อเสียดยุยงให้เขาแตกร้าวกัน หรือการใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี อันมีสาเหตุมาจากความเสรีทางสื่อลามกบ้าง การหลั่งไหลเรื่องวัฒนธรรมที่ไม่ดีของต่างชาติบ้าง ทาให้เยาวชนของชาติถูกมอมเมาอยู่ในโลกีย์วิสัย เมื่อถูกมอมเมาก็เข้าใจผิด ไม่รู้ว่าสิ่งใดดีไม่ดี สิ่งใดถูกสิ่งใดควร ประพฤติตามๆ กันไปในสิ่งที่ผิด

    จนสิ่งนั้นกลายเป็นถูกต้องไปตามความคิดความรู้สึกหรือตามสังคมของเขา ทำให้ไม่สนใจเรื่องความประพฤติที่ต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พอใจในการมีสามีเดียวภรรยาเดียว เป็นกรรมของเยาวชนชาติไทยโดยแท้ ที่ถูกมอมเมาจากสื่อลามก เป็นต้น จนทำให้ได้ทุกข์ในชาตินี้ยังไม่พอ ยังต้องไปได้รับทุกข์ในชาติหน้า ไปเกิดเป็นเปรตเพราะความประพฤติผิดลูกผิดเมียชาวบ้านอีก



อสุรกายภูมิ
   อสุรกาย หรือ อสูร ไทยเรามักเข้าใจว่า ได้แก่พวกยักษ์ตามเรื่องรามเกียรติหรือในเรื่องอื่นๆ ซึ่งลักษณะดุร้ายน่ากลัว แต่ตามคัมภีร์ทางพระอภิธรรมได้กล่าวถึงอสุรกายไว้ ๒ จาพวก คือ อสุระที่เป็นข้าศึกของเทพดาชั้นดาวดึงส์ และอสุรเปรต นิรยอสุรา
 
    คำว่า อสุระ จึงแปลว่า ไม่ใช่เทพ และคำว่า สุระ แปลว่า เล่น หมายถึงเสวยสุข พวกเทวดาเสวยสุขด้วยทิพยสมบัติ จึงเรียกว่า
สุรเทพ แต่ อสุระมีภาวะตรงกันข้าม คือ เสวยทุกข์ เท่ากับเป็นเปรตชนิดหนึ่ง คือ นิรยอสุรา
    
อสุระ พวกที่เป็นข้าศึกของเทพชั้นดาวดึงส์
แต่เดิมก็อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้แก่ เวปจิตติอสุรา สุพลิอสุรา ราหุอสุรา ปหาระอสุรา สัมพรตีอสุรา และ วินิปาติกอสุรา

    เฉพาะเทวดา ๕ ประเภทแรกเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ อาศัยอยู่ใต้ภูเขาสิเนรุ มีเรื่องกล่าวไว้ว่าแต่เดิมอสุราทั้ง ๕ พวกนี้ เคยอยู่บนชั้นดาวดึงส์ ต่อมา มฆมานพและบริวาร ๓๒ คน ขึ้นไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มฆมานพเป็นพระอินทร์ และบริวาร ๓๒ คน ได้มาเกิดก็มีการฉลองกันเป็นการใหญ่

    เมื่ออสุราทั้ง ๕ พวกนี้เมาสุราจนได้ที่แล้ว พระอินทร์และบริวาร จึงจับพวกอสุราโยนลงจากยอดเขาสิเนรุ ทำให้ต้องมาอยู่ใต้เขาสิเนรุ ด้วยเหตุนี้เองทำให้อสุรา ๕ พวกนี้แค้นเทวดาชั้นดาวดึงส์มาก และได้เคยยกพวกขึ้นเขาสิเนรุไปรบกับเทวดาชั้นดาวดึงส์หลายครั้ง บางครั้งก็ชนะบางครั้งก็แพ้ 


    วินิปาติกอสุราเทวดาพวกที่ ๖ นี้ เป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์เช่นกัน มีรูปร่างเล็กกว่าเทวดาที่อยู่ในชั้นดาวดึงส์ มีอานาจน้อยกว่า และอาศัยอยู่ใน มนุษย์โลกทั่วไป เช่น ตามปุา เขา ต้นไม้ ศาลที่เขาปลูกไว้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของภุมมัฏฐเทวดา วินิปาติกอสุรานี้เป็นบริวารของภุมมัฏฐเทวดานั่นเอง

