ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - ดนัย
หน้า: 1 [2] 3
41  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: สมาธิสูตร อีกสูตร หนึ่ง ที่ชี้ให้เราวิธีการเห็นตามความเป็นจริง เมื่อ: สิงหาคม 07, 2015, 10:49:06 pm
  st11 st12 st12
 :25: :25: :25:
42  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: แชร์ว่อนตะเคียนแตกยอดเป็นพระปางสมาธิ!! เขาป่าช้าเก่า ชาวบ้านแห่สักการะ เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 09:13:53 pm
 like1
43  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ความรู้ ความเข้าใจเรื่องจิตกับใจ สนับสนุนการเจริญพระกรรมฐาน เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 06:37:06 pm
                   


          พระพุทธเจ้าท่านแสดงว่า

         “บุญ กุศลกรรม และบาป อกุศลกรรม ของสองอย่างนี้ แม้เราอยากได้หรือไม่อยากได้ก็ตาม เมื่อเราได้กระทำอะไรลงไปแล้ว ผลของการกระทำก็จะติดตามเราไป ไม่ว่าจะเป็นในนรกหรือบนสวรรค์ก็ตาม หรือภพไหนโลกไหนก็ตาม"

          คำว่า “เรา” ในที่นี้หมายถึงจิตแท้ใจเดิม ท่านจึงว่า “จิตใจ” นี้สำคัญมากทีเดียว

          แต่คนเราทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนสุขหรือคนทุกข์โดยส่วนมากแล้ว ก็จะมัวเมาอยู่กับผลกรรมเก่าที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบัน คือบรรดาลาภยศ ทรัพย์สมบัติ เป็นต้น พวกเราไม่ยอมคิดถึงเหตุที่มาของสิ่งเหล่านี้ ว่าสิ่งเหล่านี้มาได้อย่างไร?

          คำว่าผลกรรมนี้ เปรียบเทียบได้กับผลไม้ บรรดาผลไม้เหล่านั้นถ้าไม่มีต้นเสียแล้ว ก็จะไม่สามารถมีผลออกมาได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ผลกรรมต่าง ๆ ก็จะต้องมีสาเหตุถึงได้มีผลกรรมออกมาให้เราท่านได้เสวยกันอยู่

          ถ้าเรามัวแต่ยึดถือในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ไม่ยอมใช้ปัญญาพิจารณาในเหตุผลแล้ว ต่อไปเมื่อผลกรรมเก่าที่เรามัวแต่กินหมดไปแล้วเราจะเอาอะไรเหลืออยู่อีก? จุดนี้ก็ให้เป็นคติอีกอย่างหนึ่ง

          ธรรมที่นำมาแสดงนี้ ก็มีเจตนาจะพูดเรื่องจิตกับใจเป็นหลักเพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้นำไปคิด และเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป เอวัง.
44  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ความรู้ ความเข้าใจเรื่องจิตกับใจ สนับสนุนการเจริญพระกรรมฐาน เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 06:35:05 pm
                   

          ธรรมดาแล้วจิตของคนเรา จะชอบยึดถือในสมบัติวัตถุต่าง ๆ ดังนั้นจึงจะให้ข้อคิดกับบรรดาผู้ที่ชอบยึดถือในสมบัติ เพื่อให้เป็นคดีไปพิจารณาดู

          คำว่า อุปาทาน ที่แปลว่ายึดถือ

          เมื่อเราถือว่าเป็นเราแล้ว ก็จะต้องถือว่าเป็นเขาด้วย อันนี้ท่านเรียกว่า สักกายทิฏฐิ

          ที่เรายึดในสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเราเป็นเขาทรัย์สมบัติ สามีภรรยา ฯลฯ นั้น เราลองพิจารณาดูว่าเราจะได้เป็นเจ้าของในสิ่งเหล่านั้นจริงหรือไม่?

          แต่สำหรับพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านปฏิเสธ ท่านว่า “โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีสมบัติอะไรเป็นของ ๆ ตน”

          หรืออย่างที่ท่านอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ท่านกล่าวว่า “สมบัติของโลก ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา มีแต่ความตายหนีจาก” คือไม่มีใครที่สามารถจะเอาสมบัติต่าง ๆ ไปได้ เมื่อเราตายไปแล้ว

          นี่แหละบรรดาสิ่งสมมุติที่เราไปยึดถือว่าเป็นสิทธิ์ของเรานั้น ก็จะได้เพียงชีวิตหนึ่ง ๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสามี ภรรยา หรือสมบัติต่าง ๆ เมื่อเราตายไปแล้ว เราจะยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์ของเราอีกไม่ได้ เราจะเอาสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นติดตามไปสวรรค์ นรกหรือที่ไหน ๆ ก็ไม่ได้ ตรงกับคำที่ว่า “สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก”
45  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ความรู้ ความเข้าใจเรื่องจิตกับใจ สนับสนุนการเจริญพระกรรมฐาน เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 06:31:01 pm
                         


          คนเราจะดีได้นั้นก็เพราะจิตใจเราพาดี หรือคนเราจะชั่วก็เพราะจิตใจพาชั่ว

          ถ้าจิตใจเป็นบุญเป็นกุศลแล้ว บุคคลนั้นก็จะเป็นบุญกุศล

          ถ้าจิตใจเป็นบาปอกุศลแล้ว บุคคลนั้นก็จะเป็นบาปอกุศล

           เมื่อชายหรือหญิงที่เกิดมาแล้ว จะมีรูปลักษณะหรือความเป็นอยู่อย่างไร จิตก็จะต้องมีลักษณะอย่างนั้นมาก่อน เช่นคนที่มั่งมีทรัพย์สมบัติในชาติปัจจุบัน ก็แสดงว่าจิตนั้นมั่งมีมาก่อน

          คำว่า “จิตมั่งมี” หมายความว่า จิตมีบุญมีกุศล มีสติปัญญาดี อันเป็นคุณสมบัติของจิตใจ

          ท่านเจ้าคุณอุบาลีแสดงว่า “เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นจิตที่เป็นประธาน จิตที่ไม่ตายนี้แล้ว จะไปยึดถือว่าเป็นตนเป็นตัวก็ไม่ชอบ แต่จะถือว่าจิตดวงนั้นเป็นเพียงสังขารธรรมชาติ”
46  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ความรู้ ความเข้าใจเรื่องจิตกับใจ สนับสนุนการเจริญพระกรรมฐาน เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 05:56:37 pm
                         


     คำว่าจิตนี้แยกได้เป็น ๒ ประเภท

          ๑.   จิตแท้ใจเดิม เป็นจิตใจที่เป็นประธาน

          ๒.   จรณะจิต คือจิตที่เกิดจากจิตใจเดิม


     ๑.   จิตแท้ใจเดิม หรือจิตที่เป็นประธานนี้ ท่านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อมตธรรม” อมตธรรมนี้ เป็นธรรมที่ไม่ตาย จะต้องไปสร้างภพสร้างชาติอีกต่อไป

     ๒.   จรณะจิต คือ จิตที่เกิดจากจิตแท้ใจเดิม พระพุทธเจ้าท่านยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

          บางคนพูดว่า “ตายแล้วสูญ” เราลองมาพิจารณาดูว่าจะจริงเท็จอย่างไร?

          กล่าวคือพระพุทธเจ้าของเราท่านตรัสไว้ว่า “เราตถาคตใช้เวลาในการสร้างบารมีที่จะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ชาติแรกที่ปรารถนาพุทธภูมิ (ปรารถนาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า) จนกระทั้งชาติสุดท้ายที่เกิดเป็นสิทธัตถะกุมาร และในที่สุดก็ออกบวชจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมตามความปรารถนานั้น รวมเวลาที่ต้องเสวยชาติเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์ทั้งสิ้นสี่อสงไขยแสนมหากัปป์”

          เราท่านทั้งหมายจงพิจารณาดูว่า ในเวลาที่พระพุทธเจ้าสร้างบารมีถึงสี่อสงไขยแสนมหากัปป์นั้ ก็เป็นเวลาของจิตที่ไม่ตายหรือจิตแท้ใจเดิม หมุนเวียนไปเกิดตามสภาพต่าง ๆ กันนั่นเอง และในชาติที่พระองค์ตรัสรู้นั้น ก็เพราะจิตเดิมที่ปรารถนาพุทธภูมิในชาติแรกนั่นแหละที่มาตรัสรู้

          นี่ก็เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า จิตแท้ใจเดิมนั้นไม่สามารถตายไปได้ จะต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ จนกว่าเราท่านทั้งหลายจะสิ้นจากอาสวะกิเลส หรือเราจะพูดอีกย่างหนึ่งก็เรียกว่า “ตายแล้วไม่สูญ”
47  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ความรู้ ความเข้าใจเรื่องจิตกับใจ สนับสนุนการเจริญพระกรรมฐาน เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 05:48:42 pm
                                       



เรื่องจิตกับใจ


๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๐

จากหนังสือ อนุสรณ์ งานฉลองพิพิธภัณฑ์ หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ อ.เมือง จ.เลย       

          ในโอกาสต่อไปนี้ อาตมาจะได้แสดงพระธรรมเทศนา ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า สำหรับตัวอาตมาเองนั้น ก็ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนทางปริยัติเท่าใด แต่ก็คงจะพูดให้พวกพระเณรตลอดจนผู้ปฏิบัติเข้าใจได้ เพื่อนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป

          วันนี้จะขอพูดเกี่ยวกับเรื่องจิตกับใจ ซึ่งก็เป็นเรื่องเก่า ๆ ที่พูดมามากแล้ว แต่เป็นสิ่งสำคัญมากเกี่ยวกับจิตและใจนี้ ก็ขอให้พวกท่านจงสำรวมและตั้งใจฟัง

          มีปัญหาถามกันว่า คำว่า จิตกับใจนั้นต่างกันอย่างใด?

