แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
Messages - vichai
|
หน้า: 1 2 3 [4] 5
|
121
|
เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: แจ้งปัญหา การใช้งานเว็บไม่ได้ ในช่วงเช้า ถึง 13.00 น. 3 พ.ย.55
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 09:43:35 am
|
อนุโมทนา กุศล กับการแก้ปัญหา และการต่ออายุเว็บด้วยครับ ผมว่า สมาชิก ส่วนใหญ่จะยังไม่ทราบเรื่องนี้นะครับว่าเว็บ ถูกตัดการใช้งานเรื่องการต่ออายุในวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่ผมทราบก็เพราะผมเข้ามาก็เจอข้อความ ว่าเว็บหมดอายุ.... ซึ่งผมก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า เว็บดี ๆ มีเนื้อหา ไม่น่าจะหยุดนะครับ ในวันนั้นหรือ ทุนทรัพย์พระอาจารย์เข้าวิกฤติ ก็เป็นห่วงเช่นกัน สาธุ ครับ กับการดำเนินการแก้ปัญหา ได้อย่างรวดเร็วจริง ๆ ครับ
|
|
|
122
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ความเอิบอิ่มใจ อันเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของฌาน
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 09:39:41 am
|
ความเอิบอิ่มใจ อันเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของฌาน เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความสงบของจิต ปีตินี้จะเกิดแก่คนทุกคนที่ได้ทำสมาธิ แม้เมื่อจิตเริ่มสงบ ยังไม่ได้สมาธิ ปีติบางอย่างก็เกิดขึ้นแล้ว เช่น มีอาการเหมือนกับมดหรือไรมาไต่บนใบหน้า หรือตัวเบา เป็นต้น ลักษณะของอาการปีติมีมาก เกิดแก่นักปฏิบัติเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง ทั้งนี้เพราะบุญบารมีที่สั่งสมมาไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน และเพราะวิธีปฏิบัติของแต่ละท่านไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน แต่เมื่อกล่าวโดยสรุป แล้วปีติมี 5 อย่าง คือ
1. ขุททกาปิติ ปิติเล็กน้อย 2. ขณิกาปิติ ปิติชั่วขณะ 3. โอกกันติกาปิติ ปิติเป็นพักๆ 4. อุพเพงคาปิติ ปิติโลดโผน 5. ผรณาปิติ ปิติซาบซ่าน
ขุททกาปิติ ปิติเล็กน้อย
เช่น เกิดขนลุกชูชันขึ้น เกิดน้ำตาไหล บางครั้งก็เกิดขนลุกซู่ทั่วร่างกาย บางทีก็เกิดผมตั้งชูชันขึ้น แต่เกิดนิดหน่อย แล้วก็ดับไป นี้คือลักษณะของขุททกาปิติ ซึ่งเกิดแก่นักปฏิบัติบ่อย แต่ไม่ใช่ทุกท่าน
ขณิกาปิติ ปิติชั่วขณะ
เช่น รู้สึกเสียวแปลบขึ้นตามร่างกายเหมือนสายฟ้าแลบ แต่พักหนึ่งก็ดับไป หรือบางครั้งเกิดคันตามใบหน้าเหมือนมีมดหรือมีไรมาไต่ หรือเหมือนกับมีใยแมงมุมมาพาดบนใบหน้า บางทีเนื้อตัวกระตุก หรือบางทีกระดูกสันหลังกระตุก บางทีเส้นกระตุก ปิติชนิดนี้มักจะบังเกิดแก่นักปฏิบัติทุกท่าน แต่อาการเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง
โอกกันติกาปิติ ปิติเป็นพักๆ
ปิติเช่นนี้จะรู้สึกซู่ซ่าแรงกว่าขณิกาปิติ คือแรงกว่าสายฟ้าแลบ มีอาการเหมือนกับคลื่นกระทบฝั่ง บางทีเหมือนกับคนนั่งเรือไปในมหาสมุทรถูกคลื่น ทำให้รู้สึกโคลงเคลงเหมือนจะล้ม ลักษณะเช่นนี้ ถ้าใครเกิดปิติเช่นนี้ขึ้น บางทีจะรู้สึกรำคาญ เพราะว่าขณะที่เดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอยู่นั้น ตึกทั้งหลังหรือแม้แผ่นดินที่ตนเดินหรือนั่งบางครั้งอยู่จะรู้สึกตะแคง บางท่านเข้าใจว่าปิตินั้นต้องรู้สึกอิ่มใจ แต่นี้ไม่เสมอไป เช่น โอกกันติกาปิตินี้ มักจะรู้เฉยๆมากกว่า แต่ปิติข้อสุดท้าย คือ ผรณาปิติมีความอิ่มใจอย่างเห็นได้ชัด
อุพเพงคาปิติ ปิติโลดโผน
ปิตินี้มีลักษณะทำให้ใจฟู บางทีทำให้การกระทำบางอย่างเกิดขึ้นเว้นจากเจตนาก็มี เช่น เปล่งอุทาน เป็นต้น หรือบางท่านมีตัวลอยขึ้นเหนือพื้น ซึ่งยังปรากฎว่ามีอยู่ในหมู่นักปฏิบัติในปัจจุบันทั้งในประเทศไทยและต่าง ประเทศ
ผรณาปิติ ปิติซาบซ่าน
คือ ทำให้รู้สึกซาบซ่านเอิบอิ่มไปทั่วร่างกาย ถ้าใครเคยประสบมาแล้วจะรู้สึกพอใจมาก เพราะรู้สึกซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ปิติประเภทนี้ เป็นปิติโดยองค์ฌานโดยตรง แต่ผู้ปฏิบัติที่ยังไม่ถึงขั้นฌานบางท่าน ก็เกิดปิติชนิดนี้ได้เหมือนกัน