นิรยอสุรา
   เปรตจำพวกหนึ่งที่ต้องเสวยทุกข์อยู่ในโลกันตนรก โลกันตนรกนี้ตั้งอยู่ระหว่างกลางของจักรวาลทั้งสาม ที่มีเขตเชื่อมติดต่อกัน อุปมาเหมือนเอาแก้วสามใบมาตั้งรวมกันเข้าเป็นสามมุม ช่องว่างที่อยู่ระหว่างกลางของถ้วยแก้วที่ตั้งไว้ฉันใด จักรวาลทั้งสามจักรวาลได้เชื่อมต่อกันเข้าเป็นสามมุม แล้วมีช่องว่างระหว่างกลางของจักรวาลทั้งสามก็ฉันนั้น


    โลกันตนรกนี้แสงใดๆก็ไม่สามารถเล็ดลอดมาถึงได้ ใต้พื้นเป็นน้ำที่เย็นมากที่สุด เย็นเป็นกรด นิรยอสุราเป็นสัตว์จาพวกที่เกาะอยู่ตามขอบจักรวาลที่มืดมิด เหมือนค้างคาวที่เกาะไต่ไปมาตามฝาผนัง มีความหิวกระหายเป็นกำลัง เกาะไต่ไปพลางเมื่อพบพวกเดียวกันจะโผเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างคิดว่าเป็นอาหารของกันและกัน เพราะความมืดมิด ต่อสู้กันถ้าพลัดตกไปในน้ำกรดข้างล่าง กายก็จะละลายหายไปทันที

   แล้วเกิดขึ้นมาใหม่ เกาะอยู่ที่ขอบจักรวาลอีกตกตายไปอีก วนเวียนเช่นนี้จนกว่าจะหมดกรรม อสุรกายภูมินี้ ก็สงเคราะห์เข้าในเปรตภูมิ แต่การที่ท่านจัดเป็นอสุรกายภูมิเข้าอีกภูมิหนึ่งเช่นนี้ ก็เพราะว่าในบรรดาเปรตทั้งหลายนั้น มีเปรตที่พิเศษอีกพวกหนึ่ง เปรตที่พิเศษนี้ท่านจึงเรียกว่าอสุรกาย

 


จากบทเรียนพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ ชุดที่ ๖.๑ เรื่องภพภูมิ
หนังสืออ้างอิง
๑. ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
๒. ภูมิจตุกกะและปฏิสนธิจตุกกะ ปริจเฉทที่ ๕ เล่มที่ ๑ ;
ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมมัตถสังคหฎีกา ; พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ 
อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย




หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า จะตอบคำถามของคุณปกรณ์ได้หมดนะครับ

หากคุณปกรณ์ต้องค้นในพระไตรปิฏก ขอให้ดูใน

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕

เรื่องอหิเปรต  ให้ดูตามลิงค์นี้ครับ

http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=15&p=12

เรื่องสัฏฐิกูฏเปรต ให้ดูที่ลิงค์นี้ครับ

http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=15&p=13

           
ขอให้ธรรมคุ้มครอง
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

สมภพ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 485
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ลักษณะเปตร มีกี่ประการ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2010, 12:53:04 pm »
0
อ่านจบไป  1 รอบแล้ว เปตรมีหลายแบบ

เป็นไปได้ จะลองจินตนาการวาด ตามซะหน่อย

สาธุ อย่าให้ข้าพเจ้า ได้เกิดเป็นเปตรเลย ด้วยอำนาจบุญกุศล ที่มีก็ขออย่าให้เจอเปตรด้วย

 :25: :25:
บันทึกการเข้า

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ลักษณะเปตร มีกี่ประการ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2010, 03:16:01 am »
0
สาธุ สาธุ คร้า

 :25: :25:
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

รักหนอ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +22/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 369
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ลักษณะเปตร มีกี่ประการ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2010, 06:54:23 am »
0
สาธุ สาธุ

 :25:
บันทึกการเข้า