          ถ้าเราจะตอบว่าเป็นคนละอย่างก็ได้ หรือเราจะตอบว่าเป็นอันเดียวกันก็ได้เช่นกัน เพราะจิตและใจนี้เป็นของเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน

          คำว่า ใจ มาจากมะนะ แปลว่ารู้ คือเมื่อร้อนก็รู้ว่าร้อน หนาวก็รู้ว่าหนาว สุขหรือทุกข์ก็รู้ว่าสุขหรือทุกข์ ใจนี้แหละเป็นผู้ที่รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง

          คำว่า จิต แปลว่า นึกคิด คือนึกคิดไปตามสภาพต่าง ๆ เป็นอาการของใจ

          อะไรที่เป็นสิ่งที่นึกคิด?

          ถ้าไม่มีความ รู้ แล้วเราจะนึกคิดได้อย่างไร เช่น ตุ๊กตา เป็นต้น ถ้าไม่มีใจก็หมายความว่าไม่มีความ รู้ เมื่อไม่มีความ รู้ แล้วก็จะไม่มีอาการนึกคิด
48  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ความรู้ ความเข้าใจเรื่องจิตกับใจ สนับสนุนการเจริญพระกรรมฐาน เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 05:44:36 pm
                                             

          ผมเคยได้ยิน ได้ฟัง ได้ศึกษามาว่า การเจริญพระกรรมฐานนั้น จุดสำคัญคือเราต้องไปเห็น ไปแจ้ง ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เป็นเราคืออะไร อะไรที่เป็นเรา สิ่งไหนที่ไปเกิด ในภพชาติต่าง ๆ

          การเข้าไปเห็น ไปแจ้ง เกี่ยวกับตัวเรา นอกจากจะทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิสูงขึ้นแล้ว ยังสามารถทำให้เรารู้แจ้งพระธรรมของพระพุทธเจ้าด้วย

          ตามความเข้าใจของผม ผมว่าเรื่องจิตกับใจ น่าจะเกี่ยวข้องกับการเป็นตัวเรา
         
         อย่างที่หลวงปู่ดุลย์ อตุโล สอนไว้ว่า

          “จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
                    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
          จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
                    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ”

          ท่านใดมีความเห็น หรือธรรมะของครูอาจารย์องค์ไหน ที่พูดถึงจิตกับใจ ก็นำมาลงรวมกันไว้ได้นะครับ เพื่อเป็นธรรมทานกับนักปฏิบัติท่านอื่น ให้ศึกษาไว้ก่อนจะได้ทราบเป้าหมายของการภาวนา หรือการเจริญพระกรรมฐาน
         
          ในด้านสมาธิ ที่ผมศึกษามาครูอาจารย์ส่วนใหญ่ก็พูดตรงกันในส่วนขององค์ฌาน เช่น ฌาน ๑ มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เป็นต้น

          ในด้านคุณธรรม การเป็นพระอริยเจ้า ครูอาจารย์ก็พูดตรงกันเรื่องการละสังโยชน์ ๑๐


          ดังนั้นถ้าท่านใดเจริญสมาธิแล้วยังเข้าอัปปนาสมาธิไม่ได้ ก็ควรทำความเข้าในเรื่อง จิตกับใจ

         ท่านใดเจริญพระกรรมฐานเพื่อละสังโยชน์ ๑๐ ก็ยิ่งควรทำความเข้าใจว่าอะไรที่เป็นตัวเรา อะไรที่ไปเกิดในภพ ชาติ ต่าง ๆ อะไรที่ต้องทำให้บริสุทธิ์ปราศจากสังโยชน์ ๑๐



ขอบคุณภาพประกอบจาก : http://www.dhammada.net/2011/12/06/12467/
49  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / อานิสงส์การเจริญ พุทธานุสสติกรรมฐาน เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 01:02:56 pm
                                   


ผู้ถาม : “หลวงพ่อคะ การสร้างพระพุทธรูป กับการถวายปัจจัยอย่างไหนมีอานิสงส์ดีกว่าคะ...?”

หลวงพ่อ : การสร้างพระพุทธรูปจัดว่าเป็น พุทธบูชา ถ้าในเรื่องกรรมฐานจัดเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดา มีรัศมีกายสว่างไสวมาก ถ้าถวายปัจจัยถวายเป็นของสงฆ์ จัดว่าเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จัดเป็น จาคานุสสติกรรมฐาน เกิดมาชาติหน้าก็รวย
          การสร้างพระถวาย ด้วยอำนาจพุทธบูชาทำให้มีรัศมีกายมาก เป็นคนสวย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
          “พุทธบูชา มหาเตชะวันโต”
          “การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชอำนาจมาก”
          แต่ถ้ามีอำนาจแต่ขาดสตางค์ก็อดตายนะ  ใช่ไหม... แต่งตัวเป็นจอมพลแต่ไม่มีสตางค์ในกระเป๋า แย่นะ...
          อีกแบบหนึ่ง มีสตางค์มาก ๆ แต่ขาดอำนาจราชศักดิ์ก็โดนโจรปล้นอีก ฉะนั้นทำมันเสีย ๒ อย่างเลยดีไหม...?”


ผู้ถาม : “หลวงพ่อเจ้าคะ การสร้างพระพุทธรูป ทำด้วยโลหะกับทำด้วยปูน อย่างไหนจะดีกว่ากัน เจ้าคะ...?”

หลวงพ่อ : “ถ้าเป็นเจตนาของฉันนะ ชอบให้ทำด้วยปูนมากกว่าปั้นด้วยปูนแล้วก็ปิดทอง เพราะอะไรรู้ไหม...เพราะพระปูนไม่มีใครขโมย พระโลหะเผลอหน่อยเดียวคนตัดเศียรแล้วดีไม่ดีเอาไปทั้งองค์ ฉะนั้นปูนดีกว่า มีอานิสงส์เท่ากัน ราคาถูกกว่า ทนทานและรักษาง่ายกว่า”

หลวงพ่อ : “การสร้างพระพุทธรูปนี่เป็น พุทธบูชา เป็น พุทธานุสสติ ในกรรมฐาน ๔๐ กอง ท่านบอกว่ากำลัง พุทธานุสสติ เป็นเหตุให้ถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่ากองอื่น ก็เห็นจะจริง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่นิพพานนี่ และท่านก็เป็นต้นตระกูลของพระนิพพาน ใช่ไหม...ทีนี้ถ้าเราต้องการสร้างให้สวยตามที่เราชอบ เห็นแล้วก็ทำให้จิตใจสดชื่น จิตมันก็นึกถึงพระอยู่เสมอ ถ้าจิตนึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอยู่เสมอ ก็จัดเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าใจเราเกาะพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ตายแล้วลงนรกไม่เป็น ฉะนั้นถ้าหากโยมเห็นว่าพระที่ทำด้วยโลหะสวยกว่าชอบมากกว่า โยมก็สร้างแบบนั้น”



จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑ โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ. อุทัยธานี
50  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: คำแนะนำในการเลือกสายปฏิบัติธรรม สำหรับนักปฏิบัติใหม่ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2015, 10:39:33 pm
          ผมเปิดกระทู้นี้เพราะปรารถนาให้นักปฏิบัติใหม่ได้ทราบแนวทางการปฏิบัติธรรม จากความผิดพลาดของผม ไม่คิดอยากจะเป็นศิษย์สืบทอดพระกรรมฐานต่อจากพระอาจารย์ และขอประกาศว่าผมไม่ขอรับตำแหน่งศิษย์สืบทอดพระกรรมฐานไม่ว่าสายไหนก็ตาม เพราะผมไม่ชอบสอน ไม่ใช่นิสัยของผม และที่สำคัญผมยังปฏิบัติได้ไม่ถึงสะเก็ดความดีของท่านพระอาจารย์ ก็เลยคิดว่าไม่มีอะไรจะสอนด้วย ผมเชื่อว่าในบรรดาศิษย์ของพระอาจารย์มีคนปฏิบัติได้ดีกว่าผมอีกเยอะ ไม่จำเป็นที่ผมต้องทำหน้าที่นี้

