ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิธีการเจริญอายุตลอดกัปหรือ 120 ปี ด้วยอิทธิบาทสี่  (อ่าน 1833 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

เสกสรรค์

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 419
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
งานเขียนชิ้นนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่มีการจัดพิมพ์หนังสือ “วิมุตตะมิติ มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน” ออกเผยแพร่แล้ว หลังจากนั้นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองท่านหนึ่งได้ขอให้คุณไพศาล พืชมงคล ช่วยเขียนวิธีการเจริญอายุตลอดกัปหรือ 120 ปี ด้วยอิทธิบาทสี่ เพื่อนำเสนอบุคคลสำคัญ จึงเป็นเหตุให้เขียนเรื่องนี้

     การเจริญอายุด้วยอิทธิบาทสี่เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในพระพุทธศาสนา ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสยืนยันและรับรองผลเป็นมั่นคง คงเหลือแต่วิธีการซึ่งมิได้ทรงตรัสไว้ อันเนื่องมาจากในโพธิกาลนั้นตรัสเพียงเท่านั้น ก็เป็นที่รู้ เป็นที่เข้าใจอย่างดีแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านนานไป วิธีปฏิบัติเพื่อเจริญอายุด้วยอิทธิบาทสี่ก็เลือนไป งานเขียนชิ้นนี้จึงเท่ากับเป็นการเริ่มต้นหรือฟื้นฟูในส่วนวิธีการ ซึ่งนักปฏิบัติชาวพุทธพึงร่วมกันปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องสมบูรณ์แท้ต่อไป.


    ๑.    ความในพระสูตร “ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ … ดูกรอานน ผู้หนึ่งผู้ใดเจริญอิทธิบาทสี่ ทำให้มาก ทำให้เป็นประหนึ่งยาน ทำให้เป็นประหนึ่งวัตถุที่ตั้งไว้เนือง ๆ อบรมไว้ ปรารภด้วยดีโดยชอบแล้ว ผู้นั้นเมื่อปรารถนาก็พึงดำรงชีวิตได้ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป”

     ๒.    ความหมายของความในพระสูตร     “ทำให้มาก” หมายถึงการเจริญอิทธิบาทสี่ โดยอาศัยสมาธิให้มากให้ต่อเนื่อง     “ทำให้เป็นประหนึ่งยาน” คือการอาศัยอิทธิบาทในสมาธิเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อทำให้ความ “ปรารถนา” ปรากฏเป็นจริง     “ทำให้เป็นประหนึ่งวัตถุ” คือการเจริญอิทธิบาทโดยกำลังสมาธิจนจิตมีความตั้งมั่นสูงสุด ไม่มีโทมนัส โสมนัส มีแต่ความเป็นอุเบกขาและสติมั่นคง     “อบรมไว้” คือการเจริญอิทธิบาทโดยอาศัยกำลังสมาธิให้มีความก้าวหน้ามั่นคงเป็นลำดับไป     “ปรารภด้วยดีโดยชอบ” คือการพิจารณาเห็นความจริงตามธรรมชาติว่าอายุ สังขารนั้นมีปกติยืนยาวได้ถึงกัปหรือกว่ากัป และอิทธิบาทธรรมคือยานหรือเครื่องมือในการทำให้อายุ สังขารเป็นธรรมชาติ คือยืนยาวถึงกัปหรือกว่ากัป แล้วมีความปรารถนาที่จะมีอายุถึงกัปหรือกว่ากัป     “เมื่อปรารถนา” คือการตั้งอธิษฐานหรือกระทำอธิษฐานฤทธิ์ ปรารถนาให้อายุ สังขารยืนยาวตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป (คำว่าปรารถนาโดยทั่วไปอาจมีความหมายโน้มไปในลักษณะที่มีกิเลสเจือปน แต่ปรารถนาในที่นี้มีความหมายในลักษณะที่ใกล้เคียงกับคำที่ว่าเจตนา นั่นคือเมื่อปรารภด้วยดีโดยชอบแล้วจิตก็น้อมไปตั้งอธิษฐานโดยมีเจตนาให้อายุ สังขารเจริญตลอดกัปหรือกว่ากัป : นี่คือปัญหาของภาษาที่อาจทำให้ความเข้าใจไขว้เขวห่างไกลออกไปจากพุทธธรรม)     
     
     ๓.    ตัวอย่างในระยะใกล้ของการเจริญอิทธิบาทสี่      ในโพธิกาลและอดีตกาลโพ้นมีแบบอย่างมากมาย แต่เฉพาะในระยะใกล้นี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นถึงการเจริญอิทธิบาทสี่ เช่น     
          ๓.๑    กรณีสมเด็จพระสังฆราชเจ้าองค์พระอุปัชฌาย์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอุปสมบท ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงประชวรหนัก มีอาการมาก ไม่อาจทรงพระวรกายตั้งอยู่ให้เป็นปกติได้นาน ๆ ถึงขนาดที่ทรงวิตกว่าเมื่อถึงกาลพิธีอุปสมบทอาจจะไม่สามารถลงพระอุโบสถได้ แต่ในที่สุดก็ทรงรำลึกถึงความในพระสูตรข้างต้น ดังนั้นเมื่อถึงเวลาจะลงพระอุโบสถเพื่อทำพิธีอุปสมบทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระสังฆราชเจ้าก็ได้เข้าสมาธิเจริญอิทธิบาท แต่ทรงตั้งปรารถนาเพียงแค่ให้สามารถดำรงพระวรกายเพื่อทำพิธีอุปสมบทให้เสร็จสิ้นเท่านั้น และตลอดเวลาดังกล่าวก็ทรงปฏิบัติหน้าที่พระอุปัชฌาย์ได้บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดพิธีด้วยกำลังอำนาจสมาธิและอิทธิบาทนั้น     
          ๓.๒    เมื่อครั้งที่ท่านเจ้าคุณพุทธทาสอาพาธหนัก มีอาการมาก มีอาการหัวใจวาย เส้นเลือดหัวใจตีบ น้ำท่วมปอด และความดันโลหิตสูงมาก คณะแพทย์หลวงลงไปที่ไชยา แล้วอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปถวายท่านเจ้าคุณถึงเตียงผู้ป่วย เมื่อท่านเจ้าคุณพยุงกายในท่านั่งสมาธิบนเตียงผู้ป่วยแล้ว แพทย์หลวงได้อัญเชิญพระราชกระแสว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขออาราธนาว่าอย่าเพิ่งดับขันธ์ ขอให้อยู่ช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาก่อน ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณอึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า และกล่าวว่าอาตมารับอาราธนาแต่จะอยู่เพียงเท่าที่เหตุปัจจัยจะอำนวยให้เท่านั้น