นี้คือลักษณะของปิติ 5 ประการที่เกิดขึ้นแก่ผู้บำเพ็ญสมาธิหรือวิปัสสนา แต่ปิติในองค์ฌานเป็นผรณาปิติ คือ ปิติซาบซ่าน ส่วนอีก 4 ชนิด ย่อมเกิดได้แก่ผู้บำเพ็ญสมาธิและวิปัสสนาทั่วไป แม้จะไม่ได้ฌานก็ได้ และไม่ใช่ปิติในองค์ฌาน เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความสงบของจิต ปีตินี้จะเกิดแก่คนทุกคนที่ได้ทำสมาธิ แม้เมื่อจิตเริ่มสงบ ยังไม่ได้สมาธิ ปีติบางอย่างก็เกิดขึ้นแล้ว เช่น มีอาการเหมือนกับมดหรือไรมาไต่บนใบหน้า หรือตัวเบา เป็นต้น ลักษณะของอาการปีติมีมาก เกิดแก่นักปฏิบัติเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง ทั้งนี้เพราะบุญบารมีที่สั่งสมมาไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน และเพราะวิธีปฏิบัติของแต่ละท่านไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน แต่เมื่อกล่าวโดยสรุป แล้วปีติมี 5 อย่าง คือ
1. ขุททกาปิติ ปิติเล็กน้อย 2. ขณิกาปิติ ปิติชั่วขณะ 3. โอกกันติกาปิติ ปิติเป็นพักๆ 4. อุพเพงคาปิติ ปิติโลดโผน 5. ผรณาปิติ ปิติซาบซ่าน
ขุททกาปิติ ปิติเล็กน้อย
เช่น เกิดขนลุกชูชันขึ้น เกิดน้ำตาไหล บางครั้งก็เกิดขนลุกซู่ทั่วร่างกาย บางทีก็เกิดผมตั้งชูชันขึ้น แต่เกิดนิดหน่อย แล้วก็ดับไป นี้คือลักษณะของขุททกาปิติ ซึ่งเกิดแก่นักปฏิบัติบ่อย แต่ไม่ใช่ทุกท่าน
ขณิกาปิติ ปิติชั่วขณะ
เช่น รู้สึกเสียวแปลบขึ้นตามร่างกายเหมือนสายฟ้าแลบ แต่พักหนึ่งก็ดับไป หรือบางครั้งเกิดคันตามใบหน้าเหมือนมีมดหรือมีไรมาไต่ หรือเหมือนกับมีใยแมงมุมมาพาดบนใบหน้า บางทีเนื้อตัวกระตุก หรือบางทีกระดูกสันหลังกระตุก บางทีเส้นกระตุก ปิติชนิดนี้มักจะบังเกิดแก่นักปฏิบัติทุกท่าน แต่อาการเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง
โอกกันติกาปิติ ปิติเป็นพักๆ
ปิติเช่นนี้จะรู้สึกซู่ซ่าแรงกว่าขณิกาปิติ คือแรงกว่าสายฟ้าแลบ มีอาการเหมือนกับคลื่นกระทบฝั่ง บางทีเหมือนกับคนนั่งเรือไปในมหาสมุทรถูกคลื่น ทำให้รู้สึกโคลงเคลงเหมือนจะล้ม ลักษณะเช่นนี้ ถ้าใครเกิดปิติเช่นนี้ขึ้น บางทีจะรู้สึกรำคาญ เพราะว่าขณะที่เดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอยู่นั้น ตึกทั้งหลังหรือแม้แผ่นดินที่ตนเดินหรือนั่งบางครั้งอยู่จะรู้สึกตะแคง บางท่านเข้าใจว่าปิตินั้นต้องรู้สึกอิ่มใจ แต่นี้ไม่เสมอไป เช่น โอกกันติกาปิตินี้ มักจะรู้เฉยๆมากกว่า แต่ปิติข้อสุดท้าย คือ ผรณาปิติมีความอิ่มใจอย่างเห็นได้ชัด
อุพเพงคาปิติ ปิติโลดโผน
ปิตินี้มีลักษณะทำให้ใจฟู บางทีทำให้การกระทำบางอย่างเกิดขึ้นเว้นจากเจตนาก็มี เช่น เปล่งอุทาน เป็นต้น หรือบางท่านมีตัวลอยขึ้นเหนือพื้น ซึ่งยังปรากฎว่ามีอยู่ในหมู่นักปฏิบัติในปัจจุบันทั้งในประเทศไทยและต่าง ประเทศ
ผรณาปิติ ปิติซาบซ่าน
คือ ทำให้รู้สึกซาบซ่านเอิบอิ่มไปทั่วร่างกาย ถ้าใครเคยประสบมาแล้วจะรู้สึกพอใจมาก เพราะรู้สึกซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ปิติประเภทนี้ เป็นปิติโดยองค์ฌานโดยตรง แต่ผู้ปฏิบัติที่ยังไม่ถึงขั้นฌานบางท่าน ก็เกิดปิติชนิดนี้ได้เหมือนกัน
นี้คือลักษณะของปิติ 5 ประการที่เกิดขึ้นแก่ผู้บำเพ็ญสมาธิหรือวิปัสสนา แต่ปิติในองค์ฌานเป็นผรณาปิติ คือ ปิติซาบซ่าน ส่วนอีก 4 ชนิด ย่อมเกิดได้แก่ผู้บำเพ็ญสมาธิและวิปัสสนาทั่วไป แม้จะไม่ได้ฌานก็ได้ และไม่ใช่ปิติในองค์ฌาน
|
|
|
125
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปลาอานนท์ กับ พระอานนท์ เกี่ยวข้องกันอย่างไร เชิญอ่าน
|
เมื่อ: ตุลาคม 02, 2012, 02:18:26 pm
|
เรื่องปลาอานนท์มีอรรถกถาเยอะแยะ ทำไมต้องใบ้กินด้วยนะ สัตว์ใต้ทะเลมีอีกมากมายที่มนุษย์ยังค้นไม่เจอ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็เจอสัตว์ใหม่ๆคลอดเวลา
http://www.watkoh.com/forum/archive/index.php/t-3299.html
อรรถกถา สังยุตตนิกาย นิทานวรรค อภิสมัยสังยุตต์ ทุกขวรรคที่ ๖ ๑๐. นิทานสูตร อรรถกถานิทานสูตรที่ ๑๐
" ท่านพระอานนท์ผู้ถึงพร้อมด้วยอภินิหารตลอดแสนกัป ก็เหมือนนักมวยปล้ำผู้ถูกเลี้ยงดูด้วยรสโภชนะอันดีตลอด ๖ เดือน. ก้อนหินที่นักมวยจะต้องยกเป็นของเบาสำหรับนักมวยปล้ำ เพราะนักมวยปล้ำมีกำลังมาก ฉันใด. ปฏิจจสมุปบาทพึงกล่าวว่าเป็นธรรมอันง่าย สำหรับพระอานนท์ เพราะพระเถระมีปัญญามาก แต่มิใช่เป็นธรรมอันง่ายสำหรับภิกษุเหล่าอื่น ฉันนั้น.