          สมมติว่าพระอาจารย์ท่านเลิกสอนกรรมฐาน เลิกถ่ายทอดธรรมะ ผมก็ขอแค่มีส่วนช่วยรักษาธรรมะที่พระอาจารย์มีเมตตาเขียนลงในเว็บนี้เท่านั้น คงช่วยสนับสนุนคุณ ธวัชชัย กับ คุณ raponsan และทีมงานในการดูแลรักษาธรรมะที่พระอาจารย์ถ่ายทอดไว้ให้นานที่สุด จริง ๆ ผมก็ไม่อยากเขียนกระทู้ลงเว็บเท่าไร เพราะต้องใช้เวลาทำกิจอื่น แต่เพราะอาจารย์ท่านบอกให้มาช่วยงาน คุณ ธวัชชัย กับ คุณ raponsan เนื่องจากมีคนลงกระทู้น้อย ทีมงานไม่พอในช่วงนี้

          และท่านใดมีวิชาอาคม ไม่ต้องส่งมาลองผมนะครับ เสียเวลาเปล่า คุณส่งมาเมื่อไรผมก็ตายเมื่อนั้น เพราะผมไม่ได้มีคุณธรรมใด ๆ เลยที่จะป้องกันสิ่งที่คุณส่งมา

          ผมเองเคยมีประสบการณ์กับเครื่องรางของขลังมาบ้าง แต่พระอาจารย์สนธยา ท่านเป็นคนสอนเองว่าวิชาเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อพระนิพพาน อย่าไปหมกหมุ่นกับมันมาก ให้ตั้งใจภาวนาต่อไป แต่พระอาจารย์ท่านก็บอกว่าถึงวิชาเหล่านี้ไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพานแต่ก็มีประโยชน์ อยู่ที่เราใช้เพื่ออะไร
51  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: คำแนะนำในการเลือกสายปฏิบัติธรรม สำหรับนักปฏิบัติใหม่ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2015, 10:38:57 pm
รวมความว่าผมขอแนะนำผู้ปฏิบัติใหม่ดังนี้

๑.   คุณต้องถามตัวเองว่าคุณปรารถนาอะไร พุทธภูมิ หรือสาวกภูมิ พุทธภูมิคุณก็บำเพ็ญบารมีไป มีทานบารมีเป็นต้น แต่คุณควรทราบว่า คุณไม่มีสิทธิได้ มรรค ผล นิพพาน ส่วนสาวกภูมิ คุณก็เดินไปใน มรรค ๘ หรือ ปัญญา ศีล สมาธิ นอกจากนี้เรายังควรต้องทราบว่าเราปรารถนาเจโตวิมุตติ หรือปัญญาวิมุตติ

๒.   คุณต้องการพระนิพพานหรือยัง ถ้ายังไม่ต้องการ คุณก็เจริญ ในทาน ศีล ภาวนา ไปเกิดเป็น เทวดา นางฟ้า พรหม หรือเกิดเป็นมนุษย์ก็แล้วแต่ ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏต่อไปจนกว่าคุณจะพอใจ

๓.   ถ้าคุณปรารถนาพระนิพพานคุณก็เลือกครูอาจารย์ให้ดี บางท่านสอนได้แค่ทาน บางท่านสอนได้แค่สมาธิ บางท่านสอนได้ถึง มรรค ผล นิพพาน เลือกเอาตามบุญวาสนา บารมีของเรา

๔.   คุณต้องเลือกว่าจะปฏิบัติธรรมกับครูอาจารย์ท่านไหน คุณต้องเลือกว่าจะปฏิบัติตามคำสอนของครูอาจารย์ท่านไหน เลือกเอาสักท่านหนึ่ง อย่าปฏิบัติหลายแนว มันได้ผลช้า หรืออาจไม่ได้ผลเลย

๕.   พยายามปฏิบัติให้สุดกำลัง ให้เต็มที่ ตามที่ครูอาจารย์แนะนำ สั่งสอน ให้ครบถ้วนตามแบบแผนของครูอาจารย์แต่ละท่าน เอาแบบไม่ได้ก็ยอมตายนั่นแหละ

๖.   ถ้าทำเต็มที่แล้วยังไม่ได้อะไรเลย ค่อยหาครูอาจาย์ท่านอื่น แสดงว่าเราไม่ได้บำเพ็ญบารมีมาร่วมกับท่าน ท่านสอนเราไม่ได้

๗.   อย่าย่อท้อต่อการปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติเพื่อ มรรค ผล นิพพาน ไม่เคยง่ายเลย นอกจากคุณจะมีบารมีธรรมสูงมาก

๘.   เหนื่อยนักก็พักบ้าง ทำหนักไปจนจิตฟุ้งซ่าน แล้วฝืนทำอีก ก็เป็นการทรมานตนเอง ไม่เกิดผล แต่ก็อย่าพักนาน พอหายเหนื่อยก็กลับมาสู้กับกิเลสต่อ นึกถึงเป้าหมายคือพระนิพพานเข้าไว้

๙.   ถ้าเราทำตามนี้จะเกิดเป็นอุปนิสัยติดตัวไปภพหน้า ชาติหน้า ถ้าเผอิญเราทำไม่สำเร็จในชาตินี้ อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ กว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ได้ใช้เวลาเท่าไร ใช่ว่าท่านปรารถนาแล้วท่านเป็นพระพุทธเจ้าเลยในชาตินั้นก็ไม่ใช่ แม้อัครสาวกและบรรดาพระอรหันต์ในพุทธกาลก็เช่นกัน ต้องใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีของพระสาวกเช่นกัน
52  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: คำแนะนำในการเลือกสายปฏิบัติธรรม สำหรับนักปฏิบัติใหม่ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2015, 10:38:15 pm

          ก็เลยมานั่งนึกกับตัวเอง ปฏิบัติธรรมมาหลายปี มันได้อะไรบ้างนี่ ปฏิบัติไปเพื่ออะไร

          สุดก็ได้คำตอบให้ตนเองว่า ปฏิบัติ เพื่อพ้นทุกข์ เพื่อพระนิพพาน

ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่ได้ต้องการโอ้อวด ว่าตนเองปฏิบัติสมาธิได้ดีแค่ไหน แต่ต้องการบอกว่า

ปฏิบัติแล้วยังคบกับความเลวอยู่ ยังคบกิเลสอยู่ ยังด่าคนอื่นอยู่ ยังนิทานคนอื่นอยู่ ยังแพ่งโทษคนอื่นอยู่

มันก็ยังเกิดอยู่ ยังลงนรกอยู่ นั่นแหละ แล้วยังต้องเกิดมารับวิบากที่เราทำไว้อีก
ไม่ได้เข้าใกล้พระนิพพานเลย มีแต่ถอยห่างลงนรกไป
53  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: คำแนะนำในการเลือกสายปฏิบัติธรรม สำหรับนักปฏิบัติใหม่ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2015, 10:37:36 pm
                                   

          เวลาอ่านหนังสือท่านอยู่ก็มีความรู้สึกว่าจะบรรลุอะไรบางอย่าง รู้สึกกิเลสมันหายไปหมด รู้สึกจิตมันสงบระงับ รู้สึกหึกเหิม แต่พอปิดหนังสือ ก็ดูหนัง ฟังเพลง เหมือนเดิม อยู่กับกามคุณ เหมือนเดิม โดนเจ้านายด่า ก็โกรธเถียงกลับ ใกล้ปลายปีปรับเงินเดือน คิดโบนัส ก็ยอมเค้าหน่อย

          เพื่อนฝูง ลูกน้องชวนไปกินเหล้าก็ไป เพราะกลัวจะไม่มีเพื่อน ไม่มีพวกพ้อง นานวันเข้าก็ไปนั่งกินเอง ไม่ต้องมีใครไปก็ได้ แล้วก็มีความเลวอีกหลาย ๆ อย่างที่ตอนนั้นยังทำอยู่ เยอะมากจนเกินบรรยาย เรียกว่า ศีล ๕ นี่แทบนึกไม่ออกเลยว่าเหลือข้อไหนที่ยังไม่ผิดศีล

         เพื่อนบางคน ลูกค้าบางคน ชวนผมไปปฏิบัติธรรม วัดนั้นวัดนี้ คุยฟุ้งว่าปฏิบัติแล้วดีมาก จิตดีมาก สมาธิดีมาก สอนดีมาก แต่ก็เห็นคุณ ๆ ท่าน ๆ ด่าคนโน้น นินทาคนนี้ตลอด คิดพูดคุยแต่เรื่องที่จะเอาเปรียบคนอื่น การไปปฏิบัติธรรมกลายเป็นเหมือนเครื่องประดับ วัดกลายเป็นเครื่องประดับ หลวงปู่ หลวงพ่อกลายเป็นเครื่องประดับบารมี ถ้าเราไปวัดนี้ โอโหคุณต้องเป็นคนดีมาก เพราะหลวงพ่อวัดนี้สอนดี มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ สำหรับบางคนการไปวัดกลายเป็นแฟนชั่นไปซะงั้น เป็นเครื่องหมายว่าเราเป็นคนดี ไปวัดทำบุญที่วัดดัง ๆ เอาไว้อวดกัน เอาไว้คุยกันตอนทานข้าว ที่พูดมานี่สำหรับบางคนนะครับ ที่ผมเจอ แต่บางคนไปวัดดี ครูอาจาย์ดี ปฏิบัติได้ผลดีก็มี
54  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: คำแนะนำในการเลือกสายปฏิบัติธรรม สำหรับนักปฏิบัติใหม่ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2015, 10:36:57 pm
                       

