ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - chatchay
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6
161  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 08:14:42 pm
“เรคี” เป็นเทคนิควิธีการบำบัดความเจ็บไข้ได้ป่วยโดยใช้มือสัมผัส คือผนึกลมปราณส่งผ่านฝ่ามือเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย โดยหลักการใหญ่ของเรคีก็เหมือนกับการบำบัดทางเลือกอื่นๆ ของโลกตะวันออก นั้นก็คือมีศูนย์กลางอยู่ที่พลังแห่งชีวิต คือ “ชิ” ของจีน หรือ “ปราณ” ของอินเดีย

นักเรคีแจงว่า พลังแห่งชีวิตของคนเรานั้นได้มาจากพลังงานที่เหนือกว่าตัวเราออกไปมากมาย ทั้งจากอากาศ มหาสมุทร ต้นไม้ ใบหญ้า อาหาร ตลอดสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เรคีเป็นกระบวนการรวบรวมพลังในทางบวกเหล่านี้มาควบแน่นให้มีอำนาจในการเยียว ยารักษาโรคสารพัด ตั้งแต่โรคเครีด นอนไม่หลับ ปวดหัว ข้อเคล็ด อ่อนเพลียจากการโดยสารทางอากาศ อาการไม่สบายตัวไม่สบายใจก่อนมีประจำเดือน หรือแม้แต่คนอ้วนก็สามารถใช้เรคีลดความอยากอาหารขยะลงได้
เทคนิคการบำบัดของเรคี ได้แก่การวางมือลงบนตำแหน่งจ่างๆ ของร่างกาย ทั้งด้านหน้าและด้านหลังลำตัวรวม 15 ท่าด้วยกัน ในรายที่ป่วยไม่รุนแรงอาจใช้เพียงสองสามกระบวนท่าและใช้เวลาไม่นานนักก็ ทุเลาได้
ผู้ที่เคยรับเรคีบำบัดมาแล้วเล่าว่าพวกเขามักรู้สึกร้อนหรือซ่า และบางรายเย็นวาบในบริเวณที่ได้รับพลังลมปราณเข้มข้นที่สุด ซึ่งก็คือจุดที่เจ็บป่วยมากที่สุดนั้นเอง
และในเวลาที่นักเรคีตรวจอาการ โดยวาดมือลงไปเหนือร่างกายของผู้ป่วย จะรับรู้ถึงความร้อนหรือความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้ยบางจุดได้ เช่น ถ้าเกิดบริเวณคอ ผู้นั้นมักมีปัญหาที่ไม่อาจพูดเรื่องอึดอัดคาใจออกมาได้ ถ้าเกิดแถวๆ หัวใจ เขาหรือเธอคนนั้นก็มักมีความทุกข์เศร้าบางประการที่ปลดไม่ออกเปลื้องไม่ได้ และถ้าเกิดบริเวณตา อาจเพราะมีการใช้สายตามากเกินไป เช่นจ้องจอคอมพิวเตอร์ หรืออ่นหนังสือนานเกินควร เป็นต้น
ในสหรัฐอเมริกา โรงพยาบาลหลายแ่งเริ่มใช้เรคีกันอย่างเปิดเผย ส่งผลให้มหาวิทยาลัยทางด้านการแพทย์หลายแห่งเริ่มสอนเรคีให้กับนักศึกษาด้วย นอกจากนั้นยังมีการศึกษาพบว่าวิสัญญีแพทย์ที่ทำเรคีให้คนไข้ก่อนและหลังผ่า ตัด ทให้คนไข้ลดความวิตกกังวลก่อนผ่าตัด และฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังกานผ่าตัด นอกจากนี้ การบำบัดด้วยเรคีเป็นวิธีการที่นุ่มนวล ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อและไม่มีผลข้างเคียงเลวร้ายใดๆ


ที่มา “เรคี” พลังฝ่ามือรักษาโรค | HBWellness
162  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 08:11:48 pm
บำบัดโรคโดยฝึกพลังคอสมิคฟรี !!!
โดย ผู้จัดการออนไลน์

ใครที่มีโอกาสได้เจอหญิงสูงวัยนาม “ เยาวเรศ บุนนาค ” เชื่อว่าคงเกิดความประทับใจในอากัปกิริยาทะมัดทะแมง แคล่วคล่องว่องไว แม้วัยจะล่วงเข้าสู่เลข 74 แล้วก็ตาม แต่ยังดูสดใสและสุขภาพดี ทำให้หลายคนอยากรู้เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ

คุณย่าเยาวเรศและลูกศิษย์บรรยายให้ความรู้เป็นวิทยาทานแก่ผู้สนใจ ณ โครงการผู้จัดการสุขภาพ บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ คุณย่าเยาวเรศ เล่าว่า เคล็ดลับนี้ได้มาโดยบังเอิญเมื่อท่านมีโอกาสรู้จัก พลเรือตรีหลวงสุวิชาญแพทย์ ในช่วงที่ชีวิตเจอมรสุมเศรษฐกิจจนทำให้เกิดความเครียดและทุกข์ใจ ซึ่งหลวงสุวิชาญแพทย์ก็แนะนำให้ทำสมาธิ ตลอดจน ลด ละ เลิก กิเลส จนมีแรงสู้ต่อไป

“ ท่านคงเห็นแววอะไรสักอย่างในตัวเรา จึงถามเราว่าสนใจที่จะช่วยเหลือคนอื่นไหม แต่ต้องทำจริงจังและไม่หวังผลอะไรตอบแทน ตอนนั้นอายุเพิ่ง 28-29 เราก็รับฟังแต่ยังไม่ตัดสินใจ จนมาเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เห็นว่าเราพร้อมแล้ว พออยู่พอกิน ไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติม จึงหันมาศึกษาอย่างจริงจัง จนได้มีโอกาสไปเรียนเรื่องรังสีคอสมิคที่อเมริกา ใช้เวลาเรียนเพียงเดือนเศษๆ ก็กลับมาช่วยเหลือคนเจ็บป่วยได้ ”

สดใสแข็งแรงแม้จะวัยล่วงเข้าวัย 74 ปีแล้ว คุณย่าเยาวเรศ อธิบายว่า พลัง คอสมิคคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่มีพลังสูงยิ่งกว่ารังสีแกมมา การค้นพบพลังนี้ถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของมาสเตอร์โซเซอร์ เมื่อประมาณ 5-6 พันปีที่แล้ว โดยแสงสว่างที่พวยพุ่งออกมาจากรังสีคอสมิคจะมีอำนาจพลังมหาศาล และเต็มไปด้วยตัวแร่ธาตุที่เป็นยารักษาโรคแก่มนุษย์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลกนี้ ที่สามารถดูดซับเอาพลังนี้เข้าไปเพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต

องค์ประกอบของพลังคอสมิคนี้ ร้อยละ 90 เป็นโปรตรอน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบอิเลคตรอนอนุภาคอัลฟา ที่เกิดจากอวกาศนอกโลกที่พุ่งลงมาสู่โลกมนุษย์ คนสมัยก่อนใช้ประโยชน์จากพลังงานนี้อย่างแพร่หลาย แต่เมื่อโลกมีวิวัฒนาการมากขึ้นมนุษย์ก็เริ่มละเลยสิ่งใกล้ตัวและหันไปไขว่ คว้าสิ่งอื่นมาทดแทนยามเจ็บป่วย พลังนี้จึงค่อยๆ เลือนหายไป จนกระทั่ง อาจารย์ดาสิรา นาธะ แห่งประเทศอินเดีย ได้นำสิ่งที่สูญหายหลายพันปีนี้กลับมาเผยแพร่ใหม่

“ พลเรือตรีหลวงสุวิชาญแพทย์ ถือเป็นคนไทยคนเดียวที่ได้รับถ่ายทอดวิชา โดยตรง ย่าเองก็ได้มาจากคุณหลวงเหมือนกัน ” ย่าเยาวเรศ กล่าวและว่า มนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นั่นคืออำนาจสมาธิ อำนาจจิต และกลไกภายในกายเนื้อนั้นจะสามารถติดต่อดึงดูดพลังที่มีคุณค่ามหาศาลนี้เข้า สู่ร่างกายได้ แรงสั่นสะเทือนของอำนาจจิตและอำนาจสมาธิมีคลื่นความถี่สูง จนสามารถเข้ากับคลื่นความสั่นสะเทือนของพลังคอสมิคได้อย่างรวดเร็ว

รศ.อาภรณ์ ภูมิพรรณา กำลังบำบัดรักษาด้วยพลังคอสมิคโดยใช้วิธีจับจักระต่างๆที่เสื่อมสมรรถภาพ “ เรื่อง ของพลังกายทิพย์ หรือคอสมิคนั้น เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ไสยศาสตร์อย่างที่หลายคนเข้าใจ เป็นส่วนหนึ่งในแขนงฟิสิกส์ และจากการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้พบว่า มนุษย์นั้นมีกายอยู่ 2 กาย คือ กายเนื้อและกายทิพย์ (Etheric Body) ที่ซ้อนกันอยู่ หากเปรียบแล้ว กายเนื้อก็เสมือนพาหนะห่อหุ้มทั้งหมดเอาไว้ ส่วนกายทิพย์จะเป็นกายที่โปร่งใสมีกลไกดูดซับจากธรรมชาติ เราเรียกกลไกนี้ว่าจักระ มีหน้าที่เหมือนเครื่องจักรคอยส่งพลังงานไปหล่อเลี้ยงกายเนื้อให้เจริญเติบ โต มีสุขภาพจิตสุขภาพกายแข็งแรง ซึ่งร่างกายคนเราจะประกอบไปด้วย 7 จักระ และจะมีสีของแต่ละจักระโดยเฉพาะ ”

โดยสีของจักระต่างๆ มีดังนี้ จักระที่ 1 สีแดง, จักระที่ 2 สีส้ม, จักระที่ 3 สีเหลือง, จักระที่ 4 สีเขียว, จักระที่ 5 สีฟ้า, จักระที่ 6 สีไพลิน และ จักระที่ 7 สีม่วงและสีทอง

   กดที่เเถบนี้เพื่อดูรูปขนาดดั้งเดิม


แต่ละจักระนี้จะมีอยู่ตามส่วนสำคัญของร่างกาย หากมีจุดใดจุดหนึ่งหมดพลังหรือหมดแสงไป จะส่งผลให้อวัยวะส่วนนั้นๆ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือหยุดทำงานไปเลย เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ความจำเสื่อม เป็นไซนัส เป็นต้น คนที่สุขภาพดีและแข็งแรง ร่างกายจะเปล่งรัศมีแห่งแสงสีทั้ง 7 แต่จะไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า สิ่งที่จะเห็นจากการมองภายนอกคือ ดูเป็นคนมีสุขภาพดี สดใส ร่าเริง

สำหรับคนที่สนใจจะรับการบำบัดรักษาด้วยพลังคอสมิค หรือสนใจเป็นผู้ให้การบำบัดรักษาเอง สิ่งที่ต้องมีคือ จะต้องถือศีลให้จิตใจสงบ งดเว้นอบายมุขทั้งปวง และมีระเบียบวินัยในตนเอง เพราะศาสตร์ทางเลือกนี้ต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจึงจะได้ผล และหากมีความเชื่อในสิ่งที่ทำก็จะยิ่งได้ผลดียิ่งขึ้น โดยสามารถบำบัดได้ทุกอาการ ยกเว้นการเจ็บป่วยที่รุนแรงจนเกินเยียวยา เช่น โรคเอดส์

ระหว่างการให้พลังคอสมิค ผู้ได้รับการบำบัดต้องมีสมาธิและจิตจดจ่ออยู่ที่จุดที่ได้รับการสัมผัส การบำบัดรักษาด้วยพลังคอสมิคนี้ จะไม่มีการจ่ายยาใดๆ และผู้ให้การบำบัดจะไม่วิเคราะห์โรคด้วยตนเอง แต่จะให้แพทย์แผนปัจจุบันเป็นผู้วินิจฉัย จากนั้นจึงจะให้การบำบัดในส่วนที่เจ็บป่วย

“ การบำบัดลักษณะนี้ปราศจากต้นทุน เป็นการบำบัดที่เกิดจากมือเรา เกิดจากการสัมผัส วันหนึ่งที่เราแก่ตัวไป หรือเจ็บไข้ได้ป่วย ก็สามารถบำบัดรักษาตัวเองโดยไม่ต้องกลายเป็นภาระของผู้อื่น ”

ด้าน รศ.อาภรณ์ ภูมิพรรณา นักวิชาการที่ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับศาสตร์แพทย์ทางเลือก และเป็นอีกผู้หนึ่งที่ให้การบำบัดรักษาผู้ป่วยด้วยพลังคอสมิค ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พลังคอสมิคสามารถตอบโจทย์และข้อสงสัยได้หมด มีข้ออธิบายในตัวเอง อยู่ที่ว่าใครจะเปิดใจรับฟังหรือไม่ และสิ่งที่ทำให้ตนเองมาทดลองใช้พลังคอสมิค เพราะความรักตัวเองและเชื่อว่าถึงวันนี้เราไม่ป่วย แต่สักวันหนึ่งก็ต้องป่วย หากเราลองซ่อมเสริมสุขภาพของเราเองก่อน ก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ จึงเริ่มเข้าเรียนกับคุณย่าเยาวเรศ เป็นเวลา 6 วัน จากนั้นก็ฝึกฝนมาเรื่อย จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 4-5 ปีแล้ว และพบว่าตัวเองมีสุขภาพดีและไม่มีท่าทีว่าจะป่วยไข้

ผู้ ที่สนใจเข้ารับการบำบัดรักษาด้วยศาสตร์แพทย์ทางเลือกแขนงนี้ สามารถติดต่อได้ที่ สมาคมสถาบันพลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพ โทรศัพท์ 0-2580-3388 , 0-2591-5271 , 0-2591-5272
163  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 08:10:14 pm
. . . ม นุ ษ ย์ นั้ น มี ร่างกายและจิตใจ ทำงานร่วมกัน

ร่าง กายของมนุษย์เรานอกจากรูปร่างหน้าตาภายนอกซึ่งเรียกว่ากายเนื้อหรือกายหยาบ แล้ว ยังมีร่างกายภายใน ที่เป็นกายละเอียดเกาะเกี่ยวซ้อนทับอยู่ภายในร่างกายซึ่งเรียกว่ากายทิพย์ กายทิพย์นั้นเป็นคลื่นพลังงานที่มีรัศมีเรืองรอง สามารถแผ่ซ่านออกมานอกกายเนื้อตามกระแสพลังของจิตใจ-อารมณ์-ความคิด-และความ สมบูรณ์ของร่างกาย ซึ่งบางคนอาจมองเห็นด้วยตาเปล่า หรือที่เรียกว่าออร่า

กายทิพย์หากมีรัศมีหม่นมัว สีสันไม่แจ่มจ้าสดใส อาจหมายถึงโรคภัยไข้เจ็บ หรือมีอารมณ์ความคิดที่เป็นด้านลบ การสัมผัสถึงกายทิพย์หรือรัศมีกายทิพย์ของผู้อื่น สามารถทำได้ แม้นจะไม่ใช่การมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่อาจรับรู้ด้วยความรู้สึก ล่วงรู้ว่าบุคคลนั้นกำลังตกอยู่ในความสุขความเศร้า เป็นคนนิสัยใจคออย่างไร แม้รูปร่างภายนอกจะดูดี พูดจาดี แต่เราอาจรู้สึกว่าเขากำลังเจ็บป่วยทางใจ คือไม่เหมือนอย่างที่เห็น คนที่รู้สึกถึงกายทิพย์นี่ได้ จะต้องเป็นผู้มีสมาธิจิตพอควร ไม่ใช่ทึกทักเอาตามความคิด

กายทิพย์และรัศมีกายทิพย์มีความละเอียดซับซ้อนมาก นอกจากจะบอกเรื่องสุขภาพหรือปัญหาสุขภาพที่จะเกิดขึ้นกับกายหยาบล่วงหน้า ยังบอกถึงสภาพอารมณ์จิตใจ โชควาสนา และยังมีความเชื่อกันว่า สามารถบ่งบอกถึงอดีตชาติซึ่งเป็นกายทิพย์ชาติก่อนๆ ซ้อนทับกันลงไปเรื่อยๆ แม้กายภายนอกของชาติก่อนๆ จะตายไปแล้ว แต่กายทิพย์ของชาติก่อนๆ ยังซ้อนกันอยู่ นี่เป็นเหตุที่ทำให้คนเราในชาตินี้ มีนิสัยใจคอ-ความรู้ความสามารถติดตัวมาจากชาติก่อนๆ ด้วย

จิตนั้นต้องเดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน อาศัยรูปขันธ์เกิดตามวิบากกรรมหรือที่เรียกว่าวาสนาบารมี จะเกิดมาดีบ้างหรือไม่ดีบ้างขึ้นลงวนอยู่ในภพภูมิสูงต่ำไปตามยถากรรม ซึ่งตัวเองปรุงแต่งไว้ตามกิเลสความลุ่มหลงและอุปาทานในขณะนั้นๆ เกิดดับเรื่อยมาช้านานด้วยความไม่รู้ และความไม่รู้นี้เองที่นำพาจิตเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ หาทางหลุดพ้นไม่เจอ จนกว่าจะเกิดความรู้ขึ้นมา และหาทางยุติกรรมได้ด้วยความรู้นั้น

แต่ในขณะที่จิตยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏะ ก็ยังต้องอาศัยรูปหรือร่างกายเป็นแดนเกิดเพื่อสะสางกรรมที่สร้างไว้ รูปหรือร่างกายที่อาศัยนี้ก็ไม่มีความคงทน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกฎของธรรมชาติและกฎกรรมตลอดเวลา มีความเสื่อมและเจ็บป่วยอยู่เสมอ สร้างความทุกข์ให้มิใช่น้อยแม้นยังไม่ตาย การเสริมสร้างพลังกายทิพย์ นับว่าเป็นการเสริมสร้างพลังทางร่างกาย และทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นด้วย เพราะการเสริมสร้างพลังกายทิพย์ ก็คือการดูแลร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้นนั่นเอง

แม้นปัจจุบัน วิทยาการแพทย์ในยุคดิจิตอลจะก้าวหน้าไปมาก แต่ท่ามกลางความเจริญก็กลับนำพาสารพิษและมลภาวะรวมถึงความเครียดในการดำรง ชีวิตในสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันมาสู่สุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะคนในสังคมเมือง

ในร่างกายมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาได้ ประกอบด้วยธาตุหก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ (จิต) หากรักษาความสมดุลของธาตุทั้งหลายเหล่านี้ไว้ได้ สุขภาพก็จะแข็งแรง กายทิพย์เองก็เป็นตัวบ่งบอกถึงความสมดุลในร่างกายเช่นกัน ทั้งยังสามารถพัฒนากายทิพย์ให้ทรงอานุภาพมากยิ่งขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติทาง จิตและทางกาย

นอกจากกายทิพย์จะมีความคงทนถาวรกว่ากายเนื้อ ทั้งยังต้องเดินทางเกาะเกี่ยวไปกับจิตอีกเนิ่นนานและจะอีกนาน.. ไปจนกว่าจิตจะชำระล้างกิเลสเข้าสู่ความบริสุทธิ์หรือเข้านิพพาน หากกายเนื้อตายลงนั้น กายทิพย์หรือกายวิญญาณที่อยู่กับจิตก็จะต้องหาร่างกายใหม่หรือรูปขันธ์ใหม่ อาศัย ซึ่งจะเป็นไปตามวิบากบุญบาปที่สร้างเอาไว้ หากไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม กายใหม่จะละเอียดมากกว่ากายทิพย์ขณะเป็นมนุษย์ และจะมีผลต่อกายทิพย์ในกายใหม่นั้นด้วย กายทิพย์นั้นจะแปรเปลี่ยนไปตามบุญวาสนาและสภาพจิตใจ

กายทิพย์ที่มีพลานุภาพ ย่อมทำให้กายหยาบมีพลานุภาพไปด้วย การเพิ่มพลังอานุภาพให้กายทิพย์คนเรานั้น สามารถฝึกฝนปฏิบัติได้ด้วยการรักษาสภาพร่างกายและจิตใจให้สมบูรณ์ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เช่นผักผลไม้สะอาด การอยู่ในธรรมชาติที่สะอาด มีผลต่อสุขภาพร่างกายฉันใด การให้อาหารจิตที่ดี เช่นมีความคิดในด้านบวก มีความรักความเอื้ออาทร หรือการฝึกฝนสมาธิจิต ฯลฯ ก็มีผลต่อสุขภาพจิตฉันนั้น


.. ภายในกายเนื้อหรือกายทิพย์ จะมีจักระหรือศูนย์พลังทั้ง 7 อยู่ภายใน เป็นทางขับเคลื่อนของปราณก่อนกระจายไปทุกอณูในร่างกาย จักระแต่ละจุดจะมีสีแห่งชีวิต จักระ1 อยู่ตรงฝีเย็บระหว่างอวัยวะเพศและทวารหนักมีสีแดง จักระ2 อยู่ตรงก้นกบมีสีส้ม จักระ3 อยู่บนกระดูกสันหนังแนวเดียวกับสะดือมีสีเหลือง จักระ4 อยู่บนกระดูกสันหลังแนวเดียวกับหัวใจมีสีเขียว จักระ5 อยู่บนกระดูกสันหลังช่วงต้นคอมีสีฟ้า จักระ6 อยู่ระหว่างคิ้วตรงหน้าผากหรือดวงตาที่สามมีสีไพลิน จักระ7 อยู่บนกระหม่อมมีสีม่วง

