ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การระลึกชาติ แบบ ฟิสิกส์ใหม่  (อ่าน 3704 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28450
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
การระลึกชาติ แบบ ฟิสิกส์ใหม่
« เมื่อ: กันยายน 13, 2010, 11:27:09 am »
0
การระลึกชาติ แบบ ฟิสิกส์ใหม่

CERN's Large Hadron Collider

การระลึกชาติได้เป็นวิชาที่สำคัญมากของศาสนาพุทธเถรวาท หลักฐานก็คือ วิชชา 3 ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงระลึกชาติของพระองค์ได้ก่อนเป็นอันดับแรก ต่อจากนั้นก็ระลึกชาติของบุคคลอื่นๆ เมื่อทรงผ่านวิชชา 2 วิชชานี้ไปแล้ว พระองค์ก็จะทรงเบื่อหน่ายการเกิดเป็นกำลัง จึงสามารถทำวิชชาที่ 3 คือ อาสวักขยญาณได้ จึงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได้


วิชชา 3 ของพระพุทธเจ้าถูกละเลยไป แทบจะไม่ได้รับการกล่าวถึงโดยพุทธวิชาการในระยะ 150 ปีที่ผ่านมา พุทธวิชาการเหล่านั้นหันไปชูหัวข้อธรรมะอื่นๆ เช่น “อนัตตา” หรือ “กาลามสูตร” เป็นต้น สาเหตุก็เพราะพุทธวิชาการเหล่านั้น หันไปสมาทานวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนว่าเป็นความจริง (truth) มากกว่าศาสนาพุทธ

วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเชื่อว่า มนุษย์เกิดมาเพียงชาติเดียวเท่านั้น ใจ/จิต/วิญญาณไม่มี สิ่งที่ศาสนาพุทธยืนยันว่าเป็นใจ/จิต/วิญญาณนั้น นักวิทยาศาสตร์เก่าเห็นว่าเป็นปฏิกิริยาทางเคมีของสมองเท่านั้น พุทธวิชาการก็เชื่อตาม จึงไม่เต็มใจหรือไม่กล้าที่จะเขียนถึง “หัวใจหลัก” หรือวิชชา 3 ซึ่งอธิบายถึงการระลึกชาติของศาสนาพุทธ

แต่ ในปัจจุบันนี้ นักฟิสิกส์ใหม่เชื่อว่า ถ้าสามารถสร้างยานพาหนะที่มีความเร็วใกล้ๆ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ซึ่งก็คือ ความเร็วของแสง มนุษย์สามารถจะเข้าไปในอดีตได้โดยกายเนื้อของเราทีเดียว

แนวความคิดดังกล่าวนั้น นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเห็นว่า “เป็นไปไม่ได้” ซึ่งในประเด็นนี้ ผมเองก็เห็นด้วยกับนักวิทยาศาสตร์เก่า เพราะ การที่จะกลับไปในอดีตด้วยกายเนื้อนี่ มันขัดกับหลักของศาสนาพุทธ

อย่างไรก็ดี การคิดทบทวนไปมาในประเด็นที่ขัดแย้งกันระหว่างวิทยาศาสตร์เก่ากับฟิสิกส์ ใหม่ในประเด็นการเข้าไปในอดีต ทำให้ผมเห็นว่า ถ้าสามารถสร้างยานพาหนะที่มีความเร็วใกล้แสงได้จริงๆ นักฟิสิกส์ใหม่ก็สามารถจะเห็นอดีตได้หรือระลึกชาติได้นั่นเอง

ถ้าเราทำให้ปู่ตายโดยบังเอิญ เราจะได้เกิดหรือไม่

ข้อความที่ว่า “ถ้าเราทำให้ปู่ตายโดยบังเอิญ เราจะได้เกิดหรือไม่” เป็นความกังวลของนักฟิสิกส์ใหม่ ในกรณีที่สามารถเข้าไปในอดีตได้ และในกรณีใดๆ ก็ตาม ไปทำให้ปู่ของตนเองตาย มันก็จะเกิดข้อขัดแย้ง (Paradox) กับสภาพความเป็นจริงที่ว่า ตนเองเกิดมาแล้ว มีตัวมีตนแล้ว แต่ดันทะลึ่งไปเที่ยวในอดีต แล้วทำให้ปู่ตาย เมื่อปู่ตาย พ่อก็จะเกิดมาไม่ได้ เมื่อพ่อไม่ได้เกิด ตัวเราเองจะเกิดมาได้อย่างไร