         คืนวันนั้นท่านเจ้าคุณได้เข้าสมาธิ เจริญอิทธิบาทสี่ตามที่รับอาราธนา ในวันรุ่งขึ้นอาการเส้นเลือดหัวใจตีบหายไป อาการน้ำท่วมปอดลดลงเกือบหมด ความดันโลหิตสูงลดลงเป็นปกติ หลังจากพักฟื้นระยะหนึ่งท่านเจ้าคุณก็หายเป็นปกติและปฏิบัติศาสนกิจต่อมาอีกหลายปี จนถึงปลายปีก่อนดับขันธ์เป็นเดือนธันวาคม ท่านเจ้าคุณได้ปลงอายุสังขารท่ามกลางพุทธบริษัทจำนวนมากว่าได้รับอาราธนาพระเจ้าอยู่หัวไว้ และได้อยู่ต่อมาเป็นเวลาสมควรแล้ว ภาระหน้าที่หมดแล้ว เหตุปัจจัยที่จะอยู่ไม่มีแล้ว จึงขอลาท่านทั้งหลาย    เหตุการณ์ในวันนั้นในพลันที่ท่านเจ้าคุณปลงอายุสังขารเสร็จ สายลมกรรโชกแรง ใบไม้ร่วงกราวทั้งสวนโมกข์ พุทธบริษัทร่ำไห้ทั่วทั้งลานธรรม และมีการแจ้งข่าวเรื่องท่านเจ้าคุณปลงอายุสังขารไปยังสานุศิษย์โดยถ้วนหน้ากัน         
         ๓.๓    เมื่อครั้งที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงประชวรหนัก มีอาการมาก มีข่าวลือไปถึงเขมรว่าทรงสิ้นพระชนม์แล้ว แต่ปรากฏว่าไม่เป็นความจริง     ในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จเยี่ยมสมเด็จพระสังฆราชถึงเตียงที่ประทับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่าพระอาจารย์ พระอาจารย์ หม่อมฉันและพระราชินีมาเยี่ยม ยาที่ไหนดี หมอที่ไหนดี ก็หามาช่วยรักษาพระอาจารย์หมดแล้ว ต่อไปนี้พระอาจารย์ต้องช่วยพระองค์เองแล้ว จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินกลับ    สมเด็จพระสังฆราชทรงเล่าให้ผู้ใกล้ชิดฟังว่า ในเวลานั้นพระองค์เข้าอยู่ในภวังค์ (โคม่า) แล้ว ครั้นได้ยินพระสุรเสียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สติก็ฟื้นกลับมา ทรงได้ยินกระแสพระราชดำรัสชัดเจน ทรงรู้สึกพระองค์ว่าทรงพยักหน้า และทรงรำลึกถึงความในพระสูตรข้างต้นนี้ พระสติก็ตั้งมั่น และทรงเจริญอิทธิบาทสี่ ทำให้พระองค์สร่างคลายจากพระอาการประชวร     
       
        ๔.    อิทธิบาทสี่คืออะไร?
           อิทธิบาทสี่เป็นวิหารธรรมชนิดหนึ่ง คือเป็นที่ตั้ง ที่อาศัยของจิต เนื่องจากร่างกายต้องมีอาคารเป็นที่พักที่อาศัย หลบร้อนหลบหนาวให้ปลอดภัยจากอันตราย จิตก็มีอาคารเป็นที่พักอาศัย คือวิหารธรรม หากไม่มีวิหารธรรมจิตก็จะเปลี่ยวเปล่าล่อนจ้อนร้อนรุ่มและเป็นอันตรายได้โดยง่าย วิหารธรรมใดจิตเข้าไปตั้งไปอาศัยก็ได้ชื่อว่าจิตสถิตในวิหารธรรมนั้น เช่น พรหมวิหาร อานาปานสติวิหาร อิทธิบาทวิหาร อริยวิหาร ตถาคตวิหาร เป็นต้น อริยวิหารและตถาคตวิหารนั้นเป็นวิหารธรรมขั้นสูง ตั้งแต่การบรรลุถึงอรูปฌานจนถึงภูมิพระอรหันต์ ส่วนพรหมวิหาร อานาปานสติวิหาร อิทธิบาทวิหารเป็นวิหารธรรมที่คนธรรมดาทั่วไปเข้าถึงได้ และเมื่อเจริญธรรมเหล่านั้นแล้วก็สามารถตั้งจิตไว้ในวิหารธรรมเหล่านั้นได้ และสามารถยกระดับที่สูงขึ้นไปได้ ดังที่พระตถาคตเจ้าทรงตรัสว่าพระองค์มีปกติอยู่ในอานาปานสติวิหาร