เมื่อปราณหรือพลังกุณฑาลินี ที่สถิตปลายสุดของกระดูกสันหลัง ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มันจะพุ่งสู่จักระสุดท้ายเหนือศีรษะ ซึ่งเชื่อมต่อกับพลังจักรวาลที่มีอยู่ทั้งหมด มันจะมอบความรู้แจ้งในตนเองให้กับผู้ที่ทำได้ แต่ละจักระจะมีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ เมื่อจักระทั้งเจ็ดถูกเปิดขึ้น สามารถเดินลมปราณได้ทะลุทะลวงทั่วร่างกาย จะทำให้ร่างกายสามารถแก้ไขความไม่สมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยการนำคลื่นพลังหรือปราณไปแก้ไขในจุดที่บกพร่อง ทั้งยังช่วยให้ผู้ปฏิบัติขั้นสูงรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความสุขสงบ และพบความสมบูรณ์ทางจิต การปฏิบัติสมาธิเป็นประจำ และนำพลังชีวิตไปใช้ในทางสร้างสรรค์ อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้ออาทรและมีความเมตตา นอกจากสุขภาพจะพัฒนาดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ยังช่วยให้ตื่นตัวไวต่อการรับรู้ถึงพลังธรรมชาติรอบ ๆ ตัวของเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ เราจึงสามารถทำให้กายทิพย์แข็งแรงทั้งด้วยการขับเคลื่อนปราณในร่างกาย และนำพลังจักรวาลเข้ามาฟื้นฟูพลังกายทิพย์เราได้

ขุมพลังสู่การเพิ่มอานุภาพพลังกายทิพย์
ด้วย พลังสมาธิ - พลังปราณ - พลังคอสมิค

พลังสมาธิ (พลังจิต) การจะฝึกฝนศาสตร์และองค์ความรู้ทุกแขนง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สมาธิ-สติ-ปัญญา เป็นตัวนำพาเราไปสู่ขบวนการความรู้แจ้งในศาสตร์นั้นๆ สมาธินับเป็นฐานกำลังสำคัญต่อกระบวนทั้งร่างกายและจิตใจ การฝึกสมาธิให้จิตสงบแน่วแน่มีพลานุภาพต่อการรับรู้และนำมาใช้งานนั้นเป็น เรื่องจำเป็น เพราะจิตใจที่ไม่เป็นระเบียบและไม่เป็นสมาธิ จะไม่สามารถนำไปใช้งานอะไรได้เลย สมาธิเองเป็นฐานที่จะปฏิบัติให้พลังกายทิพย์ก้าวหน้าด้วยเช่นกัน การรวบรวมสมาธิได้ ย่อมปลุกพลังปราณและรับพลังคอสมิคได้ การรับปราณภายนอกตัวและพลังคอสมิค ในขั้นต้น ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิสูงอะไรเลยด้วยซ้ำ

พลังปราณ (พลัง ชีวิตหรือพลังกุณฑาลิณีหรือคนจีนเรียกว่าชี่) พลังปราณหรือพลังชีวิต เป็นพลังดั้งเดิมของจักรวาลที่สั่นสะเทือนอยู่ในร่างกายเรา บ่งบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลในตัวเรา แม้นเราจะแยกตัวออกมาแล้ว เราสามารถเชื่อมต่อพลังชีวิตของเรากับจักรวาลได้ การฝึกสมาธิจนสามารถกระตุ้นปราณในตัวให้ตื่นขึ้น ไหลเวียนไปตามจักระทั้งเจ็ดในร่างกาย จะส่งผลต่อสุขภาพ ที่ทำให้มีชีวิตชีวา เป็นแรงขับเคลื่อนอยู่ภายในซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิตให้กระชุ่มกระชวย นอกจากปราณในตัวแล้ว พลังชีวิตนอกตัวหรือปราณนอกตัว ยังมีอยู่ในอากาศ สายลม ดอกไม้ ต้นไม้ น้ำค้าง ก้อนหิน ฯลฯ สรรพสิ่งในโลกล้วนมีพลังซ่อนอยู่ในตัวเอง ธรรมชาติที่บริสุทธิ์จะช่วยให้ร่างกายของเราฟื้นสมรรถภาพได้แม้ในยามเจ็บ ป่วย แม้นแต่พลังจากดวงดาวต่างๆ ที่ส่องมายังโลก ก็นำมาใช้ในการฟื้นฟูจักระทั้งเจ็ดในร่างกาย พลังแสงอาทิตย์นับเป็นพลังชีวิตขนาดยิ่งใหญ่มหาศาล ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตต่างๆ หากเราต้องอยู่ในที่อับแสงมืดมิดเป็นเวลานานเกินไป จะส่งผลให้ร่างกายห่อเหี่ยวและอาจถึงตายได้

พลังคอสมิค (ต่างจากกัมมันตรังสีcosmic ในอวกาศและแสงอาทิตย์ที่เป็นอันตราย) หรือที่เรียกพลังจักรวาล (จิตจักรวาล) เชื่อว่ามีอยู่รอบๆ ตัวเรา เป็นพลังที่ส่งมาจากจักรวาลหรือจิตจักรวาล เป็นคลื่นพลังงานจากจิตเบื้องบน หรือจิตที่สูงส่ง มีความรักความเมตตาหาประมาณไม่ได้ เชื่อว่าเป็นพลังแห่งความรัก พลังศักดิ์สิทธิ์ พลังแห่งการรักษา-โอบอุ้ม-คุ้มครอง เราสามารถรับพลังคอสมิคได้ชัดเจนเมื่อจิตมีสมาธิ หากสามารถกระตุ้นจักระทั้งเจ็ดในตัวและรับคลื่นพลังจักรวาลได้ นอกจากจะช่วยให้กายทิพย์และกายเนื้อเรามีพลานุภาพมากขึ้น รักษาโรคภัยไข้เจ็บในตัวเอง ยังสามารถส่งพลังนี้ผ่านตัวเราไปรักษาผู้ป่วยคนอื่นๆ โดยเชื่อว่าพลังจักรวาลจะสื่อจากตัวเราส่งผ่านมือเปล่าไปรักษาอาการเจ็บป่วย ของผู้ที่ต้องการมาให้ช่วยเหลือ พลังคอสมิคมีพลังอำนาจ สามารถนำมาใช้ในด้านรักษาและทำลายล้างได้ตามจิตใจของตัวเราเอง หากนำมาใช้ในด้านดีงามพลังก็จะพัฒนาไปถึงขีดสุด แต่หากนำมาใช้ในเรื่องไม่ดีก็จะทำลายล้างตัวเราเองเช่นกัน

จะเห็นได้ว่า เราแทบจะแยกพลังสมาธิตัวเราเอง พลังปราณในตัว-ปราณนอกตัว และพลังจักรวาลได้ยาก การมีพลังจิตจนสามารถนำพลังนอกตัวมาประสานกับตัวเอง กายทิพย์ก็จะทรงพลังมากขึ้น เมื่อนำพลังงานจักรวาลและพลังงานของดวงดาวต่างๆ มาใช้ด้วยสมาธิ โดยการใช้ตัวเองเป็นตัวกลางในการรับคลื่นพลังก่อนส่งผ่านไปยังบุคคลอื่น จะช่วยให้เราไม่สูญเสียพลังตัวเอง อีกทั้งยังช่วยให้เรามีพลังกายทิพย์มากขึ้นอีก

.....................

* เว็บวิชาพลังกายทิพย์ โดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
http://www.khunya.in.th/default.asp
* ศึกษาวิชาพลังกายทิพย์ สอนโดยคุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
วิชาพลังกายทิพย์ สอนโดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
164  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 08:09:07 pm
การไหลเวียนของพลังปราณใน 12 ยาม
การดูแล สุขภาพ แบบจีน
อาหาร ที่เรา รับประทาน เข้าสู่ ร่างกาย นั้น ร่างกาย จะนำ ไปสร้าง เป็น พลังปราณ หรือ พลังงานรวม โดยการ ไหลเวียน ไปกับ โลหิต สู่อวัยวะ ภายใน ทั่วร่างกาย ครบหนึ่งรอบ ใน 24 ชั่วโมง หรือ 12 ยาม แต่ละจุดใช้เวลา 2 ชั่วโมง หรือ 1 ยาม ในการ ไหลเวียน สู่อวัยวะ ภายใน แต่ละส่วนนั้น เริ่มต้นจาก ปอด สิ้นสุดที่ ตับ โดยเริ่ม นับจาก ยาม เวลาที่ พระอาทิตย์ขึ้น ชาวจีน เริ่มนับ จากยาม a เอี๊ยง เวลา 03.00 ถึง 04.59 น. เป็นเวลา ที่พระอา ทิตย์ขึ้น


1.ปอด เวลา 03-04.59 น. ยาม เอี๊ยง
พลังงาน จะเคลื่อนเข้าสู่ปอด ถ้าปอด แข็งแรง ผู้นั้น จะหลับ สนิท ถ้าเป็น โรคปอด หรือ สูบบุหรี่ จะไม่ รู้สึก สบายตัว และจะ ถูกปลุก ให้ตื่น ช่วงนี้ จะไอ และ หายใจขัด


2.ลำไส้ใหญ่ เวลา 05-06.59 น. ยาม เบ้า
พลังงาน จะเคลื่อน เข้าสู่ ลำไส้ใหญ่ เป็นช่วง ที่เราต้อง ถ่ายอุจจาระ ร่างกาย จะต้อง เอาของเสีย ทิ้งให้ หมด ก่อน 07.00 น. ถ้า ไม่ถ่าย ร่างกาย จะเริ่ม ดูดซึม ของเสีย เข้าสู่ ระบบเลือด นี่เป็น สาเหตุ ให้เกิด ริ้วรอย บนใบหน้า เกิดไขมัน เสีย ๆ ควรออก กำลังกาย ช่วงนี้ เพื่อให้ ลำไส้ใหญ่ ขยับตัว และเพิ่ม ศักยภาพ ในการ ขับเคลื่อน ของเสีย


3.กระเพาะอาหาร เวลา 07-08.59 น. ยาม ซิ้ง
กระเพาะ อาหาร จะ ทำงานได้สูงสุด ในช่วงนี้ เท่านั้น กระเพาะ อาหาร จะต้อง การอาหาร และจะ หลั่งน้ำย่อย มากที่สุด ผู้ที่ ไม่รับประทาน อาหารเช้า จะมี โอกาส เป็นโรคกระเพาะ อาหาร และ จะเกิด โรคหัวใจ ด้วย เพราะ ไม่ได้ สารอาหาร สำหรับ ทุกอวัยวะ เพื่อกลับ ไปสร้าง พลังงานรวม


4.ม้าม เวลา 09-10.59 น. ยาม จี๋

ม้าม จะเริ่ม เก็บพลังงาน สำรอง เก็บสาร อาหาร จากการ ย่อยของ กระเพาะอาหาร การที่ เราไม่ได้ รับประทาน อาหารเช้า ร่างกาย จะดึง พลังงาน สำรอง ออกมาใช้ พลังงานรวม จะหายไปร่างกาย จะอ่อนแอ ไม่มีแรง


5.หัวใจ เวลา 11-12.59 น. ยาม โง่ว
พลังงาน จะเคลื่อนที่ ไปที่ หัวใจ ถ้าร่างกาย ไม่ได้ สารอาหาร หัวใจ จะทำงาน ลำบาก หัวใจวาย ได้ง่าย ในช่วงนี้


6.ลำไส้เล็ก เวลา 13-14.59 น. ยาม บี่

พลังงาน จะเคลื่อน สู่ลำไส้เล็ก แล้ว ลำไส้เล็ก จะทำงาน โดยเปลี่ยน รูปอาหาร ที่ได้จาก ตอนเช้า ทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ เป็นพลังงาน ทั้งหมด ถ้าไม่ได้ รับอาหารเช้า อาหาร ที่จะ ย่อยใน ลำไส้เล็ก ก็ไม่มี ลำไส้เล็ก ก็จะ ย่อยตัวเอง และเริ่ม อ่อนแอ


7.กระเพาะปัสสาวะ เวลา 15-16.59 น. ยาม ซิม
พลังงาน จะเคลื่อน มาที่ กระเพาะ ปัสสาวะ ของเสีย ที่เกิดขึ้น จากการ แปรรูป อาหารที่ ลำไส้เล็ก จะเกิดขึ้น กระเพาะ ปัสสาวะ จะทำงาน มากที่สุด


8.ไต เวลา 17-18.59 น. ยาม อิ๋ว

พลังงาน จะเคลื่อน มาที่ ไต ช่วงนี้ ไต ทำงานหนัก ไม่ควร ออกกำลังกาย การออก กำลังกาย ช่วงเย็น จะทำให้ ไตวาย ง่าย เวียนหัว ตาพร่า ปวดศีรษะ


9.หัวใจ เวลา 19-20.59 น. ยาม สุก

พลังงาน จะเคลื่อน มาที่ กล้ามเนื้อ หัวใจ จะทำงาน ชะล้าง ตัวเอง ทำงานช้าลง ช่วงนี้ ต้องพักผ่อน ถ้าไม่พัก เลือดจะข้น กล้ามเนื้อ หัวใจจะทำ งานหนัก ทำให้ หัวใจโต


10.เส้นสามส่วน เวลา 21-22.59 น. ยาม ไห

ร่างกาย จะสะสม พลังงานรวม พลังงานของร่างกาย จะสร้าง ช่วงนี้ เท่านั้น จึงควร พักผ่อนเข้านอน 3 ทุ่ม


11.ถุงน้ำดี เวลา 23-00.59 น. ยาม จื้อ

พลังงาน ที่สร้างขึ้น จะเคลื่อน เข้าสู่ ถุงน้ำดี ล้างถุงน้ำดี ทำให้ ถุงน้ำดี แข็งแรง ย่อยไขมัน ที่จะ เปลี่ยนรูป ไปเป็น ฮอร์โมน กล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ไขสมอง น้ำหล่อเลี้ยง ในร่างกาย ทั้งหมด การย่อย ไขมัน ของร่างกาย จะเกิดขึ้น ในช่วงนี้ เท่านั้น หากไม่ พักผ่อน ช่วงนี้ ไขมัน ดังกล่าว จะตก ตะกอน อยู่ตาม ร่างกาย เช่นถุง ไขมัน ใต้ตา มีพุง สมอง เลอะเลือน ง่าย ปวดไหล่ ปวดท้อง ง่าย บริเวณ ลำไส้ใหญ่ ท้องเสีย หรือ ท้องผูก ง่าย


12.ตับ เวลา 01-02.59 น. ยาม ทิ่ว

พลังงาน จะเคลื่อน เข้าสู่ ตับ ตับจะเริ่ม ทำงาน โดยใช้ พลังงาน ที่สะสมไว้ ตับจะ สะสม อาหาร สำรอง ให้ร่างกาย กำจัด ของเสีย ผลิตน้ำดี และส่ง ไปเก็บ ที่ถุง น้ำดี ถ้าช่วงนี้ ไม่หลับ นอนร่างกาย จะสูญเสีย พลังงาน ที่สะสมไว้ ตับจะ อ่อนแอลง การสะสม พลังงาน สำรอง ลดลง การผลิต น้ำดี ก็ลดลง ส่งผล กระทบ ต่อการ ทำงาของ ตับอ่อน เป็นผลให้ การผลิต อินซูลิน ลดลงด้วย โรคที่ จะเกิดขึ้น คือ โรคเกี่ยว กับ ความดัน โลหิต แปรปรวน โรคเก๊าท์ โรครูมาตอยด์ ภูมิคุ้ม กันบกพร่อง เบาหวาน หัวใจ กระดูกเสื่อม
165  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ประกาศ อนุโมทนา บุญกุศลเรื่อง กิจกรรมการเผยแผ่เว็บ www.madchima.org เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 08:06:18 pm
อนุโมทนาสาธุครับ

 :25: :25: :25:
166  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พี่น้อง กรรมฐาน แ่อ่วเจียงใหม่ กันหรือยัง เจ๊า เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 07:59:16 pm
สำหรับ สมาธิหมุน ติดตามได้ที่นี่ครับ

http://tnews.teenee.com/etc/20448.html



แต่ผมว่า กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ น่าจะง่ายกว่านะครับ

 :25:
167  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พี่น้อง กรรมฐาน แ่อ่วเจียงใหม่ กันหรือยัง เจ๊า เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 07:47:30 pm

พระครูอนุสนธิ์ ประชาทร(รัตน รตนญาโณ)

พระอาจารย์ผู้ค้นพบพลังมโนธาตุ(ปาน)พลังพีระมิด

งานนี้เกี่ยว กับ ปีระมิด และ ดร.อาจอง ดังนั้นน่าจะเกี่ยวพันกับบ้านสวนปีระมิด ครับ

ถ้าดูช่อง H++ ละก็ เจอแน่ กับเรื่องปีระมิด นี้เรื่องหนึ่ง...

แห่ดื่มน้ำพีระมิด..........อำเภอ แม่สะเรียง ผลิตน้ำพลังพีระมิดคุณภาพมาตราฐานกระจายในท้องตลาดทั่วประเทศรักษาสุขภาพแบบ ธรรมชาติบำบัดเอกชนยื่นมือสานต่องานอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ที่ทำน้ำพลังแร่พีระมิดมีคุณภาพ ทำให้น้ำมีโมเลกุลเล็กลง เมื่อดื่มแล้วดูดซึมเข้าสู่ร่างกายดี ยังช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีด้วย ข้าราชการบำนาญกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าดื่มน้ำพลังพีระมิดแล้วช่วยรักษา สุขภาพแบบธรรมชาติบำบัด ล่าสุดตั้งชื่อแล้วว่า "น้ำดื่มพลังพีระมิด" นำออกมาจำหน่ายในท้องตลาดทั่วประเทศแล้ว จากกรณีที่อาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ได้พบแร่ชนิดหนึ่งที่มีในถ้ำวัดดอยเกิ้ง แล้วน้ำมาขึ้นรูปทรงเป็นพีระมิด พบว่ามีพลังพิเศษ มีพลังปราญและมโนธาตุเมื่อทำท่อน้ำดื่มผ่านวนรอบก้อนแร่พีระมิด โดยแขวนก่อนแร่พีระมีดไว้ติดๆเรียงกัน เมื่อปล่อยน้ำให้ไหลไปตามท่อโดยแร่ไม่โดนน้ำแต่อย่างใด น้ำที่ไหลผ่านแร่ดังกล่าวทำให้น้ำมีโมเลกุลเล็กลง เมื่อดื่มกินจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี ซึ่งน้ำดื่มพลังพีระมิดดังกล่าวได้ทำขึ้นที่สวนบูรณะรักษ์ธรรม ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่มานานกว่า 3 ปีแล้ว ประชาชนเดินทางไปขอรับน้ำดังกล่าวจำนวนมากหลายหมื่นคนตามที่สือมวลชนนำเสนอ ข่าวไปแล้วนั้น ข่าวคืบหน้าเมื่อวันที่ 17 ม.ค.53 พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง พร้อมกับนายวีรวิชญ์ วิรัชศิลป์ เจ้าของโรงงานน้ำดื่มพลังพีระมิด อ.แม่สะเรียง ได้นำน้ำดื่มแจกจ่ายให้ผู้ที่เดินทางมาวัดดอยเกิ่งเพื่อปฏิบัติธรรมในช่วง วัดพระและวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ พระอาจารย์รัตน์ กล่าวว่า เท่าที่ทราบกันแล้วว่าพลังปราญและพลังชีวิตถือว่าสำคัญกับร่างกายของคนเรา หากพลังชีวิตเสียความสมดุลทำให้ร่ายการคนเราล้มป่วยได้ จากที่ตนทำการทดลองเรื่องของแร่พีระมิดที่ฟอกอากาศให้มีความเย็นขึ้นนั้นก็ ได้ผลและทำเครื่องฟอกอากาศแจกจายทั่วประเทศมาแล้ว ล่าสุดน้ำดื่มพีระมิดที่ประชาชนจำนวนมากนิยมเดินทางมารับน้ำไปดื่มเพื่อให้ เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพญาติโยมหลายคนบอกทำไมทางวัดไม่ทำน้ำออกขายในท้องตลาด ตนเองเป็นพระสงฆ์ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะพระสงฆ์ไม่หวังผลทางธุรกิจ "ขณะนี้ลูกศิษย์ของอาจารย์คนหนึ่งที่ทำโรงงานน้ำดื่มใน อ.แม่สะเรียงได้เห็นความสำคัญของน้ำดื่มพลังพีระมิดจึงแจ้งความประสงค์ว่าจะ กระจายน้ำดื่มบริการให้ทั่วถึงบ้านลูกศิษย์ของพระอาจารย์ที่อยู่ในจังหวัด ต่างๆทั่วประเทศ หรือผู้สนใจที่จะดื่มกิน อาจารย์จึงมอบแร่พีระมิดของทางวัดให้ เพื่อนำไปทำน้ำดื่ม ให้ทำที่ อ.แม่สะเรียง เพราะวัดดอยเกิ้งอยู่ใน อ.แม่สะเรียงประชาชนชาว อ.แม่สะเรียงควรจะได้รับน้ำดื่มที่ดีก่อน และทำแจกจ่ายในวัดด้วย พระอาจารย์รัตน์ กล่าว ด้านนายวีรวิชญ์ วิรัชศิลป์ หรือเสี่ยป๋อง อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 122/1 บ้านหนองป่าแขม ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง กล่าวว่า ตนทำโรงงานน้ำดื่มที่เน้นด้านเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ ใช้ระบบ RO คือระบบที่ทันสมันในด้านความสะอาดครบวงจร พร้อมทั้งนำขบวนการล้างและบรรจุแบบอัตโนมัติมาเปิดโรงงานน้ำดื่มเพื่อบริการ ชาวบ้านในหมู่บ้านของตนที่ อ.แม่สะเรียงที่นี้อยู่แล้ว ทำธุรกิจน้ำดื่มมานานกว่า 10 ปี "ผมเป็นคนชอบเข้าวัดทำบุญพอพบอาจารย์รัตน์ เมื่อได้เป็นลูกศิษย์ เห็นท่านทำน้ำพลังพีระมิดไว้ที่สวนบูรณะรักษ์ธรรม ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ มีประชาชนเดินทางไปรับน้ำดื่มที่นั้นหลายหมื่นคน แล้วลงบันทึกถึงผลดีของคุณภาพน้ำ ซึ่งระบุว่าดื่มแล้วสุขภาพดีขึ้น จากนั้นต้นปี พ.ศ.2553 อาจารย์รัตน์ มอบแร่พีระมีดให้ตนจำนวน 108 ก้อนจึงนำมาประกอบติดตั้งที่โรงงานน้ำดื่มของตนเอง เพื่อกระจายน้ำดื่มให้ประชาชนที่ต้องการน้ำที่อยู่ห่างไกลได้ซื้อหาตามห้าง สะดวกซื้อทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามผู้ที่สนใจศึกษาดูงานการทำน้ำดื่มพลังพีระมิดติดต่อเยี่ยมชมฟรี ได้ที่เบอร์โทร 081-8825219 ด้านนายทวี คนองศรี อายุ 73 ปี ข้าราชการบำนาญ กระทรวงสาธารณสุข อยู่บ้านเลขที่ 38 ถ.เวียงบัว อ.แม่สะเรียง กล่าวว่า ตนทดลองดื่มน้ำพลังพีระมิดนานกว่า 6 เดือน รู้สึกระบบขับถ่ายของเสียในร่างกายดีมาก ช่วยรักษาสุขภาพเช่นทำให้ไตแข็งแรง น้ำดื่มพลังพีระมิดตนเชื่อว่าช่วยรักษาสุขภาพแบบธรรมชาติบำบัดได้ด้วย
168  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ภัยพิบัติ น้ำท่วมกับ มุมมอง ของ โหราศาสตร์ เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 05:34:32 am
ลุง kittisak เมื่อไรจะมาโพสต์ เรื่องคำทำนาย ฟันธงครับ

แอบไปโพสต์ ในกระทู้อื่น ผมติดตามเรื่อง ลุง ตลอดมานะครับ

นับถือ

 :)
169  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เชื่อหรือ ไม่ กับคนที่บอกว่า มี สัมผัสพิเศษ เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 05:33:06 am
เชื่อตามที่ พระอาจารย์ ชี้นำไว้ครับ

  เรื่อง ผลบุญ ผลกรรม ที่ติดมานั้น เป็นสิ่งที่วัดกันได้ยาก เมื่อมีแล้ว ก็ขอให้ใช้ เพื่อเพื่อนทุกข์ เกิด แ่ก่ เจ็บ

ตาย และอย่าประมาทในส่วนที่มี เมื่อรู้ว่ามี ก็ย่อมชัดว่า ผลบุญ ผลกรรมนั้น ไมใช่เรื่องเหลวไหล ควรรีบเร่ง

สร้างผลบุญ กรรม บารมี และ เพื่อการสิ้นวัฏฏะ ผมเองก็อยากจะมีความสามรถ เรื่องเหล่านี้บ้าง เพราะจะได้

สิ้น วิจิกิจฉา ลังเลสงสัยในชาตินี้ ชาติหน้า เสียที

 :13:
170  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 05:29:56 am
อ้างถึง
....แล้วใครมีวิธีเดินลมปราณมาแนะนำบ้างไหม????? ป้าต้องการอ่านอ่ะ......