          หลังจากนั้นมีเพื่อนชวนไปฝึกวิชาธรรมกายสายหลวงพ่อสด ตอนแรกก็ทำไม่ได้ พยายามอยู่นานก็พอทำได้ จนเห็นกายตัวเอง เป็นแก้วใส หน้าตาเป็นเรา แต่ตัวเป็นรูปร่างคล้าย ๆ พระ

          มีครั้งนึงไปฝึกวิชาธรรมะเปิดโลกของหลวงพ่อคง ก็ปรากฎว่าเราเป็นพระ มีความรู้สึกว่าเป็นพระ แล้วก็เทศน์สอน คนที่กำลังสอนผมนั่นแหละ คนที่ไปด้วยกัน รำเป็นนางฟ้าก็มี เป็นสัตว์ต่าง ๆ ก็มี

          หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาอ่านหนังสือธรรมะมากขึ้น เพราะเริ่มทำงาน มีเวลาน้อยลง ขี้เกียจมากขึ้น การอ่านทำได้ง่ายกว่าการเจริญสมาธิ ก็มาอ่านหนังสือคำสอนของ หลวงตาบัว หลวงพ่อพุทธทาส หลวงพ่อปัญญา และอีกหลาย ๆ ครูอาจารย์ และพยายามปฏิบัติตาม
55  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: คำแนะนำในการเลือกสายปฏิบัติธรรม สำหรับนักปฏิบัติใหม่ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2015, 10:32:44 pm
                             

          หลังจากนั้นผมและเพื่อน ๆ ได้ไปฝึกเต็มกำลังที่วัดอยู่หลายครั้ง ผ่านประสบการณ์อีกหลายอย่าง แต่ที่ประทับใจมีอยู่เรื่องหนึ่ง มีอยู่ปีนึง ผมไปที่วัดแล้วพบพี่คนนึงไม่ได้รู้จักกัน แต่อยู่ ๆ ท่านมาทักผมก่อน คุยกันไปคุยกันมา ท่านแจ้งว่าผมเคยเป็นลูกท่าน หรือเป็นลูกศิษย์ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ หลังจากคุยกันท่านบอกว่าจะพานั่งสมาธิ จริง ๆ แล้วสมัยก่อนนั้นที่วัดมีกฎว่าห้ามนั่งสมาธิกันเอง แต่ตอนนั้นก็แหกกฎวัด เพราะอยากลองว่าดูว่า พี่ท่านนั้นท่านจะสอนอะไร

          ท่านบอกว่า “คุณลองนึกดวงแก้วใส ๆ สักดวงนึงนึกออกมั้ย"

          ผมลองดู ก็นึกไม่ออก เห็นลาง ๆ เพราะไม่เคยฝึกมาก่อน


          ท่านบอกว่า “คุณลองใหม่นะ”

          คราวนี้ผมลองทำดู เห็นชัดเจนขึ้น เลยบอกว่านึกถึงดวงแก้วได้แล้วครับ

          ท่านบอกว่า “คุณลองอธิฐานให้ดวงแก้ว วนรอบตัวคุณ ๓ รอบนะ”

          ผมลองทำตามที่ท่านแนะนำ พอครบ ๓ รอบ ดวงแก้วเปลี่ยนเป็นพระพุทธรูปแก้วใส สวยมาก ๆ เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น เป็นพระพุทธรูปบางสมาธิ เนื้อท่านไม่ได้เป็นแก้วธรรมดา แต่เป็นแก้วที่เจียรนัยคล้ายเพชร แต่เป็นการที่เจียรนัยละเอียดมาก แล้วท่านมีแสงออกจากตัวท่าน ปกติเพชรต้องมีแสงตกกระทบจึงเกิดประกายระยิบระยับ แต่พระแก้วใสที่ผมเห็นในสมาธิที่มีแสงออกจากตัวท่านเอง พอตกกระทบกับผิวท่านที่มีความละเอียดจึงมีความสวยงามมาก จนสุดพรรณา หลังจากนั้นพี่ท่านนั้นก็ให้ผมขอพรพระแก้วใส พาไปเที่ยวหลาย ๆ ที่จนออกจากสมาธิ
56  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: คำแนะนำในการเลือกสายปฏิบัติธรรม สำหรับนักปฏิบัติใหม่ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2015, 10:31:02 pm
                                       

          พอเอนทรานซ์ติด เข้ามหาลัย ก็ลืมเรื่องสมาธิ เรื่องธรรมะไป เพราะกำลังสนุกกับชีวิตที่อิสระ ไม่ต้องมีคนมากำกับ แต่พูดถึงก็กำกับเหมือนกัน แต่กำกับอยู่ห่าง ๆ เนื่องจากย้ายออกจากบ้านไปอยู่หอพัก

          มีวันนึงเดินผ่านห้องชมรมนึง เห็นเค้าฝึกนั่งสมาธิ ไปดูนรก สวรรค์ ความสนใจในครั้งก่อนก็กลับมา เมื่อก่อนปฏิบัติทำได้แค่สงบ แต่ครั้งนี้ถ้าทำได้ จะได้เห็นนรก สวรรค์ เป็นเรื่องน่าสนใจมากขณะนั้น ก็ขอฝากตัวเองศิษย์รุ่นพี่ที่ชมรม ท่านก็กรุณาสอน ตอนแรกก็ทำไม่ได้ มืดไปหมด ไม่เห็นมีอะไรเลย นรก สวรรค์ แต่ก็ไม่ย้อท้อทนฝึกต่อไป วันนึงก็ทำได้ เริ่มจากแค่ความรู้สึกก่อน จากนั้นภาพและเสียงค่อยปรากฎ จากที่เรือนราง เป็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ พูดคุยโต้ตอบกับ โอปปาติกกะได้

         มีครั้งนึงสนุกมาก พี่ที่เป็นครูผมส่งจิตมาคุย ผมนั่งเล่นอยู่ในหอพักเห็นท่านด้วยจิต ผมไม่ได้เข้าสมาธิ เห็นแบบธรรมดานี่แหละ แต่ใช้ใจ ไม่ได้ใช้ตา แต่พูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะสมาธิยังไม่สูงพอ เห็นท่านทำท่าทางภาษาใบ้ ผมเองก็โต้ตอบด้วยภาษาใบ้ คือเห็นแค่รูปทิพย์ แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง ผมเลยควบมอเตอร์ไซค์ไปที่หอพักท่าน เจอกันก็คุยกันสนุก แต่ละคนไม่คิดว่าจะทำได้ พี่เค้าแค่ลองทำดู ไม่คิดว่าจะส่งจิตคุยกันได้

          ใครอ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าศึกษามาบ้างคงทราบว่าเป็นวิชามโนมยิทธิ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

57  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / คำแนะนำในการเลือกสายปฏิบัติธรรม สำหรับนักปฏิบัติใหม่ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2015, 10:29:46 pm
                   


          การเลือกสายปฏิบัติธรรม หรือการเลือกครูอาจารย์เพื่อปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องที่บุคคลทั่วไปพูดถึงกันมาก  แม้ตัวผมเองเมื่อก่อนก็สนใจมากเช่นกัน ไปพบไปศึกษากับครูอาจารย์หลายท่าน หรือบางท่านที่มรณภาพไปแล้วก็ศึกษาคำสอนจากหนังสือที่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาท่านร่วมกันจัดทำ และช่วยกันรักษาคำสอนของครูอาจารย์ที่ตนเองเคารพนับถือ เป็นเรื่องน่าชื่นใจสำหรับครูอาจารย์ที่มีศิษย์แบบนี้

          คำแนะนำในการเลือกสายปฏิบัติธรรม ผมตั้งใจจะเล่าประสบการณ์ของผมให้ฟัง ซึ่งอาจจะไม่ใช่แนวทางที่ดีอะไรมากสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว แต่คงเป็นประโยชน์บ้างสำหรับนักปฏิบัติธรรมที่พึ่งเข้ามาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า

          ผมเองเริ่มปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองจากหนังสือพระ จำไม่ได้ว่า หนังสือโลกทิพย์หรืออะไรประมาณนั้น ที่มีการบอกเล่าถึงคำสอนของพระสายต่าง ๆ โดยเฉพาะสายปลุกเสก เคยลองทำดูพอมีผลบ้าง แต่ไม่มากนัก แต่ก็พอจะทำให้ผมเชื่อเรื่องพลังจิต และพลังสมาธิ ช่วงนั้นประมาณตอนเรียนอยู่ ม.ปลาย