          อิทธิบาทสี่เป็นองค์ธรรมแห่งความสำเร็จ  ประกอบด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา ความสำเร็จทั้งปวงไม่ว่าในทางโลกหรือทางธรรมจักสำเร็จได้ด้วยอิทธิบาททั้งนั้น หากขาดอิทธิบาทแล้วก็ยากที่จะประสพความสำเร็จ การฝึกฝนอบรมจิตและการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาพระตถาคตเจ้าจึงทรงเน้น ทรงย้ำเป็นอันมากว่าต้องอาศัยอิทธิบาท      อิทธิบาทเป็นรากฐานหรือบาทฐานของอิทธิปาฏิหาริย์  นั่นคือการกระทำความสำเร็จอย่างอัศจรรย์ต้องอาศัยอิทธิบาท เหตุนี้อิทธิบาทธรรมสี่ประการคือฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา จึงได้ชื่อว่าอิทธิบาท ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่าเท้าหรือรากฐานของการกระทำความสำเร็จที่อัศจรรย์ ถ้าไม่มีเท้าก็เดินไม่ได้ฉันใด ไม่มีอิทธิบาทก็กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ไม่ได้ฉันนั้น
       เพราะการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์นั้นต้องอาศัยกำลังสี่อย่าง คือ กำลังสมาธิ กำลังฌาน กำลังอิทธิบาท และกำลังอธิษฐาน กำลังทั้งหมดนี้กำลังอิทธิบาทก็คือกำลังเท้าหรือรากฐานของการทำความสำเร็จที่อัศจรรย์นั่นเอง     ในอดีตกาลโพ้น การมีอายุตลอดกัปเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา ดังที่พระตถาคตเจ้าทรงตรัสไว้ในหลายที่ว่าในกัปก่อน ๆ อายุมนุษย์เกินกว่าหมื่นปีก็มี และค่อยๆลดลงโดยลำดับ เพราะมนุษย์ทำเหตุปัจจัยให้อายุลดลงเอง และทรงตรัสว่าในปัจจุบันกัปนี้มนุษย์มีอายุแค่ ๑๐๐ ปี มากน้อยไปกว่านี้ก็ไม่มาก แต่ความหมายของคำว่ากัปในปัจจุบันกัปคือ ๑๒๐ ปี ดังนั้นจึงทรงแสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่าผู้ที่เจริญอิทธิบาทสี่สามารถปรารถนาให้มีอายุตลอดกัปหรือกว่ากัปได้ คือ มีอายุถึง ๑๒๐ ปีหรือเกินกว่า ๑๒๐ ปีได้
       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้มีพระคุณอันประเสริฐ ทรงเลิศในธรรม ทรงแจ้งในคำตรัสสอนของพระบรมศาสดาในประการนี้อย่างดีเป็นแน่ ดังที่ทรงตรัสในกาลมหามงคลสมัยวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีหนึ่งว่าพระองค์จะมีพระชนมายุ ๑๒๐ ปี

       ๕.    วิธีเจริญอิทธิบาทสี่ตามความในพระสูตร     โดยที่วิธีฝึกฝนอบรมจิตเพื่อบรรลุถึงวิมุตตะมิตินั้นมีอยู่สามหนทาง คือหนทาง วชิรวิมุต ปัญญาวิมุต และเจโตวิมุต ดังนั้นผู้ที่ฝึกฝนอบรมจิตไม่ว่าหนทางไหนก็มีวิสัยและสามารถเจริญอิทธิบาทได้ทั้งสิ้น ยกเว้นก็แต่ผู้ที่เดินหนทางวชิรวิมุตในขั้นต้น กำลังของจิตและสมาธิอาจจะห่างไกลและไม่เป็นระบบที่จะมีกำลังพอเพียง ในขณะที่ผู้ที่ฝึกฝนอบรมในหนทางปัญญาวิมุตและเจโตวิมุตกำลังจิต กำลังสมาธิจะก่อตัวเกิดขึ้นเป็นลำดับ ๆ ไป