ลิงก์ด้านล่างครับ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=1118.msg4587#msg4587

คลิ๊กที่ค้นหา ก็ได้ครับ อาจจะมีอีกในเว็บนี้ เนื่องจากกระทู้มีมาก ใช้ปุ่มค้นหา ก็ดีนะครับ

 :08:

171  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระจี้กง องค์ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 05:24:09 am


 เมื่ออายุ 18 ปี บิดามารดาผู้ชราได้ถึงแก่กรรม ซิวหยวน จึงทิ้งความสุขทางโลกเข้าบวชที่วัดหลิงอินได้ฉายาว่า เต้าจี้ โดยมีพระอาจารย์ฝอไห่เหยี่ยน เป็นพระอุปัชฌาย์ และให้ พระเต้าจี้ ทำหน้าที่เป็นพระเลขา ดูแลการเขียนประกาศและประชาสัมพันธ์กิจการของวัด

 ต่อมาเกิดไฟไหม้พระอารามวัดจิ้งฉือ เสียหายทั้งหลัง พระเต้าจี้ ได้เขียนประกาศขอบิณฑบาตเรี่ยไร่เงินจากประชาชน เพื่อนำไปสร้างพระอารามหลังใหม่ ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณฮ่องเต้ จึงพระราชทานเงินสามหมื่นอีแปะมาช่วยซ่อมแซม ทางวัดจึงนำเงินไปซื้อไม้จากทะเลสาบซีหู ที่อยู่ไกลออกไปมากนำมาซ่อมแซม

 พระเต้าจี้ จึงอาสาว่า จะชักลากไม้ทั้งหมดมาให้ในคืนนี้ พระในวัดคิดว่า พระเต้าจี้ เพี้ยนไปแล้ว จึงไม่เชื่อ พอตกกลางคืนเกิดพายุฝนกระหน่ำอย่างรุนแรง พัดพาเอาไม้ที่ตัดไว้ในทะเลสาบซีหูมากองไว้ที่หน้าวัด เป็นเรื่องที่อัศจรรย์เล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้ พระเต้าจี้ จึงได้ฉายาว่า พระเพี้ยน

 หลังจากที่ศึกษาธรรมจนบรรลุ เห็นสัจะธรรมของชีวิตว่า ไม่เที่ยงแท้แน่นอน พระเต้าจี้ จึงสละความสุขทั้งหมด ออกช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ด้วยวิธีแปลกๆ จนถูกไล่ออกจากวัด ใช้ชีวิตสมถะห่มจีวรถือพัดเก่าๆ เร่ร่อนไปทุกหัวระแหง เลิกฉันอาหารเจ แต่กลับมาฉันเนื้อสัตว์ ดื่มสุรา จนชาวบ้านเรียกว่า จี้กงพระเพี้ยน

 สมาคมสหมิตรการกุศล เต็กก่า จีจินเกาะ ตั้งอยู่ที่เขตคลองสานริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นสถานปฏิบัติธรรมที่เคารพสักการะ พระจี้กง ได้รวบรวมปัจจัยจากสมาชิกเต็กก่าทั่วโลกสร้าง ศาลพระจี้กงหน่ำพิ้งฮง ที่หมู่บ้านร่องบอน ต.ม่วงคำ อ.พาน จ.เชียงราย พระจี้กงหล่อด้วยทองสำริดสูง 8.8 เมตร

 วันที่ 3-6 ธันวาคมนี้ คุณคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า ปลัดอาวุโสอำเภอพาน พาผมขึ้นเขาไปสัมผัสกับพระจี้กงองค์ใหญ่ ไปไหว้พระธาตุ 9 จอม นมัสการครูบาน้อยวัดแสงแก้วโพธิญาณ ครูบาศรีวิชัย แม่นางกวักตุ้ยนุ้ย ไปชิมอาหารล้านนา ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมเชียงราย ติดต่อโทร.0-2973-7732
172  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ผู้ลี้ภัยพม่า1.2หมื่นคนทะลักเข้าแม่สอด เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 05:17:38 am
http://video.nationchannel.com/data/6/2010/11/09/bhib7afchdjbbk5fejekk.flv


คมชัดลึก :ผู้ ว่าฯเมียวดียันการสู้รบพม่า-ดีเคบีเอยุติแล้ว ผู้ลี้ภัยอพยพกว่า3พันคนทยอยเดินทางกลับประเทศแล้ว ขณะที่ผู้ว่าฯตาก เผย เหตุสู้รบสงบลงข่าวกรองแจ้งดีเคบีเอถอนกำลังจาก จ.เมียวดีแล้ว

 (9พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยกาศที่สนามฟุตบอลที่ร้อยตชด.346 อ.แม่สอด จ.ตาก ว่า มีผู้ลี้ภัยพักพิงราว 15,000 คน โดยกางเต้นท์สนามอยู่ทั่วบริเวณ ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่อย่างเข้มงวด ขณะที่องค์กรเอกชนหลายองค์กรทยอยเดินทางเข้าแจกอาหารและน้ำดื่ม ขณะเดียวกันแม้จะมีการยืนยันว่าการสู้รบสงบลงแล้ว แต่ก็มีรายงานว่ายังมีผู้ลี้ภัยบางส่วนยังทยอยเข้ามาเนื่องจากไม่มั่นใจความ ปลอดภัย และเวลา 06.40 น.วันนี้ มีรายงานว่ามีกระสุนปืนค.ตกลงมายังฝั่งไทยใกล้ตลาดริมเมยอีก 1 ลูก แต่ไม่มีรายงานความเสียหายหรือผู้บาดเจ็บและผุ้เสียชีวิต ส่วนร้านค้ายังปิด โดยมีกำลังทหารของไทยตรึงกำลังอยู่ตลอดแนว โดยมีการปิดกั้นไม่ให้รถทุกชนิด และคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าออกในบริเวณดังกล่าว

 เมื่อเวลา 08.00 น.วันนี้ที่กองร้อย ตชด.346 อ.สอด จ.ตาก พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 พร้อมด้วยนายวุฒิ สิทธิสุราษฎร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก นายกิตติศักดิ์ โตมรศักดิ์ นายอำเภอแม่สอด และตัวแทนฝ่ายทหารและฝ่ายปกครองได้ร่วมประชุม เพื่อติดตามสถานการณ์ ผู้ลี้ภัยจากการสู้รบระหว่างทหารรัฐบาลพม่ากับกองกำลังกระเหรี่ยงพุทธ (ดีเคบีเอ)

 พล.ท.วรรณทิพย์ กล่าวภายหลังว่า ขณะนี้มีการติดต่อไปยังผู้ว่าฯเมียวดี รวมถึงมีการประสานงานระหว่างคณะกรรมการทีบีซี ระดับท้องถิ่นของสองฝ่าย โดยช่วงเช้าวันนี้ ได้รับการยืนยันจากผู้ว่าฯเมียวดีว่าการสู้รบได้ยุติลงแล้ว โดยทหารพม่าได้ผลักดันกองกำลังกระเหรี่ยงดีเคบีเอ ออกจากนอกพื้นที่เมืองเมียวดีแล้ว

 ล่าสุดฝ่ายไทยจะส่งรองผู้ว่าฯตาก เข้าหารือและประเมินถึงความปลอดภัย หากทั้งหมดยืนยันแล้ว เราจะผลักดันผู้ลี้ภัยกลับ ส่วนในเรื่องระยะเวลายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะส่งกลับเมื่อไหร่ แต่หากทางผู้ว่าฯเมียวดีการันตีถึงความปลอดภัยแล้ว จะให้รองผู้ว่าฯ ตาก เดินนำผู้ลี้ภัยทั้งหมดข้ามสะพานมิตรภาพไทย-พม่า ไปส่งผู้ลี้ภัยถึงเมืองเมียวดี

 ด้านนายพจน์ หรูวรนันท์ นายอำเภอพบพระ จ.ตาก กล่าวว่า มีการเตรียมการเอาไว้แล้ว โดยเตรียมพื้นที่ไว้หลายจุดในการรองรับผู้อพยพจากพม่า แต่ละจุดสามารถรองรับผู้อพยพได้จุดละ 1500 คน  ขณะนี้สถานการณ์ยังไม่รุนแรง ยังไม่จำเป็นต้องอพยพชาวไทย แต่ถ้าประเมนสถานการณ์ว่ามีการสู้รบการหนักมากขึ้นอาจจะต้องมีการอพยพ ประชาชนชาวไทยในหมู่บ้านตามแนวชายแดน ประมาณ 5 หมู่บ้านที่อาจะได้รับผลกระทบ

 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการสู้รบระหว่างทหารพม่ากับกะเหรี่ยง 3 ฝ่าย ในพื้นที่ อ.พญาตองซู ประเทศพม่า ตรงข้ามชายแดน อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ว่า การสู้รบดังกล่าวส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจของพม่า 4 นาย ได้รับบาดเจ็บและและเสียชีวิต 1 นาย ในจำนวนนี้ นายตำรวจยศร้อยตำรวจเอกรวมอยู่ด้วย

 อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา  ร.อ.เอวัน ผู้นำกองกำลังทหารกะเหรี่ยง ดีเคบีเอ สามารถคุม 8 อาสาทหารพรานของพม่าได้ ขณะที่มีรายงานว่า กองพลของทหารพม่า 1 กองพัน ได้เคลื่อนเข้าสู่อำเภอพะยาตองซู เพื่อช่วยเหลือกองกำลังทหารพม่าประมาณ 100 นาย ที่นำโดย พ.ท.อ่องวิน ไข่ ที่ถูกทหารกะเหรี่ยง 3 ฝ่าย โอบล้อมอยู๋ในขณะนี้

 สำหรับบรรยากาศในตลาดสดอำเภอสังขละบุรี ซึ่งห่างชายแดนพื้นที่การสู้รบประมาณ 20 กม. พลุกผล่านไปด้วยชาวพม่าและมอญ เนื่องจากบริเวณชานแดนด่านเจดีย์สามองค์ ไม่มีข้าวปลาอาหารจำหน่าย จึงจำเป็นต้องเดินทางเข้ามาซื้อในตัวตลาดดังกล่าว

 ด้าน นางหน่อย ไม่มีนามสกุล อายุ 30 ปี แม่ค้าขายข้าวแกงในตัวตลาดสังขละบุรี  กล่าวว่า มีญาติอยู่ฝั่งพม่าเล่าให้ฟังว่า มีชาวพม่าประมาณ 100 คน ที่ยังหลบซ้อนอยู่ในป่าฝั่ง อำเภอพญาตองซู ไม่มีอาหารกิน ซึ่งต้องไหว้วานพม่า ที่มีบัตรประจำตัว ที่ออกให้โดยทางการไทย เข้ามาซื้ออาหารเข้าไปแจกจ่ายกันรับประทาน ทำให้ตนขายอาหารได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว.

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 00.10 น.วันนี้ พล.ต.ตะวัน  เรืองศรี ผบ.พล.ร. 9 ในฐานะ ผบ.กกล.สุรสีห์ พร้อมคณะเดินทางมายังรร.บ้านซองกาเรีย สาขา บ้านพระเจดีย์สามองค์ หมู่ที่ 9 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โดยคณะผบ.พล.ร.9 ได้ประชุมหารือกับ ผบ.ฉก.ลาดหญ้า และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกว่า 30 นาที

 ต่อจากนั้นได้ตรวจเยี่ยมผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่ เดินทางหนีภัยจากการสู้รบจำนวนประมาณ 3,000 คน จากนั้นคณะพล.ต.ตะวัน เดินทางต่อไปยังวัดพระเจดีย์สามองค์เพื่อเยี่ยมผู้อพยพอีกจำนวนกว่า 500 คน และเดินทางต่อไปยังด้านหลังพระสยามเทวาธิราช บริเวณด่านพระเจดีย์สามองค์ซึ่งเป็นบริเวณที่ลูกปืน เอ็ม 79 ตก 4 ลูก เสร็จแล้วจึงเดินทางต่อไปยังที่ตั้งหน่วย ชป.ฉก.ลาดหญ้า เพื่อประชุมหารืออีกครั้งแล้วจึงเดินทางกลับ

 นายณฐพลษ์ วิเชียรเพริศ ผวจ.กาญจนบุรี เปิดเผยเกี่ยวกับการดำเนินการต่อผู้อพยพว่า นับจากการที่มีผู้อพยพเข้าในพื้นที่ด่านเจดีย์สามองค์ ได้ทำการเจรจากับผู้อพยพและได้ข้อตกลงว่า หากวันนี้ (9 พ.ย.) เหตุการณ์สงบลงดีขึ้น ทางผู้อพยพจะเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อไปดูแลบ้านเรือน แต่หากเกิดการสู้รบอีกก็สามารถเดินทางข้ามมายังประเทศไทยได้อีก ซึ่งเป็นการให้การช่วยเหลือตามหลักมนุษยชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างเต็ม ใจ โดยขณะนี้ทาง ผู้อพยพเริ่มเก็บข้าวของและทยอยเดินทางกลับไปยังฝั่งประเทศพม่าแล้ว

นายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เปิดเผยว่า สถานการณ์การสู้รบระหว่างทหารพม่าและกะเหรี่ยงพุทธ (DKBA) ในจ.เมียวดี ประเทศพม่า ตั้งแต่เวลา 07.00 น.ไม่พบว่าเกิดเสียงปืนหรือเสียงระเบิดขึ้นแล้ว แต่ช่วงเช้าที่ผ่านมายังมีชาวพม่าอพยพ มาจากจ.เมียวดีเข้ามาเพิ่มอีกกว่า 200 คน ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากในพื้นที่จ.เมียวดี แจ้งว่ากองกำลังดีเคบีเอได้ถอนกำลังออกไปเกือบหมดแล้ว ซึ่งจากวิเคราะห์คาดว่าสถานการณ์การสู้รบน่าจะสิ้นสุดลงแล้ว

 ในส่วนของการผลักดันผู้อพยพชาวพม่าที่ ลี้ภัยสงครามกว่า 15,000 คนนั้นขณะนี้อาศัยอยู่ค่ายผู้อพยพที่กองร้อย ตชด.346 อ.สอด เพียงแห่งเดียว ไม่ได้มีการถ่ายเทไปสถานที่อื่นแต่อย่างใด ขณะนี้มีหน่วยงานเอ็นจีโอ เหล่ากาชาด มูลนิธิต่างๆ คอยให้ความดูแลแจกจ่ายอาหารและน้ำ

 ส่วนเรื่องการผลักดันกับพื้นที่นั้นภายใน 1-2 ชั่วโมงจะจับตาอย่างใกล้ชิดเกิดการปะทะกันอีกหรือไม่ หากเหตุการณ์สงบ ก็จะเร่งผลักดันชาวพม่าให้กลับจ.เมียวดีอย่างเร็วที่สุด

ผู้ลี้ภัยอีกครึ่งพันผวาไม่กล้ากลับ

 ล่าสุดบรรยากาศภายในกองร้อย ตชด.346  อ.แม่สอด จ.ตาก ช่วงเย็นยังคงมีชาวพม่าที่อพยพหนีภัยสู้รบตกค้างอยู่ในจุดลี้ภัยชั่วคราวประมาณ 500 คน จากการสอบถามชาวพม่ารายหนึ่งที่ลี้ภัยมาเล่าว่า  สาเหตุที่ยังไม่ยอมกลับเพราะช่วงที่อพยพหนีเข้ามาในฝั่งไทย ระหว่างทางพบและเดินผ่านศพทหารพม่าจำนวนมาก แม้ว่าทางการพม่าจะแจ้งมายังทางการไทยว่าสถานการณ์คลี่คลายและปลอดภัยแล้วแต่ก็ยังไม่ไว้วางใจ

 รายงานข่าวแจ้งว่า  สำหรับความเป็นอยู่ของผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่ ตกค้างอยู่ราว 500 คนในกองร้อย ตชด.346 เป็นไปอย่างยากลำบาก ขณะเดียวกันเครื่องกันหนาว เช่น ผ้าห่มก็มีไม่เพียงพอ ซึ่งผู้อพยพที่เหลือมีเด็กเล็กอยู่ถึง 100 คน

 แหล่งข่าวองค์กรเอกชน หรือเอ็นจีโอ ของไทยรายหนึ่งที่เข้ามาดูแลผู้อพยพชาวพม่า กล่าวตำหนิ UNHCR ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลผู้อพยพโดยตรงว่า เร่งรีบถอนเต็นท์และที่กำบังลมออกไปทั้งที่ยังมีผู้อพยพตกค้างอยู่ โดยอ้างว่ายังมีผู้ลี้ภัยจุดอื่นอีกจำนวนมากที่ต้องไปช่วยเหลือ

 รายงานข่าวเพิ่มเติมแจ้งว่า  ในวันที่ 10 พฤศจิกายน รองแม่ทัพภาคที่ 3 จะเดินทางมายังกองร้อย ตชด.346 เพื่อพูดคุยให้ผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่ยังตกค้างอยู่เดินทางกลับ

สลดพม่าปะทะกะเหรี่ยง9ขวบถูกค.81ดับ                   

             ความคืบหน้ากรณีสู้รบที่ชายแดนตรงข้ามอ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เมื่อเวลา 21.30 น. ของวันที่ 9 พ.ย. พล.ต.ตะวัน เรืองศรี ผบ.พล.ร.9 ในฐานะ ผบ.กองกำลังสุรสีห์ที่คุมกำลังดูแลพื้นที่แนวชายแดนด้านจังหวัดกาญจนบุรีถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้เปิดเผยถึงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่อ.สังขละบุรีจ.กาญจนบุรี ว่า หลังจากมีการสู้รบกันระหว่าง ทหารพม่า และกำลังทหารกะเหรี่ยง ดีเคบีเอ ได้มีประชาชนชาวพม่าอพยพ เข้ามาอาศัยอยู่ตามแนวเขตชายแดนเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันเจ้าหน้าที่ทหารพร้อมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จัดพื้นที่ให้กับประชาชนเหล่านี้ได้อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว และยังมีองค์กรต่างๆ ได้ทยอยนำสิ่งของมาบริจาคเพื่อช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งไม่มีปัญหาสำหรับผู้อพยพและขณะนี้ได้จัดพื้นที่พักคอยไว้จำนวน 2 จุด คือ บริเวณวัดถ้ำแก้วสวรรค์บันดาลมีผู้อพยพทั้งหมด 300 คน และบริเวณโรงเรียนบ้านซองกาเลียซึ่งเป็นจุดที่ใหญ่ที่สุด มีผู้อพยพทั้งหมด 3,000 คน ซึ่งมี่ทั้งเด็ก และคนชรา 
         
 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลกระทบจากการสู้รบกันระหว่างทหารพม่าและ ทหารกะเหรี่ยง ดีเคบีเอ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนหลายราย แต่ภาพที่น่าเวทนามากที่สุดสำหรับผู้ที่เห็นเหตุการณ์รวมทั้งเจ้าหน้าที่ พยาบาลที่ช่วยกันยื้อชีวิตเอาไว้ต่างมีน้ำตาไหลออกมาด้วยความสงสาร คือ กรณีของ เด็กหญิง มิล ซินตั้ว อายุ 9 ขวบ ชาวพม่าซึ่ง กำลังอยู่ในวัยซุกซน ซึ่งขณะมีการยิงปะทะกันของกำลังทั้งสองฝ่าย ด.ญ.มิล ซินตั้ว พร้อมกับพ่อและแม่ได้วิ่งเข้าไปหลบอยู่ที่บริเวณวัดเสาร้อยต้น อ.พญาตองซู สหภาพพม่า ขณะที่กำลังจะหาที่หลบซ่อนภายในวัด จู่ๆก็มีระเบิดเข้ามาตกภายในวัด และด.ญ.มิล ถูกสะเก็ดระเบิดเจาะเข้าที่บริเวณกลางหลัง และบริเวณใบหูด้านซ้าย อาการสาหัส ส่วนผู้เป็นแม่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จากนั้นชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ได้รีบอุ้มร่างของเด็กหญิง มิล ข้ามมายังฝั่งไทยและเจ้าหน้าที่ของไทยได้รีบนำตัวส่งไปรักษาที่สถานีอนามัย บ้านพระเจดีย์ แต่ต้องมาเสียชีวิตระหว่างนำส่งไปรักษา สำหรับสะเก็ดชนิดดังกล่าวคือ สะเก็ดจากระเบิด ค.81

ที่มา
http://www.komchadluek.net/detail/20101110/78884/%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%879%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%84.81%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A.html#source_video
173  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “สงคราม” พม่ากับชนกลุ่มน้อย และบทเรียนประชาธิปไตยจอมปลอม เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 05:12:55 am


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ภายใต้สภาพการณ์โลกในยุค Globalization ยังมีเหตุการณ์ “สงคราม” ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ เข่นฆ่ามวลมนุษยชาติต่างถิ่น ทั้งที่จริงหากมองให้ลึกลงไปแล้วต่างก็ไม่ใช่ใครอื่นก็ตามที

เกริ่น มาแบบนี้ในภาวะเช่นนี้ก็คงหนีไม่พ้นสงครามระหว่างชนกลุ่มน้อย กับสหภาพพม่า ณ ชายแดนฝั่งจังหวัดเมียวดี ซึ่งตรงข้ามกับพื้นที่ จ.ตาก ของไทย และแถบเมืองพญาตองซู ตรงข้ามกับด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี

ผู้ที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองพม่าทั้งหลายคงรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก….(และไม่ใช่ครั้งสุดท้าย)!!!