          หลังจากนั้นก็เริ่ม ศึกษาสายหลวงปู่มั่นท่านสอนภาวนา พุทโธ กำหนดพร้อมกับลมหายใจ ก็ลองทำดู ก็พอได้ความสงบบ้าง แต่มีอยู่ครั้งแม่มาเห็น ท่านห้ามไม่ให้ทำ ท่านบอกว่าเดี๋ยวก็เป็นบ้าหรอก เป็นเด็กเป็นเล็กหัดทำสมาธิไม่ได้ จิตยังไม่แข็ง ก็เป็นความห่วงใยของคนเป็นแม่ แต่ผมก็แอบทำไม่ให้แม่เห็น ก็ทำบ้างไม่ทำบ้างประมาณสักปี ก็ถึงช่วงต้องเอนทรานซ์ ต้องอ่านหนังสือมากจึงหยุดไปพักใหญ่
58  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: ขออภัย ขณะนี้ไม่สามารถออกอากาศ ได้ เนื่องด้วยสัญญา เช่า หมดอายุ เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2015, 06:41:44 pm
 st11 st12 st12
59  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การระลึกถึงพุทธคุณของ "โลกิยมหาชน และ อริยชนแต่ละระดับ" แตกต่างกันอย่างไร.? เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2015, 02:27:30 pm
 st11 st12 st12
60  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: ขออภัย ขณะนี้ไม่สามารถออกอากาศ ได้ เนื่องด้วยสัญญา เช่า หมดอายุ เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2015, 04:40:50 am
พระอาจารย์มีเงินส่วนกลางของสำนักงานอยู่แล้ว ท่านแค่มาบอกบุญ

เงินแค่ 1000 บาท คุณ modtanoy ไม่ทำบุญกับท่านบ้างหล่ะครับ

จะได้เพิ่มบารมีให้กับท่านพระอาจารย์ ให้สำนักงานมีเงินเพิ่มขึ้น 1000 บาท

ท่านจะได้สะสมไว้ทำงานใหญ่ เห็นคุณเป็นห่วงท่านมาก


61  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: วิปัตติสัมปทาสูตร (วิบัติ ๓ สัมปทา ๓) เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2015, 11:38:53 pm
ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมครับ

ธรรมที่เป็นคู่เป็นธรรมของโลก เป็นธรรมที่ควรละ ถ้ายังยึดไว้เราก็อยู่ในโลก แต่ถึงเราละได้แล้ว แต่รูปขันธ์เรายังอยู่ในโลกเราก็ยังต้องเจออยู่

มีคนดี ก็ต้องมีคนไม่ดี ไม่มีทางที่ใครจะทำให้โลกนี้มีแต่คนดีได้ และก็ไม่มีทางที่่ใครจะทำให้โลกนี้มีแต่คนไม่ดีได้

มีสรรเสริญ ก็มีนินทา ไม่มีใครในโลกโดนชมตลอด และก็ไม่มีใครในโลกโดนด่าตลอด

มีเกิด ก็มีดับ สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลง และดับไปในที่สุด เป็นธรรมของโลก

พระอรหันต์ก็พ้นจากธรรมของโลกไม่ได้ พ้นจากการโดนด่าไม่ได้ ถ้ารูปขันธ์ท่านยังอยู่ในโลก ส่วนท่านเอาอะไรพ้นจากโลก พ้นจากโลกธรรม เรา ๆ ท่าน ๆ คงทราบดีอยู่แล้ว



การพยายามให้ทุกคนเป็นคนดี ก็เป็นเรื่องดี

แต่ถ้าท่านใดปรารถนาสาวกภูมิ การทำให้เราพ้นจากโลกเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญอันดับแรกหรือไม่

การไปพระนิพพานนั้น พระพุทธเจ้าองค์ไหนก็พาเราไปไม่ได้ พระอรหันต์องค์ไหนก็พาเราไปไม่ได้ เราต้องไป
ด้วยตัวของเราเอง พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ท่านเป็นเพียงผู้บอกทาง

กิเลสของใคร ก็คนนั้นแหละที่ต้องจัดการเอาเอง เป็นกิจของเรา

ธรรมะที่ผมนำมาบอกต่อ ผมก็ศึกษาจากครูอาจารย์หลาย ๆ ท่าน โดยเฉพาะพระไตรปิฎก ผมไม่ได้คิดเอง เพราะผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระปักเจกพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง ดังนั้นถ้าธรรมะที่ผมนำมาลงในกระทู้จะซ้ำกับที่อื่นก็ไม่แปลก เป็นเรื่องที่ถูกต้องเสียอีก แสดงว่าผมไม่ได้คิดนึกเอาเอง เพราะถ้าคิดนึกเอาเองก็เป็นแต่อธรรม เพราะจิตผมยังมีอวิชชาอยู่ จะคิดให้ถูกให้ตรง เหมือนพระพุทธเจ้า กับพระอรหันต์ไม่ได้
62  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: วิปัตติสัมปทาสูตร (วิบัติ ๓ สัมปทา ๓) เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2015, 11:05:19 am

               

วิปัตติสัมปทาสูตร

ว่าด้วยวิบัติ  และสัมปทา


สัมปทา  ๓  ประการนี้
     
     สัมปทา  ๓  ประการ  อะไรบ้าง  คือ
     ๑.  สีลสัมปทา      (ความถึงพร้อมด้วยศีล)
     ๒.  จิตตสัมปทา     (ความถึงพร้อมด้วยจิต)
     ๓.  ทิฏฐิสัมปทา     (ความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ)
     
<สีลสัมปทา>  เป็นอย่างไร
      คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  การลักทรัพย์  การประพฤติ ผิดในกาม  การพูดเท็จ  การพูดส่อเสียด  การพูดคำหยาบ  และการพูดเพ้อเจ้อ  นี้เรียกว่า  สีลสัมปทา


<จิตตสัมปทา>  เป็นอย่างไร
      คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา  ไม่มีจิตพยาบาท  นี้เรียกว่า จิตตสัมปทา


<ทิฏฐิสัมปทา>  เป็นอย่างไร
      คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ(เห็นชอบ)  มีความเห็นไม่วิปริตว่า “ทานที่ให้แล้วมีผล  ยัญที่บูชาแล้วมีผล  การเซ่นสรวงมีผล  ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำไว้ดีและชั่วมี  โลกนี้มี  โลกหน้ามี  มารดามีคุณ  บิดามีคุณ  โอปปาติกสัตว์มีสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งมีอยู่ในโลก”  นี้เรียกว่า  ทิฏฐิสัมปทา


เพราะสีลสัมปทาเป็นเหตุ  สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ 

เพราะจิตตสัมปทาเป็นเหตุ  สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ 

เพราะทิฏฐิสัมปทาเป็นเหตุ  สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์

ภิกษุทั้งหลาย  สัมปทา  ๓  ประการนี้แล




พระสุตตัตนตปิฎก 
อังคุตตรนิกาย  ทุกนิบาต  [๓. ตติยปัณณาสก์]  ๒. อาปายิกวรรค ๕. วิปัตติสัมปทาสูตร




ขอบคุณภาพประกอบจาก :http://my.uamulet.com/BlogDetail.aspx?ID=767404
63  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: วิปัตติสัมปทาสูตร (วิบัติ ๓ สัมปทา ๓) เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2015, 11:03:56 am
                                             

วิปัตติสัมปทาสูตร

ว่าด้วยวิบัติ  และสัมปทา


ภิกษุทั้งหลาย  วิบัติ  ๓  ประการนี้
     วิบัติ  ๓  ประการ  อะไรบ้าง  คือ
     ๑.  สีลวิบัติ       (ความวิบัติแห่งศีล)
     ๒.  จิตตวิบัติ      (ความวิบัตแห่งจิต)
     ๓.  ทิฏฐิวิบัติ      (ความวิบัติแห่งทิฏฐิ)
     
<สีลวิบัติ>  เป็นอย่างไร
      คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  นี้เรียกว่า  สีลวิบัติ


<จิตตวิบัติ>  เป็นอย่างไร
      คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ(เห็นผิด)  มีจิตพยาบาท  นี้เรียกว่า จิตตวิบัติ

<ทิฏฐิวิบัติ>  เป็นอย่างไร
      คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ  มีความเห็นวิปริตว่า  “ทานที่ให้แล้วไม่มีผล  ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล  การเซ่นสรวงไม่มีผล  ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและชั่วก็ไม่มี  โลกนี้ไม่มี  โลกหน้าไม่มี  มารดาไม่มีคุณ  บิดาไม่มีคุณ  โอปปาติกสัตว์ไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งก็ไม่มีในโลก”  นี้เรียกว่า  ทิฏฐิวิบัติ


เพราะสีลวิบัติเป็นเหตุ  สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในอบาย  ทุคติ วินิบาต นรก 

เพราะจิตตวิบัติเป็นเหตุ  สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้วจึงไปเกิดใน อบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก 

เพราะทิฏฐิวิบัติเป็นเหตุ  สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้วจึงไปเกิดอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก

ภิกษุทั้งหลาย  วิบัติ  ๓  ประการนี้แล



พระสุตตัตนตปิฎก 
อังคุตตรนิกาย  ทุกนิบาต  [๓. ตติยปัณณาสก์]  ๒. อาปายิกวรรค ๕. วิปัตติสัมปทาสูตร




ขอบคุณภาพประกอบจาก : http://khunsamatha.com/blog/dhammakaya-C3.html
64  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิปัตติสัมปทาสูตร (วิบัติ ๓ สัมปทา ๓) เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2015, 11:01:44 am
ขอรวมกระทู้ ตายแล้วไปไหน ๒ และ ตายแล้วไปไหน ๓ เข้าด้วยกัน