     การเจริญอิทธิบาทสี่เพื่อการเจริญอายุนั้นเป็นอธิษฐานฤทธิ์ชนิดหนึ่ง ดังนั้นจึงง่ายและสะดวกสำหรับผู้ปฏิบัติในหนทางเจโตวิมุต คือตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ปฐมฌานไปจนถึงจตุตถฌานก็อยู่ในวิสัยที่จะเจริญอิทธิบาทสี่เพื่อปรารภความมีอายุยืนตลอดกัปได้ทั้งนั้น
      สำหรับผู้ปฏิบัติในหนทางปัญญาวิมุตในขั้นต้นของกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้นกำลังจิตและกำลังสมาธิยังอ่อนอยู่ ไม่อยู่ในขีดขั้นที่จะเจริญอิทธิบาทสี่ให้เป็นผลได้ แต่เมื่อใดที่กายสงบรำงับ เวทนาสงบรำงับ คือปฏิบัติถึงขั้นที่สี่ของเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้วก็เริ่มตั้งต้นอยู่ในวิสัยที่จะเจริญอิทธิบาทสี่ให้เป็นผลได้
     การเจริญอิทธิบาทสี่ให้เป็นผลได้อย่างสมบูรณ์แน่นอนก็คือการเจริญอิทธิบาทสี่ในขณะที่ได้จตุตถฌานแล้ว นามกายแปรสภาพเป็นทิพยกายแล้ว กำลังสมาธิ กำลังฌานและกำลังอิทธิบาทอยู่ในขั้นสูง และกำลังอธิษฐานก็อยู่ในขั้นสูง จึงกระทำอธิษฐานฤทธิ์ด้วยอิทธิบาทได้อย่างสมบูรณ์
     แต่ลำดับของการได้ผลตั้งแต่ขั้นต้น ๆ ก็มีอยู่ นั่นคือเริ่มตั้งแต่จิตเป็นสมาหิโตคือตั้งมั่นเป็นปาริสุทโธคือมีความบริสุทธิ์ เป็นกัมมนิโยคือมีกำลังควรแก่การทำงานของจิตตามฐานะและลำดับภูมิ ก็อยู่ในวิสัยที่จะเจริญอิทธิบาทสี่ได้ ต่างกันก็ตรงระดับของภูมิธรรม ถ้าภูมิธรรมต่ำก็ได้ผลน้อยไม่เต็มที่ ภูมิธรรมสูงก็ได้ผลมาก ที่ได้ผลน้อยคือได้ผลไม่ถึง ๑๒๐ ปี หรือยังมีโรคร้ายกลุ้มรุมบ้าง ถ้าได้ผลสมบูรณ์ก็ได้ผลถึงกัป และมีสุขภาพกายใจดีด้วย
    โดยสรุป เมื่อจะเจริญอิทธิบาทสี่ก็ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิและมีอารมณ์ปีติ สุข เกิดขึ้น คือตั้งแต่ปีติ สุข ที่เกิดแต่วิเวกเป็นลำดับไป เป็นปีติ สุข เกิดแต่สมาธิ และละ ปีติ สุข จนเป็นอุเบกขาในที่สุด
      สำหรับผู้ที่บรรลุถึงจตุตถฌานหรือบรรลุถึงจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้ว เมื่อจะเจริญอิทธิบาทสี่ก็ต้องถอนอารมณ์ออกจากอุเบกขา ออกจากอัปปนาสมาธิสู่อุปจารสมาธิ และกำหนดอารมณ์ปีติ สุข ที่ปราศจากอามิสให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในอารมณ์นี้คืออารมณ์ที่จะเจริญอิทธิบาท เพราะในอารมณ์อุเบกขานั้นตั้งอธิษฐานไม่ได้     ระดับของสมาธิในอัปปนาสมาธิก็ตั้งอธิษฐานไม่ได้ การเจริญอิทธิบาทจึงต้องถอนกำลังสมาธิออกมาจากอัปปนาสมาธิมาอยู่ที่อุปจารสมาธิก่อนเสมอ
     แม้อิทธิบาทจะประกอบด้วยองค์สี่ แต่แท้จริงก็เป็นองค์เดียว ดุจดังเชือกที่มีด้ายร้อยรวมกันถึง ๔ เส้น ด้ายทั้ง ๔ เส้นก็คือเชือกเส้นเดียวคืออิทธิบาท
      โดยสรุป ลำดับและขั้นตอนในการเจริญอิทธิบาทสี่เพื่อการเจริญอายุจึงเป็นดังต่อไปนี้