เนื่อง จากสถานการณ์ชนกลุ่มน้อยในสหภาพพม่า เกิดขึ้นและมีอยู่คู่กันมาจนกลายเป็นสาเหตุของชื่อ “สหภาพ” นั่นหมายถึงความไม่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้กับบรรดา “ชนชาติ” มอญ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ ฯลฯ

ทว่าเป็นธรรมดา เมื่อการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 20 ปี เพิ่งเกิดขึ้นแต่กลับถูกประนามจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกถึงความไม่เป็นธรรม…

มอง ในมุมชนกลุ่มน้อย ที่ต่างก็รู้กันว่าถูกหนุนหลังโดยกลุ่มประเทศมหาอำนาจ ย่อมต้องแสดงฤทธิ์เดช ขณะเดียวกันในมุมรัฐบาลสหภาพพม่าก็หาใช่เวลาที่จะนิ่งเฉยรอรับผลการประนาม จากสังคมโลก..!!

และทั้งหมดนั่นก็คือเหตุผลที่มาลงเอยเป็น “สงคราม” เฉกเช่นเดียวกับการแสดงแสนยานุภาพผ่านการสู้รบทั่วไป โดยล่าสุดเช้าวันนี้ (9 พ.ย.53) ทางการไทยได้รับข่าวยืนยันว่าการสู้รบดังกล่าวได้ยุติลงแล้ว โดยทหารพม่าสามารถผลักดันกองกำลังกระเหรี่ยงดีเคบีเอ ออกจากนอกพื้นที่เมืองเมียวดีได้เป็นผลสำเร็จ

ในทุกครั้งที่มีภาวะ สงครามมีการบาดเจ็บล้มตาย ย่อมทำให้คนข้างหลังได้รับบทเรียน ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหน้า 1 ของประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยพม่า คือ การแสดงออกถึงความไม่เข้าใจแก่นแท้ของประชาธิปไตย ส่งผลการ “เลือกตั้ง” กลายเป็นปัญหา

สิ่งนี้น่าจะ เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับรัฐไทยด้วย หาใช่แค่ผลกระทบจากชนกลุ่มน้อย 2 หมื่นคนผู้หนีภัยสงคราม หรือ ระเบิดเอ็ม 79 ที่เป็นข่าวฮือฮา…!!!

ที่มา
http://news.mthai.com/hot-news/93433.html
174  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวราชบุรีผวา! หลัง จระเข้ หลุดเกยหน้าบ้าน เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 05:09:51 am
9พ.ย.53 รายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.บางแพ  ได้เข้าตรวจสอบที่บ้านหลังหนึ่งในอ.บางแพ จ.ราชบุรี หลังได้รับแจ้งจากนายสุรชัย ทวีวงศ์ อายุ 36 ปี  ว่า มีจระเข้ลอยมาเกยบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งจากการตรวจสอบพบ จระเข้น้ำจืด เพศเมีย อายุประมาณ 3-4 ปี ที่มีลำตัวยาว 1.8 เมตร

ถูกชาวบ้านช่วยกันจับมัดไว้กับขอนไม้ จึงได้แจ้งไปยังประมงจังหวัดให้มาดำเนินการนำจระเข้ตัวดังกล่าวไปเก็บรักษาต่อไป

ขณะ ที่นายสุรชัย ผู้พบจระเข้ได้ให้การผ่านผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ว่า ก่อนเกิดเหตุตนกำลังนั่งล้างถั่วงอกอยู่ริมคลองหน้าบ้าน จู่ๆ ก็มีจระเข้ ลอยมาเกยที่บริเวณลานปูนที่ล้างถั่วงอก ทำให้ตนตกใจมาก จึงได้ให้เพื่อนบ้านช่วยกันจับขึ้นมาไว้ดังกล่าว

เบื้องต้นนายเอกชัย พงษ์หิรัญ ประมง อ.บางแพ ได้เผยว่าจระเข้ตัวดังกล่าวน่าจะเป็นจระเข้ที่หลุดมากับน้ำท่วม แต่ก็ยังไม่ทราบว่าหลุดมาจากที่ใดเนื่องจากที่อ.บางแพไม่มีฟาร์มจระเข้แต่ อย่างใด

ที่มา
http://news.mthai.com/general-news/93421.html
175  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ม็อบเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ บุกสภา ร้องถอนวาระที่ 3 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 05:02:14 am
ม็อบเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ บุกสภา ร้องถอนวาระที่ 3 ออกทั้งหมด เพราะเป็นการฟอกย้อมเอ็มโอยู 43 ที่ไม่ได้ผ่านสภา
หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่รัฐสภา กลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ นำโดยนายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน และภาคีเครือข่ายติดตามสถานการณ์กรณีเขาพระวิหาร, ม.ล.วัลวิภา จรูญโรจน์ ผู้เชี่ยวชาญ สถาบันไทยคดีศึกษา, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการเครือข่ายประชาชนแห่งประเทศไทย

ที่มา

http://www.ryt9.com/tag/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3/

ไม่ต้องการดึงเข้่าประเด็นการเมือง กรุณาอย่าตอบเป็นประเด็นการเมืองนะครับ


อัพพะยา ปัชฌัง สุขัง โลเก การไม่เบียดเบียนกันเป็นสุขในโลก

คนไทยเป็น คนรักสันติ

บ้านเรา เป็น บ้านที่สงบ

อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนบ้านของเรา เอาร้วบ้านเขา เข้ามาปักในรั้วบ้านเรา

เราซึ่งเป็นเจ้าของ ควรทำอย่างไร ?

  นึกถึงหลักธรรม คือ การไม่เบียดเบียนกันเป็นสุขในโลก ก็ให้ที่เขาไป

    แล้วเขาจะพอไหม ถ้าต่อไปเขาก็เขยิบที่เข้ามาอีก โดยที่เราก็ยังยึดถือพระธรรม คือการไม่เบียดเบียนผู้อื่น

   เราก็วางเฉย เพราะเป็นผู้พยายามสงบจากกิเลส คือความยึดมั่น ถือมั่น นั่งมอง นั่งดู


   พระท่านสอนว่า ถ้าเขาด่าเรา ให้ยิ้มตอบเขา  ถ้าเขาจะฆ่าเรา ก็ให้แผ่เมตตา ให้เขา

       ถ้าเขาทำร้าย ก็อย่าทำร้ายเขา จงประหารกิเลสในใจเรา เสียด้วยการวางจากความยึดมั่น ถือมั่น ว่านั่น

       เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัว เป็นตนของเรา เพื่อเราจะได้พ้นจากวัฏฏะ

     คำสอนในพระพุทธศาสนา นานาประการ ล้วนแล้วแต่เป็นคำสอนที่ออก โดยการแสดงว่าเราต้องเป็นผู้สละ

ผู้สงบ คนมีธรรมะ จะไปด่าเขาไม่ได้ คนมีธรรมะ จะไปฆ่าเขาไม่ได้ คนมีธรรมะ จะไปทำร้ายใครไม่ได้ มีเรื่องใน

พระไตรปิฏก กล่าวถึง แม้บุตร แม้ภรรยา แม้่พ่อ แม้แม่ ถ้าถูกประหารด้วยโจรทมิฬ ใจอำมหิต เราก็ไม่พึงแม้แต่

จะโกรธ จะเกลียด จะอาฆาต หรือ จองเวรแม้แต่โจรนั้น

     ผมอยากทราบ จริง ๆ ว่าผู้ที่ทำใจได้ขนาดนี้ เป็นพระอรหันต์ เลยใช่หรือไม่ครับ


    ดังนั้น จากบทสรุปของพระธรรม ก็ไม่ควรที่ไปแย่งดินแดน อันเป็นธรรม เป็นโลก เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้

เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่นหรือป่าว


   เพื่อน ๆ สมาชิก อ่านมาแล้ว ร่วมแจกดวงตาเห็นธรรม หน่อยเถอะครับ กรุณาอย่าตอบเป็นประเด็นการเมืองนะ

ครับ ขอให้ตอบอย่างธรรม และเป็นธรรมที่ควรจะนำมาใส่ใจในตอนนี้เลยนะครับ

   ก่อนที่เราจะไม่เ้ข้าใจอะไร และสายเกินไป ที่จะเข้าใจ และจะทำ

     :25: :08:
176  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / การให้อภัย เป็นสิ่งที่ควรทำหรือ ในกรณีอย่างนี้... เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 04:49:42 am

คมชัดลึก : "เสธ.หนั่น” เปิดใจคุย “ทักษิณ” ที่นอร์เวย์ เอ่ยปากขอ “ให้ลืมอดีต” ยันแม้วไม่ป่วย หน้ายังเหลี่ยมเหมือนเดิม ปรองดองยังไม่จบ เดินสายพบทหาร-ปชป.-ภท.ก่อนปิดฉาก ม.ค. 54 กกต.การันตี ” บุญจง-เกื้อกูล ไม่ต้องลาออกจากรมต. เหตุขายหุ้นต้องห้ามทิ้งก่อนเป็น รมต.

ที่มา
http://www.komchadluek.net/detail/20101109/78924/%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B8%8A..html

เสธหนั่น พูดว่า

“ที่ผ่านมา ใครจะด่าว่าอย่างไร คงต้องให้อภัยกัน และผมเองต้องขออภัยกับคนที่โกรธแค้นผม โดยขอให้ก้าวข้ามอดีต ความเจ็บแค้น การถูกรังแก การถูกกระทำ ถ้าไม่ลืมอดีตก็จะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องให้ร่วมกัน ก้าวข้ามความโกรธแค้นในอดีตที่ผ่านมา”

ที่มา
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000138257

โดยหลักการของพระพุทธศาสนา แล้ว การให้อภัย เป็นคุณธรรมชั้นสูง

ดังนั้น หัวข้อที่ผมยกมานั้น เป็นหัวข่าวที่คนส่วนใหญ่ตอนนี้จะได้ยินอยู่แล้ว ผมไม่อยากดึงเข้าประเด็นการเมือง

แต่อยากตั้งคำถามว่า

  อภัยทาน ควรทำเมื่อใด ?

  อภัยทาน ควรทำแก่บุคคลใด ?

  มีบุคคล ที่ไม่ควร อภัยทาน หรือ ไม่ ?

 
  ถ้าเริ่มจะฝึก อภัยทาน นี้ควรทำอย่างไร ? และจะใช้ เวลามากน้อยขนาดไหน ? อภัยทาน ถึงจะมีผล


 :25: :25:
177  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ธรรมโอสถ... อาการสามสิบสอง ธรรมกรรมฐานที่ใช้รักษาโรค ๓๒ ชนิด เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2010, 02:30:01 am
อุเบกขา


อหัง  กัมมัสโก  โหมิ  เรามีกรรมเป็นของตน  สุขก็เป็นของตัว  ทุกข์ก็เป็นของตัว (เวทนา ทั้งหมด)ให้อยู่กลางๆเป็นอุเบกขา
อหัง  กัมทายาโท โหมิ   เรามีกรรมเป็นมรดก  มรกดกรรมคือ กรรมดี กรรมชั่ว  ให้ทำจิตเป็นอุเบกขา
อหัง กัมโยนิ โหมิ  เรามีกรรมเป็นกำเนิด    กรรมผูกมัดเรามาตั้งแต่ ปฏิสนธิ พร้อมเรา มีรูปสวยงาม จากกรรมดี รูปไม่สวย กรรมไม่ดี ให้ทำจิตเป็นอุเบกขา
อหัง กัมพันธู โหมิ  เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์   เผ่าพันธุ์ของกรรมคือ กิเลส กรรม วิปาก  ให้ทำจิตอุเบกขา
อหัง กัมปฏิสรโณ โหมิ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย  กาย อาศัยจิต  รูปอาศัย ธาตุ และจิตด้วย  ทำอุเบกขา
แก้ให้ขาดรสราคะ  จะให้ขาดรส ราคะ ปฏิสนธิ อย่าให้กายชีวิตเนื่องกัน ยกชีวิตให้พ้นกาย  คือยกจากที่ ๒ (สะดือ)ไปสู่ที่ ๓(หะทัย) ไม่ถึงที่ ๓ ก็ได้ พอพ้นที่ ๒
เข้าธาตุทั้ง ๔  แก้สารพักโรคทั้งปวง ได้สิ้น  โรคปุราณ ก็แก้ได้ แต่ช้าหน่อย ไม่ต้องภาวนา   ให้อธิฐาน ให้แผ่ซ่าน เข้าไปทางสายเลือด ทุกอนุของกาย
     อาราธนาว่า   ข้าขอเข้าธาตุทั้ง ๔ อินทรีย์ทั้ง ๕ โพชฌงค์ทั้ง ๗  ขอให้ระงับจิต ระงับกายให้สบาย  ข้าจะขอเข้าเป็นนิคคหะที่ ๑ ข้าจะขอเข้าเป็นปัคคาหะที่ ๑
     อันนิคคหะ คือข่มลงไปในที่ ๑ (สะดือ)  อันปักคาหะ คือ ยกจากที่ ๑(สะดือ) มาที่ ๒ (เหนือสะดือ) มาที่ ๓ (หทัย)   ทำไปจนกว่าจะได้สุข
แก้ปวดศรีษะ  เส้นกำเริบ ธาตุวิปริต ให้ตั้งแต่ที่ ๙ (ปลายจมูก)มาที่ ๑ (สะดือ)  แล้วอธิฐานว่า

     ข้าขอเข้าธาตุทั้ง ๔ อินทรีทั้ง ๕ โพชฌงค์ทั้ง ๗  อธิฐานแล้วจึงมาที่ ๒ (เหนือสะดือสองนิ้ว)  จึงชุมนุม ธาตุทั้ง ๔ อินทรีทั้ง ๕ โพชฌงค์ทั้ง ๗ ในที่ ๒(เหนือสะดือ) นั้น  แล้วแบ่งสมาธิออกตามฐานเท้าทั้งสองข้าง แล้วยกแต่ที่ ๒(เหนือสะดือ) ไปถึงที่ ๓ (หทัย)  ถึงหทัยแล้ว ขอจะขอสัมปยุตธาตุทั้ง ๔  โพชฌงค์ทั้ง ๗  ในที่ ๓ นั้นเล่า แล้วจึงแบ่งสมาธิออกไปตามเท้าทั้งสองข้าง   แล้วยกสมาธิไปสู่ที่ ๔(คอกลวง) ให้เป็นสุขหน่อยหนึ่งแล้วจึงยกไป ๙(ปลายจมูก) ๘ ระหว่างตา  ๗ ระหว่างคิ้ว  ๖  (กลางกระหม่อม) ๕ (ท้ายทอย)  มาที่ ๔(คอกลวง) แบ่งสมาธิออกไปมือสองข้าง
     ถ้าโรคไม่หนัก อย่าเข้าธาตุ อย่าชุมนุมธาตุ อย่าแบ่งธาตุ

แก้ปวดมวนท้อง
ถ้า แม้ว่าปวดมวนท้องให้แก้ด้วยปิติประวัติ ตั้งคอเวียนลงไปก่อน ครั้นถึงที่มวนจึงรัดเข้าให้น้อยให้กลมเข้าที่มวนนั้น แล้วเวียนซ้ายหน่อยนึง เวียนขวาหน่อยหนึ่ง แล้วเข้าตั้งหลักทั้ง 3 คือ 1-2-3 นั้นที่ไหนก็ได้ ถ้ามิฟังให้ไขเสียทวารเบื้องต่ำ

จะมีที่ไปให้ดูธาตุ
ถ้า จะไปแห่งใดให้ดูธาตุทั้ง 4 ก่อนจะไปแห่งใดหาอันตรายมิได้ ดูวาโย คือเอามือจุกหูดังอื้ออยู่นั้นปรกติ ดูอาโป คือกลืนเขฬะดังเอือกนั้น ปรกติ ดูปถวี คือลูบเนื้องดังสากนั้น ปรกติ ดูเตโช คือหิ่งห้อย ตาเห็นแววนั้นอยู่ปรกติ ดูวิญญาณ คือเอามือพาดหน้าผากดูข้อมือ ถ้าเห็นมิขาดเป็นปรกติ อันธาตุทั้ง 4 นี้ ถ้าปฐวีดับ ดาโปดับ แล้วคืนมีบ้าง แม้นเตโชดับแล้วมิรอดเลย แต่ช้า 3-4 วัน อันวาโยนี้ให้ยิ่งกว่าธาตุทั้ง 3 นั้น แม้นวาโยดับ ชีวิตก็ดับด้วยพร้อมกันแล

แก้เสียดสีข้าง
ถ้า เสียดสีข้างก็ดี ให้ตึงราวคางก็ดี ขัดก็ดี จะให้แก้ให้นั่งเอนตัว เอาข้างตึงนั้นไว้ให้ตรง แล้วให้ตั้งที่ 9 ก่อน จึงลงไปตามไหปลาร้า ลงไปเอาราวข้าง ตามที่เจ็บที่ตึงนั้น แล้วกวาดให้ตลอดถึงปลายเท้า แล้วมาตั้งที่ 9 เล่า ส่งลงไปปลายเท้าเล่า แล้วให้เอาเผาเสียที 7 บ้าง แล้วกวาดลงไปปลายเท้าเล่า ทำ 3-4 คราวหลายแล
[/SIZE]


อ้างถึง

แก้ปวดศรีษะ แก้พบสัตว์ร้าย
ข้า จะขอเข้าธาตุทั้ง 4 อินทรีย์ทั้ง 5 โพชฌงค์ทั้ง 7 ขอให้ระงับจิตตระงับกายให้สบาย  จะขอเข้าเป็นนิคคหะที่ 1 จะขอเป็นปัคคาหะที่2 อันนิคคหะคือข่มลงไปถึงที่ 1 และปัคคหะคือยกแต่ที่ 1 มาที่ 2-3 ให้ทำไปจนกว่าจะได้สุขนั้น นี้แก้โรคสารพัด ทั้งปวงได้สิ้นทุกประการ าอย่างบุราณแก้โรคทั้งปวงด้วยกันแต่ช้า

แก้ปวดศรีษะ
ถ้า ปวดศรีษะหนักก็ดี เส้นกำเริบก็ดี ธาตุวิปริตก็ดี โรคอันหนักจะแก้ให้คลายนั้นให้ตั้งแต่ที่ 9 ลงไป เอาที่ 1 แล้วจึงอธิฐานว่า ข้าขอเข้าธาตุทั้ง 4 อินทรีย์ทั้ง 5 โพชฌงค์ทั้ง 7 แล้วจึงยกมาที่ 2 จึงขอชุมนุมธาตุทั้ง 4 อินทรีย์ทั้ง 5 โพชฌงค์ทั้ง 7 นั้นในที่ 3 นั้นเล่าแล้วจึงแบ่งสมาธิชักออกตามเท้าทั้ง 2 นั้นเล่า แล้วยกสมาธิขึ้นมาสู่ที่ 4 ให้เป็นสุขหน่อยหนึ่งแล้วจึงยกไปที่ 9-8-7-6-5 แล้วจึงชักมาสู่ที่ 4 แล้วจึงแบ่งสมาธิไปมือทั้ง 2 ข้างให้ทำไปกว่าจะคลาย ถ้าโรคนั้นมิหนัก ก็อย่าให้เข้าธาตุอินทรีย์ เลยให้แบ่งแต่สมาธิออกก็ได้ อย่าชุมนุมสัมปยุตอย่างแบ่งธาตุนั้นเลย อย่างหนึ่งเร็ว แต่จำศึกษาให้เจนก่อนจึงจะแบ่งได้



ที่มา
1. วิธีการรักษาตัวและเที่ยวกรรมฐาน http://www.somdechsuk.com/download/witeraksato_alae_teawkammathan.doc

มาร่วมสนับสนุน เว็บไม่อยากให้เว็บนี้หายไป เข้าไม่ได้ 4 วัน รู้สึกอึดอัดมากครับ
ว่าเว็บที่ดี ๆ มีคนเข้าอ่านมาก ๆ อย่างนี้จะหายไป

เป็นกำลังใจให้ทีมงาน ครับ


178  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ธรรมโอสถ... อาการสามสิบสอง ธรรมกรรมฐานที่ใช้รักษาโรค ๓๒ ชนิด เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2010, 02:28:16 am
ธรรมโอสถ... อาการสามสิบสอง ธรรมกรรมฐานที่ใช้รักษาโรค ๓๒ ชนิด