     เนื่องจากบางท่าน อาจไม่ได้อ่านกระทู้ทั้ง ๒ จนครบ

เพราะพระพุทธเจ้ามีปกติแสดงธรรมเป็น คู่

     การศึกษาธรรมก็ควรศึกษาเป็น คู่

เมื่อรู้จัก วิบัติ ๓ ก็ควรรู้จัก สัมปทา ๓

     เมื่อรู้จัก สัมปทา ๓ ก็ควรรู้จัก วิบัติ ๓

เหมือนเราจะละอกุศล เจริญกุศล เราก็ต้องรู้จักธรรมส่วนที่เป็นอกุศล เราต้องรู้จักธรรมส่วนที่เป็นกุศล

     เราถึงจะละธรรมที่เป็นส่วนอกุศลได้ และยึดธรรมที่เป็นกุศลได้

ถ้าเราศึกษาแต่ธรรมที่เป็นอกุศล เราก็รู้แต่ธรรมที่ควรละ ควรสลัดออกจากใจ แต่เราไม่รู้ธรรมที่ควรยึดถือ ควรน้อมนำเข้าสู่ใจเรา

     ถ้าเราศึกษาแต่ธรรมที่เป็นกุศล เราก็รู้แต่ธรรมที่ควรยึดถือ ควรน้อมนำเข้าสู่ใจเรา แต่เราไม่รู้ธรรมที่ควรละ ควรสลัดออกจากใจ
65  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 08:42:51 pm
 st11 st12 st12
66  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ตายแล้วไปไหน ๒ เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 08:28:51 pm
ตามความเห็นของผมในเวลานี้

ผมมีความเห็นว่า ท่านพระอาจารย์สนธยา ธัมมะวังโส ครูผู้สอนธรรมที่ผมนับถือ

ท่านปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้ว ปฏิบัติถูกทางแล้ว ปฏิบัติสมควรแล้ว

ใครละสงสัยในธรรมของท่านเสียได้ ทำศรัทธาของตนให้เจริญ ให้เติบโต ให้มั่นคง ปรารถความเพียร ทำความเห็นให้ถูก ทำความเห็นให้ชอบ เป็นต้น

การตามเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธสมณโคดม เข้าสู่อมตนิพพาน เป็นเรื่องที่เราควรหวังไว้ในใจได้


 st11 st12 st12

อนุโมทนาสาธุ คุณ aaaa เช่นกัน

เวลานี้ครูอาจารย์ยังดำรงรูปขันธ์อยู่ หรือแม้ว่าถ้าท่านเลิกถ่ายทอดธรรม

ธรรมะที่ท่านเมตตาลงไว้ในเว็บนี้ ก็น่าจะเพียงพอต่อ นักปฏิบัติธรรม ประเภท อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู และเนยย

ผมเป็นเพียงศิษย์ปลายแถว เมื่อเทียบกับคุณ และคนอื่น ๆ ที่ช่วยงานพระอาจารย์มาตั้งแต่ต้น


ไม่ว่าคุณปรารถนาธรรมใด้ ก็หวังว่าคุณจะถึงธรรมนั้น เพราะอำนาจแห่งมุทิตาจิตของคุณ
67  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: อนิสงค์ของศีล เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 07:45:12 pm
 st11 st12 st12
68  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ตายแล้วไปไหน ๒ เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 01:10:05 pm
 st11 st12 st12

ช่วงนี้ จิตมันตื่น ไม่ค่อยง่วง เลยทำอะไรไปเรื่อย ๆ รอมันง่วง
เกือบ 1 สัปดาห์แล้วที่เป็นอย่างนี้ ครับ คุณ  KOBYAMKALA
หวังว่า ธรรมะที่นำมาบอกต่อ
คงเป็นประโยชน์กับผู้ใดบ้าง
แต่จริง ๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องนี้
แค่จิตมันใฝ่กุศล
69  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ปริศนาธรรม ที่ขอให้ช่วยกันวิจารณ์หน่อยครับ เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 01:01:07 pm
ขอแสดงความเห็นนะครับ

ถ้าเป็นความเห็นผมตอนนี้

ผมจะช่วย เพราะแม่งูกำลังจะทำ ปาณาติบาต กับแม่กบ

ส่วนช่วยแล้วจะเป็นยังไง เป็นเรื่องของ อนาคต

เพราะเราควรอยู่กับ ปัจจุบัน
70  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ตายแล้วไปไหน ๓ เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 02:19:53 am
               

วิปัตติสัมปทาสูตร

ว่าด้วยวิบัติ  และสัมปทา


สัมปทา  ๓  ประการนี้
     
     สัมปทา  ๓  ประการ  อะไรบ้าง  คือ
     ๑.  สีลสัมปทา      (ความถึงพร้อมด้วยศีล)
     ๒.  จิตตสัมปทา     (ความถึงพร้อมด้วยจิต)
     ๓.  ทิฏฐิสัมปทา     (ความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ)
     
<สีลสัมปทา>  เป็นอย่างไร
      คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  การลักทรัพย์  การประพฤติ ผิดในกาม  การพูดเท็จ  การพูดส่อเสียด  การพูดคำหยาบ  และการพูดเพ้อเจ้อ  นี้เรียกว่า  สีลสัมปทา


<จิตตสัมปทา>  เป็นอย่างไร
      คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา  ไม่มีจิตพยาบาท  นี้เรียกว่า จิตตสัมปทา


<ทิฏฐิสัมปทา>  เป็นอย่างไร
      คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ(เห็นชอบ)  มีความเห็นไม่วิปริตว่า “ทานที่ให้แล้วมีผล  ยัญที่บูชาแล้วมีผล  การเซ่นสรวงมีผล  ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำไว้ดีและชั่วมี  โลกนี้มี  โลกหน้ามี  มารดามีคุณ  บิดามีคุณ  โอปปาติกสัตว์มีสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งมีอยู่ในโลก”  นี้เรียกว่า  ทิฏฐิสัมปทา


เพราะสีลสัมปทาเป็นเหตุ  สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ 

เพราะจิตตสัมปทาเป็นเหตุ  สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ 

เพราะทิฏฐิสัมปทาเป็นเหตุ  สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์

ภิกษุทั้งหลาย  สัมปทา  ๓  ประการนี้แล




พระสุตตัตนตปิฎก 
อังคุตตรนิกาย  ทุกนิบาต  [๓. ตติยปัณณาสก์]  ๒. อาปายิกวรรค ๕. วิปัตติสัมปทาสูตร




ขอบคุณภาพประกอบจาก :http://my.uamulet.com/BlogDetail.aspx?ID=767404
71  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ตายแล้วไปไหน ๒ เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 02:01:26 am
                                             

วิปัตติสัมปทาสูตร

ว่าด้วยวิบัติ  และสัมปทา


ภิกษุทั้งหลาย  วิบัติ  ๓  ประการนี้
     วิบัติ  ๓  ประการ  อะไรบ้าง  คือ
     ๑.  สีลวิบัติ       (ความวิบัติแห่งศีล)
     ๒.  จิตตวิบัติ      (ความวิบัตแห่งจิต)
     ๓.  ทิฏฐิวิบัติ      (ความวิบัติแห่งทิฏฐิ)
     
<สีลวิบัติ>  เป็นอย่างไร
      คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  นี้เรียกว่า  สีลวิบัติ


<จิตตวิบัติ>  เป็นอย่างไร
      คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ(เห็นผิด)  มีจิตพยาบาท  นี้เรียกว่า จิตตวิบัติ

<ทิฏฐิวิบัติ>  เป็นอย่างไร
      คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ  มีความเห็นวิปริตว่า  “ทานที่ให้แล้วไม่มีผล  ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล  การเซ่นสรวงไม่มีผล  ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและชั่วก็ไม่มี  โลกนี้ไม่มี  โลกหน้าไม่มี  มารดาไม่มีคุณ  บิดาไม่มีคุณ  โอปปาติกสัตว์ไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งก็ไม่มีในโลก”  นี้เรียกว่า  ทิฏฐิวิบัติ


เพราะสีลวิบัติเป็นเหตุ  สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในอบาย  ทุคติ วินิบาต นรก 

เพราะจิตตวิบัติเป็นเหตุ  สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้วจึงไปเกิดใน อบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก 

เพราะทิฏฐิวิบัติเป็นเหตุ  สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้วจึงไปเกิดอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก

ภิกษุทั้งหลาย  วิบัติ  ๓  ประการนี้แล



พระสุตตัตนตปิฎก 
อังคุตตรนิกาย  ทุกนิบาต  [๓. ตติยปัณณาสก์]  ๒. อาปายิกวรรค ๕. วิปัตติสัมปทาสูตร