       ขั้นที่หนึ่ง  เข้าสมาธิ เจริญสมาธิจนจิตเป็นสมาหิโต ปาริสุทโธ และกัมมนิโย เข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน (หรือเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานสู่เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เข้าถึงจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ถ้าภูมิธรรมไม่ถึงขั้นที่สุดก็เจริญเอาเท่าที่เข้าถึง และดำรงจิตอยู่ในอุเบกขา (ชนิดเดียวกับอุเบกขาสัมโพชฌงค์) ในภาวะเช่นนี้กำลังสมาธิเข้าถึงอัปปนาสมาธิ กำลังฌานเข้าถึงภูมิธรรมแห่งฌานที่เข้าถึง
      ขั้นที่สอง  ถอนสมาธิออกจากอัปปนาสมาธิ สู่อุปจารสมาธิ และถอนกำลังฌานออกจากอุเบกขามาอยู่ที่ปีติและสุขที่ปราศจากอามิส และอาศัยกำลังสมาธิในอุปจารสมาธิ
      ขั้นที่สาม  เจริญอิทธิบาทสี่ในอุปจารสมาธิ และในอารมณ์ฌานปีติสุขที่ปราศจากอามิส ในเอกคตารมณ์นั้น กำหนดจิตให้มีฉันทะในการมีอายุตลอดกัปหรือกว่ากัป เพ่งกำลังจิตด้วยความเพียรหรือกำลังแห่งวิริยะ เพื่อจะมีอายุตลอดกัปหรือกว่ากัป พิจารณาด้วยปัญญาเห็นเหตุแห่งการมีอายุยืนตลอดกัป และเห็นเหตุที่ทำให้อายุไม่ยืนตลอดกัป ใส่ใจที่ความมีอายุยืนตลอดกัป และกำหนดในจิตละวางหรือดับเหตุที่ทำให้อายุไม่ยืนตลอดกัป เจริญเหตุปัจจัยที่ทำให้อายุยืนตลอดกัป     ในสภาวะธรรมเช่นนี้จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว เคลียเคล้าอยู่ด้วยปีติและสุขที่ปราศจากอามิสในกำลังอุปจารสมาธิ โดยกำลังอิทธิบาทเจริญขึ้นในระดับที่ผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
      ขั้นที่สี่  เป็นขั้นกระทำอธิษฐานฤทธิ์ คือตั้งความปรารถนาด้วยกำลังอธิษฐานของจิต ปรารภความปรารถนาที่จะมีอายุยืนตลอดกัปหรือกว่ากัป โดยมีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดีสมบูรณ์ เจริญอยู่เช่นนั้นตามความในพระสูตร เป็นที่พอใจแล้วจึงถอนจิตออกจากฌาน จากสมาธิ สู่ความเป็นปกติ กระทำเช่นนี้เนือง ๆ คือกระทำให้มาก อำนาจแห่งอธิษฐานฤทธิ์ก็จะทำให้มีอายุยืนตลอดกัปหรือกว่ากัป ดังคำตรัสของพระตถาคตเจ้านั้น
    นั่นเป็นการเจริญอิทธิบาทสี่ประกอบกับการทำอธิษฐานฤทธิ์ ซึ่งเป็นปกติของสามัญชนที่มีวิสัยเข้าถึงและทำได้ สำหรับผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินนั้นมีฤทธิ์พิเศษโดยธรรมชาติ เหมือนกับธรรมชาติของนกที่บินไปในอากาศได้ เรียกว่า “บุญฤทธิ์” ดังนั้นผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งมีบุญฤทธิ์โดยธรรมชาติ จึงอยู่ในวิสัยที่จะเจริญอิทธิบาทให้ได้ผลมากและสมบูรณ์มากกว่าคนทั่วไป.                                                 ---------------------------------------       
                                                       
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 29, 2012, 08:53:33 am โดย เสกสรรค์ »
บันทึกการเข้า