ก็ในมหาสมุทร ปลาใหญ่ชื่อติมิยาว ๒๐๐ โยชน์ ปลาติมิงคละยาว ๓๐๐ โยชน์ ปลาติเมรปิงคละยาว ๕๐๐ โยชน์. ปลา ๔ อย่างเหล่านี้ คือปลาอานนท์ ปลาปนันทะ ปลาอัชโฌหาระ ปลามหาติมิยาวตั้งพันโยชน์. ในปลาทั้ง ๔ อย่างนั้น ท่านแสดงด้วยปลาติเมรปิงคละนั่นเอง. เมื่อมันกระดิกหูขวา น้ำในพื้นที่ตั้ง ๕๐๐ โยชน์ก็จะเคลื่อนไหว หูซ้าย หาง หัวก็เหมือนกัน. แต่เมื่อมันกระดิกหูทั้ง ๒ ฟาดหางเอียงหัวไปมา เริ่มจะเล่นน้ำที่คนเอาใส่ภาชนะ น้ำในที่ ๗-๘ ร้อยโยชน์ก็กระเพื่อม เหมือนยกขึ้นตั้งบนเตา น้ำในพื้นที่ประมาณ ๓๐๐ โยชน์ก็ไม่อาจจะท่วมหลัง (ของมัน). มันพึงกล่าวอย่างนี้ว่า "ชนทั้งหลายกล่าวว่า มหาสมุทรนี้ลึก ความลึกของมหาสมุทรนั้นอยู่ที่ไหน. พวกเราไม่ได้น้ำแม้เพียงที่จะท่วมหลังของพวกเราได้" ในข้อนั้น พึงกล่าวว่า "มหาสมุทรตื้นสำหรับปลาเล็กเหล่าอื่น" ปฏิจจสมุปบาทก็เหมือนอย่างนั้นแหละ พึงกล่าวว่า "ง่ายสำหรับพระอานนท์ ผู้เข้าถึงญาณ (ผู้มีปัญญามาก) แต่ไม่พึงกล่าวว่า ง่ายสำหรับภิกษุเหล่าอื่น.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=224
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28&i=315
ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกันในโรงธรรมสภา พากันกล่าวโทษของภิกษุนั้นว่า กระทำกรรมเห็นปานนี้ เบื้องพระพักตร์ชื่อของพระศาสดา. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่องอะไรหนอ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ชื่อภิกษุนั้นละหิริและโอตตัปปะ เป็นคนเปลือยเหมือนเด็กชาวบ้านในท่ามกลางบริษัท ๔ เบื้องหน้าพระองค์ ผู้อันคนทั้งหลายรังเกียจอยู่ จึงเวียนมาเพื่อความเป็นคนเลว เสื่อมจากพระศาสนา ดังนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายจึงนั่งประชุมกัน ด้วยการกล่าวโทษมิใช่คุณของภิกษุนั้น. พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นเสื่อมจากศาสนาคือพระรัตนะ ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้ แม้ในกาลก่อนก็เป็นผู้เสื่อมแล้วจากอิตถีรัตนะเหมือนกัน. แล้วทรงนำอดีตนิทานมาว่า ในอดีตกาล ครั้งปฐมกัป สัตว์ ๔ เท้าทั้งหลายได้ตั้งราชสีห์ให้เป็นราชา พวกปลาตั้งปลาอานนท์ให้เป็นราชา พวกนกได้ตั้งสุวรรณหงส์ให้เป็นราชา.