ความ คิดในย่อหน้าที่ผ่านมานั้น น่าจะเป็นความคิดของคนที่สติแตกไปแล้ว ในมุมมองของคนหลายๆ คน แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับเป็นความคิดของนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดของโลกในปัจจุบัน ที่เห็นสอดคล้องกันด้วย และมีเป็นจำนวนมากด้วย ไม่ใช่เพียงคนสองคน

มีนักข่าวไปสัมภาษณ์ ดร. มิชิโอะ คากุ ว่า “มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่คนเราจะสามารถเข้าไปในอดีตได้ ” เจ้าของคำถามนั้น หมายถึงว่า เข้าไปในอดีตได้ด้วยกายเนื้อ โดยใช้ยานพาหนะเข้าไป ไม่ใช่ใช้วิธีระลึกชาติแบบศาสนาพุทธ

ดร. มิชิโอะ คากุ เป็นชาวญี่ปุ่น เป็นนักฟิสิกส์ใหม่ เชี่ยวชาญมากในเรื่องควอนตัมฟิสิกส์ ทฤษฎีสตริง (String theory) จากคำถามดังกล่าว ดร. มิชิโอะ คากุ ตอบว่า “ด้วยความรู้ของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ไม่สามารถบอกได้ว่า ความคิดเช่นนั้นผิด” อธิบายให้ง่ายๆ หน่อยก็ว่า การเข้าไปในอดีตทั้งกายเนื้อนั้น เป็นไปได้ ในมุมมองของนักฟิสิกส์ใหม่


จูเลียส ซีซาร์ต้องตายอีกแบบนับครั้งไม่ถ้วน

ประเด็น ที่ว่า เราสามารถเข้าไปในอดีตได้ ด้วยกายเนื้อนี่ ถ้ามียานพาหนะที่มีความเร็วสูงๆ ใกล้กับความเร็วแสง และนักฟิสิกส์เห็นว่าเป็นไปได้ ซึ่งขณะนี้ก็มีนักฟิสิกส์ใหม่พยายามสร้างเครื่องที่ว่าอยู่นั้น นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอน ยืนยันแบบหัวชนฝาเลยว่า “เป็นไปไม่ได้”

อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนไม่มีข้อโต้แย้งอย่างเป็นวิชาการ เพราะ องค์ความรู้ส่วนใหญ่ของตนเอง ถูกฟิสิกส์ “อัด” ซะเดี้ยงไปหมดทุกอย่าง ก็เลยเถียงแบบข้างๆ คูๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีคนต้องการดูบรูตัสแทงจูเลียส ซีซาร์ จูเลียส ซีซาร์ก็ต้องมาตายอีกหลายครั้งหลายหน ตามความต้องการของคนดู อย่างนั้นซิ”

จะเห็นว่า ข้อโต้แย้งของนักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนไม่ได้เป็นไปตามหลักวิชาการเลย

อันที่จริงก็น่าสงสารนักวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเหมือนกัน เพราะ ไม่รู้ว่าจะเอาหลักวิชาการอันไหนไปโต้แย้ง เนื่องจาก วิชาการของนักฟิสิกส์ใหม่มันก้าวหน้าไปกว่าวิชาการของนักวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอนอย่างไม่เห็นหน้าเห็นหลัง

วิชชา 3 เครื่องมือเข้าไปในอดีตของพุทธศาสนา

หลัก การในของศาสนาพุทธเรา เราสามารถเข้าไปรู้ไปเห็นในอดีตที่ผ่านมาได้ และเป็นหลักการสำคัญเสียด้วย เพราะ ถ้าระลึกชาติไม่ได้ ก็ไม่สามารถจะบรรลุพระอรหันต์ได้

