ปีที่แล้วเราก็คิดว่าจะไปสวดมันต์ข้ามปี แต่คิดไปคิดมา เราก็สวดมนต์ที่บ้านข้ามปีเหมือนกัน ที่ไม่หลับไม่นอนเพราะว่าแถวบ้านเขาฉลองกัน เราเองไม่ได้ฉลองอะไร อยู่บ้านด้วยความสงบกับครอบครัว คือ เรา สามี และลูก ตอนนั้นประมาณ 4 ทุ่ม ลูกเราหลับไปแล้ว แต่เราก็รู้สึกตื่นเต้นกับวันขึ้นปีใหม่ ก็ไปเปิดทีวีดูเขาเคาน์ดาวน์กัน และพอเสร็จจากตรงนั้นเราก็มาสวดมนต์หน้าพระ เพื่อให้รู้สึกว่าการเริ่มต้นสู่ปีใหม่ของเรามีธรรมะนำไป ทำอะไรจะได้มีสติ เพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชี้นำ
โดยส่วนตัวเรา เราจะเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บ้านและเทวดาประจำตัวเรามาก เพราะในชีวิตที่ผ่านมาเมื่อเราได้มองย้อนกลับไป มีอะไรที่เสี่ยงให้น่าจะเกิดเรื่องร้าย แต่เราก็ผ่านมาได้ด้วยดี เราจึงนึกขอบคุณเทวดาประจำตัวเสมอมาในเรื่องต่างๆ ที่ผ่าน
แต่ในปีนี้ที่เราคิดจะสวดมนต์ข้ามปีเพราะ เราอยากทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่เป็นการนับถอยหลังเพื่อเข้าสู่ปีใหม่ ซึ่งกิจกรรมนั้นเราอาจไปพารากอน เซ็นทรัลเวิล ที่ไหนก็ได้ที่มีคนเยอะๆ จะได้สนุก ได้บรรยากาศไปอีกแบบ แต่เราก็คิดว่ามันคงไม่เหมาะที่จะเอาเด็กไปในที่ที่มีคนเยอะขนาดนั้น ก็เลยคิดว่าลองไปวัดดีไหม ไปสวดมนต์ข้ามปี เพื่อให้ความเป็นสิริมงคลกับชีวิตในปีใหม่ จึงได้เปิดกระทู้หาคนที่เคยไปมาเล่าสู่กัน ถ้ามันลำบากกับเด็กเราก็ไม่พาไป ก็เปิดทีวีดูและสวดที่บ้านเหมือนเดิม
เจ้าของความคิดเห็นที่ 6 อาจไม่เข้าใจเรื่องการทำบุญใหญ่ว่าทำไมจะต้องอะไรให้มากมาย เหมือนเป็นกระแส เป็นแฟชั่น เราเองเข้าใจความรู้สึกของความคิดเห็นที่ 6 นะ
เราเองก็ไม่ไ้ด้ลึกซึ้งอะไรมาก แต่มีความเชื่อว่าการสวดมนต์เป็นการสร้างกระแสพลังบวก การสวดมนต์กันคนหมู่มากจะมีพลังในการเหนี่ยวนำจิตได้ดีกว่าการสวดคนเดียว เสียงสวดมนต์ที่ดังอยู่ในหูที่เป็นบทสวดมหามงคลต่างๆ ก็จะซึมซับเข้าในจิต ก็จะเหนี่ยวนำให้จิตมีความเป็นกุศลเกิดบุญ ไม่ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร จะทะเลาะกับแฟน จะไม่ได้โบนัส ทะเลาะกับลูก ตกงาน ณ เวลาที่เราสวดมนต์หมู่เราก็ไม่ต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้ มีความสุขอยู่กับปัจจุบันแม้สั้น ซึ่งในอนาคตก็อาจทำให้เรามีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้น แทนที่เราเลิกกับแฟน แล้วเราต้องฆ่าตัวตาย เราก็คิดใหม่ว่าปล่อยเขาไป ช่างเขา อย่างตกงานก็ไม่ตกใจ เพราะมีเงินสำรองไว้แล้ว และเริ่มต้นหางานใหม่ อะไรอย่างนี้เป็นต้น
จากคุณ : กันต์นัทธ์ (กันต์นัทธ์)