http://www.84000.org/tipitaka/atita100/jataka500.php?s=32ขอบคุณภาพจาก http://www.7wondersthailand.com
|
|
|
126
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ปฏิบัติธรรม ให้รู้จากทุกข์ ก่อนเป็นเรื่องแรก
|
เมื่อ: ตุลาคม 02, 2012, 02:12:59 pm
|
[๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอา ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะ เข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกาย อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปี บ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปี บ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็น ที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ จิตเป็นธรรมชาติที่เกิดดับเร็วที่สุดไม่มีอะไรที่รวดเร็วเท่าจิต เมื่อจิตดวงหนึ่งดับไป จิตดวงหนึ่งก็เกิดขึ้นมาแทนที่ แต่ก่อนที่จิตดวงก่อนจะดับไปนั้น ได้ทิ้งเชื้อคือกรรมและกิเลสไว้ให้จิตดวงต่อไป เหมือนกับมารดาบิดา แม้จะตายจากไปแล้วก็ยังได้ทิ้งกรรมพันธุ์ ให้แก่ลูกหลานได้นำสืบไป การเกิดดับของจิตเป็นไปรวดเร็วติดต่อกัน จนเราไม่อาจที่จะกำหนดได้ เช่นเดียวกับกระแสไฟฟ้าที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่ติดต่อกันรวดเร็วจนเราไม่อาจจะสังเกตได้
จิตเกิดดับครั้งหนึ่งเรียกว่า “ขณะหนึ่ง หรือดวงหนึ่งของจิต” และจิตดวงหนึ่งยังมีขณะเล็กหรืออนุขณะอีก ๓ คือ อุปปาทขณะ ฐิติขณะและภังคขณะ ขณะที่จิตเริ่มเกิด เรียกว่า อุปปาทขณะ ขณะที่จิตตั้งอยู่ยังไม่ดับไป เรียกว่า ฐิติขณะ ส่วนขณะที่จิตกำลังดับไป เรียกว่า ภังคขณะ
เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ถ้าสนใจศึกษา หาอ่านได้ที่ http://www.prapitum.mbu.ac.th/phrarpitum/apitum-perface.html
|
|
|
133
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / Re: เกี่ยวกับ พระสิราศนเจดีย์ และ พระสิรจุมภฏเจดีย์ หน้าอุโบสถวัดราชสิทธาราม
|
เมื่อ: สิงหาคม 24, 2012, 05:42:45 pm
|
เจดีย์ทรงเครื่อง :
“เจดีย์ทรงเครื่องเป็นเจดีย์ที่ประดับลาย*เฟื่องรอบองค์ระฆังเพื่อแสดงลักษณะเด่นพิเศษจากเจดีย์องค์อื่น
เจดีย์ทรงเครื่องนี้มักสร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ทรงเกียรติเช่น ที่วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างถวายเป็นพระราชอุทิศ แด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 (ด้านทิศตะวันออก) และสร้างขึ้นเป็นส่วนพระองค์โดยเฉพาะ (ด้านทิศตะวันตก)
ขยายความลักษณะพิเศษก็คือการประดับองค์ระฆังด้วยปูนปั้นเป็นลายเฟื่องนั้น น่าจะสื่อความหมายเช่นเดียวกับพระพุทธรูปทรงเครื่อง ที่มีความเชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีความหมายมาจากความเชื่อจักรพรรดิราชาที่มีอยู่ทั้งในพุทธศาสนาทั้งในมหายานและเถรวาท
(หนังสือพจนานุกรม สถาปัตยกรรมและศิลปเกี่ยวเนื่อง ของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์โชติกัลยาณ มิตร)
*ลายเฟื่องคือลายไทยอย่างหนึ่งที่มีแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติรอบตัว***
|
|
|
136
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เมื่อปฏิบัติเดินตามสายกลาง คือ มรรค แล้วจะได้อะไร ?
|
เมื่อ: สิงหาคม 05, 2012, 05:05:56 pm
|
สภาวะมรรคผลนิพพาน “ จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ “ บางตอนของบทสวดมนต์ที่ แปลว่า คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเป็นบุรุษได้ ๘ บุรุษ เป็นผู้ที่ควรเคารพกราบไหว้บูชา เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว ปฏิบัติชอบแล้ว ปฏิบัติสมควรแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์แล้ว เป็นประโยคข้อความที่บอกถึงบุคคลที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้มรรค ๔ ผล ๔ เป็นผู้ละจากสัญโยชน์(เครื่องร้อยรัด) ๑๐ ประการตามลำดับ จนเป็นพระอริยะสาวก เป็นผู้รู้ธรรมเห็นธรรมซึ่งมีถึง ๘ ขั้น ที่เราเรียกว่าพระอริยะเจ้า การทรงสภาวะเป็นผู้ปลอดภัยจากอบายภูมิ และเป็นผู้เที่ยงแท้ในพระนิพพาน ผู้มีจิตในระดับนี้ย่อมเป็นผู้บริโภคสุขทางกายอันอาศัยอามิส(ปัจจัยเครื่องปรุงแต่งภายนอก) ลดน้อยลงไปตามลำดับ สามารถมีความสุขได้ยิ่งและมั่นคง เมื่อมีสภาวะธรรมสูงยิ่งๆขึ้นไป ลำดับการเป็นอริยะเจ้านั้นมีดังนี้ ๑. พระโสดาปัตติมรรค ๒. พระโสดาปัตติผล (ผู้ละสัญโยขน์ ๓ ) ๓. พระสกิทาคามิมรรค ๔. พระสกิทาคามิผล ( ผู้ทำโลภะ โทษะ โมหะ ให้ เบาบางลงไปอีก จากขั้นแรก) ๕. พระอนาคามีมรรค ๖. พระอนาคามีผล (ผู้ละสัญโยชน์ ๕) ๗. พระอรหัตมรรค ๘. พระอรหัตผล (ผู้ละสัญโยชน์ ๑๐)
สำหรับในชั้นของพระอริยะที่มีคำลงท้ายว่า “มรรค” นั้นเป็นผู้ที่กำลังพัฒนาจิตให้สูงขึ้นไปเข้าสู่ความเป็นผล แต่ในที่นี้ขอกล่าวเฉพาะ ๔ ขั้นที่ความเป็นผลสมบูรณ์ในการละสัญโยชน์ ดังนี้
๑. พระโสดาปัตติผล หรือ พระโสดาบัน(ผู้เข้ากระแสพระนิพพาน) เป็นผู้ที่ดำรงค์ตนมั่นคงอยู่ในศีล ๕ ทั้ง กาย วาจา ใจ มีศีล ๕ เป็นอริยะกันตศีล อาจเป็นเช่นผู้ครองเรือนโดยทั่วๆไปที่มีครอบครัว ในระดับนี้ยังไม่มากพอในด้านสมาธิและปัญญา ในสภาพที่จะละกิเลสบางอย่างได้ โดยเป็นผู้ละจากสัญโยชน์ ๓ คือ ๑.๑ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นผิดยึดมั่นในตัวตน) ละการยึดมั่นตัวตนว่าเป็นเราเป็นของเรา เพราะเห็นกฎของไตรลักษณ์ (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) ของสรรพสิ่งทั้งหลาย เห็นเป็นเพียงรูปกับนามหรือเห็นธรรมชาติของธาตุเท่านั้น ลดความหลงไหลการยึดติดกับโลกธรรมภายนอกอย่างหยาบออกไป เห็นทรัพย์สมบัตินอกกายเป็นเพียงเครื่องอาศัย ยินดีเฉพาะที่ได้มาตามทำนองคลองธรรมตามเหตุปัจจัยอันสมควร ๑.๒ วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย ) หมดความสงสัยในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่ามีจริงหรือไม่? ตรัสรู้อะไร? พระธรรมคำสอนของพระองค์ว่าดับทุกข์ได้จริงไหม? พระอริยะเจ้าอริยะสงฆ์เป็นอย่างไร? ความไม่แน่ใจในปฏิปทาแนวทางที่ปฏิบัติอยู่ถูกต้องหรือไม่? รวมถึงกรรม,ผลของกรรมที่เป็นกฏของธรรมชาติที่บันทึกในจิต เห็นความสลายอุปาทานออกไปจากจิตอย่างไร เข้าใจในอริยสัจสี่ เห็นความทุกข์ที่ดับลงไปจากใจตามภูมิธรรมที่ตนเองเข้าถึง ประจักษ์ชัดกับใจตนเองในการถึงมรรคผลนิพพาน เมื่อหมดความลังเลสงสัย ความศรัทธาฝังแน่นอยู่ในจิตใจโดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหวคลอนแคลนแม้ตนเองจะต้องเสียชีวิตก็ตาม ๑.๓ สีลัพตปรามาส (การถือศีลพรต การเชื่อโชคลาง) ละความเชื่อในข้อวัตรปฏิบัติ ลัทธิหรือ ศาสนาอย่างผิดๆ พึ่งพาอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย เพราะเห็นธรรมชาติอันมีเหตุปัจจัยเป็นมูล เมื่อสามารถละสัญโยชน์ ทั้ง ๓ อย่าง เป็นพระโสดาบัน จะเป็นผู้ที่ไม่มีความอิจฉาริษยา ไม่มีเล่ห์กระเท่ ไม่ลบหลู่คุณคน ไม่หวงแหนทรัพย์ภายนอกจนยึดติด อาจมีหรือไม่มีครอบครัวก็ได้ ถ้ามาเกิดในโลกนี้อย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ หรือถ้ามีความเพียร มีสมาธิ สติ มีปัญญามาก ก็จะกลับมาเกิดอีกเพียง ๑ ครั้งเท่านั้น ภาวะจิตในระดับนี้ไม่จะเสื่อมถอย จิตมีปัญญาที่จะพัฒนาตนเองได้แล้วมีแต่เจริญยิ่งๆขึ้นไป อริยะบุคคลผู้ได้บรรลุโสดาปัติผลมี ๓ ประเภทคือ ๑.๑ เอกพีซี คือ ผู้ที่เกิดอีกเพียง ๑ ครั้ง ๑.๒ โลกังโกละ คือ ผู้ที่เกิดอีกเพียง ๒ - ๓ ครั้ง ๑.๓ สัตตักขัตตุปรมะ คือ ผู้ที่กลับมาเกิดอีกไม่เกิน ๗ ครั้ง
๒. พระสกิทาคามิผล หรือ พระสกทาคามี (ผู้กลับมาอีกครั้งเดียว) เป็นผู้ที่สามารถลด โลภะ โทษะ โมหะ ให้เบาบางลงไปอีกจนเกือบไม่มีความยินดีใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธัมมารมณ์ ชนิดหยาบๆ ทางโลกหลงเหลืออยู่เลย แต่ถ้าอยู่ในเพศฆราวาสก็อาจจะมีครอบครัวยังเป็นผู้ครองเรือน เพราะยังมีความติดอยู่ในภาวะของโลกอยู่บ้างแต่ไม่ยึดมั่นเป็นอุปาทานอย่างปุถุชนทั่วๆไป เมื่อกายสังขารแตกดับไปแล้วก็จะเป็นผู้ที่จะกลับมาเกิดอีกเพียงครั้งเดียว
๓. พระอนาคามิผล หรือ พระอนาคามี เป็นผู้ที่ละสัญโยชน์ ๕ ข้อได้ คือ ๓.๑ ราคะ ความกำหนัดยินดีในสัมผัส กามราคะ คือ ความกำหนัดหรือยินดีในกามคุณต่างๆ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กามฉันทะ คือ ความชอบ ความพอใจในโลกีย์วิสัย ๓.๒ ปฏิฆะ คือ ความโกรธขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจ ชั้นนี้สามารถละความรักความยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทางโลกอันหยาบได้โดยสิ้นเชิง เป็นผู้หมดสภาพอารมณ์ทางกามราคะ,ปฏิฆะ หมดความโกรธแม้มีใครมาทำร้ายก็ไม่มีความโกรธขึ้นมาได้ เมื่อสังขารร่างกายแตกดับไปจะเป็นผู้ผุดเกิดบนสวรรค์ชั้นแดนสุทธาวาส รอการบรรลุเป็นพระอรหัตผลในขั้นสุดท้าย
๔. พระอรหัตผล หรือ พระอรหันต์ สามารถละสัญโยชน์ทั้ง ๑๐ ได้ โดยละเพิ่มอีก ๕ ข้อดังนี้ รูปราคะ คือ ความติดใจในรูปธรรม หรือ รูปฌาณ อรูปราคะ คือ ความติดใจในอรูปธรรม หรือ อรูปฌาณ ความมานะ คือ ความสำคัญตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เช่น ตนดี,เลวเสมอ กว่าคนนั้นคนนี้เป็นต้น อุทธัจจะ คือ ความคิดพล่าน ฟุ้งซ่าน อวิชชา คือ ความไม่รู้ หรือความรู้ที่ไม่จริง ในขั้นนี้เป็นผู้เห็นอริยสัจ ๔ โดยสมบูรณ์ เป็นผู้สิ้นทุกข์ดับทุกข์ทางใจโดยสิ้นเชิง หรือหมดเชื้อเกิดนั่นเอง เป็นการจบกิจที่ต้องทำต่อตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญเพียรอีกต่อไป
------------------------------------------------- นิพพานคืออะไร....ความหมายของนิพพาน.....
