หัวข้อ: บาลีวันละคำ เอ้เต เริ่มหัวข้อโดย: ปัญญสโก ภิกขุ ที่ กรกฎาคม 19, 2016, 01:48:59 pm บาลีวันละคำ
เอ้เต อ่านตรงตัวว่า เอ้-เต พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า - “เอ้เต : (คำวิเศษณ์) นั่งหรือนอนปล่อยตัวตามสบายมีท่าสง่าผ่าเผย.” พจน.54 ไม่ได้บอกที่ไปที่มาของคำนี้ แต่ผู้เขียนบาลีวันละคำได้ยินมาว่า คำว่า “เอ้เต” มีที่มาจากบทสวดมนต์ชื่อ “อาฏานาฏิยปริตร” ที่ขึ้นต้นว่า “วิปสฺสิสฺส นมตฺถุ จกฺขุมนฺตสฺส สิรีมโต” (วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต) ท่อนที่ ๒ ของพระปริตรบทนี้ขึ้นต้นว่า “เอเต จญฺเญ จ สมฺพุทฺธา” (เอเต จัญเญ จะ สัมพุทธา) เวลาพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ในงานมงคลต่างๆ ท่านมักตัดลัดมาขึ้นตรงท่อนที่ ๒ นี้ พระภิกษุสมัยก่อนมีอัธยาศัยในการท่องบ่นบทสวดมนต์ให้จำขึ้นใจ (สมัยนี้กางหนังสือสวด) เมื่อมีเวลาว่างท่านก็มักจะทบทวนบทสวดมนต์อยู่เสมอ ตามปกติเวลาสวดมนต์ต้องครองผ้าเรียบร้อยและนั่งสวดด้วยกิริยาเคารพ แต่ในเวลาทบทวนหรือซ้อมสวดอนุโลมให้ทำตัวตามสบายได้ พระท่านจึงมักนั่งสวดในอิริยาบถผ่อนคลาย บางทีก็กึ่งนั่งกึ่งนอนลักษณะอย่างที่เรียกว่า “นั่งเอกเขนก” เมื่อนั่งเอกเขนกซ้อมสวดบท “เอเต จัญเญ...” ใครเห็นหรือได้ยินก็พูดกันว่า “นั่งเอ้เต” (เอ- ออกเสียงเป็น เอ้- แบบเดียวกับ เอกา- พูดเป็น เอ้กา-) คือนั่งสวดเอเต แล้วความหมายก็กลายเป็น “นั่งหรือนอนปล่อยตัวตามสบายมีท่าสง่าผ่าเผย” ดังที่ พจน.54 ให้คำจำกัดความไว้ ผู้เขียนบาลีวันละคำยังได้ยิน “นิทานชาววัด” เล่าเสริมเพื่อความครึกครื้นสืบกันมาว่า พระรูปหนึ่งกุฏิอยู่ใกล้สระน้ำ ตอนเย็นๆ ท่านก็ซ้อมบท “เอเต จัญเญ...” ด้วยเสียงอันดังอยู่ในกุฏิ สวดซ้ำอยู่แต่ เอเต จัญเญ ๆ ๆ เพื่อให้คล่องปาก สีกาคนหนึ่ง ชื่อจัน มาตักน้ำในวัด ได้ยินแต่ เอเต จัญเญ ๆ ๆ ก็เข้าใจว่าพระล้อชื่อตน ล้อไม่หยุดสักที ขัดใจขึ้นมาจึงตะโกนขึ้นว่า “จันพ่อจันแม่นะสิ” นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทำความดี บางทีก็ขัดใจคน .......... ขออัญเชิญบท “อาฏานาฏิยปริตร” ท่อนที่ขึ้นต้นว่า เอเต จัญเญ บางส่วน ทั้งคำบาลี คำอ่าน และคำแปล มาเสนอไว้ที่นี้เพื่อเป็นการเจริญพุทธานุสติ อ่านแล้วจะรู้สึกได้ว่านักปราชญ์ท่านพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าไว้ไพเราะเพราะพริ้งยิ่งนัก เพราะเกิดจากน้ำใจที่ผ่องใสอันมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ ขอชาวเราจงเกิดสติเต็มเปี่ยมในหัวใจเช่นนั้นโดยทั่วกัน เทอญ .......... เอเต จญฺเญ จ สมฺพุทฺธา.....