ขอบคุณภาพประกอบจาก : http://khunsamatha.com/blog/dhammakaya-C3.html
72  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: พระอริยะเขาดูกันอย่างไร? (โดย พระราชพรหมยาน) เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 01:39:59 am
 st11 st12 st12 NAKA-54
73  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ถึงท่าน นักโพสต์ ที่เป็นศิษย์ อาจารย์ทุกท่าน เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 01:37:50 am
 st11 st12 st12
74  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ผู้ปรารถนา "พุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ สาวกภูมิ" ต้องบำเพ็ญบารมีนานแค่ไหน อย่างไร.? เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 01:16:02 am
                                                                       
                   
                                                                                                                                                             

ธรรมะของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นธรรมที่ท่านพอใจ



ที่เผยแผ่โดย
พระอรหันต์ราหุลเถระเจ้า



สืบทอดในยุคสมัยรัตนโกสินทร์โดย
สมเด็จพระสังฆราช
(สุก ญาณสังวร)



ผมเองก็เป็นศิษย์ของ ท่านพระอาจารย์ สนธยา ธัมมะวังโส

75  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ผู้ปรารถนา "พุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ สาวกภูมิ" ต้องบำเพ็ญบารมีนานแค่ไหน อย่างไร.? เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 12:37:16 am
 st11 st12 st12      คุณ RAPONSAN


เรามีกรรมเป็นของตน  เป็นผู้รับผลของกรรม  มีกรรมเป็นกำเนิด

     มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย  เราทำกรรมใดไว้จะเป็น

          กรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม  ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

76  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ตายแล้วไปไหน ๑ เมื่อ: กรกฎาคม 22, 2015, 11:54:15 pm
                                                 
                               

ตายแล้วไปไหน ๑


     ท่านสหธรรมมิกทั้งหลาย เคยมั้ยที่เราสนทนากับผู้อื่น เราพูดถึงสิ่งที่เราไปรู้ ไปเห็น ไปแจ้ง มาด้วยตนเอง แต่ก็ไม่สามารถจะแสดงหลักฐานใด ๆ ให้ผู้อื่นเห็นได้ เพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งที่เรารู้ เราเห็น เราแจ้ง เป็นเรื่องจริง

     จุลินทรีย์ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น สมมติว่าถ้าเราต้องอธิบายให้กับปู่ ย่า ตา ยาย บิดา มารดา ที่ท่านไม่เคยศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ ไม่เคยใช้กล้องจุลทรรศน์ ว่าจุลินทรีย์มีอยู่จริง จะอธิบายอย่างไร?

    ถ้าท่านปฏิเสธว่าไม่เชื่อ แล้วบอกให้เราพิสูจน์ให้ดู ให้เห็นกับตา ถึงจะเชื่อ เราจะทำอย่างไร?

     ถ้าเราไม่เอากล้องจุลทรรศน์พร้อมตัวอย่างจุลินทรีย์มาให้ท่านดู เราก็คงต้องพาท่านไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อพิสูจน์กันใช่มั้ย?

     แต่ถ้าเราไม่มีความสามารถจะเอามาให้ท่านดู หรือจะพาท่านไปดู หรือไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทำให้เราไม่สามารถ ทำให้ท่านเห็นด้วยตาตัวเองได้

    สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เรียกว่า จุลินทรีย์ ก็ยังคงมีอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลงใช่มั้ย? หรือว่าพอ ปู่ ย่า ตา ยาย บิดา มารดา ของเราปฏิเสธที่จะเชื่อ แล้วสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เรียกว่า จุลินทรีย์ จะหายไปจากโลก?


     เชื้อโรคเองก็เช่นกัน ตอนนี้เปิดทีวีก็ต้องมีข่าวโรคเมอร์ส ซึ่งผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อไวรัสชนิด corona เป็นแล้วรักษาให้หายขาดยาก ตายไปก็เยอะ แล้วมีใครเคยเห็นเชื้อไวรัสชนิดนี้กับตาตัวเองบ้าง?

     แพทย์แนะนำว่า ให้สวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาไปที่โรงพยาบาล หรือประเทศที่มีการระบาด หรือในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด

     ถ้าเราจำเป็นต้องไปในที่ที่มีโอกาสติดเชื้อโรคเมอร์ส ถึงแม้เราจะไม่รู้ว่ามันติดต่อทางการหายใจได้หรือไม่ แต่เราก็รู้ด้วยตัวเองใช่มั้ยว่า ควรต้องสวมหน้ากากอนามัย

ฉันใดก็ฉันนั้น
     จะมีใครสามารถเอา นรก หรือสวรรค์ มาแสดงแก่เราได้
     จะมีใครสามารถเอา สัตว์นรก หรือเทวดา พรหม มาแสดงแก่เราได้


เราควรเชื่อว่ามี นรก สวรรค์ สัตว์นรก เทวดา พรหม
     เพราะว่าเรามีความเห็นว่า ผู้ใดไม่มีศีล มีจิตเป็นอกุศล ตายจากโลกนี้แล้วไปสู่ทุคติ มี นรก เป็นต้น ย่อมมีกายเป็นสัตว์นรก
     เพราะว่าเรามีความเห็นว่า ผู้ใดมีศีล มีจิตเป็นกุศล ตายจากโลกนี้แล้วไปสู่สุคติ มี สวรรค์ เป็นต้น ย่อมมีกายเป็น เทวดา หรือ นางฟ้า


หรือว่า
เราไม่ควรเชื่อว่า มี นรก สวรรค์ สัตว์นรก เทวดา พรหม
     เพราะเราไม่เคยเห็น สัตว์นรก เทวดา พรหม
     เพราะเรามีความเห็นว่า เทวดา พรหม เป็นความเชื่อของพวกพราหมณ์






ขอบคุณภาพประกอบจาก : http://9poto.com/ละครย้อนหลัง/พระมหาชนก-the-story-of-mahajanaka



     


77  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พรหมจรรย์ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าพระองค์ไหนดำรงอยู่นานหรือไม่นาน (๒๑/๗/๕๘) เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2015, 04:51:29 am
                   

(๓/๓)

ทรงปรารภเหตุที่จะบัญญัติสิกขาบท

     ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรลุกขึ้นห่มผ้าเฉวียงบ่าประนมมือไปทางพระผู้มีพระภาค

    กราบทูลว่า  “ถึงเวลาแล้วพระพุทธเจ้าข้า  ที่พระผู้มีพระภาคจะทรงบัญญัติสิกขาบท  ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงแก่พระสาวกอันจะเป็นเหตุให้พรหมจรรย์ดำรงอยู่ได้ยืนนาน”
     
    “จงรอไปก่อนเถิดสารีบุตร ตถาคตรู้เวลาในเรื่องที่จะบัญญัติสิกขาบทนั้นศาสดาจะยังไม่บัญญัติสิกขาบทแก่สาวก  ไม่ยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง  ตลอดเวลาที่ยังไม่เกิดอาสวัฏฐานิยธรรม (ธรรมเป็นที่ตั้งอาสวะ  ความชั่วต่างๆ  เช่น  การกล่าวให้ร้ายคนอื่น เป็นต้น)  บางอย่างในสงฆ์  เมื่อเกิดอาสวัฏฐานิยธรรมบางอย่างในสงฆ์  ตถาคตจึงจะบัญญัติสิกขาบท  จะยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงแก่สาวก  เพื่อขจัดธรรมเหล่านั้น

     สารีบุตร  อาสวัฏฐานิยธรรมบางอย่างยังไม่เกิดในสงฆ์  ตราบเท่าที่สงฆ์ยังไม่เป็นหมู่ใหญ่เพราะมีภิกษุบวชนาน  เมื่อสงฆ์เป็นหมู่ใหญ่เพราะมีภิกษุบวชนาน  และมีอาสวัฏฐานิยธรรมบางอย่างเกิดในสงฆ์  ตถาคตจะบัญญัติสิกขาบท  จะยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงแก่สาวก  เพื่อขจัดธรรมเหล่านั้น

      สารีบุตร  อาสวัฏฐานิยธรรมบางอย่างยังไม่เกิดในสงฆ์  ตราบเท่าที่สงฆ์ยังไม่เป็นหมู่ใหญ่เพราะแพร่หลาย  เมื่อสงฆ์เป็นหมู่ใหญ่เพราะแพร่หลาย  และมีอาสวัฏฐานิยธรรมบางอย่างเกิดในสงฆ์  ตถาคตจะบัญญัติสิกขาบท  จะยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงแก่สาวก  เพื่อขจัดธรรมเหล่านั้น

      สารีบุตร  อาสวัฏฐานิยธรรมบางอย่างยังไม่เกิดในสงฆ์  ตราบเท่าที่สงฆ์ยังไม่เป็นหมู่ใหญ่เพราะมีลาภสักการะมาก  เมื่อสงฆ์เป็นหมู่ใหญ่เพราะมีลาภสักการะมาก และมีอาสวัฏฐานิยธรรมบางอย่างเกิดในสงฆ์  ตถาคตจะบัญญัติสิกขาบท  จะยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงแก่สาวก  เพื่อขจัดธรรมเหล่านั้น