นิพพาน(อายตนะ)
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะ(นิพพาน)นั้นมีอยู่ ในอายตนะนั้นไม่มีในดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีในอากาสานัญจายตนะ วิญยาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญยายตนะ ไม่มีโลกนี้ไม่มีโลกอื่น ไม่ในมีพระจันทร์ ไม่มีในพระอาทิตย์ทั้งสอง เราย่อมกล่าวอายตนะนั้นว่ามิใช่ก ารมา มิใช่การไป มิใช่การตั้งอยู่ มิใช่การจุติ มิใช่การเกิดขึ้น ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีความเป็นไป ไม่มีอารมณ์ นั่นแหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์”
"ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใสโดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ อุปาทยรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ เพราะวิญญาณดับ นามและรูปย่อมดับ ไม่มีเหลือในธรรมชาติ ดังนี้ฯ" (ที.สี.14/350)
"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต" (ที.สี.14/90)
"อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นี้แ
|
|
|
138
|
เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เชิญร่วมบริจาค สร้างหนังสือสวดมนต์เล่มละ 60 ถวายวัดนาหนาด สาขาหนองป่าพง
|
เมื่อ: สิงหาคม 05, 2012, 04:59:07 pm
|
ชมรมลานความคิด ประทีปแห่งคุณธรรม
เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพ จัดพิมพ์หนังสือ"สวดมนต์" จำนวนพิมพ์ 1,000 เล่ม ต้นบุญเล่มละ 60 บาท จัดพิมพ์ในวันที่ 1 เดือน ธันวาคม 2555 ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช ในวโรกาส ๘๔ พรรษา ถวายวัดนาหนาด สาขาหนองป่าพงที่ ๑๓๗ ต.นาหนาด อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ร่วมบริจาคผ่าน ธนาคารทหารไทย สาขา ธรรมศาสตร์-ท่าพระจันทร์ บัญชีเลขที่ 155-2-07369-2 ชื่อบัญชี ชมรมลานความคิด โดยพระมหาปรีชา ปภสฺสโร
ติดต่อสอบถาม 086-685-3795 พระมหาปรีชา ปภสฺสโร วัดลาดบัวขาว ถ.เจริญกรุง 80 เขต บางคอแหลม กรุงเทพฯ 10120 ส่งรายชื่อเป็นไฟล์เอกสารมา
ได้ที่ Email:preeeecha@Hotmail.com หมายเหตุ... สิ้นสุดรับรายชื่อ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 ทุกเจ้าภาพ อนุโมทนา ชื่อ นามสกุล ในหนังสือ...เจริญพร
|
|
|
143
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชาวกรรมฐาน ผู้ภาวนา ควรใส่ใจ เรื่อวลึกลับ อย่างไร หรือ รับมืออย่างไร :
|
เมื่อ: สิงหาคม 02, 2012, 04:19:34 pm
|
กายหยาบ ไปสู่กายละเอียด กายละเอียด ไปสู่กายทิพย์ จากายทิพย์ ไปสู่พรหมกาย จากพรหมกาย ไปสู่กายพุทธะ เป็นไปตามลำดับ ครับ แนะนำได้อย่างนี้เมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นในระหว่างภาวนา สิ่งนั้นก็เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปัจจัยปรุงแต่งพร้อมขึ้นมา สิ่งนั้นก็จะดับลงไปเป็นธรรมดา สิ่งสำคัญการรู้จริง ไม่ใช่การข่มความกลัว แต่เป็นการรู้แจ้งจริงในสภาวะนั้น จริง ๆ จึงจะคลายทิฏฐิ ความกลัว ได้เรียกว่า ดวงตาเห็นธรรมเบื้องต้นครับ วิธีแก้ไขคือ การมองให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าสิ่งนี้เป็นเพียงธาตุ เป็นเพียงมนธาตุ เป็นเพียงมนายตะนะธาตุ เป็นหทัยวัตถุ เป็นอุปาทายรูป เป็น.... สำหรับผมตอนนี้เข้าใจมาเพียงเท่านี้นะครับ วานศิษย์พี่ทุกท่าน ๆ ที่เข้าใจสานต่อในคำตอบด้วยครับ
|
|
|
144
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ขอความอนุเคราะห์พระอาจารย์ช่วยสอนมัชฌิมากรรมฐานตั้งแต่เริ่มต้น
|
เมื่อ: สิงหาคม 02, 2012, 04:14:08 pm
|
สรุปแล้วคือตั้งใจเรียนตั้งแต่เบื้องต้นก็ให้ ศึกษาในลิงก์ แต่คิดว่าถ้าต้องการเรียนจริง ๆ แล้วควรพบสนทนาจริงจังกับพระอาจารย์นะครับ ทราบว่ามีผู้ติดต่อมอย่างนี้ทางเมล มีมาก แตไม่ได้สอนให้เพราะ พระอาจารย์ท่านเคยกล่าวว่า ผู้ขอเรียนทางไปรษณ๊ย์นั้น ต้องถูกทดสอบกำลังใจ และเป้าหมายในการภาวนาก่อนดังนั้น ผมคาดการณ์ไว้แล้วว่าพระอาจารย์ต้องตอบเหมือนตอนที่ผมขอไว้เข่นกัน เดิมทีแต่แรกผมเองก็เป็นศิษย์ที่วัดธรรมมงคลครับ ชอบการภาวนาในสายวัดป่าครับ แต่สุดท้ายก็ยอมเข้าพบพระอาจารย์ครับ ได้ฟังได้เรียนตรงหน้า เนือ้หาอัดแน่นจริง ๆ นะครับ ถูกทดสอบนั่งกรรมฐาน 8 ขม ติดต่อครับ .ครับ ผมนี้บิดแล้วบิดอีก พระอาจารย์ยังนั่งเฉยเหมือนเดิมครั้งแรกเลยครับ อันนี้ผมจัดว่าเป็นเนือ้หานะครับ ไม่ได้ฟังสอนแต่ถูกทดสอบสมาธิ เพราะผมดันไปอวดสรรพคุณว่านั่งกรรมฐานได้ 3 ชั่วโมง ครั้งแรกก็โดนเลยครับ ท่านตอบว่าถ้าอย่างนั้นคุณก็นั่งกรรมฐาน กับอาตมาสักระยะหนึ่งก่อนนะ เพื่อนๆ ไปด้วยกัน ขับรถกลับบ้านหนีกลับก่อน มีแต่ผมคนเดียวที่ยังนั่งอยู่ ทรมานสุด ๆ แต่ทำให้รู้ประสิทธิภาพจริง ๆ เวลานั่งกรรมฐาน กับครูอาจารย์ ดังนั้นผมว่าขอเรียนทางไกลอย่างนี้ ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจริง ๆ นั้นต้องอาศํยความอุตสาหะ คุณทดสอบ ก็ถูกทดสอบ เช่นกัน เนื่องจากปณิธานการเผยแผ่ของพระอาจารย์ช่วงนี้เป็นเน้นผู้ปฏิบัติจริง ท่านจึงปลีกวิเวกไม่รับขึ้นกรรมฐาน มา 3 ปีแล้วครับถ้าไม่ตั้งใจจริง ๆ ก็ลงเอยแบบนี้ครับ
|
|
|
150
|
เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: บาป มากหรือไม่ คะ ที่เราห้ามลูกหลาน และ ญาติ ไปร่วมบุญที่ท้องสนามหลวง ในวันที่ 4
|
เมื่อ: มิถุนายน 06, 2012, 04:22:00 pm
|
มาก หรือ น้อย ขึ้นไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่า เจตนาของคุณ ตอนนั้นต้องการขัดขวางการไปทำบุญกุศลของพวกเขาอย่างไร เพราะเหตุไร ครับ
มีครับ ผมมีเพื่อน ๆ อยู่หลายท่าน พอผมไปชวนร่วมบุญ ด้วย ก็มักจะมี อีกคนหนึ่ง ออกมาคอยขัดไม่ให้ร่วมครับ แ่ต่การชวนคนไปสร้างกุศลร่วมบุญ ไม่ใช่ชวนกันง่าย ๆ นะครับ
เอาง่าย ๆ ครับ ผมขอถามว่า
วันนี้ คุณชวนลูก แฟน ญาต ของคุณไป ช๊อบปี้ง ดูหนัง สิครับ ว่าตอบกันกี่คน และ ลองชวนไปนั่งสมาธิ ที่วัด หรือในห้องพระที่บ้านดูสิครับ ว่าตอบกันกี่คน
ดังนั้นเวลาที่ใครมีจิตเป็นกุศล แล้ว เราไปขัดขวางเขาในกุศลนั้น ก็ย่อมบาปมากครับ เพราะเขากำลังมีศรัทธา
คงตอบได้เท่านี้นะครับ ...