คัดลอกข้อมูลจากกรรมฐานโบราณ จากหนังสือ " วิชากัมมัฏฐาน และคำสอนหลวงปู่ "เพื่อไขข้อข้องใจ และข้อเข้าใจคลาดเคลื่อน เกี่ยวกับคำโบราณ "ธรรมโอสถ" ซึ่งใช้ธรรมะ(กรรมฐาน) เป็นโอสถในการรักษาโรคจริงๆ มิได้เป็นเพียงการปลงใจได้ในการรักษาใจตามที่เข้าใจกันอยู่เดิมเท่านั้น

อนึ่ง บทความต่อไปนี้เป็นเพียงหลักฐานยืนยันการมีอยู่จริงของวิชา ส่วนการฝึกฝนนั้น เนื่องจากเป็นวิชาที่มีรายละเอียดแยบคายมาก ผู้ฝึกจึงจำเป็นต้องมีครูกรรมฐานที่เข้าถึงแล้ว(ตั้งแต่ ห้อง 5 เป็นต้นไป) ทำการฝึกฝนให้ เพื่อป้องกันอุปาทาน และป้องกันอาการจิตวิปลาศ ซึ่งปัจจุบันพบจำนวนมากในประเทศ

อาการสามสิบสอง
ใช้รักษาโรค ๓๒ ชนิด


ธาตุดิน ๒๐ เกศา ผม โลมา ขน นะขา เล็บ ทันตา ฟัน ตะโจ หนัง มังสัง เนื้อ นะหารูเอ็น อัฏฐิ กระดูก อัฏฐิมิญชัง เยื้อในกระดูก วังกัง ม้าม หะทะยัง หัวใจ ยะกะนัง ตับ กิโลมะกัง พังผืด ปิหะกัง ไต ปัปผาสัง ปอด อันตัง  ใส่ใหญ่ อันตุคุนัง ใส่น้อย อุททะริยัง อาหารใหม่  กะรีสัง อาหารเก่า มัตถะรุงคัง สมองศรีษะ
ธาตุน้ำ ๑๒  ปิดตัง น้ำดี  เสมหัง เสลด  ปุพโพ หนอง โลหิตัง เลือด เสดท เหงือ เมโท มันข่น อัสสุ น้ำตา
วะสา มันเหลว เขโฬ น้ำลาย สิงหานิกาน้ำมูก   ละสิกาไขข้อ มูตตัง น้ำมูต
กสิณ๑๐
๑. ปฐวี หม้อใหม่ เดินน้ำ
๒. อาโป น้ำใส ดำดิน
๓. เตโชเนื้อไป รักษาโรค
๔. วาโย ลมข้าวเปลือก บังหวน
๕. นีลัง เขียว
๖. ปิตัง เหลือง
๗. โลหิตัง แดงดอกชบา
๘. โอทาตะ ขาวน้ำเงิน
๙. อาโลก  ขาวเหมือนเงาน้ำต้องแดด  ทำให้สว่าง
๑๐. อากาศ เปล่าไม่มีอันใด  ผ่านฝากำแพง
อสุภกรรมฐาน ๑๐
๑. อุทธุมาตะกะ ซากผีพอง ทำใหญ่ ทำมาก
๒. วินิลกะ ซากผีเขียว กำบัง
๓. วิปุพพกะ ซากผีน้ำหนองไหล กำบัง เป็นน้ำท่วม
๔. วิทฉิททกะ เขาสับฟัน เป็นท่อนๆ ผีขาดสองท่อน แบ่งตัว แยกร่าง
๕. วิกขายิตะกะ กา หมา แร้ง กัดกินซากผี เสกเป็นแร้ง เป็นหมา ไล่ข้าศึก
๖. วิกขิตตกะ แยกเป็นท่อน หัวขาด ตีนขาด แยกมากๆ
๗. หตวิกขิตตกะ ขาดกระจัดกระจาย เขาเชือดเลือดทั้งตัวผี
๘. โลหิตกะ เขาเชือดเลือดทั้งตัวผี
๙. ปุฬุวะกะ หนอนกินซากผี ตามทวารทั้ง ๙
๑๐. อัฏฐิกะ ปรากฏ แต่กระดูกขาว   ปากประกาศิต
๗-๘-๙-๑๐ เป็นอนุโลม ปฏิโลม เป็นวาจาสิทธิ์ ถอยหลัง เล็กใหญ่
หตวิกขิตตกะ  โลหิตกะ ปุฬุวกะ  ถึงอัฎฐิกะ เข้าปฐมฌาน แล้วตรึกไป คือพูดเสียงที่เกิดในใจ
ตรึก(นึกความเป็นไป แล้ววางเฉย) แล้วจึงพูดออกมาเป็นวาจา  ให้เป็นธรรมชาติ เป็นมัชฌิมา
จึงเป็นประกาศิตแล
๑-๑๐ แก้ปัญหา แก้ความ ทำน้ำมนต์ ใช้เทียนขี้ผึ้งหน้าผี ด้ายมัดผี ล้างหมดทำนิมิตจึงถึงกระดูก
ให้เป็นกระดูกผุหมดกระจายหายไปตามลม
๑๐-๑ ชนะหมด ล้างหมด   แก้คุณใส ทุกชนิด  แก้กระทำ
๑-๑๐, ๑๐-๑ แก้คุณใส
๑-๕ แก้อาถัน อาเพศ
๕-๑ แก้ที่อาถัน
๑-๕,๕-๑ เปิดกรุ
๕-๑๐ แก้บ้า
๑๐-๕  กันพายุ กันลม เสกด้วย เห เห ปฏิเสวามิ กันไฟ เสกนกคุ้ม กันลม กันฟ้า เสกลูกสะกด
๕-๑๐, ๑๐-๕ เมตตาเป่าเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง


179  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / พระสุขสมาธิ พระธรรมเจ้า เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2010, 02:26:39 am
คำอาราธนา สุขสมาธิธรรมเจ้า

ข้าฯขอภาวนา พระพุทธคุณเจ้า เพื่อขอเอาพระลักษณะ พระกายสุข จิตสุข เจ้านี้จงได้ ขอพระพุทธเจ้าจงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าฯนี้เถิดฯ
ขอพระธรรมเจ้าทั้งมวลจงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าฯนี้เถิดฯ
ขอพระอริยสงฆ์เจ้าตั้งแรกแต่พระมหาอัญญาโกญฑัญญะเถรเจ้าโพ้นมาตราบเท่าถึงพระสงฆ์สมมุติในกาลบัดนี้ จงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้านี้เถิดฯ

ขอ พระอริยสงฆ์เจ้าองค์ต้นอันสอนพระกรรมฐานเจ้าทั้งมวลจงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้า นี้เถิดฯ  ขอพระกรรมฐานเจ้าทั้งมวลจงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้านี้เถิดฯ
อุ กาสะในที่นี้เล่า ข้าจะขอเชิญปฏิบัติบูชาตามคำสั่งสอนของพระสัพพัญญูโคดมเจ้า เพื่อจะขอเอายังพระลักษณะ พระกายสุข จิตตสุขเจ้านี้จงได้ ขอจงเจ้ากูมาบังเกิดปรากฏอยู่ในจักขุทวาร มโนทวาร กายทวาร แห่งข้าในขณะเมื่อข้านั่งภาวนาอยู่นี้เถิดฯ

อิ ติปิโส  ภะคะวา  อะระหัง  สัมมาสัมพุทโธ  วิชชาจรณะ สัมปันโน  สุคโต  โลกวิทู  อนุตตโร  ปุริสะทัมมะสารถิ สัตถา  เทวมนุสสานัง  พุทโธ  ภะคะวาติ
สัมมาอรหัง สัมมาอรหัง สัมมาอรหัง
อรหัง  อรหัง  อรหัง

ตั้งสติที่ใต้สะดือ ๒นิ้วมือ ภาวนาว่า พุทโธ

ห้องพระสุข – พระพุทธา
๑.พระกายสุข   จิตตสุข
๒.พระอุปจารสมาธิ   พุทธานุสสติ
ให้นั่งเอาพระลักษณะ และพระรัศมี นั่งเข้าวัด ออกวัด นั่งเข้าสะกด
จบสุขสมาธิธรรม

ลักษณะสุขสมาธิ
พระกายสุข จิตตสุขมีลักษณะ ๓ คือ
๑.เกิดในกายให้เนื้อตัวเย็น แต่ผิวหนังเป็นดังลมอ่อน ๆ พัดถูกกาย และหายใจ
ก็อ่อน  สุขุมนัก
๒.ให้กายอุ่นนิดหน่อย และหายใจขัดนิดหน่อย
๓.เกิดในกายวัตถุ ให้สั่น และหมุนเวียน เป็นเหมือนปั่นผลหมาก

พระอุปจารสมาธิ พุทธานุสสติ มีลักษณะ ๑๐ คือ
๑.เกิดปรากฏหนักทั่วทั้งกายมิได้ไหวติง
๒.เกิดปรากฏดังสุมครอบกายทั่วทั้งตัว
๓.เกิดปรากฏตัวหนัก และศีรษะหนัก
๔.เกิดปรากฏดังหิดผืนกลัดหนอง
๕.เกิดดังปรากฏเมฆปรากฏคลุมทั่วทั้งตัว
๖.เกิดปรากฏดัง ลงดำน้ำ
๗.เกิดปรากฏดังขึ้นภูเขาสูงอาจมองเห็นทั่วทุกทิศศา
๘.เกิดปรากฏมีแสงรุ่งเรืองทั่วตัว ดังจุดไฟเข้าถ้ำหรือเข้าไปในที่มืด
๙.เกิดปรากฏพอจิตใจตั้งมั่น และนั่งอยู่เป็นสุขสบายนักมิได้ไหวติง
๑๐.เกิดปรากฏดังลมพัดกระพือขึ้นสู่ศีรษะ ราวกับว่าผมสยาย


พระสุข พระพุทธา จัดเป็นธาตุ
๑.พระกายสุข  จิตตสุข  กายเป็นสุข  จิตเป็นสุข  จัดเป็นปฐวีธาตุ  ธาตุดิน
รวมธาตุ  น้ำ ลม ไฟ ปฐวีธาตุมี ๓ ธาตุอาศัย คือ น้ำ ไ ฟ ลม
๒.พระอุปจารพระพุทธานุสสติ  จิตธาตุ หรือ มโนธาตุ วิญญาณธาตุ



๑. พระกายสุข จิตตสุข ปฐวีธาตุดิน
ปฐวีธาตุ  ที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน
ปฐวี ธาตุ อันอาโปช่วยยึดไว้ เตโชช่วยรักษาไว้ วาโยธาตุช่วยพยุง เป็นปัจจัย เป็นที่ตั้งแห่งมหาภูต ๓ โดยมีจิตเป็นสมุฏฐาน ปฐวีธาตุมี ๓ ธาตุอาศัย คือ น้ำ ไฟ ลม เพราะมีจิตเป็นสมุฏฐาน ปฐวีธาตุเป็นของหยาบเป็นลักษณะ มีความเป็นที่อาศัยอยู่แห่งธาตุอื่น รับเอาธาตุอื่นไว้เป็นเครื่องปรากฏ

๒. พระอุปจารสมาธิ พุทธานุสสติ จัดเป็นจิตธาตุ
จิตธาตุ  ปราณีตขึ้น เป็น
อุปจารฌาน สามารถบังคับธาตุได้ ถ้ามีการฝึกฝนบ่อย ๆ
จิต ธาตุ คือ  มโนธาตุ มนัสธาตุ หทัยธาตุ บัณฑรธาตุ (ธรรมชาติที่ผ่องใส) มนายตนะธาตุ มนินทรีย์ธาตุ วิญญาณธาตุ วิญญาณขันธ์ธาตุ มโนวิญญาณธาตุ ที่สมกัน ชื่อทั้งหมดนี้เรียกว่าจิตธาตุ


1. สมถ-วิปัสสนาจากพระไตรปิฎก 383 http://www.somdechsuk.com/download/samata-wipassanajakpratripitok.doc
180  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ตำนานการเข้าสับ เข้าคืบ เข้าวัดออกวัด สะกด เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2010, 02:25:05 am
การเข้าสัพ พระปีติ ๕ พระยุคล ๖ สุขสมาธิ ๒  พระราหุลเถรเจ้า ทรงศึกษากับพระสารีบุตรเถรเจ้า องค์พระอุปัะชฌาย์ ครั้งทรงบรรพชาเป็นสามเณร  เพื่อให้จิต คล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ

การ เข้าสะกด พระปีติทั้ง ๕ พระยุคลทั้ง ๖ สุขสมาธิ ๒ ประการ  พระราหุลเถรเจ้า ทรงเป็นต้นแบบ กล่าวคือ  สัทธิวิหาริกของ พระราหุลองค์หนึ่ง กำลังนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ ขณะนั้นบังเอิญเกิดมีกิ่งไม้แห้งหักตกลงสู่พื้นมีเสียงดังเกิดขึ้น พระภิกษุสัทธิวิหาริกของ พระราหุลเถรเจ้า กำลังบำเพ็ญภาวนาอยู่ก็สดุ้งตกใจเล็กน้อย  จิตก็ตกจากสมาธิ พระ ราหุลเถรเจ้าเห็นดังนั้น  ทรงทราบได้ทันทีว่า กุลบุตรที่มีจิตใจกล้าแข้งก็มี  กุลบุตรที่มีจิตใจอ่อนไหวต่อเสียงก็มี ครั้นได้ยินเสียงดัง อันเป็นเสี้ยนหนามต่อสมาธิเกิดขึ้น ผู้มีจิตอ่อนไหว จิตจะตกจากสมาธิทันที    กาลต่อมาพระราหุลเถรเจ้า   จะทรงทดลองสะกดสมาธิจิต ของพระภิกษุสัทธิวิหาริกขึ้น  โดยใช้ไม้เคาะให้เกิดเสียงดังขึ้นขณะ ภิกษุสัทธิวิหาริกนั้นกำลังเดินจิต ในพระปีติทั้ง ๕ พระยุคลทั้ง ๖ พระสุขสมาธิ ๒ ประการ เมื่อได้ยินเสียงไม้เคาะสะกด ให้เลื่อนปีติ ยุคล ๖ สุขสมาธิ ๒ ทีละขั้น  จนจิตนั้นไม่สะดุงสะเทือนต่อเสียง เป็นจิตที่ทนต่อเสียง มีจิตเข้มแข็งขึ้นเป็นลำดับ   

การเคาะไม้สะกด มีมาจนถึง การสังคายนาครั้งที่ ๓  จึงเปลื่ยนมาใช้ลูกดินเผา ทิ้งลงในบาตรดินเผาให้เกิดเสียงแทน   ใช้มาจนถึงยุคทวาราวดี  ถึงสมัยสุโขทัย  จึงเปลื่ยนมาเป็นลูกตะกั่วสะกดแทน  ต่อมาพระมหาเถรนามว่าแก้ว นำลูกสะกดมาเจาะรูตรงกลางเสียบไม้ ปักกับเทียนเป็นระยะ  วางเทียนที่ติดลูกสะกดไว้ บนไม้ตีนกา นำไม้ตีนกาวางบนปากบาตร  จุดเทียน ไฟไหม้เทียนลามมาถึง ไม้เสียบลูกสะกดอยู่ ลุกสะกดตกลงบาตรดินมีเสียงดัง ผู้เข้าสะกดสะดุ้ง  ลูกต่อๆมาตก ไม่สะดุ้ง ทนต่อเสียงมีจิตกล้าแข้ง จิตไม่ตกจากสมาธิ  วิธีนี้ใช้เรื่อยๆมาจนถึงสมัยอยุธยา   รัตนโกสินทร์  ถึงปัจจุบันนี้  ส่วนมากสถานที่เข้าสะกด จะใช้เวลากลางคืน สะกดในป่าช้า เพื่อสะกดสงบความกลัว  สงบความสะดุ้งของจิต

ที่มา
1. การสืบทอดพระกรรมฐาน http://www.somdechsuk.com/download/karnsaebtodprakammathan.doc เรียบเรียงโดย พระครูสิทธิสังวร
181  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / ประวัติย่อ พระครูสิทธิสังวร ผู้สืบทอดการเผยแผ่พระกรรมฐาน มัชฌิมา ในปัจจุบัน เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2010, 02:21:41 am
พระครูสิทธิสังวร เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๔๙๒ ตำบลวัดท่าพระ อำเภอบางกอกใหญ่  กรุงเทพฯ





        อุปสมบท ณ วัดราชสิทธาราม  เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๖  โดยมี พระธรรมรัตนวิสุทธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์  พระครูไพโรจน์กิจจาทร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูประสิทธิ์วุธคุณ เป็นอนุศาสนาจารย์

บวชแล้วศึกษานักธรรม ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระครูปัญญาวุธคุณ ศิษย์สืบทอด พระกรรมฐาน ไก่เถื่อน ต่อมาได้ทำการฟื้นฟูพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน

ผลงานในพระพุทธศาสนา
   
   ๑  ฟื้นฟูผดุงรักษา พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ  ของสมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อนที่ได้สังคายนาไว้ในรัชกาลที่ ๒ เมื่อปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๔ อันเป็นแบบแผน การ ปฏิบัติกรรมฐานมาตั้งแต่ พระโสณเถระ พระอุตรเถระ ผ่านยุคผ่านสมัยมา

  ถึงยุคทวาราวดี ยุคสุโขทัย ยุคอยุธยา และยุครัตนโกสินทร์ สมัยหลังมีการเรียนกรรมฐานไม่เป็นแบบแผน ไม่เป็นลำดับ ทำให้ผู้ศึกษากรรมฐานสับสน

   ๒. เรียบเรียงประวัติ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน

   ๓. เรียบเรียงพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ตามแบบ ที่
              สังคายนาใน  รัชกาลที่ ๒

   ๔.เรียบเรียง พระกรรมฐานจากพระไตรปิฏก ตามแบบพระ
              กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

   ๕. คัดลอก เรียบเรียงตำนานการสืบทอดพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบ
               ลำดับ

    ๖.เรียบเรียงประวัติปฏิปทา พระสังวรานุวง์เถร(ชุ่ม)

    ๗. จัดทำพิพิธภัณฑ์ พระกรรมฐาน ของสมเด็จพระสังฆราช ไก่
                เถื่อน   ณ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม
            ๘.รวบรวมพระคัมภีร์พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของเก่า

ประวัติเกี่ยวกับการเดินธุดงค์

หุบเขาลม

 

15 กุมภาพันธ์

ในปี พ.ศ. 2529 ข้าพเจ้าได้พาคณะออก ธุดงค์ หลังจากที่เลยตรุษจีนแล้วข้าพเจ้าได้นำคณะพระธุดงค์ออกจากรุงเทพฯ เริ่มต้นที่วัดราชสิทธาราม และก็เดินทางเรื่อยๆ มาผ่านที่ช่องเขาขาด ล่วงวันล่วงคืนมาเรื่อยๆ ครั้นเวลา 17.00 น. ได้พาคณะเข้าพักที่กลางหุบเขาลม ชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่าหุบเขาลม และได้เห็นคนเดินมาจึงเพ่งจิตไปที่ชายคนนั้น เห็นนิมิตในตัวชายคนนั้นเป็นพระพุทธรูปขาว อยู่ในตัวชายคนนั้น จึงรู้ว่าชายคนนี้ใจบุญและใจดี คณะของเราที่พักในหุบเขาลมนั้น 1 คืน ชายผู้นั้นก็เอาน้ำมาถวาย และต่อมาคณะของเราก็แขวนกลด พักอยู่ในหุบเขาลมนั้นเอง พอตกกลางคืนกลางดึกประมาณ 2 ยาม ลมในหุบเขาก็พัดอย่างแรง และก็แรงขึ้นเรื่อยๆ จนกลดที่แขวนอยู่แกว่งไปแกว่งมา และมุ้งกลดก็หลุดออกจากร่มกลด ด้วยแรงลมนั้น ข้าพเจ้าและคณะก็เลยนอนจำวัดโดยไม่มีมุ้งกลด และยุงก็ไม่มี เพราะลมแรงมากไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย ขณะเมื่อนอนอยู่นั้นในใจก็เกิดความกลัวเล็กน้อย พลันก็ปรากฏแสงสว่างสีเหลืองเรื่องๆ พุ่งมาจากยอดกลดมาคลุมร่างข้าพเจ้าที่นอนอยู่ ข้าพเจ้าก็รู้สึกอัศจรรย์ใจมาก และความกลัวที่มีอยู่หมดไปไม่มี พวกคณะของข้าพเจ้าที่ไปนั้น ต่างก็ปักแขวนกลดกันไกลห่างกันเกือบ 60 เมตร ต่อจากนั้นก็เลยลุกขึ้นนั่งพระกรรมฐาน เมื่อจิตนั่งเห็นนิมิตเป็นฤาษีอยู่บนยอดเขานั้น ฤาษีที่เห็นในนิมิตนั้นท่านบอกชื่อว่า ฤาษีวิษณุ เมื่อเลิกนั่งกรรมฐานแล้วจึงแผ่เมตตาไป แล้วสวดมนต์กรณีเมตตสูตร แต่หุบเขาลมที่พวกข้าพเจ้าปักกลดอยู่ในปัจจุบัน เป็นที่โล่งราบไม่มีต้นไม้ใหญ่ ฤาษีที่เห็นอยู่ในบนภูเขานั้นในนิมิตก็เป็นป่าทึบมาก แต่ปัจจุบันเป็นเขาหัวโล้น นิมิตที่เห็นนั้นเป็นการเห็นภาพที่เป็นป่าสมบูรณ์ในอดีต ที่ๆ ข้าพเจ้าปักนี้เป็นจังหวัดเพชรบูรณ์ จากนั้นพวกเราก็นอนจำวัด เช้ามืดตื่นมากสวดมนต์ทำวัตร พอสว่างแล้วแผ่เมตตาแล้วก็ออกบิณฑบาตร มีคนใส่บาตรจนเต็มล้นบาตร เมื่อกลับจากบิณฑบาตรแล้วก็เตรียมตัวฉัน ก่อนฉันก็สวด ปัญจเวกพิจารณาอาหารก่อน ถวายข้าพระแล้วอนุโมทนา เมื่อขณะกำลังจะฉันมีคนเอาของมาถวายที่กลด และได้สนทนาธรรมกัน เมื่อฉันเสร็จญาติโยมก็ต่างคนพากันกลับไปประกอบอาชีพของตนต่อไป เมื่อการฉันเสร็จสิ้นโยมกลับไปแล้ว คณะของเราก็พากันเดินจงกรมพักหนึ่งแล้วก็เขาประจำกวด นั่งทำสมาธิภาวนาต่อไป ประมาณ ครึ่งชั่วโมงก็เตรียมเก็บกลดเก็บบาตรใส่ถุงย่าม เพื่อจะเดินทางต่ดอไป ก่อนจะไป พวกเราก็แผ่เมตราให้กับเหล่าสัพสัตว์ในที่นั้นสักพักหนึ่ง แล้วก็พากันเดินทางออกไปจากที่นั้นขณะเดิน ก็ภาวนาไปด้วย ว่า เมตตา สัพโส ภาวนาขณะที่เดินไปตลอดทาง ก็ถึงที่แห่งหนึ่งคือที่ลำนารายณ์เป็นป่าละเมาเป็นที่สงัดในเวลากลางวัน (วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 29) ก็พักผ่อนกลางวัน ณ ที่นั้นโดยมิได้กลางกลด เพียงเอาผ้าอาบปูนอนพักเหนื่อยเมื่อหายเหนื่อยแล้ว ก็ลุกขึ้นมานั่งกรรมฐานประมาณ 40 นาทีเมื่อเลิกนั่งแผ่นเมตตาแล้วก็มีญาติโยมเอาน้ำมะพร้าวมาถวาย แล้วพวกญาติโยมก็สนทนาถามเรื่องต่างๆ รวมทั้งการปฏิบัติด้วย ประมาณสักครึ่งชั่วโมงญาติโยมก็กราบลาไปทำงานที่ไร่ ที่นาต่อ พอได้เวลาแดดร่มลมตกพวกคณะของเราก็เริ่มเดินทางต่อไป เดินไปเรื่อยๆ เดินไปก็ภาวนาแผ่เมตตาของทางไปด้วยจนถึงเวลาใกล้ค่ำ จึงเตรียมหาที่ปักกลด