    สารีบุตร  อาสวัฏฐานิยธรรมบางอย่างยังไม่เกิดในสงฆ์  ตราบเท่าที่สงฆ์ยังไม่เป็นหมู่ใหญ่เพราะความเป็นพหูสูต  เมื่อสงฆ์เป็นหมู่ใหญ่เพราะความเป็นพหูสูตและมีอาสวัฏฐานิยธรรมบางอย่างเกิดในสงฆ์  ตถาคตจะบัญญัติสิกขาบท  จะยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงแก่สาวก  เพื่อขจัดธรรมเหล่านั้น     

    สารีบุตร  ก็ภิกษุสงฆ์ยังไม่มีเสนียด  ไม่มีโทษ  ไม่มีสิ่งมัวหมอง  บริสุทธิ์ผุดผ่อง  ดำรงอยู่ในสารคุณ  แท้จริงในภิกษุ  ๕๐๐  รูปนี้  ผู้มีคุณธรรมอย่างต่ำก็ชั้นโสดาบัน  ไม่มีทางตกต่ำ  มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า”




ขอบคุณภาพประกอบจาก : http://www.oknation.net/blog/nun2504
78  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / การปฏิบัติธรรมเพื่อออกจากสังสารวัฏ (อัปเดต ๒๐ กรกฏาคม ๒๕๕๘) เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 11:55:20 pm
                               

                                   



พระราธเถระ: ภิกษุสาวกผู้เลิศด้านมีปฏิภาณ


ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของพระราธเถระ ก่อนที่ท่านจะบรรลุพระอรหันต์ผล


 
ราธพราหมณ์อยากบวช แต่ไม่มีใครยอมบวชให้
พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดจึงได้บวช



       ก็โดยสมัยนั้นแล ราธพราหมณ์เข้าไปหาภิกษุทั้งหลาย แล้วขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายไม่ปรารถนาจะให้เธอบรรพชา เมื่อเธอไม่ได้บรรพชาในสำนักภิกษุ จึงได้ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองๆ ขึ้น มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น

    พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์นั้นซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น ครั้นแล้วรับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า

     "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุไฉนพราหมณ์นั้นจึงได้ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็นเล่า?"


     ภิกษุทั้งหลายทูลว่า
     "เพราะพราหมณ์นั่นเข้าไปหาภิกษุทั้งหลาย แล้วขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายไม่ปรารถนาจะให้เธอบรรพชา เมื่อเธอไม่ได้บรรพชาในสำนักภิกษุ จึงได้ซูบผอมเศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น พระพุทธเจ้าข้า"

     ทีนั้น  พระผู้มีพระภาครับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า
     "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใครระลึกถึงบุญคุณของพราหมณ์นั้นได้บ้าง? "


     เมื่อตรัสถามอย่างนี้แล้ว
     ท่านพระสารีบุตรได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า "ข้าพระพุทธเจ้าระลึกถึงบุญคุณของพราหมณ์นั้นได้อยู่ พระพุทธเจ้าข้า"

        ภ. ดูกรสารีบุตร ก็เธอระลึกถึงบุญคุณของพราหมณ์นั้นได้อย่างไรบ้าง?

        สา. พระพุทธเจ้าข้า เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเที่ยวบิณฑบาตอยู่ ณ พระนครราชคฤห์นี้ พราหมณ์ผู้นั้นได้สั่งให้ถวายภิกษา ๑ ทัพพี ข้าพระพุทธเจ้าระลึกถึงบุญคุณของพราหมณ์นั้นได้ เท่านี้แล พระพุทธเจ้าข้า

        ภ. ดีละๆ สารีบุตร ความจริงสัตบุรุษทั้งหลาย เป็นผู้กตัญญูกตเวที สารีบุตร ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้พราหมณ์นั้นบรรพชาอุปสมบทเถิด

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔
มหาวรรค ภาค ๑


ขอบคุณภาพประกอบจาก : http://www.dhammavariety.com/
79  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: พระอริยะเขาดูกันอย่างไร? (โดย พระราชพรหมยาน) เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 10:12:38 pm
ขอบคุณทุกท่าน ที่ร่วมอนุโมทนาสาธุกับข้อความที่ผมโพส


 st11 st12 st12


ออกเดินทางมานานแสนนานแล้ว ยังไม่ถึงจุดหมายเลยครับคุณ Hero

เมื่อก่อนเที่ยวไปเสาะหา ผู้บอกทางหลายท่าน

หลาย ๆ ท่านบอกได้แค่ทางไปเที่ยวป่า เที่ยวเขา ชมนก ชมไม้ ชมน้ำตก ให้ความรื่นเริงบรรเทิงใจ เต็มไปด้วยผู้คนที่ไปพักผ่อนหย่อนใจ สนุกสนาน คุยกันตลกโปกฮา มีความสุขใจ

หลาย ๆ ท่านบอกได้แค่ทางไปเที่ยวถ้ำ เที่ยวสถานที่คนรู้จักน้อย มีความสงบร่มเย็น น่าชื่นใจ สุขใจ

บางท่านบอกทางที่น่าจะเป็นจุดหมายที่เราต้องการ แต่ก็น่าเสียดายที่พบท่านช้าไป เพราะท่านไม่อยู่เสียแล้ว ถามท่านก็ไม่ได้ ถึงท่านทิ้งแผนที่ไว้ แต่ผมเป็นคนโง่ ดูแผนที่ของท่านไม่เป็น ทำให้เดินหลงทาง วนไปวนมา

แต่สุดท้ายผมก็พบผู้บอกทาง ที่ผมเชื่ออย่างไม่มีความสงสัยว่าท่านเคยไปที่ ๆ ผมอยากไป มาแล้วแน่ ๆ ตอนนี้ก็แค่เดินตามทางที่ท่านบอกเท่านั้น ถึงช้า ถึงเร็ว ก็ไม่เป็นไร ขอแค่อยู่ในเส้นทางเป็นใช้ได้ เดินไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ถึงเอง วันไหนขี้เกิยจก็เดินช้า วันไหนขยันก็เดินเร็ว


ผมไม่ทราบคนอื่นมีวิธีดูยังไง แต่ถ้าถามผม ผมใช้ใจดูครับ คุณ หมวยจ้า


พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่อง อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ชาติ,ชรา,มรณะ,โสกะ,ปริเทวะฯ เป็นทุกข์

สมุทัย คือ กิเลส ตัณหา เป็นต้น


ถ้าเราปฏิบัติธรรม โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ พระนิพพาน คือ การไม่กลับมาเกิดอีก สิ้นภพ สิ้นชาติ ก็ต้องดับสมุทัย (นิโรธ)

ถ้าเราปฏิบัติตามพระองค์ไหน แล้ว กิเลส ตัณหา ไม่ลด แต่กลับเพิ่มพูน คุณต้องถามใจตัวเองว่าถูกทางหรือไม่

ถ้าเราปฏิบัติตามพระองค์ไหน แล้ว ดับกิเลส ตัณหา ชั่วครั้ง ชั่วคราว พอออกจากวัด ออกจากที่ปฏิบัติธรรม ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ทำเหมือนเดิม ด่าคนนี้ ว่าคนโน้น นินทาคนนั้น ปฏิบัติมา 10 ปี 20 ปี 30 ปี ก็ยังดับได้ชั่วครั้ง ชั่วคราว คุณต้องถามใจตัวเองว่าถูกทางหรือไม่ ถ้ายังปฏิบัติตามท่านอีกจะดีหรือไม่ ถามใจคุณดู

ถ้าเราปฏิบัติตามพระองค์ไหน(มรรค) แล้วใจดีขึ้น พัฒนาขึ้น
มีศึลบริสุทธิ์ขึ้น เพราะใจตนเองเห็นโทษของการเป็นผู้ทุศีล
ใจตนเองปรารถนาการเจริญสมาธิ เพราะเห็นโทษของนิวรณธรรม
ใจ
มีความศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง
ใจเรามีความเชื่อมั่นในการตรัสรู้ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ใจรู้ว่ารูปขันธ์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในรูปขันธ์ รูปขันธ์ไม่มีในเรา
ถ้าคุณปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างนี้คุณลองถามใจตัวเองว่าควรปฏิบัติตามท่านอีกจะดีหรือไม่



ถ้าคุณ หมวยจ้า ปรารถนาพบพระอรหันต์ เพื่อให้ท่านบอกทางไปพระนิพพาน

คุณ หมวยจ้า ทราบหรือยังครับ ว่าจะเอาอะไรไปพระนิพพาน

ตัวเราคืออะไร อะไรที่เป็นตัวเรา และอะไรที่เราจะเอาไปพระนิพพาน?





ทั้งหมดนี่เป็นความเห็นจากใจของผมนะครับ ไม่ทราบว่าเห็นถูกหรือไม่

แต่ตั้งแต่ที่มีความเห็นแบบนี้ ก็รู้สึกว่าใจดีขึ้น

มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย

เชื่อมั่นใน มรรค ผล นิพพาน

และก็เชื่อว่าเดินตามทางนี้ต่อไปต้องถึงจุดหมายที่ต้องการแน่

80  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: การระลึกชาติ ด.ญ.พิมพวดี กรณีศึกษาผลของกรรม เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 03:45:22 pm
 st11 st12 st12
หน้า: 1 [2] 3