อเนกสตโกฏโย (เอเต จัญเญ จะ สัมพุทธา อะเนกะสะตะโกฏะโย) -พระพุทธเจ้าเหล่านี้ก็ดี เหล่าอื่นก็ดี ซึ่งนับจำนวนได้หลายร้อยโกฏิ สพฺเพ พุทฺธา อสมสมา.....สพฺเพ พุทฺธา มหิทฺธิกา (สัพเพ พุทธา อะสะมะสะมา สัพเพ พุทธา มะหิทธิกา) -พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้ทรงเสมอกันกับพระพุทธเจ้า ผู้ทรงหาใครเสมอมิได้ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทรงมีมหิทธิฤทธิ์ สพฺเพ ทสพลูเปตา.....เวสารัชเชหุปาคตา (สัพเพ ทะสะพะลูเปตา เวสารัชเชหุปาคะตา) -ทุกๆ พระองค์ทรงประกอบด้วยทศพลญาณ ทรงประกอบด้วยเวสารัชญาณ สพฺเพ เต ปฏิชานนฺติ.....อาสภณฺฐานมุตฺตมํ (สัพเพ เต ปะฏิชานันติ อาสะภัณฐานะมุตตะมัง) -ทุกๆ พระองค์ทรงปฏิญญาพระองค์ในฐานะผู้มีคุณธรรมอันสูงสุด สีหนาทํ นทนฺเต เต.....ปริสาสุ วิสารทา (สีหะนาทัง นะทันเต เต ปะริสาสุ วิสาระทา) -ทรงเป็นผู้องอาจ บันลือกระแสธรรมท่ามกลางพุทธบริษัท ดุจราชสีห์บันลือสีหนาท พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตนฺติ.....โลเก อปฺปฏิวตฺติยํ (พ๎รัห๎มะจักกัง ปะวัตเตนติ โลเก อัปปะฏิวัตติยัง) -ยังพรหมจักรให้เป็นไป ไม่มีใครคัดค้านได้ในโลก อุเปตา พุทฺธธมฺเมหิ.....อฏฺฐารสหิ นายกา (อุเปตา พุทธะธัมเมหิ อัฏฐาระสะหิ นายะกา) -ทรงประกอบด้วยพุทธธรรม ๑๘ ประการ ทรงเป็นผู้นำแห่งชาวโลก ทฺวตฺตึสลกฺขณูเปตา-.....สีตฺยานุพฺยญฺชนาธรา (ท๎วัตติงสะลักขะณูเปตา สีต๎ยานุพ๎ยัญชะนาธะรา) -ทรงประกอบด้วยมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ พฺยามปฺปภาย สุปฺปภา.....สพฺเพ เต มุนิกุญฺชรา (พ๎ยามัปปะภายะ สุปปะภา สัพเพ เต มุนิกุญชะรา) -ทรงมีพระรัศมีอันงดงาม แผ่ออกจากพระวรกายโดยรอบข้างละวา ทุกๆ พระองค์ทรงเป็นพระมุนีผู้ประเสริฐ พุทฺธา สพฺพญฺญุโน เอเต.....สพฺเพ ขีณาสวา ชินา (พุทธา สัพพัญญุโน เอเต สัพเพ ขีณาสะวา ชินา) -ทุกๆ พระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญู เป็นพระชีณาสพ เป็นผู้ชำนะซึ่งพญามาร มหปฺปภา มหาเตชา.....มหาปญฺญา มหพฺพลา (มะหัปปะภา มะหะเตชา มะหาปัญญา มะหัพพะลา) -ทรงมีพระรัศมีและทรงมีพระเดชมาก ทรงมีพระปัญญาและพระกำลังมาก มหาการุณิกา ธีรา.....สพฺเพสานํ สุขาวหา (มะหาการุณิกา ธีรา สัพเพสานัง สุขาวะหา) -ทรงมีพระมหากรุณา และทรงเป็นจอมปราชญ์ ทรงนำความสุขมาให้แก่สัตว์ทั้งปวง ทีปา นาถา ปติฏฺฐา จ.....