ถ้ำแก้วกายสิทธิ์

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529

เมื่อคณะของเราเดินทางมาเรื่อยๆ ในตอนเย็นวันนั้นเห็นข้างทาง เขียนบอกทางว่า ไปถ้ำแก้วกายสิทธิ์ พวกเราก็เดินเข้าทางไปประมาณ 2 กิโลเมตร ก็พักต้มน้ำกลางทางที่ศาลากลางทุ่ง ก่อนถึงถ้ำแก้วกายสิทธิ์ประมาณ 1 กิโลเมตร ถ้ำนี้อยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อพักต้มน้ำชาและดื่มแก้กระหายและพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว และในคณะพระของเรากับพวกเราไม่รู้จักทางไปถ้ำแก้วกายสิทธ์ ก็นั่งสมาธิถามเทวดา ก็เห็นเทวดาในนิมิตนั้ชี้บอกทางให้ไปทางเขาลูกหนึ่งซึ่งในที่นั้นมีเขาหลายลูก พวกเราจึงเดินไปตามทางที่เทวดาบอกจนถึงถ้ำแก้วกายสิทธิ ที่นี้เป็นวัดร้างไม่มีพระอยู่จำพรรษา เรียกว่าสำนักสงฆ์

เมื่อชาวบ้านทราบก็พากันมา และบอกให้คณะของเราพักอยู่ที่นี่ และขอให้พวกเราจำพรรษาที่นี่เลย พวกชาวบ้านก็พากันขอร้องให้คณะของพวกเราจำพรรษาอยู่ที่นี่ แต่พวกเราก็นิ่งไม่รับปาก พวกชาวบ้านก็พากันเอาข้าวสารมาใส่ไว้เต็มโอ่ง พร้อมทั้งของแห้ง พริก หอม กระเทียม ไว้เป็นอันมาก พอตกกลางคืนพวกเราก็นั่งเข้าทีทำสมาธิในถ้ำแก้วกายสิทธิ์ เห็นพระในสมาธิ ท่านบอกว่าให้ทำสมาธิให้มากๆ แล้วจะดีเองพวกเราพักอยู่ที่ถ้ำแล้วกายสิทธิ์หลายคืน เมื่อถึงตอนเช้าก็มีพวกชาวบ้านพาพวกเราออกบิณฑบาตร ด้วยอยากจะให้พวกเราจำพรรษาอยู่ที่นี่ วันนั้นเป็นวันใกล้มาฆะบูชา คือวันโกน พวกเราจึงพากันปลงผมที่ถ้ำนั้น และคืนพรุ่งนี้ก็เป็นวันเพ็ญอาจมีลูกแก้วออกมาให้เห็นก็ได้ ชาวบ้านบอกอย่างนั้น และบอกอีกว่า ลูกแก้วนี้จะออกมาในเวลาเที่ยงคืน ตกกลางคืนพวกเราก็พากันเวียนเทียนและนั่งสมาธิ อยู่ ณ. ถ้ำนี้ เมื่อเลิกนั่งพระกรรมฐานแล้ว ก็คอยจนถึงเที่ยวคืนเพื่อคอยดูลูกแกล้วออกจากถ้ำ จนเลยเที่ยงคืนแล้วก็ไม่เห็นลูกแก้วลอยออกจากถ้ำ เมื่อคณะของเราพักอยู่ที่ถ้ำแก้วกายสิทธิ์อยู่นั้น พวกชาวบ้านก็มารบเร้าขอหวยกันมาก และมีชาวบ้านคนหนึ่งบอกว่า คนที่นี่บ้าหวยกันมากชอบขอพระจนพระอยู่ไม่ได้เลยกลายเป็นวัดร้าง เมื่อชาวบ้านกลับไปแล้วคณะของเราก็นั่งทำสมาธิในเวลากลางคืนนั้น ในคืนนั้นก็นั่งสมาธิเห็นพระธุดงค์ เดินสะพายบาตรแกกลดฝ่าดงหญ้าคาไป และพระธุดงค์ในนิมิตก็บอกว่า ในสมัยท่านเดินทางไม่มีถนนอย่างนี้ ต้องเดินไปในป่าบ้าง เดินไปตามดงหญ้าคาบ้าง และระหว่างทางก็มีสัตว์ร้ายมากมาย ถ้าไม่เก่งพอตัวก็เอาชีวิตไม่รอด พอถึงเวลาเช้ามืดพวกคณะของเราก็รีบเก็บกลด และรีบออกจากที่นั้นเพื่อหนีชาวบ้าน ที่มาขอร้องให้จำพรรษาอยู่ที่นี่ พวกเราเดินออกจากถ้ำมาตามทางลูกรัง มีหมาเห่าตลอดทางที่พวกเราเดินทาง ไปสว่างที่กลางทางใกล้กับหมู่บ้านหนึ่ง ที่ตำบลจรเข้สามพัน ก็เลยบิณฑบาตรที่หมู่บ้านนี้ แล้วก็หาที่พักฉันอาหารเช้ากัน พอตกกลางคืนก็เดินไปให้ห่างหมู่บ้านประมาณ 500 ชั่วธนู หาที่ปักกลด ณ ที่นั้นเอง

เมื่อถึงตอนหัวค่ำชาวบ้านก็เอาน้ำปานะมาถวาย เมื่อชาวบ้านกลับไปแล้วพวกเราก็พากันนั่งสมาธิกันในสมาธินั้นเห็นหลวงปู่ของวัดพลับท่านมาต่อว่าดุเอา ว่า มีอย่างที่ไหนเป็นพระรุขมูลมาปักกลดอยู่ใกล้หมู่บ้านคนพวกเอ็งกลัวอดหรือ พอรุ่งเช้าพวกเราก็เก็บกลดออกบิณฑบาตรแล้วก็เดินต่อไป แต่ครั้งนี้มิกล้าที่จะปักกลดใกล้หมู่บ้านเลย เพราะกลัวหลวงปู่ท่านจะมาต่อว่าอีก  เมื่อมาถึงกลางทางใกลเย็นจึงหาที่ปักกลด เมื่อจะปักกลดนั้นได้มีพวกชาวบ้านมาบอกว่า มีที่พักอยู่ที่หนึ่งเป็นที่พักที่ชาวบ้านทำไว้สำหรับพระธุดงค์ ว่าแล้วก็นำคณะของพวกเราเดินทางไปประมาณ 1 กิโลเมตร จนถึงที่พัก เลยถนนมามากและเป็นที่เงียบสงัด ล้อมไปด้วยป่า ที่นั้นชาวบ้านเรียก บ่อน้ำทิพย์
 

บ่อน้ำทิพย์

 

วันที่ 27 – 27 กุมภาพันธ์ 2529

เมื่อมาถึงที่ บ่อน้ำทิพย์ มีศาลาเล็กๆ หลังหนึ่งที่ชาวบ้านสร้างไว้ และก็มีชาวบ้านมาช่วยกันตักน้ำกินน้ำใช้มาใส่โอ่งไว้ที่ใต้ศาลา พอตกกลางคืนพวกคณะของเราก็รวมตัวกันสวดมนต์เย็นบนศาลานั้น แล้วก็นั่งเจริญกรรมฐาน รุ่งเช้าพวกคณะของเราก็ออกบิณฑบาตรกัน เมื่อฉันเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีหญิงชราอายุประมาณ 80 ปี เข้ามาหาคณะของเราบนศาลาบ่อน้ำทิพย์ และได้สนทนาเรื่องต่างๆ รวมทั้งเรื่องธรรมด้วย แล้วหญิงชรานั้นก็เล่าว่า เมื่อแกยังเป็นอายุประมาณ 10 กว่าขวบ ที่ตรงนี้ยังเป็นป่ารกมากกว่านี้ และมี ธารน้ำไหลตลอดทั้งปี แต่มาเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีน้ำเลย เพราะคนตัดไม้ทำลายป่ากันมาก แกยังเล่าต่อไปอีกว่า เมื่อก่อนแม่ใช้ให้ไปหาฟืนมาหุงต้ม มักจะสั่งว่าให้เก็บแต่ฟืนแห้งๆ มา ห้ามไปตัดไม้ที่ยังไม่แห้งมา ถ้าเอาไม้ไม่แห้งมาถือว่าไม่รักป่า แกบอกว่าสมัยก่อนโน้น เขาฮักนับถือป่ากันมาก พวกคณะของเราก็ถามแกว่า หมายความว่าอย่างไร แกก็บอกว่า คนสมัยนั้นหวงแหนป่ามาก มักสอนให้ลูกหลานไม่ให้ทำลายป่า เพราะกลัวจะไม่มีน้ำทำนา ไม่มีปลาจะกิน แกบอกว่าเขาสอนเป็นคำกลอนดังนี้
บ่นับถือป่า         บ่มีคงคา             บ่มีปลาทอง        บ่มีแม่โพสพ

หมายความว่าคนสมัยก่อนโน้นถ้าไปตัดไม้ทำลายป่าแล้ว เรียกว่าเป็นคนเนรคุณ ไม่รู้จักคุณของป่าเมื่อป่าไม้หมด น้ำก็จะไม่มี เมื่อน้ำไม่มีก็ไม่มีปลาจะกิน เมื่อไม่มีน้ำก็จะปลูกข้าวไม่ได้ และจะไม่มีข้าวกินนี่เป็นคำสอนของคนไทยโบราณแถวเพชรบูรณ์ สอนกันมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว เรียกว่าคนสมัยเมื่อร้อยปีก่อนทราบดีว่าป่าเป็นต้นกำเนิดของน้ำ เมื่อมีป่าก็มีน้ำ เมื่อไม่มีน้ำก็ไม่มีป่า ขาดน้ำก็ขาดปลา ทำนาก็ไม่ได้ข้าวไม่มีกิน ฉะนั้น คนสมัยก่อนจึงรักป่ากันมาก หรือที่เรียกว่า “นับถือป่า”

แกยังเล่าต่อไปอีกว่าคนสมัยก่อนนับถือพระแม่โพสพมาก และบอกว่าแม่โพสพนั้นท่านมีบริวารมาก เช่นแม่ยายกะลา แม่ตากะลี แม่สีจำปา แม่แจ่มจันทร์เทวี นางสร้อยมณีลัญ นางจันมณีลา แกบอกว่าคนเหล่านี้คือบริวารของพระแม่โพสพ

ต่อมาแกยังเล่าอีกว่าเมื่อชาวนาดำนา และข้าวงอกงามดีแล้ว เรียกว่าเวลาข้าวเขียว ก็จะมีการนำของไปเลี้ยงไปแต่ง แม่โพสพ โดยมี ปลาตะเพียนทำด้วยใบมะพร้าว กล้วยอ้อย น้ำมัน ส้ม ไปเลี้ยง แม่พระโพสพ มีการแต่งธาตุด้วยคือการทำให้ธาตุทั้ง 4 สมดุลกัน เมื่อแกเล่าจบก็ได้เพลาเย็นแกก็กลับไป

พอตกเย็นพวกเราก็รวมกันทำวัตรเย็นแล้วก็แยกย้ายกันไปนั่งเจริญภาวนา เมื่อจิตนิ่งเป็นสมาธิก็เห็นก้อนอิฐในป่าแถบนี้ มีรูปพระสงฆ์นั่งพระกรรมฐานอยู่ในก้อนหิน ก็ส่งจิตไปคุยกับท่านถามว่าท่านชื่ออะไร ท่านบอกว่าจะเรียกท่านอะไรก็ได้เพราะทุกอย่างเป็นของสมมุติ แล้วท่านก็บอกว่าท่านเป็นพระเมื่อสมัยพันปีมาแล้ว ท่านบอกว่าพะรสมัยนั้นได้มรรคได้ผลกันมาก และส่วนมากก็จะมีอภิญญาด้วย และท่านยังบอกอีกว่าคนในสมัยนั้นนับถือพระรัตนตรัยยิ่งชีวิต ท่านบอกว่าพระส่วนใหญ่เล่าเรียนกันในทางปฏิบัติ สมถะ – วิปัสนากันมาก อย่างต่ำที่สุดก็ได้อภิญญาสมาบัติ เมื่อพวกเราออกจากสมาธิแล้วก็ไปฉันน้ำชา ที่ทำจากใบไม้ที่คนมาเก็บให้ เอามาย่างไฟ แล้วก็เข้ากลดนั่งทำสมาธิต่อ เลิกนั่งสมาธิแล้วก็เข้าจำวัด ตอนเช้ามืดพวกคณะของเราก็มารวมตัวกันทำวัตรสวดมนต์ พอพระอาทิตย์ขึ้นก็พากันแยกย้ายออกบิณฑบาต แล้วกลับมาฉัน เมื่อฉันเสร็จพักผ่อนเล็กน้อยก็เก็บกลดออกเดินทางต่อไป แล้วพักกลางวันที่กลางทาง เมื่อแดดร่มลมตกก็ออกเดินทางต่อไป
 

ปักกลดที่ป่าช้าผีดิบ

2 มีนาคม พ.ศ. 2529

เมื่อเดินไปนั้นคณะของเราก็เดินภาวนาไปด้วย คำภาวนาว่า “เมตตาสัพพะโส” เป็นการเดินแผ่เมตตาที่ท่านโบราณจารณ์ท่านสอนไว้อย่างนี้ เป็นการเดินภาวนาขอทางและแผ่เมตตาให้กับสัพพะสัตว์ทั้งหลาย และเป็นการทำสติปัฏฐานไปในตัวด้วย เมื่อแดดร่มลมตกเวลาประมาณ 5 – 6 โมงเย็น พวกคณะของเราก็หาที่ปักกลดเพื่อจะค้าแรม เมื่อกำลังเดินหาที่ปักกลดอยู่นั้นก็มีชายคนหนึ่งมาบอกว่า ท่านอาจารย์จะหาที่ปักกลดหรือ พวกเราก็บอกว่าใช่ ชายผู้นั้นก็บอกว่า ให้ไปปักกลดที่ป่าช้าเพราะเป็นที่เงียบสงัด เลยจากถนนนี้ไปประมาณ 2 กิโลเมตร เมื่อคณะของเราเดินไปถึงที่นั้นก็เห็นเป็นป่าเงียบสงัด มีต้นไผ่ล้อมรอบในป่านั้นมีหลุมศพมากมายทั้งที่ขุดไปแล้วทั้งที่ยังมิได้ขุด ยิ่งเข้าไปลึกก็รู้สึกวังเวง เพราะห่างไกลบ้านผู้คนมาตั้ง 2 กิโลเมตร มีศาลาเล็กๆ สำหรับตั้งศพอยู่หลังหนึ่ง และเลยไปประมาณ 20 เมตร ก็มีเมรุแบบโบราณสี่เสา เสานั้นใหญ่สองคนโอบ ตรงกลางมีเชิงตะกอนก่อด้วยอิฐ ในสถานที่นั้นล้อมรอบด้วยป่าไม้ต่างๆ มีต้นยางสูงตระหง่าน ต้นงิ้ว มีต้นไผ่ล้อมรอบป่า พวกคณะของเราก็ไปแขวนกลดที่ศาลาตั้งผีนั้นซึ่งเป็นศาลาเก่าๆ เมื่อแขวนกลดแล้วก็กางมุงกลด แล้วก็พากันไปเก็บเอาก้อนอิฐที่เมรุมาทับตีนมุ้งกลดเรพาะลมแรงมากและอากาศก็หนาว ลมพักใบไผ่ดังหวีดหวิว เหมือนคนร้องน่าสะพึงกลัว เสร็จแล้วพวกเราก็รวมตัวกันทำวัตรเย็น เมื่อทำวัตรเสร็จแล้วก็ไปเก็บอิฐที่หล่นกระจายข้างเมรุมาสามก้อนวางเป็นสามเส้าสำหรับต้มน้ำชาดื่มกัน เพราะมีคนมาถวายมาเมื่อตอนกลาววัน เมื่อดื่มน้ำชาเรียบร้อยก็เข้ากลดนั่งเจริญกรรมฐานกัน ยิ่งดึกลมยิ่งพัดจัดและแรงมาก และก็หนาวมากขึ้นจน ตี 1 กว่าพวกเราก็ตื่นเพราะนอนไม่หลับเพราะมันหนาวมาก ยิ่งดึกเสียงลมพัดต้องใบไผ่ดังหวีดหวิวมากกว่าตอนหัวค่ำ เลยต้องลุกขึ้นมานั่งสมาธิกัน พอใกล้สว่างก็พากันทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วต่างคนต่างก็เดินจงกรม พอรุ่งเช้า 6 – 7 โมง หมอกลงจัด ยังมืดอยู่พวกเราคอยจน 8 โมงเช้า หมอกก็ยังไม่จางซ้ำฝนยังตกปรอยๆ อีกด้วย 8 โมงเช้าแล้วท้องฟ้านั้นก็ยังไม่สว่าง แต่พวกเราเห็นสายมากแล้วจึงออกบิณฑบาตรปรากฎว่า เวลานั้นหนาวมากชาวบ้านยังไม่มีใครตื่น จึงไม่มีใครมาใส่บาตร เราก็กลับมาที่ศาลาด้วยบาตรเปล่า จึงต้มน้ำชาฉันกัน เพราะไม่มีข้าวจะฉัน นึกในใจว่าวันนี้ต้องอดข้าวแน่ พอดีกันนั้นเองก็มีชายหนุ่มคนหนึ่ง เดินตรงมาที่ศาลาที่เราพักอยู่ เมื่อมาถึงชายคนนั้นก็ถามคณะของเราว่า เห็นวัวผมไหม พวกเราบอกว่าไม่เห็น แล้วชายผู้นั้นก็ถามว่าท่าฉันข้าวเช้าหรือยัง พวกเราก็บอกว่าวันนี้ออกบิณฑบาตรแต่ไม่ได้ข้าวสักเม็ด ชายคนนั้นจึงบอกว่า ที่นี่อากาศแบบนี้ 8 – 9 โมงเช้าเขายังไม่ตื่นกันเพราะหนาวมากและหมอกลงจัดด้วย เมื่อชายผู้นั้นรู้ว่าพระยังไม่ได้ฉันข้าว ก็วิ่งกลับไปบ้านสักครู่ใหญ่ ชายผู้นั้นจึงมาพร้อมด้วยปิ่นโตประมาณ 5 ชั้น แล้วชายผู้นั้นก็นำปิ่นโตมาถวายพระ เมื่อพวกเราเปิดปิ่นโตออก ในนั้นก็มีข้าวเหนียว 2 ชั้น ผักดองชนิดต่างๆ 2 ชั้น อีกชั้นหนึ่งมีน้ำปลากใส่พริกป่น เมื่อประเคนแล้วเราจึงสวดอนุโทนาให้พรโยม แล้วสวดพิจารณาอาหาร แล้วจึงฉันอาหารมื้อนี้โยมได้อานิสงฆ์มากเพราะพวกเรากำลังหิวมาก เพราะวันหนึ่งฉันมื้อเดียว เมื่อชายคนนั้นจะกลับก็บอกกับพวกเราว่า ให้เอาปิ่นโตไว้ที่ศาลานี้ เดี๋ยวเขามาเก็บเอง เมื่อเราฉันเสร็จแล้ว สักครู่ก็พากันนั่งสมาธิสักครู่จึงพากันเก็บกลดแล้วเริ่มเดินทางไปหาที่สงบวิเวกต่อไป เราเดินทางมาหลายวันจึงเข้าพักที่อำเภอหล่มสัก หนึ่งคืน จากหล่มสักพวกเราก็คิดว่าจะเดินทางไปค้างที่ ศูนย์พัฒนาศาสนา แคมป์สน เพราะเป็นที่สงบเวียบและอากาศดี เขาเรียกกันว่า สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย  พวกเราเดินทางมาหลายวันพักกลางทางมาเรื่อยๆ เหลือระยะทางอีกไม่ไกลก็จะถึง แคมป์สน ดินแดนแห่งความสงบเงียบ
 

พวกโอปะปาติกะทีแคมป์สน

4 มีนาคม 2529

พวกเราทั้งคณะเมื่อฉันอาหารบิณฑบาตรแล้ว ก็เดินทางมาอีกระยะประมาณ 2 – 3 กิโลเมตรจนถึงแคมป์สน อยู่ระหว่างหล่มสักไปพิษณุโลก จะไปแคมป์สนนั้นเดินลำบาก เพราะทางที่ไปมีแต่ภูเขา

