ทำไมจึงกล่าวว่าเป็นการปรามาส ละัคะ
ผมว่าคุณอริสา อ่านตรงนี้ไม่ดีว่าพระอาจารย์พูดถึงเฉพาะ ศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นะครับ
พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้ตรัสให้เราเคารพแต่พระพุทธเจ้า นะครับ
ขนาดพระพุทธเจ้าทรงเสด็จเข้าไปในอาราม ในขณะที่พระใหม่กำลังแสดงธรรม พระองค์ยังหยุดเสด็จเข้าไปเลย
ครับ นั่นก็คือ พระพุทธเจ้านั้นให้ความเคารพในธรรม
ผมแปลกใจอยู่เหมือนกันว่า ลูกศิษย์พระอาจารย์ทำไมจึงเงียบกันหมดในส่วนนี้ผมขอแยกตอบคำถามนี้เป็นประเด็นนะครับ
1. ลูกศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ มาขึ้นกรรมฐาน และปฏิบัติอยู่กับพระอาจารย์ แต่ไม่ได้ปฏิบัติตาม
ขั้นตอน ส่วนนี้ก็ถือว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพต่อครูอาจารย์ จึงไม่ปฏิบัติตาม ส่วนนี้มองอย่างไรก็
เป็นการปรามาส แน่นอน ย่อมเรียนกรรมฐานไม่ผ่านครับ
2.ลูกศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ไม่ปฏิเสธว่ากรรมฐานที่เรียนนั้นไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า เพราะกรรมฐาน
เบื้องต้นคือ พระพุทธานุสสติ ก็คือให้ความสำคัญกับพระพุทธเจ้าเป็นอันดับแรกเลยครับ และลูกศิษย์กรรมฐาน
ทุกคนเข้าใจครับว่า กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เป็นกรรมฐาน ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน สมบูรณ์ทั้ง
สมถะ มีกรรมฐาน ถึง 40 กองกรรมฐาน และ วิปัสสนา จนถึงครอบคลุม โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ
อย่าลืมว่า มหาสติปัฏฐานที่อ้างนั้น ก็เป็นหนึ่งใน โพธิปักขิยธรรม 37
ดังนั้น ลูกศิษย์ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ไม่สร้างกรรมล่วงเกินพระรัตนตรัย มีแต่ต้องกล่าวคำขอขมา
พระรัตนตรัย การปรามาสพระอาจารย์ผู้บอกกรรมฐาน นั้นจึงไม่ใช่มารยาทของลูกศิษย์ครับ
3.การที่กล่าวว่า คุณมาเรียนกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ แต่กลับไปปฏิบัติ มหาสติปัฏฐานอยู่นั้น จะเป็นการ
ปรามาสได้อย่างไรในเมื่อปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ ไม่ใช่ปฏิบัติตามพระสาวกหรือพระสงฆ์
อันนี้ผมว่า
กรรม ซ้อน กรรม ไปกันใหญ่แล้วครับ เพราะว่า ตกลงคุณต้องการปฏิบัติในแนวทางไหน ใช้
หลัก ปัญญาธิกะ หรือ วิริยาธิกะ หรือ สัทธาธิกะ ปัญญามาก วิจิกิจฉา ก็มากตามดังนั้นคุณก็ควรเลือก
กรรมฐานให้เหมาะกับจริตของตนก่อน อย่าเอามาปนเปกันในเรื่องของความเคารพในขณะนั้น ซึ่งเป็นสภาวะ
ทางใจของคุณ
4.ขี้นตอนตามสถานที่ การฝึกกรรมฐานนั้น อาจจะแตกต่างกันไป แต่ใน สัปปุริสธรรม 7 นั้น
กล่าวไว้ว่า รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้สังคม รู้บุรุษบุคคล
ยกตัวอย่าง เขานั่งกรรมฐานกันอยู่ คุณก็สวดมนต์ส่งเสียงดังในขณะนั้น
ถามว่า นั่งกรรมฐานก็เป็นกุศล สวดมนต์ก็เป็นกุศลครับ บอกว่าทั้งสองอย่างก็ปฏิบัติตามคำสอนของ
พระพุทธเจ้า เหตุก็ได้ ผลก็ได้ ตนก็ได้ ประมาณก็ได้ สิ่งที่หายไป กาลไม่ได้ สังคมไม่ได้ บุรุษบุคคลไม่ได้
ที่จริงผมเองก็ไม่อยากตอบอย่างนี้ เพราะ คุณ อลิสา นั้นกำลังมีความศรัทธาในพระกรรมฐาน
ผมก็จักเสียกัลยาณมิตร หากพูดแรงไป แต่ที่ผมเป็นห่วงด้วยใจจริงคือ
ตอนนี้คุณกำลังปรามาส พระอาจารย์ ซึ่งมีผลในการภาวนาของคุณด้วย
การปรามาสพระรัตนตรัยนั้น ถามว่า พระพุทธเจ้า ก็ดี พระัธรรมก็ดี พระสงฆ์ ก็ตาม นั้น
จักถือสาผู้ปรามาส หรือไม่ ผมว่า คุณตอบในหัวใจคุณได้ครับส่วนนี้ .......
แต่ผลของการปรามาสนั้น มีกรรมอยู่ครับ ....... ควรหลีกเลี่ยง ครับ
เมื่อก่อนผมไม่ค่อยได้สนใจในส่วนนี้ เพราะผมเรียนธรรมะในสาย มหายาน เป็นส่วนใหญ่
คำพูดก็ดี จัดเป็นสิ่งที่เรียกว่า บัญญัติ หรือ สมมุติ แต่ผมได้รู้ความจริงก็คือ ปรมัตถสัจจะเป็นเรื่อง
ที่อยู่ด้านใน สมมุติบัญญัติ เป็นเรื่องที่อยู่ด้านนอก ...
ควรทำให้ถูก ใช้ให้ถูก ภาวนาให้ถูก
และผมอยากให้ทบทวนในสิ่งที่พระอาจารย์กล่าวแนะนำใหม่อีกครั้งนะครับ
1.ท่านเข้าใจอะไรในสังสารวัฏฏ์
( โทษของสังสารวัฏฏ์ คือ ความทุกข์ ความสุข ความไม่สุขไม่ทุกข์ )
2.ท่านจะทำอย่างไรในการออกจากสังสารวัฏฏ์
( นิพพิทา คือความหน่าย ต่อ สังสารวัฏฏ์ การเกิดขึ้นอีกเป็นทุกข์ ร่ำไป )
3.ท่านจะเริ่มต้นที่ไหนในการออกจากสังสารวัฏฏ์
( ทั้งหมดเริ่ม ที่ขันธ์ 5 ของเรา ไม่ใช่ของใคร )
4.ท่านศรัทธาอย่างไรในการดำเนินอริยมรรค
( ควรเชื่อมั่น ต่อ พระรัตนตรัย มี พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ )