ในบทว่า ปีติสุขํ นี้ ชื่อว่าปีติ เพราะอรรถว่าอิ่มใจ, ปีตินั้นมีลักษณะดื่มด่ำ.
ก็ปีตินี้นั้นมี ๕ อย่างคือ ขุททกาปีติ ปีติเล็กน้อย ๑ ขณิกาปีติ ปีติชั่วขณะ ๑, โอกกันติกาปีติ ปีติเป็นระลอก ๑, อุพเพงคาปีติ ปีติโลดลอย ๑. ผรณาปีติ ปีติซาบซ่าน ๑,
บรรดาปีติ ๕ อย่างนั้น ขุททกาปีติอาจทำพอให้ขนชูชันในสรีระทีเดียว, ขณิกาปีติย่อมเป็นเช่นกับฟ้าแลบ เป็นขณะๆ, โอกกันติกาปีติให้รู้สึกซู่ลงมาๆ ในกาย ดุจคลื่นซัดฝั่งทะเล. อุพเพงคาปีติเป็นปีติมีกำลัง ทำกายให้ลอยขึ้นโลดไปในอากาศหาประมาณไม่ได้, ผรณาปีติเป็นปีติมีกำลังยิ่ง ก็เมื่อผรณาปีตินั้นเกิดขึ้นแล้ว สรีระทั้งสิ้นจะรู้สึกเย็นซาบซ่าน ดุจเต็มไปด้วยเม็ดฝน และดุจเวิ้งเขาที่ห้วงน้ำใหญ่ไหลบ่ามาฉะนั้น.
ก็ปีติทั้ง ๕ อย่างนี้เมื่อถือเอาห้องถึงความแก่กล้า ย่อมยังปัสสัทธิทั้งสองคือกายปัสสัทธิและจิตตปัสสัทธิให้บริบูรณ์.
ปัสสัทธิเมื่อถือเอาห้องถึงความแก่กล้า ย่อมยังสุขทั้ง ๒ คือ สุขทั้งทางกายและสุขทางใจให้บริบูรณ์.
สุขเมื่อถือเอาห้องถึงความแก่กล้า ย่อมยังสมาธิ ๓ อย่างคือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิให้บริบูรณ์.
บรรดาปีติเหล่านั้น ผรณาปีติที่เป็นมูลแห่งอัปปนาสมาธิ เมื่อเจริญถึงความประกอบด้วยสมาธิ นี้ท่านประสงค์เอาว่า ปีติ ในอรรถนี้.
ก็อีกบทหนึ่ง ชื่อว่าสุข เพราะอรรถว่าสบาย. อธิบายว่า เกิดขึ้นแก่คนใด ย่อมทำคนนั้นให้ถึงความสบาย.
อีกอย่างหนึ่ง ความสบายชื่อว่าสุข ธรรมชาติใดย่อมกลืนกินและขุดออกเสียได้โดยง่าย ซึ่งอาพาธทางกายทางใจ ฉะนั้นธรรมชาตินั้นชื่อว่าสุข. คำนี้เป็นชื่อของโสมนัสสเวทนา สุขนั้นมีลักษณะสำราญ.
ปีติและสุขเหล่านั้นเมื่อไม่แยกกันในอารมณ์อะไรๆ ความยินดีด้วยการได้เฉพาะอารมณ์ที่น่าปรารถนา ชื่อว่าปีติ. ความเสวยรสแห่งอารมณ์ที่ได้เฉพาะแล้ว ชื่อว่าสุข. ที่ใดมีปีติที่นั้นมีสุข ที่ใดมีสุขที่นั้นมีปีติโดยไม่แน่นอน.
ปีติสงเคราะห์เข้าในสังขารขันธ์ สุขสงเคราะห์เข้าในเวทนาขันธ์. คนที่ลำบากในทางกันดาร ปีติเหมือนเมื่อเห็น หรือได้ฟังป่าไม้และน้ำ, สุขเหมือนเมื่อเข้าไปสู่ร่มเงาของป่าไม้และบริโภคน้ำ ก็บทนี้พึงทราบว่ากล่าวไว้ เพราะภาวะที่ปรากฏในสมัยนั้นๆ.
ฌานนี้ท่านกล่าวว่า ปีติสุข เพราะอรรถว่าปีตินี้ด้วย สุขนี้ด้วยมีอยู่แก่ฌานนี้ หรือในฌานนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ปีติด้วย สุขด้วย ชื่อว่าปีติและสุข ดุจธรรมและวินัยเป็นต้น.
ชื่อว่ามีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอย่างนี้ เพราะอรรถว่าปีติและสุขเกิดแต่วิเวก มีอยู่แก่ฌานนี้ หรือในฌานนี้ ก็ฌานฉันใด ปีติและสุขก็ฉันนั้นย่อมเกิดแต่วิเวกทั้งนั้น ในที่นี้.
ก็ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกนั้นมีอยู่แก่ฌานนี้ เพราะเหตุดังนี้นั้น แม้จะกล่าวว่า วิเวกชํ ปีติสุขํ รวมเป็นบทเดียวกันทีเดียว ย่อโดยไม่ลบวิภัตติ ก็ควร.
บทว่า ปฐมํ ความว่า ชื่อว่าที่ ๑ เพราะเป็นลำดับแห่งการนับชื่อว่าที่ ๑ เพราะอรรถว่า ฌานนี้เกิดขึ้นเป็นที่ ๑ ก็มี.
บทว่า ฌานํ ได้แก่ ฌาน ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิชฌานและลักขณูปนิชฌาน.
ในฌาน ๒ อย่างนั้น สมาบัติ ๘ ถึงการนับว่า อารัมมณูปนิชฌาน เพราะอรรถว่าเข้าไปเพ่งอารมณ์มีปฐวีกสิณเป็นต้น. ก็วิปัสสนา มรรค ผล ชื่อว่าลักขณูปนิชฌาน.
ในวิปัสสนา มรรคผลเหล่านั้น วิปัสสนาชื่อว่าลักขณูปนิชฌาน เพราะเข้าไปเพ่งอนิจจลักษณะเป็นต้น, มรรคชื่อว่าลักขณูปนิชฌาน เพราะกิจที่ทำด้วยวิปัสสนา สำเร็จด้วยมรรค, ส่วนผลชื่อว่าลักขณูปนิชฌาน เพราะอรรถว่าเข้าไปเพ่งนิโรธสัจจะ ซึ่งเป็นลักษณะแท้.
ในฌาน ๒ อย่างนั้น ในที่นี้ ท่านประสงค์อารัมมณูปนิชฌาน ในกาลเป็นส่วนเบื้องต้นประสงค์ลักขณูปนิชฌาน ในขณะแห่งโลกุตตรมรรค เพราะฉะนั้นพึงทราบว่า ฌาน เพราะเข้าไปเพ่งอารมณ์ด้วย, เพราะเข้าไปเพ่งลักษณะด้วย, เพราะเผาข้าศึกคือกิเลสด้วย.
อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัฏฐกวัคคิกะ
๒. คุหัฏฐกสุตตนิทเทส