เมื่อคณะของเรามาถึงปากทางเข้าแคมป์สนนั้น ก็มีเรื่องแปลกประหลาดมากมาย ดังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้

เมื่อคณะของเราเดินทางมาถึงปากทางเข้าแคมป์สน ศูนย์พัฒนาศาสนา ก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่งดังลอยลมมาว่า “ขอเชิญพวกท่านเข้ามาพักในสถานที่นี้ให้สบายเถิด” พวกคณะของเราก็ได้ยินกันก็ถามกันว่าได้ยินอะไรไหม ก็นึกประหลาดใจ พวกเราเดินเลี้ยวเข้าไปในทางที่จะเลี้ยวเข้าแคมป์สน ก็เห็นรูปปั้นพ่อขุนผาเมือง ก็ส่งกระแสจิตไปที่ พระรูปปั้นพ่อขุนผาเมือง ก็ทราบได้ทันที่ว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นี้มาจากวิญญาณที่สิงสถิตย์อยู่ภายในรูปปั้นนั้น เป็นเสียงที่นิมนต์ให้พักในที่นี้ เมื่อเดินมาถึงรูปปั้นพ่อขุนผาเมือง จึงนั่งพักดื่มน้ำเมื่อหายเหนื่อยแล้ว จึงพากันเดินลึกเข้าไปที่เจดีย์อิสรภาพ พระนเรศวรมหาราช ที่พวกเรามองเห็นแต่ไกลๆ เมื่อมาถึงเจดีย์นั้น พลันก็ได้เยินเสียงลอยลมมาว่า “ขอเชิญท่านญาณทั้งสองพักที่นี่ให้สบาย” คือคณะของเราเมื่อมาถึงแคมป์สน เหลือเพียง 2 ท่าน นอกนั้นแยกกันเดินทางไปตามอัธยาศัย ด้วยประสพการณ์เราจึงรู้ว่าเสียงนี้มาจากเทพที่สิงสถิตอยู่ในเจดีย์อิสรภาพ พระนเรศวรมหาราชนั้นเอง จากนั้นพวกเราก็เดินไปยังศาลาโรงอาหาร เมื่อมาถึงโรงอาหารก็พบพระชรารูปหนึ่ง พวกเราก็เข้าไปกราบท่านๆ ก็พูดกับเราว่า “ฉันนั่งคอยท่านมาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วคอยฉันข้าวพร้อมกัน” เมื่อเราฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ ว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเราจะมากัน แต่ก็ยังไม่กล้าถามอะไรมาก ก็เลยฉันข้าวกับท่าน ต่อมาเมื่อคุ้นเคยกันดีแล้วก็ได้สนทนากับท่าน ท่านจึงเล่าว่า ก่อนที่ท่านทั้งสองจะมานั้น อาตมาได้นั่งกรรมฐานอยู่ก็เกิดนิมิตว่า “พรุ่งนี้ตอนเพลจะมีพระมาที่นี่สองรูป” ฉะนั้นตอนเพลวันนี้ท่านจึงนั่งคอย เมื่อท่านคุยให้เราฟังเราจึงทราบ และท่านยังบอกอีกว่าเหมือนเทพยดามาบอกอย่างนั้นแหละ เมื่อพักอยู่แคมป์สนนั้นพวกเราได้สนทนาธรรมกับ อาจารย์พร รัตนสุวรรณ ผู้ริเริ่มก่อตั้งแคมป์สน แล้วต่อมายกให้อยู่ในความดูแลของ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และที่นั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ “ศรีเพ็ญ” เก่งทางด้านจิตรกรรมฐานมาก เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์พร  รัตนสุวรรณ พวกคณะของเราได้อาศัยปฏิบัติธรรมอยู่ที่แคมป์สนหลายราตรี

เมื่อคณะของเราพักอยู่ที่แคมป์สนปฏิบัติธรรมเพราะเป็นที่ร่มเย็น เงียบสงัด และสนทนาธรรมกับอาจารย์พร เกือบอาทิตย์ และได้ลาเจ้าของสถานที่กลับ

ขากลับได้เดินทางมาถึงรูปปั้นพ่อขุนผาเมือง ก็กล่าวลาที่รูปปั้นท่านว่า “ลาก่อนนะพ่อขุน” พลันก็ได้ยินเสียงลอยลมมาว่า “ขอให้เจริญในธรรมนะท่าน” พวกเราก็รู้เพราะประสพการณ์  ที่ผ่านมาว่าเสียงนี้เป็นเทพวิญญาณที่อยู่ในรูป พ่อขุนผาเมือง และจากนั้นพวกเราที่เหลือสององค์ก็เดินทางต่อไปเพื่อไปนมัสการพระพุทธชินราช ที่ จังหวัดพิษณุโลก เดินพักแรมมาเรื่อยๆ เพราะทางที่มานั้นเป็นภูเขาเดินลำบาก
 

ศาลเจ้าพ่อขุนเณร

วันที่ 14 – 16 มีนาคม 2529

ต่อมาเมื่อพวกเราเดินทางมาใกล้ศาลเจ้าพ่อขุนเณร และในระหว่างทางเกิดปวดท้องเบา จึงจะไปหาที่จะไปเบาจึงพบต้นมะขามใหญ่อยู่ใกล้จากริมทางประมาณ 50 เมตร จึงตรงไปที่ต้นมะขามยักษ์นั้นหมายจะเบา เมื่อมาถึงที่ต้นมะขามนั้น จะเข้าไปนั่งเบาพลันก็ได้ยินเสียงลอยลมออกมาว่า “ขอนิมนต์ท่านทั้งสองพักที่ร่มเงาไม้นี้ให้สบายเถิด” เมื่อพวกเราได้ยินเสียงนั้นก็รูว่าเป็นรุกขเทวดา ที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นมะขามยักษ์นี้เลยไม่กล้าไปเบาที่โคนต้นมะขามนั้น เลยหันออกไปหาที่เบาใหม่ เมื่อเบาแล้วจึงมาพักที่ใต้ต้นมะขาม กลางทางระหว่างเมืองเพชรบูรณ์ และเมืองพิษณุโลก พักสังครู่ก็มีโยมนำเอาน้ำดื่มมาให้ดื่มเมื่อดื่มแล้วก็ให้พรโยมแล้วก็เดิน ทางต่อไป จนถึงศาลเจ้าพ่อขุนเณร ก็ส่งกระแสจิตสมาธิไปที่ศาลเจ้าขุนเณร ก็มีเสียงบอกมาว่าเมื่อท่านทั้งสองจะเข้าไปพัก ให้ระวังเจ้าอาวาสหน่อยเพราะท่านพูดเสียงดัง เพราะหูท่านตึง เมื่อเข้าไปหาที่เจ้าอาวาสก็จริงอย่างที่ โอปะปาติกะ พ่อเจ้าขุนเณรว่า เราก็พักค้างแรมที่นั้นหนึ่งราตรี ตอนเช้าเราก็ออกเดินบิณฑบาตรและแถวที่เราพักอยู่มีสำนักวิปัสสนามากมาย และระหว่างศาลเจ้าพ่อขุนเณรจะไปเมืองพิษณุโลกก็ตกประมาณ 20 กิโลเมตร พวกเราก็กะว่าจะเดินให้ถึงวันเดียว เมื่อฉันอาหารแล้วก็เริ่มเดินทางเมื่อเริ่มเดินทางไปได้ 10 กิโลเมตร เราก็หาที่ร่มรื่นเข้าพักกลางวันพอใกล้บ่าย 2 – 3 โมงแดดร่มลมตกแล้ว เราก็เริ่มเดินทางต่อเดินไปพักไปจนถึงเมืองพิษณุโลก และได้เข้าบิณฑบาตรโดยสะดวกในตัวเมือง แล้ว ก็เลยไปกราบนมัสการหลวงพ่อพระพุทธชินราช ที่พระธุดงค์ทุกองค์ปรารถนาจะไปกราบไหว้ เมื่อพวกเราเดินออกไปห่างเมือง 1 กิโลเมตร ก็หาที่เงียบสงบปักกลดค้างแรมอยู่ 1 ราตรี พอใกล้รุ่งเราก็ตื่นขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วจึงเก็บมุ้งกลดมุ่งหน้าเข้าเมืองพิษณุโลกเพื่อบิณฑบาตร ในตัวเมืองเราบิณฑบาตรได้ข้าวมากมาย ก็เดินออกจากตัวเมืองมาหาที่ฉัน เสร็จแล้วก็เดินทางมาที่องค์พระพุทธชินราชอีก แล้วก็สวดมนต์ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงฆคุณ เสร็จแล้วก็นั่งเข้าสมาธิต่อเฉพาะพระพักตร สมเด็จพระพุทธชินราช นั่งอยู่ภายในวิหารจิตสงบดีมาก ทั้งนี้เป็นด้วยอำนาจพระพุทธคุณในองค์พระพุทธชินราช เมื่อแดร่มลมตกแล้ว เราจึงเดินทางต่อไป จุดหมายปลายทางของเราก็คือ เมืองสุโขทัย เพื่อเดินทางไปนมัสการ วัดพระธาตเก่าเมืองสุโขทัย และไหว้พระอัจจะยะ พระใหญ่ที่วัดศรีชุม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวัดฤาษีชุม
 

ไปไหว้พระใหญ่ ที่วัด ศรีชุม

25 มีนาคม 2529

กล่าวว่าในสมัยก่อนที่นี่เป็นที่ชุมนุมของฤาษี สถานที่เหล่านี้พวกพระรุกขมูลชอบเดินทางมานัสการกันมาก เพราะถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และปูชณียสถานเก่าแก่

เมื่อเดินทางออกจากศาลเจ้าพ่อขุนเณรรอนแรมมาได้ 3 – 4 วัน ก็ลุถึงเมืองสุโขทัยอันเป็นเมืองใหม่ เราก็ค้างแรมห่าออกตัวเมืองไปประมาณ 2 กิโลเมตร ปักกลดแล้วก็ทำกิจปกติ รุ่งเช้าก็เดินทางเรื่อยๆ มาเพื่อบิณฑบาตรในตัวเมืองสุโขทัยแต่มาไม่ถึงตัวเมืองบาตรก็เต็มก่อนพวกเรา จึงกลับที่พักฉันอาหาร เสร็จแล้วพวกเราก็เดนทางไปยังสุโขทัยเก่า ห่างออกจากสุโขทัยใหม่ไปประมาณ 12 กิโลเมตร เดี๋ยวนี้เป็นวนอุทยาน เดินไปพักไปประมาณ 2 วันก็ถึง สุโขทัยเมืองเก่า พวกเราก็พักค้างแรมอยู่ในวนอุทยานเมืองสุโขทัยเก่านั้น พอตกเย็นก็มาทำวัตรหน้าวัดพระธาตุเก่าเมืองสุโขทัย รุ่งเช้าก็ออกบิณฑบาตรหน้าเมืองเก่าสุโขทัย ฉันแล้วก็นั่งเจริญกรรมฐานในกลด พอสายหน่อยพวกเราก็จะเดินทางไปไหว้พระใหญ่ที่วัดศรีชุม หรือวัดฤาษีชุม เหตุที่เรียกวัดฤาษีชุมเพราะที่นี่เมื่อก่อนเป็นที่อยู่ของฤาษีมากมาย มีฤาษีเป็นหัวหน้าใหญ่สี่ตน นัยว่า เป็นคนในาชวงศ์พระร่วง มาออกบวช ฤาษีทั้ง 4 ตนชื่อดังนี้

1.       ฤาษีสุกันตะ

2.       ฤาษีสุกันทะ

3.       ฤาษีสุชน

4.       ฤาษีสุริย์

เหตุนี้วัดนี้จึงชื่อว่าวัดฤาษีชุม ต่อมาเพี้ยน เป็นวัดศรีชุม เมื่อคณะของเราเดินทางออกจากอุทยานกรุงเก่า พวกเราเดินทางเรื่อยๆ มาก็ถามคนมาเรื่อยๆ ว่าวัดศรีชุมไปทางไหน เพราะเราไม่เคยมา เพราะเป็นครั้งแรก เมื่อพวกเราเดินมาถึงปากทางเข้าวัดศรีชุม เมื่อเดินมาได้เล็กน้อยก็ปรากฏมีเสียงลอยลมมาจากวัดศรีชุม ดังนี้ “มีเสียงพระชะยันโต มีเสียงฆ้องชัย และเสียงไชโยโห่ร้องของผู้คนมากมายดังมาก” พวกเราจึงถามว่าที่นี่มีงานหรือไง จึงมีเสียงพระชยันโต เสียงไชโยโห่ร้อง พวกเราเดินมาเรื่อยเมื่อใกล้วัดศรีชุมเสียงนั้นก็หายไป เมื่อเข้าไปในวัดก็ไม่เห็นมีงานอะไร ไม่มีผู้คนไม่มีงาน จึงแปลกใจกันว่าเสียงนั้นมาจากไหน แล้วก็เก็บความสงสัยไว้ในใจ ก็เข้าไปในวิหารหลวงพ่ออัจจะยะ กราบนมัสการท่าน พักอยู่สักครู่เจอโยมคนหนึ่งอายุมากแล้วก็เข้ามาคุยกับโยม โยมแก่คนนั้นก็เล่าให้ฟังว่า สมัยโบราณ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เคยมาทำนำพิพัฒสัตยาที่นี่ เมื่อเราฟังเช่นนั้นก็รู้ว่า เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงในอดีตที่มาปรากฏให้ได้ยินเสียง ดังที่กล่าวในพงศวดารว่า ……….

เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา ก็มีข่าวแจ้งมาว่าพระยาพิชัยและพระยาสวรรคโลกเป็นกบฏ สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าพร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถ จึงเสด็จยกกองทัพหลวงไปปราบเดินทางมาผ่านเมืองสุโขทัย ครั้นถึงเมืองสุโขทัยเมืองเก่า ก็เสด็จไปตั้งทัพรออยู่ที่วัดศรีชุม จึงมีพระบรมราชโองการตรัสสั่งให้ชาวพ่อพราหมณ์ ชุมนุมพรามณาจารย์ แล้วให้ไปเอาน้ำในบ่อพระสยมภูนาถ และเอาน้ำที่ตระพังโพยศรีมา มาตั้งบูชาต่อหน้าพระพักตรพระอัจจะยะ ทำพิธีกรรมสัตยาธิฐาน เอาคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นประธาน ให้ท้าวพระยา -  เสนาบดี มุขมาตร์ ทหารทั้งหลายดื่มกินน้ำสัตยาแล้ว จึงยกทัพไป ณ วันศุกร์ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 8 และนี่เป็นที่มาของเสียงนั้น ดังที่มีปรากฏในพงศวาดาร
 

     (จบการธุดงค์ประจำปี พ.ศ. 2529 คัดเอาเฉพาะเรื่องสำคัญ)

22 กุมภาพันธ์ 2533

ปีนี้พวกเราได้พาคณะออกะองค์อีกเช่นเคย โดยเริ่มเดินทางไปทางจังหวัดราชบุรี ถึงตำบล ชัฎป่าไม้ เห็นบ้านร้างหลังหนึ่งในเย็นวันนั้นคณะของเรา จึงได้พักที่บ้านร้างนั้น ปักกลดเรียบร้อยสักครู่ก็เห็นญาติโยมเดินมาเป็นทิวแถว ต่างคนต่างถือน้ำปานะมามากมาย ตั้งแต่เย็นถึงเวลาหนึ่งทุ่ม ญาติโยมขอให้สอนกรรมฐานเราก็บอกวิธีนั่ง แล้วให้ภาวนาว่า พุมโธ โยมนั่งกันเงียบสักครู่ประมาณสักหนึ่งชั่วโมง จึงเลิก และเล่าอารมณ์กรรมฐานให้พวกเราฟัง แล้วช่วยบอกวิธีแก้ไขให้แล้วญาติโยมก็ลากันกลับไป รุ่งเช้าก็นำอาหารมาถวายที่กลดจากนั้นควกคณะของเราก็เดินหาความสงบวิเวกต่อไป

23 กุมภาพันธ์ 2533

คณะของเราได้เดินทางมาเรื่อยๆ พอตกเย็นก็ถึงภูเขาสองลูกเล็กๆ ณ ตำบลทุ่งแหน ราชบุรี พวกเราก็พากันปักกลดอยู่ที่เชิงเขานั้น เวลาค่ำก็พากันสร้างน้ำที่ธารน้ำช้างภูเขา เวลานั้นได้มีตายายสองคนได้นำเอาน้ำปานะมาถวายและเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง โดยบอกว่าที่เขาสองลูกนี้มักมีพระธาตุลูกสีเขียวๆ ลอยออกมาและแกได้พบบ่อยๆ แล้วแกก็สนทนาธรรมกับเราจนใกล้ค่ำจึงกลับไป พวกคณะของเราก็พากันสวดมนต์ทำวัตรนั่งกรรมฐาน พอตอนเช้า สองตา – ยาย ก็นำเอาอาหารมาถวาย แล้วบอกว่า ตอนเพลขอพวกท่านอย่าเพิ่งไปจะมาถวายอีก คณะของเราก็อยู่คอย แล้วตอนบ่ายก็เดินทางต่อไป

24 กุมภาพันธ์ 2533

พวกเราเดินทางมาถึงป่าหวาย จึงหวัดราชบุรี ทันทีนั้นญาติโยมรู้ว่าเรามาจากวัดพลับ ก็เลยนำพระวัดพลับออกมาให้ดูแล้วถามพวกเราว่าแท้หรือไม่แท้ พวกเราก็บอกว่าแท้ไม่แท้ก็ใช้ได้ ขอให้ถือเอาองค์พระเป็นพุทธานุสสติ เอาพระกำไว้แล้วให้ภาวนาพุทโธ โยมก็ทำตามสั่งครู่เมื่อเลิกแล้ว พวกโยมก็พากันกลับบ้าน เราก็เดินทางกันต่อไป

25 กุมภาพันธ์ 2533

เมื่อเดินทางมาถึงท่าตะโกพักที่นั้น พวกโยมรู้ก็พากันตัดเอาอ้อยคั้นเอาน้ำมาถวาย พัก 1 คืน ก็เดินทางต่อ

28 กุมภาพันธ์ 2533

เมื่อเดินทางมาถึงอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีก็ได้ปักกลดที่ป่าใกล้เขาพระศรีสรรเพชร ตอนเย็นก็มีชาวบ้านมาพบปะพูดคุยกัน ญาติโยมก็ขอให้พวกเราสอนการนั่งกรรมฐานให้ นั่งสักครู่ญาติโยมก็ให้เราทำน้ำพระพุทธ
182  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: รณรงค์ อ่านกระทู้เก่า กันนะคะ วันนี้ เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 12:40:38 am
คุณสาวิตรี ชวนผมก็ตามอ่านกันเป็นอาทิตย์แล้ว เลือกอ่่าน
แต่บางหัวข้อในส่วนนี้ ก็ยังตอบได้ไม่ดี อาจจะเป็นเพราะห้องส่งจิตออกนอก
ศิษย์กรรมฐาน ไม่ค่อยอ่านกัน

วันก่อนผมไปที่วัด ถามศิษย์กรรมฐาน ได้เข้าเว็บหรือป่าวครับ

คำตอบก็คือ ศิษย์กรรมฐาน ตัวจริง ๆ ไม่ได้ใช้งานเว็บกันเท่าไหร่

คุณลุง คุณป้า ส่วนใหญ่ นั่งกรรมฐาน เดินจงกรม ไม่สนใจเทคโนโลยี กันสักเท่าไร ?

ผมวิเคราะห์ดูแล้ว ศิษย์กรรมฐาน นอกจากผู้ดูแลเว็บ 5 ท่านแล้ว ก็ไม่ได้ค่อยเข้ามาดูกัน นะครับ

บางเรื่องจึงยังไม่ได้คำตอบ ....
แต่เท่าที่ทราบมา คำตอบ...ไม่ได้อยู่ในเว็บ...

 :)
183  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ว่าด้วยความตาย ตอนที่ ๑. “เมื่อพระพุทธเจ้าปลุกคนตายให้ตื่น” เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 12:32:17 am
ติดตามอ่านอยู่ครับ
 :c017:
184  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / ประกาศตัวเล็ก มากครับ เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 01:04:39 am
อ้างถึง
ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดทำหนังสือ คำบรรยาย กรรมฐาน + cd file บรรยายธรรม ของขวัญปีใหม่

ร่วมบริจาคได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

 พระอาจารย์ประกาศไว้ตัวเล็กมากครับ

 เดี๋ยวพลาดโอกาสบุญอีก

 :25: :25: :25:
185  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / อนุโมทนา กับ เจ้าภาพโฮสติ้ง โดเมน ด้วยครับ เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 01:03:09 am
อ้างถึง
1.คุณนาฏนพิทย์ เพชรชาลี
   บริจาคค่า โอสติ้ง และ โดเมน = 2,000 บาท

 ผมอ่านตรงนี้แล้วก็ลืม ไปแล้วพอมาอ่านอีกที ต้องขออนุโมทนาด้วยครับ

186  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นิมิต ที่เกิดในธรรม เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 01:01:06 am
ปริวัฏ 3 เชิง ปฏิบัติ เป็นเช่นนี้ผมคิดไม่ถึงจริง ๆ

   ก็เข้าใจ พิจารณาใน อริยสัจ

     กำหนด ทุกข์  คืออะไร มีหน้าที่อะไร ควรทำอย่างไร ?

     กำหนด สมุทัย คืออะไร มีหน้าที่อะไร ควรทำอย่างไร ?

     กำหนด นิโรธ คืออะไร มีหน้าที่อะไร ควรทำอย่างไร ?

     กำหนด มรรค คืออะไร มีหน้าที่อะไร ควรทำอย่างไร ?