การระลึกชาตินั้น ต้องทำตามวิชชา 3 คือ

1) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
คือ การระลึกชาติของตนเอง การระลึกชาตินี้ ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูก็สามารถทำได้ แต่มีข้อจำกัดคือ ระลึกไปได้ไม่กี่ชาติ ถ้าเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธองค์ทรงสามารถระลึกชาติได้ไม่จำกัด

2) จุตูปปาตญาณ
คือการระลึกชาติของคนอื่น

3) อาสวักขยญาณ
พอผ่าน 2 วิชชาแรกไปแล้ว จึงสามารถทำวิชชาที่ 3 ได้ ผลก็ทำให้กิเลสหมดสิ้นไป จึงบรรลุพระอรหันต์ได้


ตรงนี้ขอย้ำอีกสักหน่อยว่า การโฆษณาชวนเชื่อที่เกินจริงของสายพอง-ยุบกับสายนาม-รูปที่ว่า การปฏิบัติธรรมแบบของตนเองเป็นวิปัสสนา และเป็นหนทางเดียวที่จะบรรลุพระอรหันต์ได้นั้น “ไม่จริง”

ทั้ง สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานต่างก็เป็นพื้นฐานของให้วิชชา 3 ทั้งสิ้น และการปฏิบัติธรรมสายพอง-ยุบกับสายนาม-รูปก็ไม่ได้เป็นวิปัสสนา/เห็นแจ้ง เพราะ ทั้ง 2 สายนั้นปฏิบัติได้เพียงบางส่วนของสติปัฏฐาน 4 ซึ่งเป็นอนุปัสสนา/ตามเห็นเท่านั้น

จะ เห็นได้ว่า ในขณะที่นักฟิสิกส์พยายามสร้างเครื่องมือกันขนานใหญ่ แล้วก็ไม่รู้ว่าอีกกี่พันปีจะสร้างสำเร็จ หรืออาจจะไม่สำเร็จเลยก็เป็นได้ ศาสนาพุทธสามารถทำได้มาได้ตั้งนานแล้ว ถ้านับเอาศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเข้าไปด้วย ก็จะพบว่า พื้นที่ที่เป็นอินเดียและเนปาลในปัจจุบัน มีคนสามารถเข้าไปในอดีตได้มานานแล้ว แต่เข้าไปด้วยกายละเอียด ไม่ใช่กายเนื้อแบบฟิสิกส์ใหม่
 

ระลึกชาติแบบฟิสิกส์ใหม่ทำยังไง

ใน กรณีที่นักฟิสิกส์ใหม่สามารถสร้างยานพาหนะที่มีความเร็วใกล้ความเร็วของแสง ได้จริงๆ นักฟิสิกส์ใหม่เชื่อว่า ด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Relative theory) ของไอน์สไตน์ (Einstein) จะทำให้พวกตนเข้าไปในอดีตได้นั้น ผมเห็นสอดคล้องกับนักวิทยาศาสตร์เก่าว่า ทำไม่ได้อย่างเด็ดขาด แต่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน

ในขณะที่ นักวิทยาศาสตร์โต้แย้งอย่างไม่มีหลักวิชาการ สำหรับผมเองโต้แย้งโดยหลักการจากทางศาสนาพุทธว่า เราสามารถเข้าไปในอดีตได้ด้วยการปฏิบัติธรรม โดยจะมีลักษณะคล้ายๆ กับการดูภาพยนตร์ เราไม่มีทางที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วได้

บุคคลต่างๆ ตัวละครต่างๆ ต่างก็เป็นอนิจจัง/ทุกขัง/อนัตตากลายสภาพเป็นอย่างอื่นไปหมดแล้ว

สำหรับในกรณีที่นักฟิสิกส์ใหม่อย่างจะเห็นอดีตจริงๆ ก็ต้องขับยานออกไปจากโลก แล้วใช้กล้องส่องดูหรือบันทึกเหตุการณ์ไว้เท่านั้น ขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้

ในทุกๆวัน ถ้าเรามองเห็นดวงอาทิตย์พึงระลึกไว้ว่า ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน แต่เป็นดวงอาทิตย์ในอดีตที่ 8 นาทีกว่านิดๆมาแล้ว เพราะ แสงของดวงอาทิตย์เดินทางมาถึงโลกประมาณ 8 นาทีกว่านิดๆ