|
|
|
151
|
เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: รู้สึกอิจฉา เมื่อเห็นคนอื่น ได้ไปทำบุญกันมามากมาย แต่ตัวเราเองไม่ได้อย่างเขา
|
เมื่อ: มิถุนายน 06, 2012, 04:17:29 pm
|
นั่นต้องฝึกจิตใจ อนุโมทนา บุญกุศล บ้างครับ เป็นเพราะจิตไม่เคยฝึกแผ่ส่วนบุญ แผ่เมตตา บ่อย ๆ ครั้งแสดงว่าคุณเป็นคนเจ้าโทสะ ทำอะไรต้องให้ได้ดั่งใจโดยนิสัย ดังนั้น ต้องหมั่นฝึกภาวนา การแผ่เมตตา แผ่ส่วนบุญ บ่อย ๆ ครั้งครับ นานๆ ไปเมื่อธรรมรวมลงแล้ว ก็จะ กล่าว อนุโมทนา ได้อย่างไม่มีปัญหา
ความอิจฉาริษยา มีในปุถุชน ครับ แต่ในผู้หมั่นภาวนา นั้นมีน้อยกับ ไม่มี ครับ
เบื้องต้น ควรยกมือ จรดที่หน้าอก แล้วพูดว่า
ข้าพเ้จ้า ขออนุโมทนา กุศล กับทุกท่านที่ได้สร้างบุญ สร้างกุศลด้วยคะ ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดี ที่ทุกท่านได้สร้างกุศลความดี ด้วยกาย วาจา ใจ คะ ขอให้ข้าพเจ้า จงเป็นผู้มีความสุข เพราะความยินดีในความดี ของผู้อื่นด้วยคะ
กล่าวสัก 3 จบ 7 จบ นะครับ
|
|
|
152
|
เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เชิญเข้าปฏิบัติธรรม วันเสาร์-วันอาทิตย์ ๒๓-๒๔ มิ.ย. ๕๕ ที่คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม
|
เมื่อ: มิถุนายน 06, 2012, 03:28:34 pm
|
เชิญเข้าปฏิบัติธรรม
วันเสาร์-วันอาทิตย์ ๒๓-๒๔ มิถุนายน ๕๕ ที่คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม
โทร.084-651-7023
กำหนดการปฏิบัติธรรมเดือนมิถุนายน 55
วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2555 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 8 (วันไหว้ปะจ่าง)
เวลา 09.30-10.15 ลงทะเบียน รับอาหารเช้า รับศีล ขึ้นกรรมฐาน
เวลา 10.15-11.00 รับประทานอาหารกลางวัน ปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัย
เวลา 13.00-14.00 ฟังธรรมบรรยาย ถามปัญหาธรรม พักดื่มน้ำปานะ
เวลา 14.00-16.30 นั่งกรรมฐาน เดินจงกรม
เวลา 16.30-17.00 ทำวัตรเย็น พักผ่อนตามอัธยาศัย
วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2555 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8
เวลา 06.30- 07.00 ทำวัตรเช้า เจริญภาวนา รับอาหารเช้า
เวลา 11.00 – 13.00น. รับประทานอาหารกลางวัน ปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัย
เวลา 13.00-14.00 ฟังธรรมบรรยาย ถามปัญหาธรรม พักดื่มน้ำปานะ
เวลา 14.00-16.30 เจริญจิตภาวนา เดินจงกรม ทำธุระส่วนตัว
เวลา 16.30-17.00 สวดธรรมจักร พิธีพุทธาภิเศก ลาศีลกลับบ้านhttp://www.somdechsuk.org/node/265
|
|
|
157
|
ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / มิวสิกวีดีโอ "เพลงปณิธานเพื่อการเผยแผ่พระกรรมฐาน"
|
เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2012, 06:00:41 pm
|
เผยแพร่เมื่อ 14 พ.ค. 2012 โดย dhammawangso เพลงปณิธานเพื่อการเผยแผ่พระกรรมฐาน แสดงจุดยืน และ การทำงานของเรา แต่งเพลงนี้ออกมาเื่พื่อให้ศิษย์ทุกคนระลึกนึกถึง ปณิธาน ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ แต่เราทำเพื่อให้ท่านได้มีโอกาสศึกษาภาวนา กรรมฐาน ในแนวทางกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ พอได้แต่งเพลงนี้ออกมาแล้ว ก็นับว่ามีบุญอยู่ มีผู้เข้ามาช่วยใส่ทำนองเพลงให้คือ คุณบุญญฤทธิ์ โสมรัตนานนท์ ช่วยใส่ทำนองและขับร้องให้ ก็เอาเป็นเพลงเปิดรายการในสถานี จึงได้จัดเป็นวีดีโอสำหรับ คนที่ต้องการนำไว้ฟังเพื่อได้ระลึกถึุงปณิธาน ที่อาจารย์ได้ดำเนินการเผยแผ่พระกรรมฐาน ด้วยการปิดทองหลังพระมาตลอด อ่านพบใน Facebook ของ madchimaRDN มาครับ แต่เห็นในเว็บยังไม่มีนะครับ ขออนูญาต ได้ช่วยโพสต์ ครับ
|
|
|
160
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ญาณ เสื่อมได้หรือไม่คะ
|
เมื่อ: เมษายน 16, 2012, 10:04:57 am
|
ก็สติอันกำหนดกาย ละวิปัลลาสในกายว่าเป็นของงาม ย่อมสำเร็จด้วย
มรรค เพราะเหตุนั้น สตินั้น จึงชื่อว่า กายานุปัสสนา. สติกำหนดเวทนา
ละวิปลาสในเวทนาว่าเป็นสุข ย่อมสำเร็จด้วยมรรค เพราะเหตุนั้น สตินั้น
จึงชื่อว่า เวทนานุปัสสนา. สติกำหนดจิต ละวิปลาสในจิตว่าเป็นสภาพเที่ยง
ย่อมสำเร็จด้วยมรรค เพราะเหตุนั้น สตินั้น จึงชื่อว่า จิตตานุปัสสนา. สติ
กำหนดธรรม ละวิปลาสในธรรมทั้งหลายว่าเป็นอัตตา ย่อมสำเร็จด้วยมรรค
เพราะเหตุนั้น สตินั้น จึงชื่อว่า ธัมมานุปัสสนา. ด้วยประการฉะนี้ สติอัน
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 152
สัมปยุตด้วยมรรคอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมได้ชื่อ ๔ อย่าง เพราะอรรถว่ายังกิจ
๔ อย่างให้สำเร็จ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ก็ในขณะแห่ง
มรรค สติปัฏฐาน ๔ ย่อมได้ในจิตอย่างเดียวเท่านั้น ดังนี้.
วรรณนาสุตตันตภาชนีย์ จบขอบคุณภาพประกอบจาก http://1.bp.blogspot.com
|
|
|
|