  ทั้งหมดนี้เรียกว่า ปริวัฏ 3 มีอาการ 12


    แต่พระอาจารย์ อธิบายเชิงปฏิบัติ ดึงเข้าไปที่ สัมปยุตธาตุ

ผมพึ่งเข้าใจวันนี้เองครับ

 สาธุ สาธุ สาธุ

 :25:
           
187  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ท่านอื่นรู้แต่อนาตคตที่เปลี่ยนแปลงได้ มีพระพุทธเจ้ารู้อนาคตที่ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 12:47:32 am
อ้างถึง ที่คุณ tuenum ยกไว้



พระ พุทธรูปเป็นเพียงตัวแทนของพระพุทธเจ้าที่เป็นจิตบริสุทธิ์(พระเจ้าที่  เป็นพระบิดา)  เรากราบไหว้พระพุทธเจ้า ก็คือ เรากราบไหว้จิตบริสุทธิ์   ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ใช่จิตบริสุทธิ์....เราจะไปกราบไหว้หาพระแสงอะไรเล่า




แต่ผมไม่ได้คล้อยตามแบบนั้นนะครับ

 การกราบพระพุทธรูป แบบชาวพุทธไทย นั้น กราบด้วยจุดประสงค์ 3 ประการ

   1.ในฐานะที่พระพุทธเจ้าเป็นพระสัพพัญญู ที่ควรบูชา เป็นตถาคตโพธิสัทธา ครับ

       เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นบรมครู

   2.ในฐานะที่พระพุทธเจ้าทรงคุณย่อ 3 ประการ คือ

      1.พระบริสุทธิคุณ  2.พระมหากรุุณาธิคุณ 3. พระปัญญาธิคุณ

       และพระพุทธคุณ 9 ประการ ในบทสวด อิติปิีโส ( บทสรรเสริญพระพุทธคุณ )

   3.ในฐานะเป็นที่พึ่ง ทางใจ  พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

      การพึ่งพระพุทธเจ้านั้น มีการพึ่งทางใจเป็นหลัก

      โดยเฉพาะที่เราชาวพุทธ พึ่งกันอยู่ถึงปัจจุบันก็คือ พึ่งพระธรรม

      ดูก่อน วักกลิ  ผู้ใดฉวยจับแม้ซึ่งชายผ้าของเราอยู่ แม้ทัศนาเราอยู่ ผู้นั้นชื่อว่าไม่เห็นเรา ( ตถาคต )

    ส่วนผู้ใดเห็นธรรมะแล้วไซร้ ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต


    ที่นี้วิจารณ์ คำว่า จิตบริสุทธิ์ ในทางพระพุทธศาสนา ตามพระดำรัสโอวาทปาฏิโมกข์นั้น

   ใช้ภาษาบาลีว่า สจิตฺต ปริโยทปนํ  การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ

       และพระองค์ก็ทรงตรัสวิธีการที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ( ไม่ใช้คำว่าจิตบริสุทธิ์ )

     1. ขันติคือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง

     2. ผู้รู้ทั้งหลายกล่าว พระนิพพาน เป็นธรรมอันยิ่ง

     3. ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็น สมณะเลย

     4. ผู้ทำสัตว์ให้ลำบากอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็น บรรพชิตเลย

     5. การไม่พูดร้าย การไม่ทำร้าย

     6. การสำรวมระวังในปาฏิโมกข์

     7. การนอน การนั่ง ในที่อันสงัด
   
     8. การหมั่นประกอบทำจิตให้ยิ่ง

     
     ไม่ตีความรวน หากเชื่อ และ เคารพในพระพุทธองค์

     การเกิดอุบัติของพระพุทธเจ้า จักมิได้มี จนกว่าพระพุทธเจ้าพระนามเมตตรัยะ จะปรากฏ

    ข้อความในจักวัติสูตร ( แสดงอายุของพระพุทธศาสนา พุทธทำนาย กล่าวถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

   องค์ต่อไป )

     " เราเป็นบรมศาสดา เป็นเอก "
   
     เพราะฉะนั้นไม่เหมาตีความ ว่าพระพุทธเจ้า เหมือนพระเยซู พระอัลเลาะห์ หรือ พระเจ้าที่ไหน หรือพระศิวะ

   แต่ พุทธะ คือ พุทธะ ซึ่งไม่มีอีกจนกว่าพระพุทธองค์ต่อไปจักมาอุบัติ

     ในกัปป์นี้ มีพระพุทธเจ้าเพียง 5 พระองค์ ดำเนินมาแล้ว 4

     พระพุทธศาสนา จำเริญมา 2553 ปี ไม่มีประวัติเหยียดหยามศาสนาอื่นใด ไม่รังเกียจศาสนาอื่น ๆ ไม่ปิดกั้น

  ศาสนาเข้ามาเผยแผ่ และ ไม่ก่อสงครามศาสนา ที่ผ่านมามีแต่บรรดาศาสนาอื่น ล้วนย่ำยีชาวพุทธ ทั้งเผา

  ทำลาย เฆ่นข้า ชาวพุทธช่วยเหลือคนทุกศาสนา ในขณะที่ศาสนาหาคนที่ใจกว้างได้น้อยมาก ๆ ที่จะมาช่วย

  ชาวพุทธ

     สนทนาเพียงเท่านี้ก่อน




  NOte     คุณ Servival ถ้าจะเป็นชาวคริสต์นะ
 



 :25: :25: Aeva Debug: 0.0005 seconds.Aeva Debug: 0.0006 seconds.Aeva Debug: 0.0006 seconds.Aeva Debug: 0.0005 seconds.
188  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คติธรรม กับภาพครับ เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 12:22:28 am

























189  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / บรรดา อาจารย์ทั้ง 6 ที่เป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 03:27:09 am


สมัยพุทธกาลนั้นมีลัทธิต่างๆ มากมายที่มุ่งสอนในเรื่องของบุญบาป การเกิดการตาย และเรื่องของชีวิตและธรรมชาติตามความเชื่อของตนที่มีมากมายหลายพันลัทธิ แต่ลัทธิที่ใหญ่ๆ และมีคนนับถือมากก็คือลัทธิของอาจารย์ทั้งหก ดังที่จะกล่าวต่อไป ซึ่งลัทธิเหล่านี้นั้น ล้วนไม่สามารถนำพาคนให้พบความสุขที่แท้จริงได้ ได้แต่เพียงนึกคิดทฤษฎีของตนขึ้นมาสอนคนอื่น และถือเป็นมิจฉาทิฐิ ที่จะนำพาหมู่สัตว์ให้ตกไปในอบาย ห่างไกลจากนิพพาน เปรียบเสมือนแสงหิ่งห้อย เมื่อเทียบกับพระพุทธศาสนาที่เสมือนดวงตะวัน

1. ปูรณกัสสปะ สอนว่าสิ่งต่างๆ ไม่มีผล การกระทำต่างๆ ทำแล้วจบสิ้น ไม่มีผลอะไร

2. มักขลิโคศาล สอนว่าสิ่งต่างๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย สัตว์ย่อมเศร้าหมองเอง ย่อมบริสุทธิ์เอง ชีวิตแปรไปตามเคราะห์ดี ร้าย บุคคลผู้ท่องเที่ยวไปย่อมทำที่สุดทุกข์ให้หมดไปได้เอง

3. อชิตะเกสกัมพล สอนว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพียงการประชุมกันของมหาภูตรูป 4 พอตายก็แยกจากกัน การทำบุญไม่มีผล ทานไม่มีผล ตายแล้วสูญ ไม่มีการเกิดอีก

4. ปุกธะกัจจายนะ สอนว่า สภาวะ 7 สภาวะย่อมยั่งยืน เที่ยงแท้คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ สุข ทุกข์ ชีวะ การทำทาน บุญ หรือการฆ่าสัตว์ล้วนไม่มีผล

5. นิครณถ์ นาฏบุตร สอนว่า การเป็นนิครณถ์คือผู้สังวรแล้วสี่ประการคือ ๑.เป็นผู้ห้ามน้ำทั้งปวง ๒.เป็นผู้ประกอบด้วน้ำทั้งปวง ๓.เป็นผู้กำจัดด้วยน้ำทั้งปวง ๔.เป็นผู้ประพรมน้ำทั้งปวง

6. สัญชัย เวลัฏฐบุตร สอนว่าสิ่งต่างๆ มีก็ว่ามี ไม่มีก็ว่าไม่มี มีก็ใช่ ไม่มีก็ใช่ มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่
190  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: มหาปุริสลักษณะ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 03:22:55 am
พอดีลองเสริร์ช ไปพบพอดี มีไม่มีกี่เว็บที่รวบรวมไว้ดีครับ



รวบ รวมลักษณะของมหาปุริสลักษณะ 32 ประการที่ผู้ใดมีจะสามารถทำนายคติได้สองอย่างคือ จะได้เป็นพระมหาจักรพรรดิ หรือจะได้บรรลุเป็นศาสดาเอกของโลก ลักษณะทั้ง 32 ประการนี้เกิดจากการรักษาศีลและสร้างสมบารมีมาช้านานทั้งสิ้น

๑. พระบาทประดิษฐานเป็นอันดี สุปะติฎฐิตะปาโท เมื่อทรงเหยียบพระบาท  ทรงจรดพื้นด้วยฝ่าพระบาททุกส่วนเสมอกัน  เมื่อทรงยกพระบาทขึ้นก็เสมอกัน

๒. ใต้พระบาททั้งสองมีลายธรรมจักร มงคล ๑๐๘ ประการ  เหฎฐา ปาทะตะเลสุ  จักกานิ

๓. ส้นพระบาทยาว อายะตะปัณหิ พระบาทแบ่งออกเป็นสี่ส่วน  ปลายพระบาทสองส่วน ลำพระชงฆ์ (แข้ง) ตั้งในส่วนที่สาม  เหลือส้นพระบาทอีกหนึ่งส่วน และส้นพระบาทนั้นสีแดงงาม

๔. นิ้วพระหัตถ์ นิ้วพระบาทยาวเรียว กลมงาม ทีฆังคุลี

๕. พระวรกายตั้งตรงดังกายท้าวมหาพรหม พรหมุชุ คัตโต  ไม่น้อมไปข้างหน้า หรือหงายไปข้างหลัง

๖. พระมังสะ (เนื้อ) อูมในที่ ๗ แห่ง  สัตตุสสะโท ได้แก่  หลังพระหัตถ์ทั้งสอง หลังพระบาททั้งสอง พระอังสา (บ่า) ทั้งสอง  ลำพระศอ (คอ) มิได้เห็นเส้นปรากฏออกมาภายนอก

๗. ฝ่าพระหัตถ์ ฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม มุทุตะละนะหัตถะปาโท

๘. ฝ่าพระหัตถ์ ฝ่าพระบาทมีลายดังตาข่าย ชาละหัตถะปาโท  นิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ เว้น พระอังคุฎฐะ (นิ้วหัวแม่มือ)  นิ้วพระบาททั้งห้าเสมอกัน ชิดสนิทดี

(บุพพชาติทรงอนุเคราะห์คนด้วยสังคหวัตถุสี่ คือ ทาน ปิยะวาจา อัตถจริยา สมานัตตา นิ้วทั้งสี่จึงยาวเท่ากัน)

๙. หลังพระบาทนูนดุจสังข์คว่ำ  อุสสังขะปาโท และข้อพระบาทกลอกกลับผันแปรอย่างคล่องขณะย่างพระบาท

๑๐. พระโลมา (ขน) มีสีดำสนิท ขดเป็นทักษิณาวัฎ (เวียนขวา) ๓ รอบและมีปลายช้อนขึ้น

๑๑. พระชงฆ์ (แข้ง) เรียวดังแข้งเนื้อทราย กลมกลึงงาม เอณิชังโฆ

๑๒. พระฉวีวรรณ (ผิว) ละเอียด สุขุมมัจฉวี  ธุลีละอองมิติดต้องพระวรกายได้ มลทินใดมาสัมผัสก็เลื่อนหลุดไปดุจน้ำกลิ้งตกจากใบบัว

๑๓. พระฉวีวรรณ (ผิว) เหลืองงามดังทองคำ สุวัณณะวัณโณ

๑๔. พระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก โกโสหิตะวัตถะคุโยหะ  องค์กำเนิดเพศชายหดเร้นเข้าข้างใน

๑๕. พระวรกายสง่างาม สมบูรณ์ สมส่วน ดังปริมณฑลแห่งต้นนิโครธ  (ต้นไทร)  นิโครธปริมัณฑโล ความสูงของพระวรกายเท่ากับวาของพระองค์

๑๖. พระกรยาวจนใช้พระหัตถ์ลูบพระชานู (เข่า) โดยไม่ต้องน้อมพระวรกาย  ปาณิตะเลหิ ชันนุกานิ ปริมะสะติ

๑๗. พระวรกายส่วนหน้าล่ำพีบริบูรณ์ สง่างามดุจราชสีห์  สีหะปุพพะทะธะกาโย

๑๘. พระปฤษฎางค์ (หลัง) เต็ม ปิตตันตะรังโส ตั้งแต่บั้นพระองค์ (เอว)  ขึ้นไปถึงต้นพระศอ (คอ) พื้นพระมังสะ (เนื้อ)  ปิดพระปฤษฎางค์เป็นอันดี มิได้เห็นข้อพระอัฐิท่ามกลางพระขนอง  (ข้อกระดูกสันหลัง) ปรากฏออกมาภายนอก

๑๙. พระศอกลมเสมอกัน สะมะวัฎฎักขันโธ

๒๐. มีเส้นประสาทสำหรับนำรสอาหารดีเลิศ  ระสัคคะสัคคี  มีเส้นประสาทปลายข้างบนประชุมอยู่ที่พระศอสำหรับนำรสอาหารแผ่ซ่านสม่ำเสมอ ไปทั่วพระวรกาย

๒๑. พระเนตรดำสนิท อะภินีละเนตโต มีการเห็นแจ่มใส

๒๒. ดวงพระเนตรสดใสดังตาโค  โคปะขุโม (บุพพชาติทรงทอดพระเนตรสัตว์ด้วยความเมตตา เอ็นดู)

๒๓. พระเศียรกลมงาม พระพักตร์มีอุณหิสคือลักษณะเหมือนมีกรอบหน้า  อุณหีสะสีโส

๒๔. โลมา (ขน) มีขุมละเส้น เอเกกะโลโม

๒๕. มีพระอุณาโลมระหว่างพระโขนง (คิ้ว) สีขาวอ่อนเหมือนปุยฝ้าย  อุณณาโลมา ภมุกันตะเรชาตา

๒๖. พระทนต์มี ๔๐ ซี่ จัตตาฬีสะทันโต เบื้องบน ๒๐ ซี่ เบื้องล่าง ๒๐  ซี่เสมอกัน

๒๗. พระทนต์มิได้ห่าง สนิทกันดี อะวิระฬะทันโต

๒๘. พระชิวหาอ่อน กว้าง ยาวกว่าชนทั้งปวง ปหูตะชิโวห

๒๙. พระสุรเสียงไพเราะดุจเสียงท้าวมหาพรหม  กระแสเสียงดุจเสียงนกการเวก  พรหมัสสะโร กะระวิกะภาณี

(บุพพชาติทรงเว้นขาดจากการพูดคำหยาบ ส่อเสียด คำไม่จริง)

๓๐. พระหนุ (คาง) ดุจคางราชสีห์ สีหะหะนุ

๓๑. พระทนต์เรียงเรียบเสมอกัน สะมะทันโต

๓๒. พระทาฐะ (เขี้ยว) ทั้ง ๔ ซี่ขาวบริสุทธิ์ รุ่งเรืองด้วยรัศมี  สุสุกกะทาโฐ


เครดิตเว็บนี้ด้วยครับ

http://cndf.wordpress.com/2007/11/23/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0-32-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81/
191  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มหาปุริสลักษณะ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 03:20:30 am
พระมหาปุริสลักษณะ ของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเท่าใดครับ

มีอย่างไรบ้างครับ

( พอดีเข้าไปดูภาพพระพุทธรูปแล้วทำให้อยากติดจินตนาการถึงพระพุทธองค์ ครับ)

 :25: :25:
192  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ศิษย์ท่านอาจารย์ได้อ่านเล่มนี้หรือยัง เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 03:12:41 am
อนุโมทนา กับพระอาจารย์ ผมได้่อ่านเนื้อหาแล้ว

โดยเฉพาะเรื่อง คำแนะนำการสร้างสมาธิ มีประโยชน์ มากจริง ๆครับ

 :25: :25:
193  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: คุณธรรม 8 ประการของขงจื้อ ( ก็หมวยนี่คร้า ) เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 03:11:19 am
สาธุ กับคุณ หมวย

ผมตามอ่านกระทู้ไม่ทัน แล้ว เนื่องด้วยกระทู้มีจำนวนมาก จริงๆ

 :25: :25:
194  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: การทานอาหารปัจจเวกขณ ของพระสงฆ์ จะดับกิเลสได้จริงหรือ เมื่อ: สิงหาคม 14, 2010, 03:59:04 pm
ผู้่ปฏิบัีติ ธรรม ควรมีหุ่น ที่ดีเหมือน นายแบบ ใช่หรือป่าวครับ

หรือว่าต้องผอม เพราะทานน้อย

 ทั้งเด็ก ทั้งคนพาล และบัณฑิต ล้วนมีที่สุด คือความตาย เสมอกัน

 บัณฑิต ก็ดี ราชา ก็ดี สมณะ ก็ดี จะดี จะเลว ไม่ได้เกิด จาก ชาติตระกููล

 เราจักกล่าวว่าเป็นพระอริยะ เพราะกำเนิด ก็มิใช่ เพราะรูปร่าง ก็มิใช่ เพราะการศึกษา ก็มิใช่

 แต่ พระอริยะ เป็นได้ด้วยการเจริญ อริยะมรรค ทีใดมีอริยะมรรค ที่นั้นไม่ว่างจากพระอรหันต์




  ดังนั้น ผู้ที่กล่าวเยี่ยงนี้ นั้นย่อมไม่เข้าใจ การภาวนาธรรม

  พระอรหันต์ อ้วน ครั้งพุทธกาล ก็มีหลายองค์

  พระอรหันต์ ที่เตี้ย เหมือน เด็ก ก็มี

  พระอรหันต์ ตาบอด ก็มี

ช่วยเสริมให้ผมหน่อยนะครับ เพราะผมจำชื่อไม่ได้สักองค์

195  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / มาร มีตัวตน หรือ ว่า มาร คือ กิเลส กันแน่ เมื่อ: สิงหาคม 14, 2010, 03:52:52 pm
มาร ผู้ขัดขวาง จะเป็น พญามารสุรัสสวตี หรือ บรรดายักษ์ นันทกะ เป็นต้น

หรือ ขณะที่อานนท์ ถูก ดลใจ ด้วยมาร

ลูกสาวมาร นางตัณหา นางราคา นางราคี นั้น

มีตัวตนอยู่ จริง หรือ เป็นเพียง สภาวะ

ในสัมมาทิฏฐิ นั้น ให้ความเชื่อเรื่อง พวกนี้อย่างไรครับ

 :25: :25:
196  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กฏหมาย และ กฏแห่งกรรม อนันตริยกรรม ที่เราตัดสินใจผิด เมื่อ: สิงหาคม 14, 2010, 03:31:58 pm
อ้างถึง
ถ้าลูกที่มีพ่อแม่ป่วย ไข้มีความทุกข์ทรมาน ก็อย่าไปสั่งหมอให้ฉีดยาให้ตายไปจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมาน หรือสั่งให้หมอเอาสายออกซิเจนออก เพราะการทำอย่างนี้เป็น อนันตริยกรรม

คนที่ชื่นชมกับ กฏหมาย ใหม่ ต้องอ่าน หลาย ๆ รอบ นะครับ


 :25: :25:


197  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เข้าพรรษา อุบาสกอย่างผมจะสมาทานอะไรเป็นพิเศษได้บ้างครับ ? เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 10:40:53 pm
เห็นเพื่อนที่ทำงาน ตั้งสัจจะงดเหล้าเข้าพรรษา งดสังสรรค์เข้าพรรษา

ที่ถูกต้องแล้ว อุบาสก ควรจะสมาทานอะไรในระหว่างเข้าพรรษาครับ

 :25: :25:
198  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เวียนเทียนในวันสำคัญทางศาสนา กับ วันปกติ บุญต่างกันหรือไม่ ? เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 10:38:25 pm
แบบถามเพื่อตนเองที่ติดงาน แต่จะเปลี่ยนวันพรุ่งนี้ตอนไปทำบุญที่วัด รอบอุโบสถสัก 3 รอบ

เจริญ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ

ถ้าผมเวียนเทียนในวันปกติ นั้น บุญจะน้อยกว่าวันสำคัญหรือป่าวครับ

 :25: :25:

199  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เข้าพรรษา จำเป็นต้องถวายผ้าอาบน้ำฝนหรือ ไม่ ? เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 10:36:22 pm
คือผมมีความคิดไม่เหมือนคนอื่น เพราะผมเชื่อว่า เราควรถวายอะไรที่เป็นประโยชน์

พรุ่งนี้วันเข้าพรรษา ปกติไปซื้อพุ่มเอง และ ถวายผ้าอาบน้ำฝน

แต่ปีนี้มีศรัทธาครับ ซื้อของใช้ที่ผมชอบ และ คิดว่าพระต้องใช้แน่ ๆ มาห่อเอง

และเปลี่ยนจากผ้าอาบน้ำฝนเป็น ผ้าสบง และ อังสะ แทน

ไม่ทราบว่าท่านอุบาสก อุบาสิกา ที่มีความเข้าใจในเรื่องการถวายนั้น

ผมได้ทำถูก หรือ ผิด หรือ เหมาะสมหรือป่าวครับ



และอนุโมนทนา บุญกุศลกับทุกท่านที่ ได้ทำบุญในวันนี้ และ เวียนเทียนด้วยนะครับ

พูดถึงเรื่องเวียนเทียน ผมไม่ได้ไปเวียนเทียน เพราะทำงานถ้าผมต้องการเวียนเทียน

โดยไปที่เวียนรอบพระพุทธรูปในวันอื่นได้หรือป่าวครับ
200  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: เหตุให้แจ้งในสมาธิในภาวนา ยังไม่ใช่หนทางในพระศาสนา เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 10:26:03 pm
อ้างถึง
  ภ. มรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐนี้แหละ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ เจรจาชอบ
การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ ดูกรมหาลี     
มรรคนี้ปฏิปทานี้แหละ เพื่อทำให้แจ้งธรรมเหล่านั้น.

ผมชอบพระพุทธบทนี้ครับ เพราะรู้สึกตรงกับวันนี้ดี วันอาสาฬหบูชา

 :86: :) :25:
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6