ในกรณีที่นักดาราศาสตร์เห็นการระเบิดของซูเปอร์โนวา (Super nova) ก็ไม่ใช่การระเบิดในปัจจุบันนี้ แต่อาจจะเป็นการระเบิดเมื่อหลายพันล้านปีแสงมาแล้วก็ได้ ซึ่งระยะทางที่ว่านี้ เกินจินตนาการของมนุษย์ว่า มันจะยาวนานขนาดไหนเลยทีเดียว

จากหลักการดังกล่าว ถ้าอยากจะเห็นเหตุการณ์ที่คุณบรูตัสแทงคุณจูเลียส ซีซาร์ก็ต้องขับยานพาหนะที่ว่า ออกไปในระยะที่สามารถส่องกล้องมาดูเหตุการณ์ในสมัยกรีกช่วงนั้นได้ ซึ่งจะห่างเป็นระยะทางเท่าใดนั้น ขอให้เป็นภาระของนักฟิสิกส์ใหม่ก็แล้วกัน ผมมิอาจเอื้อมไปคำนวณแทนท่านได้ ไม่ใช่ เพียงแค่นั้น ถ้าอยากจะดูเหตุการณ์ที่โลกเกิดขึ้นมา ก็ยังทำได้เลย ก็เพียงขับยานพาหนะที่ว่า ให้ห่างจากโลกประมาณ 5000 ล้านปี เมื่อส่องกล้องมาดู ก็จะเห็นการเกิดของโลกได้

หลักการดังกล่าวนั้น เมื่อผมนำไปขยายความให้คุณมอมแมม เพื่อนของผมฟัง คุณมอมแมมถามเชิงปรัชญาขึ้นมาว่า “แล้วจะใช้จะใช้กล้องแบบไหน”

จะเอากล้องแบบไหนบันทึกเหตุการณ์

ด้วย ความอับสนจนปัญญาที่จะตอบคำถามอันลึกซึ้งของคุณมอมแมม ผมก็ตอบไปว่า “ถ้านักฟิสิกส์ใหม่ เขาสามารถสร้างยานที่มีความเร็วสูงจนเท่าเกือบๆ ความเร็วแสงได้ ไม่ต้องไปห่วงเรื่องกล้องหรอก นักฟิสิกส์ใหม่ เขาต้องทำได้แน่ๆ”

สำหรับผมเองนั้น ขอทำนายไว้ล่วงหน้าเลยว่า ต่อไปการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะต้องมีเครื่องมือที่สามารถบันทึกเป็น 3 มิติได้ อาจจะใช้หลักการของทฤษฎีอะไรก็ตาม และเมื่อจะนำมาฉายให้ดู ก็สามารถฉายเป็นภาพ 3 มิติให้เห็นกันจะๆ โดยไม่ต้องใช้จอแบบปัจจุบันนี้ก็แล้วกัน


สรุป

เมื่อพิจารณาหลักทฤษฎีของฟิสิกส์ใหม่ จะเห็นว่า นักฟิสิกส์ใหม่สามารถจะเข้าไปในอดีตได้ แต่ไม่ใช่ในลักษณะที่นักฟิสิกส์คิดอยู่ในปัจจุบันนี้ กล่าวคือ จะเอากายเนื้อเข้าไปในอดีต แต่จะทำได้ในลักษณะที่ว่า ขับยานพาหนะที่มีความเร็วใกล้แสงออกไปจากโลก ให้มีระยะทางที่จะเห็นเหตุการณ์ในช่วงระยะเวลาที่ต้องการรู้ต้องการเห็น

ความคิดที่จะเข้าไปในอดีตซึ่งเป็นความรู้ใหม่ที่ยังทำไม่ได้ของนักฟิสิกส์ใหม่ นั้น บุคคลในยุคสองพันกว่าปีมาแล้ว ในเขตประเทศอินเดียและเนปาลในปัจจุบันสามารถทำได้มานมนานแล้ว และก็ยังเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุดด้วย อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาที่ว่า “ถ้าเราทำให้ปู่ตายโดยบังเอิญ เราจะได้เกิดหรือไม่”

ที่มา  www.wisdominside.org
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