สมาธิชาวบ้าน : นิวรณ์ในฌานในการเข้าฌานนั้น ถ้าจิตมันเข้าสู่สภาวะฌานได้ นิวรณ์ต่างๆ ทั้งทางกายทางจิตมันก็ครอบงำจิตเราไม่ได้อยู่แล้ว ที่นิวรณ์ต่างๆ มันครอบงำจิตเราได้ เพราะว่าจิตเรายังไม่เดินเข้าสู่สภาวะฌานสมาธิอย่างแท้จริง พอเราปฏิบัติอบรมจิตไปจนจิตมันได้สภาวะฌานสมาธิแล้ว นิวรณ์มันจะครอบงำอะไรเราไม่ได้เลย แม้จะออกจากสมาธิแล้วก็ตาม ปัญญาส่วนที่มันเคยเข้าฌานมา มันก็จะสามารถสยบนิวรณ์อย่างหยาบๆ ได้ง่ายๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในฌานก็ตาม
แต่ปัญญาที่มันเคยเข้าไปถึงมันจะมีปัญญาแจ้งที่ติดออกมาด้วย ทำให้เมื่อเกิดนิวรณ์อย่างหยาบๆ นั้น มันสามารถใช้ปัญญาสกัดกั้นนิวรณ์พวกนั้นได้ แต่ถ้าอยู่ในฌานซึ่งเป็นการอบรมจิตล้วนๆ แล้วนิวรณ์มันเข้าไม่ได้ เพราะตัวตนมันหายหมด ลมหายใจไม่ปรากฏ พวกนิวรณ์ หรืออาการต่างๆ ทางกายมันก็เลยหายหมดไปด้วย
ถ้าเราไม่ได้ฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาอบรมจิต สิ่งที่เราเข้าใจได้ก็จะเป็นแค่ความคิดเท่านั้นไม่มีนิมิตหรือปัญญาที่เป็นของจริงอยู่เลย เช่น เราปฏิบัติถ้าไม่ถึงระดับฌานสมาธิ เราก็จะได้แค่นั่งคิดธรรมะเอา เช่น ปฏิบัติไปเกิดความว่างขึ้น แค่ระดับว่างๆ เฉยๆ ยังไม่ถึงฌานก็อาจจะเจอสภาวะต่างๆ ที่เข้ามากวนใจได้ เช่น จากนิวรณ์บ้าง หรือจากสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิตบ้าง เพราะความว่างนั้นยังไม่ถึงฌานสมาธิ
เราจึงได้แต่ใช้ความคิดนั้นนั่งคิดธรรมไปเรื่อยๆ เคยอ่านเคยฟังสิ่งใดมาก็นำมานั่งคิด จะต่อยอดความคิดไปแบบไหน ยังไงก็ตามมันก็เป็นแค่ความคิด ถึงแม้ธรรมที่เคยได้ยินได้ฟังมาเราจะวิเคราะห์ธรรมะเหล่านั้น จะต่อยอดจินตนาการความคิดจนฟังดูลึกซึ้งแค่ไหนก็ตาม มันก็ยังเป็นแค่ความคิดยังไม่ใช่ปัญญาแท้จริง
@@@@@@
ความลับของจิตนี้มันซับซ้อนเกินกว่าความคิดหรือสมมุติบัญญัติใดๆ จะมาอธิบายมันได้ครบถ้วน จนกว่าจะหยุดคิดได้เมื่อไรจิตมันถึงรู้ ความคิดจึงไม่ใช่รู้ รู้จึงไม่ใช่คิด อาการรู้นั้นเป็นอาการที่เกิดความเข้าใจโดยไม่มีกรอบของสมมุติบัญญัติครอบเป็นอัตตาเราอยู่ เช่น เราเคยเรียนรู้อะไรมาตั้งแต่เด็กจนโตมันก็สะสมเป็นความคิดเป็นประสบการณ์ต่างๆ ไว้ หากเรายังคิดอยู่ จะคิดเท่าไรมันก็ไม่พ้นอำนาจจากกรอบของสิ่งที่ครอบเราอยู่ และสิ่งที่เรายึดมันเป็นมาตรฐานต่างๆ เป็นความผิดชอบชั่วดี ที่ถูกปรุงแต่งโดยสมมุติบัญญัติ
ความคิดที่มันเกิดขึ้นจากกรอบของอัตตามันจึงไม่พ้นไปจากกรอบของสมมุติบัญญัติได้ ต่อให้มันต่อยอดลึกซึ้งแค่ไหนมันก็ไม่ใช่รู้แจ้งแท้จริง จนกว่าจิตเราจะเลยจากกรอบนี้ไปได้มันถึงจะรู้แจ้งแทงตลอด รู้แบบไม่มีกรอบมันแจ้งโลกแจ้งธรรม ซึ่งจะไม่เหมือนที่เราได้เรียนได้ยินมา
บางคนภาวนาไปจนถึงขั้นรู้นี้ แต่มันจะไม่ได้รู้ทันทีหรอก คือภาวนาไปจนสิ้นสุดของความคิดไปแล้ว บางครั้งมันก็ไม่มีอะไรให้มันรู้ เรียกว่ามันรู้ว่าง ถึงแม้จะว่าง แต่มันก็เป็นอาการรู้ แต่ไม่ใช่คิดนะ เพียงแต่รู้นั้นมันไม่มีอะไรให้มันรู้เท่านั้นเอง มีโอกาสก็ปฏิบัติไปเถอะ พอจิตมันพร้อมแล้ว มันรู้เอง ไม่ต้องไปกังวลว่ามันจะไม่รู้อะไร ยิ่งมีครูบาอาจารย์แนะนำให้มันไม่ว่างหรอก พอมันถึงความพร้อมแล้วมันจะรู้เอง เป็นปัญญาผุดที่มันจะอ๋อขึ้นมาเอง
@@@@@@
ปัญญารู้เองแบบนี้ไม่ใช่มีเฉพาะคนไทยที่จะรู้ได้แบบนี้เท่านั้นนะ ประเทศต่างๆ ศาสนาต่างๆ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ยุโรป เมื่อหมดสภาวะของความคิดแล้วมันก็รู้ได้เองแบบนี้ได้หมด อาการรู้จากการที่เขาปฏิบัตินั้นก็คืออาการรู้ธรรมเหมือนกันนี่แหละ เรื่องของจิตจึงเป็นเรื่องสากลที่ไม่ได้แบ่งแยกตามชาติหรือศาสนา ใครสามารถรู้ธรรมได้เหมือนกันทั้งนั้น ใครที่ฝึกจิตอบรมใจเป็นอย่างดีก็สามารถที่จะพ้นอำนาจของความคิดได้ มันก็จะรู้แจ้งแทงตลอดได้ทั้งหมด
การอบรมจิตของแต่ละชาติ ศาสนา อาจจะมีวิธีการแตกต่างกันไปบ้าง แม้แต่ศาสนาพุทธเรายังแบ่งเป็นกรรมฐาน 40 วิธี แต่พอสามารถอบรมจิตได้เป็นสมาธิแล้ว ไม่ว่าชนชาติใด เมื่อพ้นอำนาจความคิดแล้วก็สามารถรู้ธรรมได้เหมือนกันหมด เพียงแต่จะไปจับส่วนไหนขึ้นมาเท่านั้นเอง ธรรมในโลกนี้มันมีเยอะนะ ธรรมมันอยู่รอบตัวเรา หากได้ฝึกจิตจนเข้าถึงสภาวะนี้ได้จะเห็นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นธรรมะทั้งสิ้น.
คอลัมน์ สมาธิชาวบ้าน โดย "อ.บูรพา ผดุงไทย"
ขอบคุณที่มา :
https://www.ryt9.com/s/tpd/297135024 มีนาคม พ.ศ. 2562 , หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
สามารถติดตาม อ.บูรพา ได้ที่ช่อง Youtube "burapa84000" หรือ search หา "อ.บูรพา ผดุงไทย"