ตาณา เลณา จ ปาณินํ (ทีปา นาถา ปะติฏฐา จะ ตาณา เลณา จะ ปาณินัง) -ทรงเป็นดุจเกาะ เป็นดุจที่พึ่ง และเป็นดุจที่พำนักอาศัย ทรงเป็นดุจที่ต้านทานซึ่งภัยทั้งปวง เป็นดุจที่หลีกเร้นของสัตว์ทั้งหลาย คตี พนฺธู มหสฺสาสา.....สรณา จ หิเตสิโน (คะตี พันธู มะหัสสาสา สะระณา จะ หิเตสิโน) -ทรงเป็นที่ส่งใจถึง ทรงเป็นพวกพ้อง ทรงเป็นที่อุ่นใจอย่างยิ่ง ทรงเป็นสรณะและเป็นผู้แสวงสิ่งเอื้อเกื้อกูล สเทวกสฺส โลกสฺส.....สพฺเพ เอเต ปรายนา (สะเทวะกัสสะ โลกัสสะ สัพเพ เอเต ปะรายะนา) -ทุกๆ พระองค์ทรงเป็นที่มุ่งหวังในเบื้องหน้า แก่ประชาชาวโลกพร้อมทั้งเทวดา เตสาหํ สิรสา ปาเท.....วนฺทามิ ปุริสุตฺตเม (เตสาหัง สิระสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตะเม) -ข้าพระองค์ขอถวายอภิวาทพระบาทยุคล ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยเศียรเกล้า วจสา มนสา เจว.....วนฺทาเมเต ตถาคเต (วะจะสา มะนะสา เจวะ วันทาเมเต ตะถาคะเต) -พร้อมทั้งวาจาและด้วยดวงใจ ขอถวายอภิวาท - ซึ่งพระตถาคตเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นผู้ทรงเป็นอุดมบุรุษ สยเน อาสเน ฐาเน.....คมเน จาปิ สพฺพทา (สะยะเน อาสะเน ฐาเน คะมะเน จาปิ สัพพะทา) -ขอถวายอภิวาทในกาลทุกเมื่อ ทั้งยามนอน ยามนั่ง ยามยืน และแม้ในยามเดิน สทา สุเขน รกฺขนฺตุ.....พุทฺธา สนฺติกรา ตุวํ (สะทา สุเขนะ รักขันตุ พุทธา สันติกะรา ตุวัง) -ขอพระพุทธเจ้าผู้ทรงสร้างสันติจงรักษาท่านให้มีความสุข ตลอดกาลทุกเมื่อเถิด เตหิ ตฺวํ รกฺขิโต สนฺโต.....มุตฺโต สพฺพภเยน จ (เตหิ ต๎วัง รักขิโต สันโต มุตโต สัพพะภะเยนะ จะ) -ท่านเป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงรักษาแล้ว จงเป็นผู้พ้นจากภัยทั้งปวง สพฺพโรควินิมุตฺโต.....สพฺพสนฺตาปวชฺชิโต (สัพพะโรคะวินิมุตโต สัพพะสันตาปะวัชชิโต) -พ้นจากโรคทั้งปวง หายจากความเดือดร้อนทั้งปวง สพฺพเวรมติกฺกนฺโต.....นิพพฺโต จ ตุวํ ภว. (สัพพะเวระมะติกกันโต นิพพุโต จะ ตุวัง ภะวะ) -ล่วงเสียซึ่งเวรทั้งปวง และดับทุกข์ทั้งปวงได้ เทอญ. .......... หมายเหตุ : บทสวดและคำแปลคัดมาจาก -http://www.watpamahachai.net/watpamahachai-68_11.htm คำแปลนั้นไม่ทราบว่าเป็นสำนวนแปลของท่านผู้ใด ผู้เขียนบาลีวันละคำขออนุญาตปรับแต่งบ้างเล็กน้อยเพื่อให้กะทัดรัดชัดเจนขึ้น ผู้ต้องการอ่านบทเต็มๆ เชิญตามไปอ่านได้ตามอัธยาศัย ........ ดูก่อนภราดา! นอนสวดมนต์เป็นกิริยาที่ผู้หนักในธรรมไม่พึงกระทำ แต่กระนั้น - : นอนสวดมนต์ : ก็ยังดีกว่าลุกขึ้นไปปล้นเขากิน นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย |